PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2562

น.3คอลัมน์ : 18 วัน เลือกตั้ง ปมเงื่อน ความแจ่มชัด กับ การตัดสินใจ

น.3คอลัมน์ : 18 วัน เลือกตั้ง ปมเงื่อน ความแจ่มชัด กับ การตัดสินใจ



ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่ตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน 2489 และตีคู่มากับพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 ตีคู่มากับพรรคพลังประชาชนในการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 และตีคู่กับพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554

เหตุใดในการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 พรรคประชาธิปัตย์กลับหล่นจากอันดับ 2 มาเป็นอันดับ 3
คำตอบเพราะความไม่แจ่มชัด

ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีความแจ่มชัดว่าไม่เอา คสช. ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างแน่นอน แต่พรรคประชาธิปัตย์พยายามชูธง 2 ผืน

ผืน 1 ต้านระบอบทักษิณ ผืน 1 ต้านนายกรัฐมนตรีคนนอก

ธง 2 ผืนที่โบกสะบัดขึ้นมาเหนือพรรคประชาธิปัตย์นี่แหละที่ก่อให้เกิดสภาวะละล้าละลัง กระทั่งเกิดความโน้มเอียงที่จะต้านระบอบทักษิณเหนือกว่าด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในที่สุดก็ถูกพรรคพลังประชารัฐซึ่งแจ่มชัดกว่า “แซง”

พรรคพลังประชารัฐอาจเป็นพรรคการเมือง “ใหม่” เมื่อเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือเมื่อเทียบกับพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา

แต่พรรคพลังประชารัฐชัดเจน

เป็นความชัดเจนที่พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคการเมืองของ คสช. มีเป้าหมายเพื่อสืบทอดอำนาจของ คสช.

นี่คือความเป็นเอกภาพระหว่าง “คสช.” กลับ “พลังประชารัฐ”

หากถามว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังชาติไทย พรรคพลังท้องถิ่นไท
พรรค(พลัง)ประชาชนปฏิรูป พรรคพลังธรรมใหม่

ก็ล้วนแล้วแต่เคยประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เหตุใดพลันที่พรรคพลังประชารัฐปรากฏขึ้น ไม่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าพรรคประชาชนปฏิรูป ก็กลายเป็นพรรคอันดับรอง


นั่นก็เพราะพรรคพลังประชารัฐเป็น “ของจริง”

ความแจ่มชัดนั้นเองทำให้พรรคเพื่อไทยยังสามารถรักษาความเป็นพรรคอันดับ 1 ในสนามเลือกตั้ง เช่นเดียวกับ ความแจ่มชัดนั่นเองทำให้พรรคพลังประชารัฐทะยานมาอย่างรวดเร็ว

ทะยานกระทั่งเหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์

หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ทบทวนและแสดงความแจ่มชัดเชื่อได้เลยว่าพรรคอนาคตใหม่ซึ่งแจ่มชัดมากกว่าจะทะยานไปอยู่อันดับ 3

ความเป็นจริงผ่าน “โพล” ก็คือ พรรคอนาคตใหม่เดินหน้าแซงพรรคเก่าแก่อย่างพรรคชาติพัฒนา พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย อย่างรวดเร็ว

แทบไม่ต้องพูดถึงพรรครวมพลังประชาชาติไทย

ความแจ่มชัดในทิศทางนั่นเองทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้กลายเป็นอีก “ความหวัง” สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจของ คสช.

เป็นไปได้หรือไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่จะทะยานข้ามพรรคประชาธิปัตย์

เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะทะยานข้ามพรรคพลังประชารัฐไปอยู่ใกล้ๆ กับพรรคเพื่อไทย

ไม่ว่าทฤษฎีสามก๊ก ไม่ว่าทฤษฎีแทงกั๊ก กำลังได้รับการพิสูจน์จากสภาพความเป็นจริงของการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม

พรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐปะทะกันแน่นอน

มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่จะทะยานข้ามพรรคประชาธิปัตย์และทิ้งห่างพรรคแทงกั๊กทั้งหลายมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

นี่คือทิศทางที่จะปรากฏภายใน 3 สัปดาห์ข้างหน้า

ทุกพรรคเครียด งัด “อาวุธลับ” สู้ถึงแต้มสุดท้าย

ทุกพรรคเครียด งัด “อาวุธลับ” สู้ถึงแต้มสุดท้าย



อย่างที่ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนาบอกกับ “มติชน” ถึงการวางหมากของพรรคการเมือง

ในช่วงได้-เสีย วันเลือกตั้งขยับใกล้เข้ามาว่า

ทุกพรรคต้องเตรียมฉายภาพที่ชัดเจนของนโยบาย เป็น Final Touch ต้องโชว์จุดขายของพรรคออกมาเรียกว่า เป็นรายการทิ้งโค้งก็ว่าได้

การเลือกตั้งเดินทางมาถึงจุดที่ว่าแล้ว โดยมีการเดินสายเก็บคะแนนทุกเม็ดทุกพื้นที่เป็นยุทธวิธีพื้นฐาน อย่างพรรคชาติพัฒนาที่มีฐานใหญ่อยู่โคราช ต้องสยายปีกเดินสายถึงเมืองหลวง

เมื่อวันเสาร์ไปบุกย่านสำเพ็ง โชว์แนวทาง No Problem เพื่อดึงคะแนนซึ่งมีความหมายทุกแต้ม ที่เห็นๆ คือแปรเป็นคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ได้

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ พลิกเกมครั้งใหญ่ โดยออกข่าว วางคิวให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเวทีหาเสียง โชว์ลีลาการพูดที่ถึงลูกถึงคน

หลังจากหารือ กกต.แล้ว ได้ไฟเขียวโร่ว่าทำได้หมด แต่ต้องไม่เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองใด

ฟังดูปฏิบัติยากอยู่พอสมควร แต่ตีความแค่ว่ากฎหมายไม่ห้ามก็พอ

บิ๊กตู่จะประเดิมที่โคราชบ้านเกิด ก่อนเดินสาย 4 ภาค ทิ้งหมัดหนักๆ แล้วมาปิดซีรีส์ที่สวนลุมฯ ในวันที่ 22 มี.ค.

บิ๊กตู่จะยอมขึ้นเวทีหรือไม่ ต้องรอลุ้นกันไป แต่ถ้าขึ้น คงจะต้องเตรียมเนื้อหาสาระกันพอสมควร ว่าจะบอกกล่าวอะไรกับพี่น้องประชาชน

เพื่อสร้างภาพเชิงบวก เรียกความประทับใจให้กับผู้ใช้สิทธิ ก่อนจะเข้าคูหากาบัตรกันในวันที่ 24 มี.ค.
หรืออย่างที่มีข่าวสะพัดว่า รองฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ตอนนี้อยู่โยงเฝ้าทำเนียบ อาจจะลงมาลุยช่วยน้องๆ อีกคน

แต่งานประจำก็ยังรุมเร้า ถ้าปล่อยเป็นช่องว่างในเวลา 2-3 เดือน อาจจะมีปัญหา เพราะกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ก็เดือนมิ.ย.

ในภาพรวมนั่นคือ การเร่งสปีด ระดมสรรพกำลังของ พปชร. เรียกว่าปัจจัยใดๆ ที่ให้คุณ เอามาใช้หมด ผสมผสานไปกับการออกนโยบายช่วยเหลือต่างๆ

อย่างเช่นการเพิ่มเงินบำนาญให้กับ ขรก.เกษียณที่รับอยู่ไม่ถึงหมื่น หรือผู้รับบำเหน็จที่อายุเกิน 70 ปี
ส่วนพรรคอื่นๆ ก็จะเห็นภาพการเดินสายอย่างเหน็ดเหนื่อยไม่ได้

อย่างการบุกภาคใต้ของอนาคตใหม่ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายกฯในบัญชีพรรค นำทีมลุยเอง

พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมนั่งนิ่งๆ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำทีมลุยตลาดกิมหยง และพื้นที่ต่างๆ ของหาดใหญ่ จ.สงขลา


ส่วนเพื่อไทย เสาร์อาทิตย์นี้ไปคุมฐานเดิมที่ภาคเหนือ มีแฟนคลับต้อนรับอย่างแน่นเหนียว

แต่ก็เป็นฐานที่ละเอียดอ่อน หลังจากที่กระแสข่าวเรื่อง บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ผู้ใกล้ชิดแกนนำพรรค ต้องไปติดคุกในคดีจำนำข้าว แล้วแกนนำพรรคบางคนละเลยไม่ดูแลลูกชายเท่าที่ควร
ก่อนจะมีกระแสต่างๆ ติดตามมา ส่วนลูกชายไปลง พปชร.เรียบร้อย

ล่าสุดมีข่าวว่า ป.ป.ช.ตีตกคดีบุญทรงที่โยงจำนำข้าวไป 1 คดี

และสัปดาห์นี้ วันที่ 5 มี.ค.เป็นวันนักข่าว ในสภาพที่สื่อต่างๆ ทั้งสิ่งพิมพ์ ทีวี วิทยุ อยู่ในห้วงปรับตัว ด้วยลมหายใจที่อ่อนล้าโรยรา บ้างเลือกเส้นทางขยับไปแจ้งเกิดใหม่เป็นออนไลน์

แต่ความเป็นมืออาชีพ กำหนดให้ต้องทำหน้าที่ในวาระสำคัญของบ้านเมืองอย่างเต็มที่

โดยจะมีกรณี “อรวรรณ ชูดี” ผู้ดำเนินรายการ “เลือกตั้ง 62” ทางโมเดิร์นไนน์ที่มีข่าวว่าถูกบอร์ดปลด เป็นหัวข้อสำคัญ

ล่าสุด เขมทัตต์ พลเดช ผอ.อสมท ยืนยันแล้วว่าไม่มีการปลด น่าจะเป็นเรื่องข่าวคลาดเคลื่อน
การทำหน้าที่ของสื่อในระยะนี้ เต็มไปด้วยความล่อแหลม เพราะถูกใจหรือไม่ถูกใจก็มีสิทธิพังได้ทั้งนั้น
บางช่องไม่เอาใจผู้มีอำนาจ ก็ปัญหาหนึ่ง จัดหนักเอาใจมากไป กระแสสังคม กระแสโซเชียลมีเดีย ไม่ละเว้นให้ จะแสดงปฏิกิริยาทันที

เป็นภาพสะท้อนว่า ผู้มีอำนาจตัวจริงคือประชาชนผู้ชมนั่นเอง

และหลังจากวันที่ 5 มี.ค. จะเป็นคิวของพรรคไทยรักษาชาติ ต้องไปลุ้นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะพิจารณาคดีเป็นปรปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย มีโทษถึงยุบพรรค และกรรมการบริหารอาจต้องเว้นวรรค

คดีนี้ศาลรัฐธรรรมนูญแจ้งแล้วว่าคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงไม่ทำการไต่สวนตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และกำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัย

ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันที่ 7 มี.ค. เวลา 13.30 น.

และนัดอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในวันเดียวกันเวลา 15.00 น.

จะออกหัวหรือก้อย จะได้ “โลดแล่นต่อ” หรือต้อง “ยุติ” เส้นทางเลือกตั้ง และหรืออื่นใด ต้องไปรอฟังกัน

เป็นสีสันอันเข้มข้นในโค้งสุดท้ายที่อันตรายในทุกสปีดความเร็ว ของเลือกตั้ง 24 มี.ค.62

“บก.ลายจุด” ชี้กระแส “ปีศาจธนาธร” โหมแรงแต่แป๊ก พร้อมเผยความสัมพันธ์วันวานของ “สุเทพ-ทักษิณ”

วันที่ 4 มีนาคม 2562 นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรมสังคมและหัวหน้าพรรคเกียน ได้ไลฟ์เฟซบุ๊กในเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อวิเคราะห์การก่อตัวของวาทกรรม “ปีศาจธนาธร” และการโหมกระแสวาทะโจมตีอย่าง “ผีทักษิณ” ซึ่งกลับมาอีกครั้งจากการปราศรัยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
นายสมบัติ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการพุ่งโจมตีใส่นายธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จนเกิด จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ปีศาจธนาธร” ขึ้นมาแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นมาได้ระยะหนึ่งและโค้งสุดท้ายเห็นชัด การพุ่งเป้าไปที่นายธนาธรนั้น เป็นปฏิบัติการในรูปของขบวน เป็นการคิดวิเคราะห์ ออกแบบว่าจะต้องจัดการนายธนาธรให้ได้ในกระแสการเมือง แต่ล่าสุดคือรอบนี้ มีการขุดเอาผีทักษิณขึ้นมา โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยและพุ่งเป้าโจมตีไปที่นายทักษิณและมีปฏิกิริยาตามมาว่า ทำไมทักษิณถึงกลับมาเป็นประเด็น
“อันดับแรก เราต้องเข้าใจวัฒนธรรมทางการเมืองไทยว่า เวลาที่หาเสียงทางการเมือง แต่ละพรรคจะหาสิ่งที่เรียกว่า “คู่ต่อสู้” หรือ “ศัตรู” ถ้าเราดูปีกฝ่ายประชาธิปไตย พรรคการเมืองฝั่งนี้จะเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี เป็นคู่ต่อสู้ทางการเมือง คนที่ประกาศตัวว่าเป็นคู่ต่อสู้กับพล.อ.ประยุทธ์ที่ชัดที่สุด ก็คือคุณธนาธร เพราะตั้งแต่คุณธนาธรประกาศออกมาจะต่อสู้บนเวทีทางการเมืองผ่านพรรคการเมือง นายธนาธรใช้หลักการนี้ โดยประกาศว่า เป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองกับพล.อ.ประยุทธ์ และเพื่อจะทำให้เห็นว่า เขาเป็นตัวแทนของประชาชนที่เห็นต่างหรือได้รับผลกระทบจากการบริหารของรัฐบาลประยุทธ์ คือเป็นเรื่องปกติที่จะเอารัฐบาลที่แล้วเป็นตัวตั้ง พรรคการเมืองก็จะต้องเสนอตัวว่าเป็นทางเลือกแบบว่า ถ้าไม่อยากมีชีวิตแบบรัฐบาลที่ผ่านมาก็เลือกฉัน และจะต้องอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการบริหารประเทศของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นแบบแผนอย่างนี้ จึงไม่ค่อยสงสัยเรื่องนี้กันเท่าไหร่” นายสมบัติกล่าวและว่า แต่ว่าปรากฎการณ์ “ปีศาจธนาธร” มีความน่าสนใจตรงที่ ฝ่ายสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ แทนที่จะพุ่งเป้าไปที่พรรคเพื่อไทยที่มีโอกาสได้คะแนนเสียงมากที่สุด แต่กลับพุ่งไปที่นายธนาธร ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะได้คะแนนเสียงเท่าไหร่ แต่ทำไมพรรคพลังประชารัฐก็ดี พรรครวมพลังประชาชาติไทย ถึงพุ่งใส่นายธนาธร แต่ไม่ใช่นายชัชชาติ (สิทธิพันธุ์) ทั้งที่นายชัชชาติและคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็มีกระแสที่ไม่ขี้เหร่ แต่กลับเน้นไปที่นายธนาธร เพราะว่านายธนาธรเป็นตัวแทน ลำพังแค่พรรคเพื่อไทยกับไทยรักษาชาติ ไม่ใช่ตัวแปร แต่ละพรรคมีต้นทุน พรรคอนาคตใหม่กลับเป็นพรรคที่มีโอกาสดีดขึ้นสูง ตอนพรรคเกิดใหม่ๆ หลายคนปรามาสว่าอาจได้ที่นั่งแค่ ไม่กี่สิบที่นั่ง ตอนนี้ทุกคนมั่นใจแล้วว่า อาจไปมากกว่า30-70 เสียง โค้งสุดท้ายนี้ นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เป็นตัวแปรและสูตรคณิตศาสตร์ทางการเมืองไทยเปลี่ยนไป
นายสมบัติกล่าวอีกว่า อันดับสองคือ นายธนาธรทำให้พรรคหรือบุคคลทางการเมืองอย่างคุณสุเทพ ซึ่งเคยมีภาพลักษณ์เป็นขบวนประชาชนที่ออกไปต่อสู้กับรัฐบาล เอาจริงคือภาพดูซ้าย แม้เนื้อหาจะขวา แต่พอเกิดอนาคตใหม่ โดยเฉพาะนายธนาธร สิ่งที่นายธนาธรพูด ไปพุ่งที่ตัวบุคลิกภาพหรือตัววิญญาณของขบวนที่นายสุเทพเคยขับเคลื่อน (กปปส.) แม้จะตั้งพรรคมาพร้อมกับพรรคอนาคตใหม่ ทั้งที่มีคนหนุ่มสาวเข้ามา แต่ภาพพรรครวมพลังประชาชาติไทยดูชรามาก เพราะทำการเมืองแบบเก่า ไม่มีนโยบายอะไรใหม่ให้จดจำ
นอกจากนี้ นายสมบัติกล่าวว่า ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญ เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยสัมภาษณ์คุณทักษิณที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ผมนำประเด็นเรื่องการปฏิรูปการเมืองไปคุย จริงๆเป็นการพูดคุยก่อนเกิด กปปส. มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจว่า คุณสุเทพและทักษิณเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน สถานะไม่ต่างกันมาก อาจไม่สนิทเท่าคุณสนธิกับทักษิณ แต่ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก่อน และคุณทักษิณเคยถูกพรรคประชาธิปัตย์ชวนเข้าร่วมพรรค แต่คุณทักษิณปฏิเสธและไปร่วมกับพรรคพลังธรรมของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง พอคุณทักษิณตั้งพรรคไทยรักไทย ช่วงหาเสียง คุณชวน หลีกภัยได้ให้คุณสุเทพไปคุยชวนคุณทักษิณว่า หลังจากเลือกตั้งเสร็จแล้ว มาช่วยกันจัดตั้งรัฐบาล คุณทักษิณไม่ได้ปฏิเสธ จนมาวันหนึ่ง คุณสุทธิชัย หยุ่นจัดดีเบตและเชิญพรรคการเมืองมาดีเบต คุณชวนและทักษิณนั่งติดกัน คุณชวนสะกิดคุณทักษิณชวนคุยกัน ด้านหนึ่งเป็นไมตรีของฝั่งคุณชวนที่อยากจะร่วมงานกับคุณทักษิณ นี่คือจุดเริ่มต้นที่น่าจะตกลงกันได้ แต่ผลการเลือกตั้งปี 2544 พรรคไทยรักไทยสามารถตั้งรัฐบาลได้ ปรากฎว่าคนที่คุณชวนเชิญ กลับมีเสียงมากกว่าจนจัดตั้งรัฐบาลแล้วแข่ง นั้นเป็นจุดเลี้ยวสำคัญ
“ดังนั้น เวลาได้ยินเสียงคุณสุเทพพูดถึงคุณทักษิณไม่ใช่แค่เรื่องความเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน แต่จะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกส่วนตัว วงในทางการเมืองรู้กันดีว่ามีเรื่องแบบนี้ ดังนั้นผมฟังอะไรที่คุณสุเทพปราศรัยและพูดถึงทักษิณว่าเป็นผี สิ่งนี้หลอนคุณสุเทพ ทำให้ทิศทางการเมืองของคุณสุเทพเปลี่ยนไป จนถึงทุกวันนี้ คุณสุเทพเปลี่ยนไปมาก ทั้งจุดยืน จากว่าที่รัฐฏาธิปัตย์กลายเป็นอะไรไม่รู้ ลุงกำนันก็ไม่ใช่ ดูว่าการปลุกผีทักษิณกับปีศาจธนาธร อะไรจะขายได้ ผมกำลังลุ้นว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวละครฝ่ายการเมืองที่จะมองศัตรูและเข้าแทง เข้าใจว่าตอนนี้ธนาธรโดนหนักมาก แต่จะมีผลต่อคะแนนเสียง ผมไม่มั่นใจผมกลับรู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ใช่ได้ ไม่ได้ทำให้คนคลุ้มคลั่งเหมือนสมัยก่อน และคนรุ่นใหม่รู้จักนายธนาธรมากขึ้น” นายสมบัติ กล่าวอ

ทำไมต้องปลุกผี


แม้กระแสพรรครวมพลังประชาชาติไทย
จะสงบนิ่ง
ไม่หือไม่อืออย่างพรรคการเมืองอื่นๆ
บทบาทยังคงอยู่ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เดินคารวะแผ่นดินอยู่คนเดียว
ไม่รู้ว่าจะได้ ส.ส.เข้าสภาเท่าไหร่
ขนาดนายสุเทพก็ยังไม่กล้าคาดการณ์
สิ่งที่เด่นชัดตอนนี้ จึงมีคำประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจว่า อย่างไรเสีย
พรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้ร่วมรัฐบาลแน่
แม้จะมั่นใจอย่างนั้น
แต่การมีเพียงแค่ลมปาก ที่ไม่มีอะไร “จับต้องได้” นั้นก็ไม่น่าเพียงพอ
จึงต้องมีแอ๊กชั่นบางอย่างมาเสริม เพื่อเสริมให้ตัวเองและพรรคมีราคาขึ้น
ผู้มีอำนาจจะได้ไม่มองข้าม
นายสุเทพก็รีบงัดไม้ตายออกมาเป็นเกมเคลื่อนไหว
ล่าสุดได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก Suthep Thaugsuban
โดยยอมรับว่านี่คือความจงใจจะเรียกคะแนนจากคน กปปส.เก่าเพื่อหวังผลทางการเมือง
นั่นคือ ปลุกผีทักษิณขึ้นมาอีกรอบ
นายสุเทพว่าไว้ในเฟซบุ๊กว่า
“ผมเชื่อว่า วันนี้มีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่ยังคงหัวร้อนกับผลงานสุดแสนอัปยศจากระบอบทักษิณ”
จากนั้นก็ยกตัวอย่างคดีเก่าๆ
ขึ้นมาฟื้นความจำ
โดยอ้างว่า ทำให้ประเทศต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนนับแสนๆ ล้าน
แต่เจ้าตัวลอยนวลปล่อยให้ผู้อื่นเดินเข้าคุกแทน
ก่อนที่จะเข้าประเด็น
ด้วยการสรุปว่า
การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ใช่การเลือกระหว่าง “ข้างประชาธิปไตย” กับ “ข้างเผด็จการ”
แต่ว่าเลือก “ข้างประเทศไทย” กับ “ข้างระบอบทักษิณ” ต่างหาก
คนไทย “จะเลือกอยู่ข้างไหน?”
“จะยอมให้ระบอบทักษิณกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่?”
นี่คือไพ่ตายที่นายสุเทพทิ้งออกมา
และคาดหมายอีกประมาณ 1 เดือนที่เหลือก่อนเลือกตั้ง
คงจะโหมเรื่องนี้อย่างหนัก
เพื่อสู้กับอีกขั้ว ที่มาแรงเช่นกัน
นั่นคือจะเลือก
ประชาธิปไตย หรือ เผด็จการ

‘บิ๊กแดง’ สตรอง กลางพายุการเมือง ส่องอนาคต ‘บิ๊กป้อม’ จัดโผ ส.ว.

เข้มแข็ง สมาร์ต วินัยเป๊ะ ‘ทหารคอแดง’ ลูก ‘พ่อจ๊อด’ ทหารต้นแบบ
‘บิ๊กแดง’ ลูก ‘พ่อจ๊อด’ สตรอง กลางพายุการเมือง
ส่องอนาคต ‘บิ๊กป้อม’ จัดโผ ส.ว.
กองทัพในยุคเปลี่ยนผ่าน มีการเปลี่ยนแปลงโครงการกองทัพ โดยเฉพาะ ทบ. ทั้งการที่ พล.1 รอ. พล.ร.2 รอ. พล.ม.2 รอ. และบางหน่วยของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ได้ขึ้นเป็นหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904)
โดยที่ ร.1 รอ. และ ร.11 รอ. ได้แปรสภาพกลายเป็นหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็น ร.1 มหด.รอ. และ ร.11 มหด.รอ.
บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.เอง ก็ทำหน้าที่ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 และเป็นนายทหารพิเศษประจำ ทม.รอ. ที่สามารถแต่งเครื่องแบบและติดอาร์มเครื่องหมายต่างๆ แบบ ทม.รอ.
พล.อ.อภิรัชต์ ที่นอกจากเป็นเลขาธิการ คสช. และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบรียบร้อยของ คสช. และเป็นประธานบอร์ดกองสลากฯ และเป็น บอร์ดสำนักงานทรัพย์สินฯ แล้ว ยังทำหน้าที่ของ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 และต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นระยะๆ
เช่นเดียวกับเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา ที่ไปทำหน้าที่ปกติ แต่เกิดปรากฏการณ์ 8 กุมภาพันธ์ ขึ้นมาพอดี พล.อ.อภิรัชต์จึงได้ทำหน้าที่ในการประสาน จนทำให้ทุกอย่างจบลงในคืนวันนั้น

ลักษณะเด่นของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) นั้น พล.อ.อภิรัชต์ระบุว่า ต้องแข็งแรงทุกคน และมีความสง่างาม ระเบียบวินัยเป๊ะ
จนทำให้ พล.อ.อภิรัชต์เผยว่า ได้ให้ทหาร ทม.รอ. เป็นครูฝึกให้บรรดานายทหารผู้ฝึกทหารใหม่ เพื่อที่จะทำให้การฝึกทหารเกณฑ์ของทหารใหม่ของ ทบ. เป็นแบบเดียวกับการฝึกของ ทม.รอ. โดยเริ่มตั้งแต่ผลัด 2 เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา ภายใต้โครงการ “ทหารต้นแบบในอนาคต”
ทั้งนี้เพราะ ทม.รอ.มีการฝึกหลักสูตรต่างๆ ที่เป็นหลักสูตรพระราชทาน โดยที่ พล.อ.อภิรัชต์และนายทหารระดับนายพล ผบ.หน่วย ก็หมุนเวียนกันไปฝึกหลักสูตรเหล่านี้มาแล้วเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พล.อ.อภิรัชต์นำห้าเสือ ทบ. และนายพล ทบ. และที่เป็น ผบ.หน่วยใน ฉก.ทม.รอ.904 ทดสอบร่างกาย ก็ได้แสดงให้เห็นว่า ทหาร ทม.รอ.มีความแข็งแรงกันทุกคน
“ทหาร ทม.รอ.แข็งแรงทุกคน เวลาวิดพื้น หัวเข่าจะต้องไม่โดนพื้นเลย” บิ๊กแดงกล่าว
ที่สำคัญในวันนั้น ทำให้เห็นลักษณะเด่นของทหาร ทม.รอ.อีกประการคือ การแต่งกาย แม้แต่ชุดออกกำลังกาย ก็จะเป็นเสื้อยืดสีขาวคอกลมขลิบสีแดง ขอบแขน 2 ข้างขลิบสีแดง และนุ่งกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งสีดำหรือสีเข้ม
โดยที่ พล.อ.อภิรัชต์จะสวมรองเท้า Asics ลายพรางสีเข้ม ที่เป็นรองเท้าพิเศษ ที่ตอนนี้ในกองทัพบกได้รับมาแค่ 4 คู่ รวมทั้งบิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1 และเสธ.อ๊อบ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.พล.1 รอ. ที่เป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904
นอกจากนี้ยังมีบิ๊กนัย พล.ท.สุนัย ประภูชะเนย์ ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) ที่ก็คุมหน่วยรบพิเศษ ทั้งกรมรบพิเศษที่ 1 และกรมรบพิเศษที่ 3 ที่อยู่ใน ฉก.ทม.รอ.904 ที่ก็เรียกขานกันว่าเป็น “รบพิเศษคอแดง”
เหล่านี้จึงทำให้ “ทหารคอแดง” เริ่มเป็นที่รู้จักและคุ้นตาของประชาชน โดยเป็นการโชว์ผ่านสื่อครั้งแรก
ไม่แค่นั้น เสื้อยืดคอแดงนี้ จะเป็นเสื้อซับในที่นายทหารที่อยู่สังกัด ฉก.ทม.รอ.904 จะสวมใส่เวลาสวมเครื่องแบบปกติ และชุดพราง บริเวณที่เป็นคอกลมสีแดงก็จะโผล่มาให้เห็น อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นทหาร ทม.รอ.
โดยหากเป็นทหารที่สังกัดกองทัพบก จะหมายถึงนายทหารที่อยู่ใน ฉก.ทม.รอ.904 ที่มี พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904
รวมทั้งทำให้เห็นความพร้อมเพรียงและความเป็นระเบียบวินัย แม้แต่นายทหารบกที่ไม่ได้เป็นทหารคอแดง ก็ยังแต่งชุดกีฬา ด้วยการนุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อขาวหมด แม้จะไม่ใช่ “คอแดง” ก็ตาม
พล.อ.อภิรัชต์ได้แสดงให้เห็นถึงการวิ่งออกกำลังกายเป็นหมวดหมู่ของทหาร ที่ฝึกกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหาร และนักเรียนนายร้อย จปร. แต่มาเสริมด้วยรูปแบบของ ทม.รอ.
โดยวิ่งไปและร้องเพลงมาร์ช เพลงปลุกใจไป ที่สอดรับกับวิทยุเสียงตามสายใน บก.ทบ. ที่เปิดเพลงรัวๆ ทั้งเช้า กลางวัน เย็น แม้จะมีเพลงอื่นๆ ด้วย แต่เพลงหนักแผ่นดิน ทั้งเวอร์ชั่นอะคลูสติก และเวอร์ชั่นแจ๊ซ และต้นฉบับดั้งเดิม
ตั้งข้อสังเกตกันว่า ท่ามกลางกระแสโจมตีกองทัพจากนักการเมืองพรรคคู่แข่งของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.และ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ และหลังจากการส่งสัญญาณเพลง “หนักแผ่นดิน” แล้ว
พล.อ.อภิรัชต์ต้องการแสดงให้เห็นว่า กองทัพสตรอง ไม่สะทกสะท้านใดๆ แต่กลับมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ตามม็อตโต้ที่ว่า Smart Soldiers, Strong Army
“เรายิ่งสตรอง” บิ๊กแดงย้ำ พร้อมชี้ด้วยว่า ทหารเราทุกคนรักกันขนาดนี้
เพราะหลังปรากฏการณ์เพลงหนักแผ่นดิน พล.อ.อภิรัชต์ถูกฝ่ายต่อต้าน คสช. และนักการเมืองคู่แข่งบิ๊กตู่ รุมกระหน่ำอย่างหนัก รวมทั้งกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ที่ระบุว่า เพลงหนักแผ่นดิน เป็นการปลุกความรุนแรง และอดีตการเข่นฆ่าคอมมิวนิสต์ และเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แต่ก็ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์กลายเป็นผู้ปลุกฟื้นชีพเพลงมาร์ช เพลงหนักแผ่นดิน เพราะทำให้เพลงนี้ในทุกเวอร์ชั่น ถูกนำกลับมาเปิดอีกครั้ง แม้แต่การแต่งเพลงแร็พใหม่ “ประเทศกูมีคนหนักแผ่นดิน” ที่เชื่อกันว่าเป็นฝ่ายแนวร่วม คสช.ทำขึ้นมา
กระนั้น พล.อ.อภิรัชต์ก็กลายเป็นตำบลกระสุนตก เคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์พี่เลิฟ โดยเฉพาะการถูกจับตามองว่า ในที่สุดแล้ว จะเอาอย่างพี่ตู่ด้วยการรัฐประหาร แล้วเป็นนายกฯ เองหรือไม่ เพราะกระแสข่าวปฏิวัติซ้อนก็ยังคงมีอยู่หลังการเลือกตั้ง แม้ที่ผ่านมา พล.อ.อภิรัชต์จะปฏิเสธแล้วว่าเป็นแค่ข่าวลือ
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเชื่อ เพราะประสบการณ์ของคนไทย การรัฐประหารมักจะลับลวงพราง จะทำก็บอกว่าไม่ทำ
ยิ่ง พล.อ.อภิรัชต์เป็นลูกชายของบิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ในนามประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) จะเดินตามรอยเท้าพ่อ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติในอนาคตหรือไม่
“สถานการณ์เมื่อ 28 ปีก่อน สมัยคุณพ่อ กับสถานการณ์ตอนนี้มันแตกต่าง มันเปลี่ยนไปแล้ว ผมคงไม่เดินตามรอยเท้าพ่อ แต่มีคนจ้องจะโยงความเป็นพ่อและลูกในเรื่องแบบนี้มาตลอด” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว
กระแสข่าวลือปฏิวัติรัฐประหาร ที่แม้จะสยบด้วยการไปเดินตากฝนร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่ลพบุรีมาแล้วก็ตาม แต่การรัฐประหารในอนาคต โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้ง ยังคงสะพัด
จนทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ต้องให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ เพื่อสยบข่าวลือและรักษาภาพพจน์ประเทศไทยที่กำลังมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง และพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
“ไม่มีใครอยากปฏิวัติ เรามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ถ้าประเทศวุ่นวาย ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ประกาศภาวะฉุกเฉิน และขอให้ไว้วางใจผม ผมเคารพรัฐธรรมนูญ ผมเป็นทหารอาชีพ” พล.อ.อภิรัชต์กล่าวเป็นภาษาอังกฤษว่า Trust me. I respect the constitution. I am a professional Soldier.
พร้อมยืนยันว่า จะทำงานกับทุกรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เพราะถ้ารัฐบาลสั่งแล้วกองทัพไม่ทำตาม ก็คือขัดกฎหมาย ผมเป็นทหารอาชีพ ผมเคารพกฎหมาย

แต่สิ่งที่ พล.อ.อภิรัชต์เป็นห่วงคือ การทำลายกองทัพ สร้างความเกลียดชังทหารในหมู่ประชาชน เป็นแผนขั้นหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม ที่ต้องการทำให้กองทัพล่มสลาย แล้วจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับสถาบัน เพราะทุกวันนี้มีพวกที่ก้าวล่วงจาบจ้วงอยู่
“คุณพ่อผม และ ผบ.เหล่าทัพในยุคนั้น ท่านทำหน้าที่ของท่านอย่างดีที่สุด ในการแก้ปัญหาตอนนั้น” บิ๊กแดงเปรย
“คุณพ่อเป็นทุกอย่างของผม เป็นไอดอล เป็นต้นแบบที่ทำให้ผมอยากเป็นทหาร เริ่มจากการเป็นนักบินก่อน พ่อสอนทุกอย่างมาตั้งแต่ผมเด็กๆ ทุกวันนี้ผมยังคิดถึงคุณพ่อ และไปไหว้พ่ออยู่เสมอๆ” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว
จึงไม่แปลกที่เมื่อครั้งที่ไปประชุมที่ บก.กองทัพไทย พล.อ.อภิรัชต์จะเข้าไปกราบและลูบที่ป้ายชื่อของ พล.อ.สุนทร บนทำเนียบนามอดีต ผบ.ทหารสูงสุด พร้อมน้ำตาคลอ

ผลพวงจากปรากฏการณ์เพลงหนักแผ่นดิน ไม่ใช่แค่ทำให้ พล.อ.สุนทรถูกขุดขึ้นมาพูดถึงเท่านั้น แต่เรื่องการฟ้องร้องมรดกในอดีต ก็ยังถูกฟื้นฝอย
และส่งผลให้ พล.อ.อภิรัชต์ถูกข่าวปลอมถล่ม ด้วยการปล่อยข่าวทางโซเชียลว่ามีคฤหาสน์หรูกว่า 200 ล้าน แถมให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า เก็บเงินซื้อเอง จนทำให้ คสช.ต้องแจ้งดำเนินคดีและสั่งปิดเว็บเพจที่ปล่อยข่าวปลอมนั้น
เพราะ พล.อ.อภิรัชต์นั้นอาศัยอยู่บ้านใน ร.11 รอ. ตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ ขณะที่บ้านส่วนตัวก็มีแค่บ้านของพันเอกหญิง คุณหญิงอรชร คงสมพงษ์ มารดาผู้ล่วงลับ ย่านประชาชื่น หลังเดิมเท่านั้น ไม่เคยมีบ้านหลังอื่น
ส่งผลให้ พล.อ.อภิรัชต์รู้แล้วว่า การจะสู้ศึกการเมืองในยุคนี้จะต้องพบเจออะไรอะไรบ้าง ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเมื่อครั้งที่เขาเป็น ผบ.ร.11 รอ. ที่ออกมาปกป้องกองทัพบก ปกป้อง ผบ.ทบ. และปกป้องสถาบัน
“ยังไงก็สตรอง” พล.อ.อภิรัชต์ย้ำในจุดยืนเดิม
ขณะที่ในการสร้าง Strong Army นั้น พล.อ.อภิรัชต์ก็ต้องจัดโผทหารนี้อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบกันระหว่างทหารคอแดง และทหารบกทั่วไป
แม้ว่าในการโยกย้ายครั้งนี้ บิ๊กตู่น้อย พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผช.ผบ.ทบ. จะไม่ได้ลาออกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตามที่เคยมีข่าวสะพัดก็ตาม
แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ยังไม่รีบร้อนขยับ 5 เสือ ทบ. เพื่อเปิดทางให้บิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นห้าเสือ ทบ. เพราะยังไงในการโยกย้ายกันยายนนี้ก็ต้องขึ้นมาจ่อเป็น ผบ.ทบ. เมื่อบิ๊กแดงเกษียณกันยายน 2563 อยู่แล้ว อีกทั้งต้องการให้บิ๊กบี้คุมกำลังต่อไป เพราะต้องทำหน้าที่รอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย
แม้จะมีรายงานว่า ตำแหน่งรองปลัดกลาโหมว่างลง เพราะมีการเสนอชื่อบิ๊กอั๋น พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เตรียมทหาร 19 ข้ามไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แทน พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ที่จะลาออกไปเป็น ส.ว.ก็ตามที
แต่ก็คาดว่าจะให้เป็นโควต้าของกลาโหม ที่จะดันพลเอกที่อาวุโสในกลาโหมขึ้นรองปลัดกลาโหม ครองอัตราพลเอกพิเศษ มากกว่าที่ พล.อ.อภิรัชต์จะส่ง พล.อ.กู้เกียรติ เพื่อน ตท.20 หรือส่งใครในห้าเสือ ทบ. ข้ามมา เพราะ พล.อ.กู้เกียรติก็ไม่อยากที่จะลาจาก ทบ.อยู่แล้ว เพราะอุตส่าห์ไม่ลาออกไปเป็น ส.ว.
แม้ว่าบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม จะเป็นประธานคณะกรรมการคัดสรร ส.ว.ก็ตาม
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์มอบ พล.อ.ประวิตรคัดสรร ส.ว.แบบเงียบๆ โดยไม่ประกาศรายชื่อคณะกรรมการของ คสช. ตั้งแต่ต้น
แต่เป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นเรื่องบารมีของ พล.อ.ประวิตรในการจัดโผ ส.ว. ที่อาจสะท้อนได้ว่า หลังการเลือกตั้ง หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกฯ พล.อ.ประวิตรจะวางมือไม่ร่วมรัฐบาลแล้ว เพราะมีโควต้าเก้าอี้ รมต.ให้พรรคต่างๆ มากมาย โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์จะควบ รมว.กลาโหมเอง หรืออาจมีบิ๊กทหารในตำแหน่งสำคัญลาออกมานั่งคุมทหาร
แต่ พล.อ.ประวิตรจะทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะการคุมเสียง ส.ว.ที่เลือกมากับมือ และรวมทั้งการดีลกับนักการเมือง พรรคการเมืองต่างๆ ในฐานะที่มีส่วนช่วยในพลังดูดของพรรคพลังประชารัฐมาด้วยนั่นเอง
เพราะต้องอาศัยฝีมือและบารมีระดับพี่ใหญ่ในการดูแลรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์หลังเลือกตั้ง เพราะเชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรก็ทำหน้าที่ผู้จัดการรัฐบาล เคลียร์ทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกฯ ให้ได้ตามแผน
พล.อ.อภิรัชต์จึงเป็น ผบ.ทบ.ที่มีความสำคัญต่อ พล.อ.ประยุทธ์อย่างยิ่งในฐานะที่คุมเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุด และมีสถานะพิเศษอีกด้วย
  จึงไม่แปลกที่ทุกความเคลื่อนไหวใน ทบ. และทุกคำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์จะถูกจับตามองทุกฝีก้าว พร้อมๆ กับการตกเป็นเป้าหมายทางการเมืองด้วยนั่นเอง

เป็นไปได้ มั้ย?ไม่มีทหารทีมรปภ.ตาม

เป็นไปได้ มั้ย?ไม่มีทหารทีมรปภ.ตาม
“บิ๊กป้อม” ยัน เวลา”นายกบิ๊กตู่” ไป ขึ้นเวที ปราศรัยหาเสียง กับ พปชร. จะไม่มี ทหารทีมรปภ.ไปอารักขา ยันทำตามระเบียบหมด ท้า “ศรีสุวรรณ” ตามไปดูได้ หลัง ลั่นจะไปเกาะติด บิ๊กตู่ ทำผิดกม.หรือไม่
“บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร พี่ใหญ่ ยัน “นายกฯบิ๊กตู่” ไปปราศรัยหาเสียง นอกเวลาราชการ ได้ ยันจะไม่มีทีมทหาร รปภ.ไปอารักขา เพราะทำตามระเบียบหมด บ่นสื่อ ไม่ตัองถามแล้ว ยันไม่ห่วง อะไร นายกฯ ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียง กับพรรคพลังประชารัฐ ชี้ กกต.บอกว่าทำได้แล้ว ทำตามระเบียบ กกต.ทำตามกฎหมาย แค่ต้องระวังคำพูด ไม่สนใจ “ศรีสุวรรณ” จะเกาะติดตรวจสอบ ก็ไปดูสิ

"บิ๊กแดง"พร้อมรับมือสงครามข่าวสาร

พร้อมรับมือ สงครามข่าวสาร
“บิ๊กแดง” สั่งจับตา นักการเมืองหาเสียง พบข่าวบิดเบือน สร้างความสับสน บนเวทีปราศรัย และโซเชี่ยล ออนไลน์ การให้สัมภาษณ์ ต้องเร่งชี้แจง ไม่ให้ประชาชนสับสน สั่ง ทุกส่วนราชการ ติดตาม/ สะกิดข้าราชการ ทุกส่วน ให้มีความรับผิดชอบ ต่อบ้านเมือง ให้ดำเนินการทุกอย่าง บนพื้นฐานของความเป็นจริง
​​​
พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และ เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(ลธ.คสช.) ที่ บก.ทบ.
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. เผยว่า พลเอก อภิรัชต์ กล่าวว่า ในช่วงต่อจากนี้ สถานการณ์ด้านการเมือง ที่กำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้งนั้นมีความสำคัญ ซึ่งข้าราชการทุกส่วน
ต่างมีความรับผิดชอบ ที่จะต้องปฏิบัติตามภาระหน้าที่ต่อบ้านเมือง การดำเนินการทุกอย่างขอให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
ยิ่งในสภาวะปัจจุบันข้อมูลข่าวสาร
ที่ใช้ในการหาเสียง ทางการเมืองมีความหลากหลาย ทั้งการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เวทีปราศรัย การให้สัมภาษณ์
จึงจำเป็นที่หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องติดตามในทุกข้อมูลข่าวสาร และต้องชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อมิให้มีการบิดเบือน หรือสร้างความสับสนให้กับประชาชน เป็นการร่วมกันสร้างการรับรู้ในทิศทางที่เอื้ออำนวยต่อการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

“บิ๊กตู่” ลั่น ใครจะมาล้ม ยุทธศาสตร์ชาติ20ปี ไม่ได้

“บิ๊กตู่” ลั่น ใครจะมาล้ม ยุทธศาสตร์ชาติ20ปี ไม่ได้
เปรียบ รัฐบาล คสช.เป็น มือขวา ต้องคอยช่วย มือซ้าย !!
ยันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ใช่สืบทอดอำนาจ แต่เป็นสิ่งที่จะต่อยอดให้เกิดการพัฒนาในวันข้างหน้า ลั่นตราบที่ทำงานอยู่ จะสานต่อ ใครจะ มาล้ม
สิ่งที่วางไว้ไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year - What's New?”
จัดโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนBOI ที่ อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ เป็นสิ่งที่ทำแล้วเพื่อให้มีการต่อยอดในวันข้างหน้า ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือทหาร แต่จะเกิดการพัฒนากับคนทั้งชาติ
“ประเทศไทยเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง มีมือสองข้าง มีมือข้างขวาที่แข็งแรง นั่นคือผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่คนเหล่านี้ต้องเสียภาษีให้ครบถ้วน
ส่วนมือทางซ้ายคือเกษตรกร ชาวนา พวกเขามีความอ่อนแอ และมีจำนวนมาก ประเทศเราจะเดินไปข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้ ประเทศไทยต้องมีมือทั้งสองข้าง
เมื่อใดก็ตามที่มือซ้ายอ่อนแรงต้องทำให้มือขวามาช่วยพยุง
รัฐบาลก็มีหน้าที่ทำให้มือซ้ายและมือขวาแข็งแรงไปพร้อมกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่อยากให้นักลงทุนช่วยพิจารณาคือ รอยยิ้มของคนไทย ประเทศเรามีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ไม่รู้จะมีส่วนในการช่วยพิจารณาหรือไม่ แต่อยากให้คิดรอยยิ้มของคนไทยทุกคน
ส่วนรอยยิ้มของตัวเองก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและยิ้มด้วยความเต็มใจ อาจจะยิ้มน้อย แว้บเดียว แต่ก็ยิ้มด้วยความเต็มใจ
“สิ่งที่รัฐบาลทำในวันนี้ รัฐบาลต่อไปสามารถมาดำเนินการต่อได้เลย เพราะรัฐบาลนี้ได้วางไว้ทั้งกฎหมาย ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บท 5 ปี ไม่มีใครมาล้มได้ เว้นแต่คิดว่าจะทำให้ดีกว่าเดิม” นายกฯ กล่าว

บิ๊กตู่ขึ้นเวที-เดินหาเสียง หวังเรียกเรตติ้งโค้งสุดท้าย

กรองสถานการณ์ ไทยโพสต์ 4/3/62

หลังปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีคำตอบให้กับพรรคพลังประชารัฐ ​ที่ส่งหนังสือสอบถามข้อกฎหมายมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค สามารถขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงและสามารถเดินช่วยผู้สมัคร ส.ส.เขตของพรรคหาเสียงได้ โดยต้องเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียง แต่ กกต.ก็ขอให้พึงระมัดระวังในเรื่องของการใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นคุณเป็นโทษกับผู้สมัครและพรรคการเมือง
    เมื่อมีการการันตรีดังกล่าวออกมาจาก กกต. ก็ทำให้ พรรค พปชร.เร่งขยับทันที เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น ก็จะถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง พรรค พปชร.ที่แม้จะมีอดีต ส.ส.หลายพรรคอยู่ในสังกัด แถมแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคยังเป็นนายกฯ และหัวหน้า คสช. จึงถูกมองว่าเป็นพรรครัฐบาล แต่ด้วยความเป็นพรรคใหม่ และเวลานี้ก็ถูกหลายพรรคจับมือกันไล่ถลุง-ถล่มพรรคพปชร.-บิ๊กตู่อย่างหนักหน่วง จึงทำให้แกนนำ พปชร.ก็หวังให้บิ๊กตู่มาเป็นตัวช่วย-ไพ่เด็ด ตัวพลิกเกมจากรับเป็นรุก ของพรรค พปชร.ในช่วงโค้งสุดท้าย เพื่อเรียกคะแนน สร้างกระแสพลังประชารัฐทั่วประเทศ 
    การขยับดังกล่าวเห็นได้จากการนัดหารือเป็นการด่วนของแกนนำ พปชร.หลังจากแยกย้ายกันออกหาเสียงในช่วงสุดสัปดาห์ ก็มีการนัดคุยกันที่พรรค พปชร.เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 3 มี.ค. โดยมีแกนนำเข้าร่วมหารือพร้อมเพรียง เพื่อกำหนดทิศทางและการวางยุทธศาสตร์การจัดคิว พล.อ.ประยุทธ์ ในการลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียง
    และต่อมา อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร. เปิดเผยหลังการหารือว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค  พปชร.มีการหารือเกี่ยวกับแผนงานในการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ โดยพรรคจะไปหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะเชิญขึ้นเวทีปราศรัยพร้อมกับผู้สมัคร ครั้งแรก ในวันที่ 10 มี.ค. ที่ จ.นครราชสีมา เป็นจังหวัดแรก และเวทีอื่นๆ ก็จะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ไปด้วย เพราะพรรคได้รับความเห็นมาจากในพื้นที่และผู้สมัครว่าประชาชนอยากฟัง พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจากนี้จะมีเวทีอื่นๆ  ตามมาทั่วทุกภาค รวมถึงในกรุงเทพมหานคร เบื้องต้นสัปดาห์หน้า จะขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ไปพบปะกับผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรค ซึ่งจะใช้เวลานอกราชการ 
    "ที่เลือก จ.นครราชสีมาเป็นที่แรกในการปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นบ้านเกิดของ พล.อ.ประยุทธ์ มีความมั่นใจว่า เมื่อได้ พล.อ.ประยุทธ์มาหาเสียงแล้ว จะทำให้คะแนนของพรรคดีขึ้น ส่วนช่วงโค้งสุดท้ายก็อยากให้ทุกฝ่ายรอดูหมัดเด็ดของพรรคพลังประชารัฐจะมีอะไรออกมา" หัวหน้าพรรค พปชร.ระบุ
     การวางหมากของ พปชร.ที่จะดัน พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นทัพหน้าในการช่วยหาเสียงเลือกตั้ง ในช่วง 1-2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งแม้จะมีข้อจำกัดคือทำได้เฉพาะช่วงหลังเวลาราชการ-วันหยุดราชการ แต่ด้วยความเป็นนายกฯ-หัวหน้า คสช. ที่อยู่ในตำแหน่งมาร่วม 5 ปี แม้จะมีคนชอบ-ไม่ชอบบ้าง แต่ พปชร.ก็เชื่อว่า ยังไงก็ต้องมีกองเชียร์ คนชื่นชอบ บุคลิกลักษณะของบิ๊กตู่มากพอสมควร ผนวกกับหากบิ๊กตู่ไปลงพื้นที่หาเสียง เดินพบปะประชาชนพร้อมกับผู้สมัครในแต่ละจังหวัด ก็ถือเป็นแต้มต่อที่จะสร้างกระแส เรียกเรตติ้ง-กระแสนิยมให้ผู้สมัครและให้พรรค พปชร.ได้ โดยเฉพาะหากเน้นการพูดเรื่องผลงานในช่วงสี่ปีกว่าที่ผ่านมาของรัฐบาล และการขอโอกาสเข้าไปสานงานต่อของรัฐบาลหลังเลือกตั้งผ่านพรรค พปชร. 
    ไพ่หาเสียงเลือกตั้งใบนี้ของ พปชร. สุดท้ายจะเรียกคะแนนได้มากน้อยแค่ไหน ต้องรอดู โดยเฉพาะบนเวทีปราศรัย 10 มี.ค. ที่โคราช.

เข็น “ตู่” ปราศรัย พรรคพลังประชารัฐโอ่ ทีเด็ดโกยแต้ม

‘สุริยะ’ ขอสุรินทร์ยกจังหวัด ปชป.ขู่มีคนรอจ้องจับผิดอยู่ จี้ทบทวน ‘ปลด’ พิธีกร ช่อง 9

ดีเดย์ “บิ๊กตู่” ขึ้นเวทีปราศรัยช่วย พปชร.หาเสียง “อุตตม” รับเป็นไปได้เปิดตัว 10 มี.ค.นี้ ไม่สนตกเป็นเป้า บอกยิ่งตีคะแนนยิ่งพุ่ง หวัง ผลสูงถึงฟอร์มตั้งรัฐบาล “สุวิทย์” รับลูกโชว์ตัวครั้งแรกที่บ้านเกิดโคราช “สนธิรัตน์” โวโพลพรรคเดินได้ตามแผน “สุริยะ” อ่อยคนสุรินทร์เลือกยกจังหวัด จะพัฒนาเต็มสูบ “จตุพร” จี้ กกต.ฟันธงสถานะ “ประยุทธ์” อย่าเพาะเชื้อทำเลือกตั้งโมฆะ “จุรินทร์” เตือนอย่าใช้เวลาราชการ-กลไกอำนาจรัฐ “วัฒนา” จัดหนัก “สุริยะ” ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย สมาคมนักข่าววิทยุ-โทรทัศน์ออกแถลงการณ์ จี้บอร์ด อสมท ทบทวนคำสั่งปลด “อรวรรณ” ฉะปิดกั้นแทรกแซงเสรีภาพ คุกคามสื่อโดยตรง “องอาจ” ซัดคำสั่งอัปยศต้องทบทวน อนค.ชี้เพราะไม่สนองผู้มีอำนาจ

ทุกฝ่ายยังจับตามองบทบาท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่จะขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยพรรคพลังประชารัฐในช่วงโค้งสุดท้าย ล่าสุด นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่าเป็นไปได้สูงที่จะเปิดตัวบนเวทีปราศรัยในวันที่ 10 มี.ค.นี้

ดัน “บิ๊กตู่” ขึ้นเวที พปชร. 10 มี.ค.

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 2 มี.ค.ที่ จ.อุบลราชธานี นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ จะขึ้นปราศรัยครั้งแรกในวันที่ 10 มี.ค.นี้ ว่า พรรคกำลังหารือกันถึงวันเวลาที่เหมาะสม เวทีที่จะให้ขึ้น ก่อนนำปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชนถึงแนวความคิด รวมถึงพบผู้สมัครเพื่อให้กำลังใจ วันที่ 10 มี.ค.ก็เป็นไปได้ เร็วๆนี้จะมีความชัดเจน ตอนนี้ต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์พักผ่อนก่อนหลังเข้าตรวจสุขภาพ โดยพรรคพยายามจัดให้ พล.อ.ประยุทธ์ไปพบประชาชนทุกภาค

บอกยิ่งตีคะแนนยิ่งพุ่งกระฉูด

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ตกเป็นหนึ่งในเป้าโจมตีจากหลายฝ่าย หากช่วยพรรคหาเสียงจะส่งผลต่อคะแนนนิยมหรือไม่ นายอุตตมตอบว่าคิดตรงข้าม กลุ่มที่โจมตีเรื่องประชาธิปไตยเป็นวาทกรรมเดิมๆ อธิบายกันมามากแล้ว หากยังนิยมของเดิมก็ว่ากันไป และแคนดิเดตนายกฯของพรรคยังไม่มีโอกาสพบประชาชนเลย พูดได้ว่าเสียเปรียบอยู่หน่อยๆ ส่วนคะแนนนิยมในภาคอีสานเรามั่นใจ กระแสตอบรับดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้าย ผลโพลของพรรคที่ทำมาตลอด สะท้อนว่ากระแสเราดี มั่นใจเข้าเป้า พักหลังๆดูจะเกินเป้าด้วยซ้ำ

หวังผลสูงถึงฟอร์มตั้งรัฐบาล

นายอุตตมยังกล่าวถึงการปล่อยทีเด็ดช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมยังมีนโยบายที่พร้อมจะเปิดอีก เมื่อถามว่าแกนนำพรรคพลังประชารัฐหลายคนตอกย้ำจะได้ ส.ส.นับร้อยคน วันนี้พอจะชี้ชัดได้แค่ไหนว่าเขตไหนจะได้ ส.ส.บ้าง นายอุตตมตอบว่า ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับประชาชนตัดสินใจเลือก ส่วนตัวมีความมั่นใจเหมือนแกนนำพรรคคนอื่นที่บอกไปว่าเรามีโอกาสที่ดี ย่อมได้ผลที่ดีจากการเลือกตั้ง ความมั่นใจนั้นอยู่บนพื้นฐานที่ทำงานเต็มที่ และจะทำต่อเนื่องในโค้งสุดท้าย พร้อมติดตามงาน ติดตามผลมาตลอด โดยหวังผลต้องได้คะแนนมากที่สุดที่เพียงพอให้จัดตั้งรัฐบาลได้

มั่นใจ 24 มี.ค.ได้เลือกตั้งแน่

เมื่อถามว่า พื้นที่ไหนยังเป็นอุปสรรคของพรรค นายอุตตมตอบว่า แต่ละพื้นที่ที่ลงไปเป็นความท้าทาย เราเข้าใจว่าต้องออกแรงหนักในทุกพื้นที่ เมื่อถามย้ำว่ายังมั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น นายอุตตมตอบว่า มั่นใจว่ามีการเลือกตั้ง และมั่นใจว่ามีดีพอในสิ่งที่นำเสนอสามารถตอบโจทย์ประชาชน ส่วนจะได้รับความไว้วางใจแค่ไหน ต้องรอให้ประชาชนเป็นผู้พูดผ่าน การลงคะแนนในวันเลือกตั้ง วันนั้นจะปรากฏให้เห็น

“สุพล” เมินคำปรามาสพรรคเก่า

ด้านนายสุพล ฟองงาม ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่มากระแสตอบรับดี จ.อุบลราชธานี และภาคอีสาน ผลงานรัฐบาลที่ทำไว้ประชาชนชื่นชอบ และนโยบายของพรรคที่สานต่อนโยบายรัฐบาล ยืนยันว่าทั้ง 4 จังหวัดที่ตนรับผิดชอบกระแสดีมาก มั่นใจว่าอย่างน้อยที่ จ.อุบลราชธานีได้ 8 ที่นั่ง ส่วนที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่าเราไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชน เชื่อว่าประชาชนได้ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าปัญหาทั้งหมดมันเกิดจากใคร ใครทำให้ปัญหาบ้านเมืองมาถึงจุดนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเดิมปรามาสว่าจะไม่สามารถชนะการเลือกตั้งรอบนี้ นายสุพลตอบว่า ขึ้นอยู่กับประชาชน ให้รอวันนั้น ขณะที่นายอุตตมกล่าวเสริมว่า ไม่นานเกินรอจะได้เห็นว่าเราของจริง

เสนอตั้งกองทุนพลังประชารัฐ

ที่สวนน้ำรัตนบุรีปาร์ค อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน พรรคพลังประชารัฐ นายวิรัช รัตนเศรษฐ แกนนำภาคอีสาน นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ กรรมการบริหารพรรค ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย นายปุณยวัฒน์ สนใจ หรือ “ส.จ.เบิ้ม” ผู้สมัคร ส.ส.สุรินทร์ มีประชาชนมาร่วมฟังกว่า 10,000 คน พร้อมมอบดอกไม้ และผ้าขาวม้าให้กำลังใจ นายสุริยะกล่าวว่า ขอให้คนสุรินทร์เลือกผู้สมัครของพรรคทั้ง 7 เขต เข้าไปสานต่อและผลักดันนโยบายเพื่อประชาชน หากได้ ส.ส.เข้าไปน้อย นโยบายที่พรรคนำเสนอจะได้รับการผลักดันลำบาก ที่ผ่านมา ส.ส.สุรินทร์ยังไม่เป็นปึกแผ่นทั้งที่เป็นจังหวัดใหญ่ หากได้รับเลือกทั้งจังหวัดจะได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และจากการหาเสียงที่ผ่านมาคนอีสานตอบรับนโยบายพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างดี เราพร้อมเสนอตั้งกองทุนพลังประชารัฐ ทำให้มีวงเงินมากกว่ากองทุนหมู่บ้าน จะได้กู้ไปช่วยให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ ทำธุรกิจส่วนตัว ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้จากเงินหมุนเวียนจากพี่น้อง

“สุรพร” ชูนโยบายลดแลกแจกแถม

ที่เวทีวัดโพธิ์ร้อยต้น อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ พร้อมคณะลงพื้นที่ช่วยนายเอกภาพ พลซื่อ ผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด หาเสียง นายสุรพรกล่าวปราศรัยว่า นโยบายพลังประชารัฐ เกิดจากประสบการณ์ของอดีตรัฐมนตรีที่เตรียมแนวทางการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมืองที่ต่อเนื่องมานานนับ 10 ปี ถ้าเราได้เป็นรัฐบาลจะยุติความขัดแย้งในชาติได้แน่ และด้วยนโยบายพักหนี้กองทุนหมู่บ้าน 3 ปีพร้อมฟื้นฟู ดูแลสตรีตั้งท้อง ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ขวบ รวมกว่า 1.8 แสนบาท ขยายผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐครอบคลุมผู้ที่ตกหล่น เพิ่มสิทธิ์คนพิการ คนชรา แปลง ส.ป.ก.4-01 เปิดโอกาสให้ผู้ที่ครอบครองทำมาหากินได้มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไม่เหมาะสำหรับการเกษตร นโยบายเหล่านี้ปฏิบัติได้เมื่อเรามี ส.ส.มากพอจัดตั้งรัฐบาล ต้องช่วยกันเลือกผู้สมัครของพรรคทุกเขต เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วต้องทำตามที่ประกาศต่อประชาชน ถ้าไม่ทำจะผิดต่อรัฐธรรมนูญที่กำหนดบทลงโทษไว้หนักมาก ต่อมานายสุรพรเดินทางไปช่วย น.ส.ตวงรัตต์ วงศ์เวไนย ผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด หาเสียงที่วัดป่าม่วง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

เปิดโชว์ตัวที่โคราชบ้านเกิด

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐว่า เบื้องต้นแกนนำพรรคได้หารือและวางกำหนดกิจกรรมที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์มาช่วยหาเสียงไว้ 4 จุดใหญ่ เจาะตามภาค เริ่มเวทีปราศรัยใหญ่ที่บ้านเกิด พล.อ.ประยุทธ์ คือที่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 10 มี.ค.เป็นที่แรก จะเป็นการเปิดใจถึงการเข้ามาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ตลอดจนแนวคิดด้านต่างๆ ใช้เวลา 30 นาที จากนั้นให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ ต่อด้วยภาคเหนือ จ.เชียงราย วันที่ 16 มี.ค. ภาคใต้ ที่ จ.นราธิวาส วันที่ 17 มี.ค. และปิดท้ายการปราศรัยใหญ่ที่สวนลุมพินี กทม. ในวันที่ 22 มี.ค. คาดว่าจะมีประชาชนมาร่วมหลายหมื่นคน โดยจะระดมขุนพลพรรคพลังประชารัฐขึ้นเวทีอย่างพร้อมเพรียง ทั้งนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยขึ้นกับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์และทีมกฎหมายพรรค


มีคาราวานเดินสายทั่วประเทศ

ที่วัดมหาบุศย์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวระหว่างลงพื้นที่ช่วยนายธันวา ไกรฤกษ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. หาเสียง ว่า ทางพรรคได้วางยุทธศาสตร์ไว้แล้วว่าจะหาเสียงและปราศรัยใหญ่ทั่วประเทศที่ไหนบ้าง โดยพรรคมีคาราวานหาเสียงไล่จากภาคเหนือลงมาภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ เมื่อ กกต.เปิดไฟเขียวให้ พล.อ.ประยุทธ์ร่วมปราศรัยหาเสียงได้ ขณะนี้เวลาเหลือเพียง 2-3 สัปดาห์ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่สำคัญ ต้องคิดถึงเรื่องประเด็นหาเสียงด้วย ส่วนจะเปิดตัวที่เวทีปราศรัยที่ จ.นครราชสีมาในวันที่ 10 มี.ค.หรือไม่นั้น คงเป็นไปตามข่าว ทุกคนทราบดีว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นลูกหลานย่าโม โคราชถือเป็นเมืองหลวงของภาคอีสาน และเป็นบ้านเกิดของนายกฯ การเปิดตัวให้ พล.อ.ประยุทธ์มาร่วมปราศรัยหาเสียง ไม่ได้ถือเป็นไม้เด็ดของพรรค ถือเป็นความชอบธรรม เป็นการแฟร์มากกว่า

ทุกคนรู้ว่าทำอะไรได้แค่ไหน

ที่ย่านสะพานแดง บางซื่อ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวระหว่างลงพื้นที่ช่วย น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.หาเสียง ภายใน 1-2 วันนี้จะได้ข้อยุติเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องดูตารางงานนายกฯ แผนหาเสียงพรรค และความเหมาะสม ไม่กังวลว่าจะทำอะไรสุ่มเสี่ยงขัดต่อกฎหมาย เพราะพรรคและ พล.อ.ประยุทธ์รู้ว่าทำอะไรได้มากน้อยแต่ไหน เมื่อถามว่าบุคลิก พล.อ.ประยุทธ์ที่โผงผางค่อนข้างตรง จะกลายเป็นจุดอ่อนหรือไม่ นายสนธิรัตน์ตอบว่า อย่าเพิ่งไปบอกอย่างนั้น ท่านอาจนิ่มนวลน่ารักกว่าเดิมก็ได้ ขอให้ติดตาม ส่วนคะแนนนิยมส่วนตัว พล.อ.ประยุทธ์มีมาก แต่ของพรรคยังไม่มากพอนั้น ยังมีเวลาอีกตั้ง 3 อาทิตย์ กระแสพรรคกระแสนายกฯ ยังเปลี่ยนแปลงได้อีกเยอะ ช่วง 3 สัปดาห์สุดท้าย พรรคมีวิธีการทำงานและมั่นใจว่ากระแสจะเป็นไปตามที่เราหวังไว้ เราทำโพลตลอดเวลา เอาเป็นว่าผลเป็นที่น่าพอใจเดินได้ตามแผน

ขออย่าโยง พปชร.สั่งปมช่อง 9

นายสนธิรัตน์ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีการปลดพิธีกรรายการดีเบตของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ที่มีเสียงวิจารณ์อย่างหนักว่า ยืนยันพรรคไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง เป็นเรื่องฝ่ายบริหารของทางสถานี ส่วนตัวไม่ทราบเหตุผล และไม่ต้องการให้มาผูกโยงกับรัฐบาล เรื่องนี้เป็นการทำงานของทางสถานี เท่าที่ติดตามทั้งในส่วนของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ให้ความเป็นอิสระกับการทำหน้าที่ของสื่ออยู่แล้ว จึงไม่ทราบเหตุผลในการปลดพิธีกรในรายการดังกล่าว ไม่อยากให้มายึดโยงว่าเป็นรัฐบาลที่ไปสั่งการ รัฐบาลสั่งสื่อไม่ได้ อีกทั้งเวลาที่บุคลากรของพรรคไปออกรายการตามสถานีช่องต่างๆ ถือว่าเสียเปรียบด้วยซ้ำไป

พท.จัดหนัก “สุริยะ” บ่าวสองนาย

วันเดียวกัน นายวัฒนา เมืองสุข ผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ว่า สมัยที่อยู่พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคใหญ่มีนักการเมืองอาวุโสจำนวนมาก แต่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับตั้งนายสุริยะที่แทบจะไม่มีประสบการณ์ หรือบารมีทางการเมือง ให้เป็นเลขาธิการพรรค เมื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องซีทีเอ็กซ์ นายทักษิณยังเมตตารักษาหน้าไม่ปรับออกจาก ครม. ต่อมานายสุริยะป่วยเป็นมะเร็ง นายทักษิณยังเมตตาให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จัดหาแพทย์มือหนึ่งมารักษาให้จนหายป่วยกลับมาเล่นการเมืองได้อีกครั้ง นายทักษิณไม่เคยให้ร้ายลูกน้อง แต่นายสุริยะกลับให้ร้ายนายทักษิณเพื่อเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายคนใหม่ พฤติกรรมแบบนี้โบราณเรียก “พวกข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” ที่เป็นแบบนี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะนิสัยของนายสุริยะเอง หรือเป็นเพราะเห็นนายคนใหม่เที่ยวตามล้างตามเช็ดนายเก่า คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยเกื้อกูลตัวเองมาเหมือนกัน นายสุริยะเลยเลียนแบบเพื่อเอาใจนายคนใหม่ แต่ที่ไม่บังเอิญคือทั้งสองคนที่มีนิสัยเหมือนกันมาเจอกันช่วงหน้าฝนพอดิบพอดี

เอาแน่รื้อ ก.ม.ไซเบอร์

นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ พ.ร.บ.ไซเบอร์นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ไม่สมควรรับรองกฎหมายและอนุมัติโครงการใหญ่ๆ เพราะการเลือกตั้งกำลังจะเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 1 เดือน สมควรให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากประชาชน และ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นผู้พิจารณา เพราะมีความยึดโยงกับประชาชน และคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนมากกว่า สนช.อาจขาดความรู้ความเข้าใจในผลกระทบของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมถึงรัฐบาลขาดความจริงใจในการรับฟังจากภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน พ.ร.บ.ไซเบอร์ถือว่ามีผลกระทบกับประชาชนและคนรุ่นใหม่โดยตรง ทั้งในเรื่องสิทธิเสรีภาพที่ประชาชนพึงมี รวมทั้งเป็นการทำลายบรรยากาศทางธุรกิจ ขัดต่อนโยบายการผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างเสรี เป็นผลให้ประเทศไทยเสียประโยชน์มาก หากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล กฎหมายฉบับนี้จะต้องถูกแก้ไขเป็นลำดับต้นๆ โดยเฉพาะในส่วนที่ละเมิดความเป็นส่วนตัว อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ


จี้ประชาธิปัตย์โชว์จุดยืนให้ชัด

นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มี 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายภักดีทักษิณ ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ และฝ่ายประชาชนนั้น น่าจะไม่เป็นความจริง ความจริงคือมีเพียง 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่มีจุดยืนประชาธิปไตยและฝ่ายที่เอาเผด็จการและพร้อมสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่สร้างเงื่อนไขให้เกิดวิกฤติ อันเป็นต้นเหตุแห่งการยึดอำนาจ และปูทางให้เผด็จการเรืองอำนาจ จึงอยากให้ประกาศจุดยืนให้ชัดว่าจะยืนอยู่ฝ่ายใด ไม่ใช่ทำคลุมเครือแบบนี้ เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพรรคที่ถนัดเล่นละครหลอกประชาชนว่าไม่เอาเผด็จการ แต่การกระทำไม่ใช่เพราะ ในที่สุดจะอ้างร้อยพันเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตน และบอกสังคมว่าจำเป็นต้องผนวกกับเผด็จการ วันนี้สังคมไทยไม่ต้องการนักการเมืองที่นิยมเอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วใส่คนอื่น ชอบสร้างวาทกรรมใส่ร้ายพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ทำงานการเมืองด้วยน้ำลายแบบมีอคติ

“เต้น” เฝ้ารอ “ลุงตู่” ขึ้นเวที

ที่ตลาดสามชุก จ.สุพรรณบุรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียงพรรค ไทยรักษาชาติ ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส.สุพรรณบุรีหาเสียง นายจาตุรนต์กล่าวว่า เชื่อว่าชาวสุพรรณบุรีจะเลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย เข้าไปจัดตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาประเทศ แต่ภาพรวมการเลือกตั้งยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากมีการใช้อำนาจ คสช. และที่เกี่ยวเนื่อง ดำเนินการกับพรรคการเมืองต่างๆ ปิดสถานีโทรทัศน์บางช่อง ละเมิดและจำกัดเสรีภาพสื่อ กรณีล่าสุดที่ช่อง 9 อสมท ที่สร้างความไม่พอใจให้ผู้มีอำนาจ สะท้อนว่าประเทศไทยยังอยู่ใต้การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

ขณะที่ณัฐวุฒิกล่าวว่า รอการขึ้นเวทีปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยความใจจดใจจ่อ เชื่อว่าแม้ประชาชนไม่อยากฟังแต่ก็อยากเห็น ที่สำคัญเป็นการแสดงสำนึกของ พล.อ.ประยุทธ์เองว่า ต้องขึ้นเวทีเหมือนแคนดิเดตคนอื่น ภายใต้กติกาเดียวกันที่ผู้มีอำนาจกำหนด

“ปรีชาพล” ขอบคุณทุกกำลังใจ

ขณะที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเป็นคลิปวิดีโอระบุว่า “หัวใจกับความหวัง” เนื้อหาในคลิประบุว่า “สวัสดีพ่อแม่พี่น้องที่รักและเคารพทุกๆท่าน ห่างหายกันไปนานพอสมควร หลายท่านเป็นห่วงถามถึงตัวผม อยากจะเรียนว่าผมสบายดี แต่ก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ผมเองในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ต้องกราบขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง ผมขอให้กำลังใจ และส่งกำลังใจไปยังผู้สมัครของเรา รวมไปถึงสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติทุกท่าน เราปรารถนาจะเห็นประเทศไทยก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก เราปรารถนาจะเห็นรอยยิ้ม ความสุขของประชาชน หนทางข้างหน้าแม้จะมีขวากหนาม จะมีอุปสรรคนานัปการเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าพวกเราร่วมกัน ผมเชื่อว่าเราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับประชาชนคนไทย และประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคนได้แน่นอน”

จี้ กกต.ฟันธงสถานะ “ประยุทธ์”

ช่วงเช้าที่ตลาดบ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า เขตลาดกระบัง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ในฐานะผู้สนับสนุนพรรคเพื่อชาติ ลงพื้นที่ช่วยนายสนองพล การะเกษ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อชาติหาเสียง ทั้งหมดขึ้นรถแห่ตระเวนไปยังพื้นที่ต่างๆ ต่อมานายจตุพรให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กกต.อนุญาตให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงว่า ความจริง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ขึ้นเวทีปราศรัยก็ได้เปรียบพรรคอื่นอยู่แล้ว การพูดทุกคืนวันศุกร์และรายการเดินหน้าประเทศไทย ยิ่งกว่าการปราศรัย แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือเรื่องสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์จะนำมาสู่การเลือกตั้งโมฆะ เหตุใด กกต.จึงไม่นำเรื่องนี้มาวินิจฉัยก่อน เพราะหลังวันที่ 24 มี.ค. แล้ววินิจฉัยสถานะ พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีคุณสมบัติเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ อาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ ความจริงไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เรื่องข้อกฎหมายไม่ต่างจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติ ส่วนจะวินิจฉัยอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น และควรปฏิบัติต่อพลังประชารัฐเช่นเดียวกับพรรคไทยรักษาชาติ เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้

แฉขบวนการทำเลือกตั้งโมฆะ

นายจตุพรยังกล่าวถึงกรณีนางอรวรรณ ชูดี พิธีกรรายการดีเบตช่อง 9 MCOT ถูกบอร์ดผู้บริหารอสมท ปลดฟ้าผ่า หลังถูกมองว่าจัดดีเบตเป็นการชี้นำและโจมตีรัฐบาล ว่า คนไทยฟัง พล.อ.ประยุทธ์พูดฝ่ายเดียวมาตั้ง 5 ปี แต่นางอรวรรณเพิ่งจัดรายการทำไมทนไม่ได้ ที่สำคัญยังพยายามหยิบยกคำว่าเผด็จการรัฐสภามาพูดถึง แล้วการที่ร่าง พ.ร.บ.ไซเบอร์ ผ่าน สนช.โดยไม่มีเสียงคนคัดค้านแม้แต่เสียงเดียว ภายใต้สภาที่ คสช.ตั้งขึ้น ก็คงมีสภาพเหมือนกรณีที่ 250 ส.ว.จะไปโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ โดยไม่มีใครคิดว่าจะมีเสียงแตกแต่อย่างไร วันนี้เรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์เหมือนถูกวางเพาะเชื้อเอาไว้ เพื่อทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะเป็นเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันอีก แต่กลับพยายามอธิบายว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ทุกอย่างได้ถูกออกแบบไว้สำเร็จแล้วเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

โอดเพื่อชาติสุดกระจอกงอกง่อย

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องความขัดแย้งภายในพรรค เชื่อว่าทุกพรรคมีปัญหาหมดในเรื่องบัญชีรายชื่อ ทั้งพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ก็มีลาออก พรรคเพื่อชาติเราอยู่ในสถานะเหมือนพรรคกระยาจก เป็นตระกูลเพื่อที่อยู่ในซีกของพรรคกระยาจก กระจอกงอกง่อยที่สุด ไม่มีปัญญาแม้กระทั่งติดป้ายได้ทั้งประเทศ จะมีอะไรกระจอกได้เท่านี้อีก ช่วยผู้สมัครก็ทุกขเวทนา 50,000-70,000 ถึงแสนนึง พอเดินมาถึงจุดนี้ตนไม่มีความรู้สึก เพราะเราอยู่ในภาคประชาชนมายาวนาน มีเงินหรือไม่มีเงินไม่มีความหมาย แต่หัวใจที่มันเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นความเห็นที่แตกต่างกันในพรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติ อย่างกรณี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ เคยบอกแล้วว่าเดินแล้วอย่าหยุดนะ ไปพิสูจน์กัน ถ้าผิดตามข้อกล่าวหา ก็ยุบพรรค หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ถูกดำเนินคดีอาญา รวมถึงตัว พ.ต.ท.สมชายด้วยในฐานะรองหัวหน้าพรรค เรื่องซื้อขายลำดับบัญชีรายชื่อ พรรคขนาดนี้จะได้กี่ตำแหน่งเชียว


“สมชาย” สาวไส้เพื่อชาติ

ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ส่งเอกสารชี้แจงเรื่องการลาออกจากพรรคเพื่อชาติ ว่า กรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาท้าสาบานการซื้อตำแหน่งอันดับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และ ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง อยากถามว่า การคัดสรรผ่านความเห็นชอบของกรรมการบริหารพรรค และผ่านตัวแทนพรรคประจำจังหวัดหรือไม่ นายสงคราม กิจเลิศรุ่งโรจน์ หัวหน้าพรรค ไม่คิดที่จะแก้ปัญหา ทำกันกี่คน ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ วันสุดท้ายยังวิ่งกันไม่จบ ข่าวเรื่องการวิ่งเต้นเสียเงิน ตนเป็นลูกผู้ชายพอตัวไม่เคยพูดกับสื่อ ไม่เคยให้สัมภาษณ์ ทั้งที่รู้ปัญหาอยู่เต็มอก พรรคเราทำไม่เนียน หวังประโยชน์เฉพาะตัว เฉพาะกลุ่ม เลยทำให้มีปัญหาวุ่นวายถ้าคิดให้ข้อมูลจริง แค่ให้ข้อมูล ปปง.สอบจะเหลืออะไร ไม่ต้องมาท้าสาบานเพราะกลัวจะมีคนตายเยอะ รวมทั้งคนที่เดินตามนายจตุพรด้วย ต้องระมัดระวังเพราะนายจตุพรยังเป็นผู้ถูกห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง มันสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายเรื่องการครอบงำพรรค นี่จึงเป็นเหตุที่ตนต้องลาออก


“มาร์ค” ให้จำหน้าผู้สมัครดีๆ

ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมผู้บริหารพรรค ร่วมปราศรัยแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.นราธิวาส ทั้ง 4 เขต นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ขอให้พี่น้องประชาชนที่ชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์ ดูใบหน้าผู้สมัครให้ดี อดีตสมาชิกพรรคหลายคนได้ย้ายไปอยู่พรรคอื่น ที่สำคัญขออย่าเลือกเพราะเห็นแก่ญาติ ขอให้รักญาติเหมือนเดิม แต่ขอให้ เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ดีขึ้น ยางต้องราคากิโลกรัมละ 60 บาท ปาล์มต้องราคากิโลกรัมละ 4 บาท เราทำมาแล้ว ส่วนกรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเราไม่เลิก แต่เพิ่มจำนวนเงินให้มากขึ้น แถมนำไปซื้อ อะไรก็ได้ไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ ทั้งนี้ตลอดการปราศรัยได้รับเสียงปรบมือและเสียงเชียร์เป็นระยะๆ

เตือนใช้เวลาราชการ-กลไกรัฐ

ที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ช่วยนายชูศักดิ์ จึงพานิช ผู้สมัคร ส.ส.สระบุรี พรรคประชาธิปัตย์ หาเสียงที่บริเวณตลาดหนองแค ตลาดหนองปลาหมอ และวัดหนองบอน นายจุรินทร์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐเตรียมจัดคิวให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงว่า อยู่ที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ว่าตั้งใจจะไปปราศรัยหาเสียงด้วยวิธีไหน อย่างไร แต่ประเด็นสำคัญคือต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย เพราะท่านยังมีสถานภาพเป็นนายกฯที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่ด้วย ฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้เวลาราชการ การใช้กลไก หรืออำนาจรัฐหาเสียง เข้าใจว่าคงทราบดีอยู่แล้วว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เชื่อว่าคงระวังตัวอยู่เพราะมีคนคอยเฝ้าติดตามแน่นอน สำหรับพื้นที่ จ.สระบุรี หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงถึงวันเลือกตั้ง มั่นใจว่าประชาธิปัตย์จะปักธงในเขต อ.หนองแคได้แน่

“ธนาธร” ลุยพื้นที่ จว.ชายแดนใต้

ที่ จ.ยะลา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พร้อมด้วย น.ส.พรรณิการณ์ วานิช โฆษกพรรค สวมชุดโต๊ปชายแบบครึ่งท่อน และชุดบานงหญิง ซึ่งเป็นชุดประจำท้องถิ่นของมลายูชายแดนใต้ ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ยะลา ทั้ง 3 เขต คือนายจิรายุ เบ็ญจวงค์ นายไซด์นอน แวหามะ และนายณรงค์ อาแม หาเสียงขึ้นรถตระเวนไปทั่วเมืองยะลา มีประชาชนให้กำลังใจขอถ่ายรูปจำนวนมาก นายธนาธรเปิดเผยว่า เชื่อว่าการแก้ปัญหา ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องนำเศรษฐกิจ การเมือง นำการทหาร เชื่อมั่นว่าจะเกิดสันติภาพได้ พรรคอนาคตใหม่ปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบจากทุกฝ่าย ขจัดสงคราม ความเกลียดชัง ความชิงชังระหว่างกลุ่มผู้คน จะสร้างความเปลี่ยนแปลง ปัญหาความยากจนส่วนหนึ่งจากความไม่เท่าเทียมเอาเปรียบกัน ไม่เสมอภาค ไม่ยุติธรรม ต้องได้รับ การแก้ไขเพื่อให้เกิดสันติภาพในพื้นที่สามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ พร้อมสร้างระบบขนส่ง รถไฟความเร็ว สูงเชื่อมโยงชายแดน สร้างสิ่งดีๆแก่คนรุ่นหลัง

“สุวัจน์” ลุยสำเพ็งชอบใจฝรั่ง

ที่ตลาดสำเพ็ง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ลงพื้นที่ตลาดสำเพ็ง ช่วยผู้สมัคร ส.ส. กทม. ของพรรคหาเสียง บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้ค้าและประชาชนในพื้นที่ให้การตอบรับดี โดยระหว่างเดินหาเสียงมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาขอเซลฟี่กับนายสุวัจน์ด้วย และมีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันได้สอบถามถึงกิจกรรมที่นายสุวัจน์และคณะเดินหาเสียง ซึ่งนายสุวัจน์ได้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันจึงตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ แปลความว่า “ผมจำรายละเอียดไม่ได้ แต่ไม่มีปัญหา” ทำให้นายสุวัจน์กล่าวแบบทีเล่นทีจริงกลับไปว่า “คุณไม่ต้องจำชื่อชาติพัฒนาก็ได้ แต่ขอจำไว้ว่าพรรคผมโนพร็อบเบลม”

ไม่กังวลโคราชแข่งขันกันสูง

นายสุวัจน์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์เตรียมขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียง ว่า ไม่กังวล ไม่มีปัญหา การแข่งขันทุกพรรคต้องทำอย่างเต็มที่ ยอมรับว่าในพื้นที่ จ.นครราชสีมา แข่งขันกันสูง พรรคชาติพัฒนาในฐานะเจ้าของพื้นที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น เมื่อถามว่าช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งกังวลต่อกรณีที่มีกระแสข่าวการคุกคามผู้สมัครและหัวคะแนนหรือไม่ นายสุวัจน์กล่าวว่า กกต.ในฐานะผู้รักษากติกาต้องเข้าไปตรวจสอบ และป้องกันไม่ให้กรณีดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการได้รัฐบาลชุดใหม่ ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเป็นเรื่องในอนาคตที่จะต้องพิจารณา โดยพรรคชาติพัฒนาไม่ขอตั้งเงื่อนไขใดๆ

“เอี้ยง” เย้ยพรรคอื่นไร้นโยบายป่า

นายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย กล่าวว่า การบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในภาคใต้มีปัญหาในหลายจังหวัด อาทิ กระบี่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันและยางพารา ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นผู้มีบารมีในจังหวัด บางคนเป็นใหญ่เป็นถึงระดับนักการ เมืองใหญ่ สมคบกับเจ้าหน้าที่รัฐบางคน ส่งผลให้พื้นป่าประเทศไทยลดน้อยลงทุกปี หากพรรคต่างๆยัง ไม่มีนโยบายด้านนี้ชัดเจน ในอนาคตผืนป่าของประเทศอาจไม่มีเหลือตกทอดให้ลูกหลานคนไทย ดังนั้น ในฐานะเราเป็นพรรคการเมืองเดียวที่ให้ความสำคัญด้านนี้อย่างจริงจัง มีนโยบายด้านป่าไม้โดยเฉพาะ สามารถปฏิบัติได้จริง นอกจากนี้ ใน จ.กระบี่เป็นอีกพื้นที่ที่มีปัญหาการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาตินับแสนไร่ เราจึงวางตัวนายสมใจ นวลนุ่ม ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอาสารับใช้ชาวกระบี่ เพื่อปกป้องและรักษ์พื้นป่าที่เหลืออยู่น้อยนิดในจังหวัด กลับคืนมาเป็นสมบัติของประชาชน

คนส่วนใหญ่ยังไม่เลือกพรรค–คน

วันเดียวกัน กรุงเทพโพลล์เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,491 คน เรื่อง “นับถอยหลัง 21 วัน สู่การเลือกตั้ง” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 53.4 ยังไม่ตัดสินใจเลือกผู้สมัครจากพรรคใดมาบริหารประเทศ รองลงมาร้อยละ 12.8 บอกว่าตัดสินใจแล้วที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 11.6 เลือกพรรคพลังประชารัฐ และร้อยละ 7.6 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่าจะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 46.0 ระบุว่ายังไม่ตัดสินใจ ส่วนที่ตัดสินใจแล้ว ร้อยละ 17.2 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองลงมาร้อยละ 12.0 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และร้อยละ 6.9 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


“อภิสิทธิ์” จี้องค์กรสื่อปกป้องสื่อ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความลงในกลุ่มไลน์ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ถึงกรณีบอร์ด อสมท.มีคำสั่งปลดนางอรวรรณ ชูดี ผู้สื่อข่าวอาวุโสและพิธีกรรายการดีเบตในหัวข้อ “ประชันวิสัยทัศน์คนรุ่นใหม่ การเมืองไทยในความคิดของคนรุ่นใหม่ ควรเป็นอย่างไร” ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นที่ช่อง 9 ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลของนางอรวรรณ สมาคมสื่อฯควรแสดงบทบาทชัดเจนในการปกป้องสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ตามจรรยาวิชาชีพ ต้นสังกัดควรทบทวนการตัดสินใจไม่ว่าจะมีเบื้องหลังอย่างไร เรากำลังเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย การปิดกั้นไม่ใช่คำตอบ ขอให้กำลังใจทั้งนางอรวรรณ นายวีระ และสื่อมวลชนที่เตรียมจัดเวทีดีเบต ให้ยืนหยัดทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป


“องอาจ” ซัดคำสั่งอัปยศจี้ทบทวน

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง บอร์ด อสมท. และผู้บริหารสถานีไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ของพิธีกรรายการดีเบต หรือนักข่าวที่ทำหน้าที่รายงานข่าว ควรเปิดโอกาสให้ทุกคนทำหน้าที่อย่างอิสระ ตามจรรยาบรรณวิชาชีพของการเป็นสื่อสารมวลชนที่ดี โดยเฉพาะการมีคำสั่งปลดพิธีกรรายการดีเบตทางการเมืองในช่วงที่กำลังรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการกระทำที่ไม่ควรเกิดขึ้น อาจถูกมองได้ว่าใช้อำนาจโดยมิชอบจากผู้มีอำนาจรัฐจัดการกับบุคคลที่ตนเห็นว่าทำหน้าที่ส่งผลกระทบให้ผู้มีอำนาจรัฐเสียประโยชน์ หรือได้รับผลกระทบกับคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ขอประณามการกระทำของใครก็ตามที่อยู่เบื้องหน้า เบื้องหลังของคำสั่งอัปยศครั้งนี้ และขอเรียกร้องให้บอร์ด อสมท. และผู้บริหารสถานีทบทวนคำสั่งอัปยศครั้งนี้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมอีกต่อไป

พปชร.ร่วมให้กำลังใจคนช่อง 9

น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในวันนั้นตนได้รับมอบหมายจากทางพรรคให้ไปร่วมดีเบตที่ช่อง 9 ทราบแต่เพียงว่าเป็นรายการดีเบตรูปแบบใหม่ ในลักษณะเกมโชว์ และไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะมีคำถามอะไรบ้าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรายการเป็นไปตามสถานการณ์จริง ไม่มีการเตรียมบทให้แต่ละฝ่ายตอบคำถามแต่อย่างใด ส่วนที่มีข่าวบอร์ด อสมท. สั่งให้ผู้ดำเนินรายการทั้ง 2 คน ยุติการทำหน้าที่ ส่วนตัวขอให้กำลังใจตามหลักวิชาชีพสื่อมวลชน เชื่อว่าทุกคนมีความตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด แต่ไม่ขอก้าวล่วงการตัดสินใจของคณะกรรมการบอร์ดช่อง 9 เพราะเป็นเรื่องภายในองค์กร หวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะคลี่คลายและมีทางออกที่ดีที่สุด


“ชัชชาติ” ชี้สื่อไม่ใช่สมบัติใคร

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีของพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างช่วยทีมผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่หาเสียงที่ตลาด วโรรส และตลาดต้นลำไย อ.เมืองเชียงใหม่ ว่า ดูจาก โพลพรรคเพื่อไทยเราดีมาก หรือว่าดีที่สุดในทั้งหมด ภาคเหนือเข้มแข็งมั่นใจมาก ส่วนเรื่องที่บอร์ดช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ปลดผู้ดำเนินรายการดีเบตคนรุ่นใหม่นั้น มองว่าสื่อมวลชนเป็นเหมือนสถาบันสำคัญของระบอบ ประชาธิปไตย ต้องให้ความเที่ยงธรรมและต้องให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็นได้ การแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน ต้องเป็นคำถามใหญ่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่เป็นของรัฐหรือเป็นรัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง มันเป็นของประชาชนทั้งหมด ต้องให้ความเป็นกลาง ไม่น่าจะให้เกิดขึ้นอีก เมื่อภาครัฐเข้ามาแทรกแซงสื่อจึงส่งผลลบต่อทางฝ่ายภาครัฐเอง

อนค.ชี้ละเมิดสิทธิสื่อมวลชน

น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ในฐานะเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการดีเบตครั้งนี้ มองว่ารูปแบบการดีเบตในรายการโทรทัศน์ ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญของการเลือกตั้ง เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยทางรายการนำเสนออย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ เป็นเวทีของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง รายการอาจถูกใจประชาชน แต่ไม่ถูกใจผู้มีอำนาจหรือไม่ การปลดพิธีกรดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน สมาคมวิชาชีพสื่อควรออกมาปกป้อง ในฐานะที่เคยเป็นสื่อมวลชนมาก่อน ต้องขอแสดงความชื่นชม และเป็นกำลังใจให้นางอรวรรณ ยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนต่อไป

ขอผู้มีอำนาจอย่าเเทรกเเซงสื่อ

น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ รักษาการหัวหน้าพรรคพลเมืองไทย กล่าวว่า ได้ติดตามการจัดรายการในวันดังกล่าว นางอรวรรณแค่ทำหน้าที่พิธีกรรับฟังความเห็นจากผู้ร่วมรายการ ซึ่งเป็นเด็กเยาวชน เขาคิดอย่างไรก็เสนอตามนั้น ไม่เห็นเอียงข้างอะไร อยากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หรือผู้ใหญ่ที่บริหารสื่อฯ ให้ความเป็นธรรม ต้องใจกว้าง เปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับทราบความคิดเห็นของกลุ่มคนทุกกลุ่มในช่วงเลือกตั้ง ผู้มีอำนาจและผู้บริหารสื่อต้องทำใจเป็นกลาง ไม่ควรเเทรกเเซงสื่อฯ ที่ทำหน้าที่นำเสนอข้อมูลไปสู่สาธารณะและประชาชน

องค์กรสื่อจี้ผู้บริหารทบทวนคำสั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ “กรณีนางอรวรรณ ชูดี (กริ่มวิรัตน์กุล) ที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ต้องยุติการทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ “ศึกเลือกตั้ง 62” ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ที่ออกอากาศทางช่อง 9 MCOT HD หลังดำเนินรายการประชันวิสัยทัศน์เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ในหัวข้อ “คนใหม่ การเมืองใหม่?” ระบุว่ามีการทำหน้าที่ในลักษณะชี้นำให้โจมตีรัฐบาลนั้น สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เห็นว่าการสั่งให้นางอรวรรณยุติการทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ โดยที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าการทำหน้าที่ของนางอรวรรณ เข้าข่าย “ชี้นำให้โจมตีรัฐบาล” เป็นเพียงการกล่าวอ้างเพื่อปิดกั้นเสรีภาพการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เป็นการไม่เหมาะสม ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายแทรกแซงเสรีภาพในการนำเสนอข่าว และเป็นการคุกคามสื่อมวลชนโดยตรง และยังเป็นการละเมิดสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงที่กำลังมีการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้ การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวตระหนักถึงการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงขอเรียกร้องผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ และบอร์ด อสมท ทบทวนคำสั่งดังกล่าว เพื่อปกป้องและคุ้มครองเสรีภาพของบุคลากรในการทำหน้าที่ ตามมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพของสื่อมวลชน และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 35 ที่ระบุว่า บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ และขอเป็นกำลังใจให้กับนางอรวรรณ และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทุกคน ที่ทำหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ด้วยความรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน