PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2562

เข็น “ตู่” ปราศรัย พรรคพลังประชารัฐโอ่ ทีเด็ดโกยแต้ม

‘สุริยะ’ ขอสุรินทร์ยกจังหวัด ปชป.ขู่มีคนรอจ้องจับผิดอยู่ จี้ทบทวน ‘ปลด’ พิธีกร ช่อง 9

ดีเดย์ “บิ๊กตู่” ขึ้นเวทีปราศรัยช่วย พปชร.หาเสียง “อุตตม” รับเป็นไปได้เปิดตัว 10 มี.ค.นี้ ไม่สนตกเป็นเป้า บอกยิ่งตีคะแนนยิ่งพุ่ง หวัง ผลสูงถึงฟอร์มตั้งรัฐบาล “สุวิทย์” รับลูกโชว์ตัวครั้งแรกที่บ้านเกิดโคราช “สนธิรัตน์” โวโพลพรรคเดินได้ตามแผน “สุริยะ” อ่อยคนสุรินทร์เลือกยกจังหวัด จะพัฒนาเต็มสูบ “จตุพร” จี้ กกต.ฟันธงสถานะ “ประยุทธ์” อย่าเพาะเชื้อทำเลือกตั้งโมฆะ “จุรินทร์” เตือนอย่าใช้เวลาราชการ-กลไกอำนาจรัฐ “วัฒนา” จัดหนัก “สุริยะ” ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย สมาคมนักข่าววิทยุ-โทรทัศน์ออกแถลงการณ์ จี้บอร์ด อสมท ทบทวนคำสั่งปลด “อรวรรณ” ฉะปิดกั้นแทรกแซงเสรีภาพ คุกคามสื่อโดยตรง “องอาจ” ซัดคำสั่งอัปยศต้องทบทวน อนค.ชี้เพราะไม่สนองผู้มีอำนาจ

ทุกฝ่ายยังจับตามองบทบาท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่จะขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยพรรคพลังประชารัฐในช่วงโค้งสุดท้าย ล่าสุด นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่าเป็นไปได้สูงที่จะเปิดตัวบนเวทีปราศรัยในวันที่ 10 มี.ค.นี้

ดัน “บิ๊กตู่” ขึ้นเวที พปชร. 10 มี.ค.

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 2 มี.ค.ที่ จ.อุบลราชธานี นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ จะขึ้นปราศรัยครั้งแรกในวันที่ 10 มี.ค.นี้ ว่า พรรคกำลังหารือกันถึงวันเวลาที่เหมาะสม เวทีที่จะให้ขึ้น ก่อนนำปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชนถึงแนวความคิด รวมถึงพบผู้สมัครเพื่อให้กำลังใจ วันที่ 10 มี.ค.ก็เป็นไปได้ เร็วๆนี้จะมีความชัดเจน ตอนนี้ต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์พักผ่อนก่อนหลังเข้าตรวจสุขภาพ โดยพรรคพยายามจัดให้ พล.อ.ประยุทธ์ไปพบประชาชนทุกภาค

บอกยิ่งตีคะแนนยิ่งพุ่งกระฉูด

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ตกเป็นหนึ่งในเป้าโจมตีจากหลายฝ่าย หากช่วยพรรคหาเสียงจะส่งผลต่อคะแนนนิยมหรือไม่ นายอุตตมตอบว่าคิดตรงข้าม กลุ่มที่โจมตีเรื่องประชาธิปไตยเป็นวาทกรรมเดิมๆ อธิบายกันมามากแล้ว หากยังนิยมของเดิมก็ว่ากันไป และแคนดิเดตนายกฯของพรรคยังไม่มีโอกาสพบประชาชนเลย พูดได้ว่าเสียเปรียบอยู่หน่อยๆ ส่วนคะแนนนิยมในภาคอีสานเรามั่นใจ กระแสตอบรับดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้าย ผลโพลของพรรคที่ทำมาตลอด สะท้อนว่ากระแสเราดี มั่นใจเข้าเป้า พักหลังๆดูจะเกินเป้าด้วยซ้ำ

หวังผลสูงถึงฟอร์มตั้งรัฐบาล

นายอุตตมยังกล่าวถึงการปล่อยทีเด็ดช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมยังมีนโยบายที่พร้อมจะเปิดอีก เมื่อถามว่าแกนนำพรรคพลังประชารัฐหลายคนตอกย้ำจะได้ ส.ส.นับร้อยคน วันนี้พอจะชี้ชัดได้แค่ไหนว่าเขตไหนจะได้ ส.ส.บ้าง นายอุตตมตอบว่า ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับประชาชนตัดสินใจเลือก ส่วนตัวมีความมั่นใจเหมือนแกนนำพรรคคนอื่นที่บอกไปว่าเรามีโอกาสที่ดี ย่อมได้ผลที่ดีจากการเลือกตั้ง ความมั่นใจนั้นอยู่บนพื้นฐานที่ทำงานเต็มที่ และจะทำต่อเนื่องในโค้งสุดท้าย พร้อมติดตามงาน ติดตามผลมาตลอด โดยหวังผลต้องได้คะแนนมากที่สุดที่เพียงพอให้จัดตั้งรัฐบาลได้

มั่นใจ 24 มี.ค.ได้เลือกตั้งแน่

เมื่อถามว่า พื้นที่ไหนยังเป็นอุปสรรคของพรรค นายอุตตมตอบว่า แต่ละพื้นที่ที่ลงไปเป็นความท้าทาย เราเข้าใจว่าต้องออกแรงหนักในทุกพื้นที่ เมื่อถามย้ำว่ายังมั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น นายอุตตมตอบว่า มั่นใจว่ามีการเลือกตั้ง และมั่นใจว่ามีดีพอในสิ่งที่นำเสนอสามารถตอบโจทย์ประชาชน ส่วนจะได้รับความไว้วางใจแค่ไหน ต้องรอให้ประชาชนเป็นผู้พูดผ่าน การลงคะแนนในวันเลือกตั้ง วันนั้นจะปรากฏให้เห็น

“สุพล” เมินคำปรามาสพรรคเก่า

ด้านนายสุพล ฟองงาม ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่มากระแสตอบรับดี จ.อุบลราชธานี และภาคอีสาน ผลงานรัฐบาลที่ทำไว้ประชาชนชื่นชอบ และนโยบายของพรรคที่สานต่อนโยบายรัฐบาล ยืนยันว่าทั้ง 4 จังหวัดที่ตนรับผิดชอบกระแสดีมาก มั่นใจว่าอย่างน้อยที่ จ.อุบลราชธานีได้ 8 ที่นั่ง ส่วนที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่าเราไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชน เชื่อว่าประชาชนได้ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าปัญหาทั้งหมดมันเกิดจากใคร ใครทำให้ปัญหาบ้านเมืองมาถึงจุดนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเดิมปรามาสว่าจะไม่สามารถชนะการเลือกตั้งรอบนี้ นายสุพลตอบว่า ขึ้นอยู่กับประชาชน ให้รอวันนั้น ขณะที่นายอุตตมกล่าวเสริมว่า ไม่นานเกินรอจะได้เห็นว่าเราของจริง

เสนอตั้งกองทุนพลังประชารัฐ

ที่สวนน้ำรัตนบุรีปาร์ค อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน พรรคพลังประชารัฐ นายวิรัช รัตนเศรษฐ แกนนำภาคอีสาน นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ กรรมการบริหารพรรค ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย นายปุณยวัฒน์ สนใจ หรือ “ส.จ.เบิ้ม” ผู้สมัคร ส.ส.สุรินทร์ มีประชาชนมาร่วมฟังกว่า 10,000 คน พร้อมมอบดอกไม้ และผ้าขาวม้าให้กำลังใจ นายสุริยะกล่าวว่า ขอให้คนสุรินทร์เลือกผู้สมัครของพรรคทั้ง 7 เขต เข้าไปสานต่อและผลักดันนโยบายเพื่อประชาชน หากได้ ส.ส.เข้าไปน้อย นโยบายที่พรรคนำเสนอจะได้รับการผลักดันลำบาก ที่ผ่านมา ส.ส.สุรินทร์ยังไม่เป็นปึกแผ่นทั้งที่เป็นจังหวัดใหญ่ หากได้รับเลือกทั้งจังหวัดจะได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และจากการหาเสียงที่ผ่านมาคนอีสานตอบรับนโยบายพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างดี เราพร้อมเสนอตั้งกองทุนพลังประชารัฐ ทำให้มีวงเงินมากกว่ากองทุนหมู่บ้าน จะได้กู้ไปช่วยให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ ทำธุรกิจส่วนตัว ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้จากเงินหมุนเวียนจากพี่น้อง

“สุรพร” ชูนโยบายลดแลกแจกแถม

ที่เวทีวัดโพธิ์ร้อยต้น อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ พร้อมคณะลงพื้นที่ช่วยนายเอกภาพ พลซื่อ ผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด หาเสียง นายสุรพรกล่าวปราศรัยว่า นโยบายพลังประชารัฐ เกิดจากประสบการณ์ของอดีตรัฐมนตรีที่เตรียมแนวทางการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมืองที่ต่อเนื่องมานานนับ 10 ปี ถ้าเราได้เป็นรัฐบาลจะยุติความขัดแย้งในชาติได้แน่ และด้วยนโยบายพักหนี้กองทุนหมู่บ้าน 3 ปีพร้อมฟื้นฟู ดูแลสตรีตั้งท้อง ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ขวบ รวมกว่า 1.8 แสนบาท ขยายผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐครอบคลุมผู้ที่ตกหล่น เพิ่มสิทธิ์คนพิการ คนชรา แปลง ส.ป.ก.4-01 เปิดโอกาสให้ผู้ที่ครอบครองทำมาหากินได้มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไม่เหมาะสำหรับการเกษตร นโยบายเหล่านี้ปฏิบัติได้เมื่อเรามี ส.ส.มากพอจัดตั้งรัฐบาล ต้องช่วยกันเลือกผู้สมัครของพรรคทุกเขต เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วต้องทำตามที่ประกาศต่อประชาชน ถ้าไม่ทำจะผิดต่อรัฐธรรมนูญที่กำหนดบทลงโทษไว้หนักมาก ต่อมานายสุรพรเดินทางไปช่วย น.ส.ตวงรัตต์ วงศ์เวไนย ผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด หาเสียงที่วัดป่าม่วง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

เปิดโชว์ตัวที่โคราชบ้านเกิด

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐว่า เบื้องต้นแกนนำพรรคได้หารือและวางกำหนดกิจกรรมที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์มาช่วยหาเสียงไว้ 4 จุดใหญ่ เจาะตามภาค เริ่มเวทีปราศรัยใหญ่ที่บ้านเกิด พล.อ.ประยุทธ์ คือที่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 10 มี.ค.เป็นที่แรก จะเป็นการเปิดใจถึงการเข้ามาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ตลอดจนแนวคิดด้านต่างๆ ใช้เวลา 30 นาที จากนั้นให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ ต่อด้วยภาคเหนือ จ.เชียงราย วันที่ 16 มี.ค. ภาคใต้ ที่ จ.นราธิวาส วันที่ 17 มี.ค. และปิดท้ายการปราศรัยใหญ่ที่สวนลุมพินี กทม. ในวันที่ 22 มี.ค. คาดว่าจะมีประชาชนมาร่วมหลายหมื่นคน โดยจะระดมขุนพลพรรคพลังประชารัฐขึ้นเวทีอย่างพร้อมเพรียง ทั้งนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยขึ้นกับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์และทีมกฎหมายพรรค


มีคาราวานเดินสายทั่วประเทศ

ที่วัดมหาบุศย์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวระหว่างลงพื้นที่ช่วยนายธันวา ไกรฤกษ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. หาเสียง ว่า ทางพรรคได้วางยุทธศาสตร์ไว้แล้วว่าจะหาเสียงและปราศรัยใหญ่ทั่วประเทศที่ไหนบ้าง โดยพรรคมีคาราวานหาเสียงไล่จากภาคเหนือลงมาภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ เมื่อ กกต.เปิดไฟเขียวให้ พล.อ.ประยุทธ์ร่วมปราศรัยหาเสียงได้ ขณะนี้เวลาเหลือเพียง 2-3 สัปดาห์ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่สำคัญ ต้องคิดถึงเรื่องประเด็นหาเสียงด้วย ส่วนจะเปิดตัวที่เวทีปราศรัยที่ จ.นครราชสีมาในวันที่ 10 มี.ค.หรือไม่นั้น คงเป็นไปตามข่าว ทุกคนทราบดีว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นลูกหลานย่าโม โคราชถือเป็นเมืองหลวงของภาคอีสาน และเป็นบ้านเกิดของนายกฯ การเปิดตัวให้ พล.อ.ประยุทธ์มาร่วมปราศรัยหาเสียง ไม่ได้ถือเป็นไม้เด็ดของพรรค ถือเป็นความชอบธรรม เป็นการแฟร์มากกว่า

ทุกคนรู้ว่าทำอะไรได้แค่ไหน

ที่ย่านสะพานแดง บางซื่อ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวระหว่างลงพื้นที่ช่วย น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.หาเสียง ภายใน 1-2 วันนี้จะได้ข้อยุติเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องดูตารางงานนายกฯ แผนหาเสียงพรรค และความเหมาะสม ไม่กังวลว่าจะทำอะไรสุ่มเสี่ยงขัดต่อกฎหมาย เพราะพรรคและ พล.อ.ประยุทธ์รู้ว่าทำอะไรได้มากน้อยแต่ไหน เมื่อถามว่าบุคลิก พล.อ.ประยุทธ์ที่โผงผางค่อนข้างตรง จะกลายเป็นจุดอ่อนหรือไม่ นายสนธิรัตน์ตอบว่า อย่าเพิ่งไปบอกอย่างนั้น ท่านอาจนิ่มนวลน่ารักกว่าเดิมก็ได้ ขอให้ติดตาม ส่วนคะแนนนิยมส่วนตัว พล.อ.ประยุทธ์มีมาก แต่ของพรรคยังไม่มากพอนั้น ยังมีเวลาอีกตั้ง 3 อาทิตย์ กระแสพรรคกระแสนายกฯ ยังเปลี่ยนแปลงได้อีกเยอะ ช่วง 3 สัปดาห์สุดท้าย พรรคมีวิธีการทำงานและมั่นใจว่ากระแสจะเป็นไปตามที่เราหวังไว้ เราทำโพลตลอดเวลา เอาเป็นว่าผลเป็นที่น่าพอใจเดินได้ตามแผน

ขออย่าโยง พปชร.สั่งปมช่อง 9

นายสนธิรัตน์ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีการปลดพิธีกรรายการดีเบตของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ที่มีเสียงวิจารณ์อย่างหนักว่า ยืนยันพรรคไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง เป็นเรื่องฝ่ายบริหารของทางสถานี ส่วนตัวไม่ทราบเหตุผล และไม่ต้องการให้มาผูกโยงกับรัฐบาล เรื่องนี้เป็นการทำงานของทางสถานี เท่าที่ติดตามทั้งในส่วนของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ให้ความเป็นอิสระกับการทำหน้าที่ของสื่ออยู่แล้ว จึงไม่ทราบเหตุผลในการปลดพิธีกรในรายการดังกล่าว ไม่อยากให้มายึดโยงว่าเป็นรัฐบาลที่ไปสั่งการ รัฐบาลสั่งสื่อไม่ได้ อีกทั้งเวลาที่บุคลากรของพรรคไปออกรายการตามสถานีช่องต่างๆ ถือว่าเสียเปรียบด้วยซ้ำไป

พท.จัดหนัก “สุริยะ” บ่าวสองนาย

วันเดียวกัน นายวัฒนา เมืองสุข ผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ว่า สมัยที่อยู่พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคใหญ่มีนักการเมืองอาวุโสจำนวนมาก แต่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับตั้งนายสุริยะที่แทบจะไม่มีประสบการณ์ หรือบารมีทางการเมือง ให้เป็นเลขาธิการพรรค เมื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องซีทีเอ็กซ์ นายทักษิณยังเมตตารักษาหน้าไม่ปรับออกจาก ครม. ต่อมานายสุริยะป่วยเป็นมะเร็ง นายทักษิณยังเมตตาให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จัดหาแพทย์มือหนึ่งมารักษาให้จนหายป่วยกลับมาเล่นการเมืองได้อีกครั้ง นายทักษิณไม่เคยให้ร้ายลูกน้อง แต่นายสุริยะกลับให้ร้ายนายทักษิณเพื่อเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายคนใหม่ พฤติกรรมแบบนี้โบราณเรียก “พวกข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” ที่เป็นแบบนี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะนิสัยของนายสุริยะเอง หรือเป็นเพราะเห็นนายคนใหม่เที่ยวตามล้างตามเช็ดนายเก่า คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยเกื้อกูลตัวเองมาเหมือนกัน นายสุริยะเลยเลียนแบบเพื่อเอาใจนายคนใหม่ แต่ที่ไม่บังเอิญคือทั้งสองคนที่มีนิสัยเหมือนกันมาเจอกันช่วงหน้าฝนพอดิบพอดี

เอาแน่รื้อ ก.ม.ไซเบอร์

นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ พ.ร.บ.ไซเบอร์นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ไม่สมควรรับรองกฎหมายและอนุมัติโครงการใหญ่ๆ เพราะการเลือกตั้งกำลังจะเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 1 เดือน สมควรให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากประชาชน และ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นผู้พิจารณา เพราะมีความยึดโยงกับประชาชน และคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนมากกว่า สนช.อาจขาดความรู้ความเข้าใจในผลกระทบของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมถึงรัฐบาลขาดความจริงใจในการรับฟังจากภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน พ.ร.บ.ไซเบอร์ถือว่ามีผลกระทบกับประชาชนและคนรุ่นใหม่โดยตรง ทั้งในเรื่องสิทธิเสรีภาพที่ประชาชนพึงมี รวมทั้งเป็นการทำลายบรรยากาศทางธุรกิจ ขัดต่อนโยบายการผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างเสรี เป็นผลให้ประเทศไทยเสียประโยชน์มาก หากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล กฎหมายฉบับนี้จะต้องถูกแก้ไขเป็นลำดับต้นๆ โดยเฉพาะในส่วนที่ละเมิดความเป็นส่วนตัว อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ


จี้ประชาธิปัตย์โชว์จุดยืนให้ชัด

นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มี 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายภักดีทักษิณ ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ และฝ่ายประชาชนนั้น น่าจะไม่เป็นความจริง ความจริงคือมีเพียง 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่มีจุดยืนประชาธิปไตยและฝ่ายที่เอาเผด็จการและพร้อมสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่สร้างเงื่อนไขให้เกิดวิกฤติ อันเป็นต้นเหตุแห่งการยึดอำนาจ และปูทางให้เผด็จการเรืองอำนาจ จึงอยากให้ประกาศจุดยืนให้ชัดว่าจะยืนอยู่ฝ่ายใด ไม่ใช่ทำคลุมเครือแบบนี้ เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพรรคที่ถนัดเล่นละครหลอกประชาชนว่าไม่เอาเผด็จการ แต่การกระทำไม่ใช่เพราะ ในที่สุดจะอ้างร้อยพันเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตน และบอกสังคมว่าจำเป็นต้องผนวกกับเผด็จการ วันนี้สังคมไทยไม่ต้องการนักการเมืองที่นิยมเอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วใส่คนอื่น ชอบสร้างวาทกรรมใส่ร้ายพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ทำงานการเมืองด้วยน้ำลายแบบมีอคติ

“เต้น” เฝ้ารอ “ลุงตู่” ขึ้นเวที

ที่ตลาดสามชุก จ.สุพรรณบุรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียงพรรค ไทยรักษาชาติ ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส.สุพรรณบุรีหาเสียง นายจาตุรนต์กล่าวว่า เชื่อว่าชาวสุพรรณบุรีจะเลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย เข้าไปจัดตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาประเทศ แต่ภาพรวมการเลือกตั้งยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากมีการใช้อำนาจ คสช. และที่เกี่ยวเนื่อง ดำเนินการกับพรรคการเมืองต่างๆ ปิดสถานีโทรทัศน์บางช่อง ละเมิดและจำกัดเสรีภาพสื่อ กรณีล่าสุดที่ช่อง 9 อสมท ที่สร้างความไม่พอใจให้ผู้มีอำนาจ สะท้อนว่าประเทศไทยยังอยู่ใต้การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

ขณะที่ณัฐวุฒิกล่าวว่า รอการขึ้นเวทีปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยความใจจดใจจ่อ เชื่อว่าแม้ประชาชนไม่อยากฟังแต่ก็อยากเห็น ที่สำคัญเป็นการแสดงสำนึกของ พล.อ.ประยุทธ์เองว่า ต้องขึ้นเวทีเหมือนแคนดิเดตคนอื่น ภายใต้กติกาเดียวกันที่ผู้มีอำนาจกำหนด

“ปรีชาพล” ขอบคุณทุกกำลังใจ

ขณะที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเป็นคลิปวิดีโอระบุว่า “หัวใจกับความหวัง” เนื้อหาในคลิประบุว่า “สวัสดีพ่อแม่พี่น้องที่รักและเคารพทุกๆท่าน ห่างหายกันไปนานพอสมควร หลายท่านเป็นห่วงถามถึงตัวผม อยากจะเรียนว่าผมสบายดี แต่ก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ผมเองในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ต้องกราบขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง ผมขอให้กำลังใจ และส่งกำลังใจไปยังผู้สมัครของเรา รวมไปถึงสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติทุกท่าน เราปรารถนาจะเห็นประเทศไทยก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก เราปรารถนาจะเห็นรอยยิ้ม ความสุขของประชาชน หนทางข้างหน้าแม้จะมีขวากหนาม จะมีอุปสรรคนานัปการเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าพวกเราร่วมกัน ผมเชื่อว่าเราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับประชาชนคนไทย และประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคนได้แน่นอน”

จี้ กกต.ฟันธงสถานะ “ประยุทธ์”

ช่วงเช้าที่ตลาดบ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า เขตลาดกระบัง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ในฐานะผู้สนับสนุนพรรคเพื่อชาติ ลงพื้นที่ช่วยนายสนองพล การะเกษ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อชาติหาเสียง ทั้งหมดขึ้นรถแห่ตระเวนไปยังพื้นที่ต่างๆ ต่อมานายจตุพรให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กกต.อนุญาตให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงว่า ความจริง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ขึ้นเวทีปราศรัยก็ได้เปรียบพรรคอื่นอยู่แล้ว การพูดทุกคืนวันศุกร์และรายการเดินหน้าประเทศไทย ยิ่งกว่าการปราศรัย แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือเรื่องสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์จะนำมาสู่การเลือกตั้งโมฆะ เหตุใด กกต.จึงไม่นำเรื่องนี้มาวินิจฉัยก่อน เพราะหลังวันที่ 24 มี.ค. แล้ววินิจฉัยสถานะ พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีคุณสมบัติเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ อาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ ความจริงไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เรื่องข้อกฎหมายไม่ต่างจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติ ส่วนจะวินิจฉัยอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น และควรปฏิบัติต่อพลังประชารัฐเช่นเดียวกับพรรคไทยรักษาชาติ เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้

แฉขบวนการทำเลือกตั้งโมฆะ

นายจตุพรยังกล่าวถึงกรณีนางอรวรรณ ชูดี พิธีกรรายการดีเบตช่อง 9 MCOT ถูกบอร์ดผู้บริหารอสมท ปลดฟ้าผ่า หลังถูกมองว่าจัดดีเบตเป็นการชี้นำและโจมตีรัฐบาล ว่า คนไทยฟัง พล.อ.ประยุทธ์พูดฝ่ายเดียวมาตั้ง 5 ปี แต่นางอรวรรณเพิ่งจัดรายการทำไมทนไม่ได้ ที่สำคัญยังพยายามหยิบยกคำว่าเผด็จการรัฐสภามาพูดถึง แล้วการที่ร่าง พ.ร.บ.ไซเบอร์ ผ่าน สนช.โดยไม่มีเสียงคนคัดค้านแม้แต่เสียงเดียว ภายใต้สภาที่ คสช.ตั้งขึ้น ก็คงมีสภาพเหมือนกรณีที่ 250 ส.ว.จะไปโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ โดยไม่มีใครคิดว่าจะมีเสียงแตกแต่อย่างไร วันนี้เรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์เหมือนถูกวางเพาะเชื้อเอาไว้ เพื่อทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะเป็นเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันอีก แต่กลับพยายามอธิบายว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ทุกอย่างได้ถูกออกแบบไว้สำเร็จแล้วเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

โอดเพื่อชาติสุดกระจอกงอกง่อย

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องความขัดแย้งภายในพรรค เชื่อว่าทุกพรรคมีปัญหาหมดในเรื่องบัญชีรายชื่อ ทั้งพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ก็มีลาออก พรรคเพื่อชาติเราอยู่ในสถานะเหมือนพรรคกระยาจก เป็นตระกูลเพื่อที่อยู่ในซีกของพรรคกระยาจก กระจอกงอกง่อยที่สุด ไม่มีปัญญาแม้กระทั่งติดป้ายได้ทั้งประเทศ จะมีอะไรกระจอกได้เท่านี้อีก ช่วยผู้สมัครก็ทุกขเวทนา 50,000-70,000 ถึงแสนนึง พอเดินมาถึงจุดนี้ตนไม่มีความรู้สึก เพราะเราอยู่ในภาคประชาชนมายาวนาน มีเงินหรือไม่มีเงินไม่มีความหมาย แต่หัวใจที่มันเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นความเห็นที่แตกต่างกันในพรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติ อย่างกรณี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ เคยบอกแล้วว่าเดินแล้วอย่าหยุดนะ ไปพิสูจน์กัน ถ้าผิดตามข้อกล่าวหา ก็ยุบพรรค หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ถูกดำเนินคดีอาญา รวมถึงตัว พ.ต.ท.สมชายด้วยในฐานะรองหัวหน้าพรรค เรื่องซื้อขายลำดับบัญชีรายชื่อ พรรคขนาดนี้จะได้กี่ตำแหน่งเชียว


“สมชาย” สาวไส้เพื่อชาติ

ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ส่งเอกสารชี้แจงเรื่องการลาออกจากพรรคเพื่อชาติ ว่า กรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาท้าสาบานการซื้อตำแหน่งอันดับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และ ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง อยากถามว่า การคัดสรรผ่านความเห็นชอบของกรรมการบริหารพรรค และผ่านตัวแทนพรรคประจำจังหวัดหรือไม่ นายสงคราม กิจเลิศรุ่งโรจน์ หัวหน้าพรรค ไม่คิดที่จะแก้ปัญหา ทำกันกี่คน ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ วันสุดท้ายยังวิ่งกันไม่จบ ข่าวเรื่องการวิ่งเต้นเสียเงิน ตนเป็นลูกผู้ชายพอตัวไม่เคยพูดกับสื่อ ไม่เคยให้สัมภาษณ์ ทั้งที่รู้ปัญหาอยู่เต็มอก พรรคเราทำไม่เนียน หวังประโยชน์เฉพาะตัว เฉพาะกลุ่ม เลยทำให้มีปัญหาวุ่นวายถ้าคิดให้ข้อมูลจริง แค่ให้ข้อมูล ปปง.สอบจะเหลืออะไร ไม่ต้องมาท้าสาบานเพราะกลัวจะมีคนตายเยอะ รวมทั้งคนที่เดินตามนายจตุพรด้วย ต้องระมัดระวังเพราะนายจตุพรยังเป็นผู้ถูกห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง มันสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายเรื่องการครอบงำพรรค นี่จึงเป็นเหตุที่ตนต้องลาออก


“มาร์ค” ให้จำหน้าผู้สมัครดีๆ

ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมผู้บริหารพรรค ร่วมปราศรัยแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.นราธิวาส ทั้ง 4 เขต นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ขอให้พี่น้องประชาชนที่ชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์ ดูใบหน้าผู้สมัครให้ดี อดีตสมาชิกพรรคหลายคนได้ย้ายไปอยู่พรรคอื่น ที่สำคัญขออย่าเลือกเพราะเห็นแก่ญาติ ขอให้รักญาติเหมือนเดิม แต่ขอให้ เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ดีขึ้น ยางต้องราคากิโลกรัมละ 60 บาท ปาล์มต้องราคากิโลกรัมละ 4 บาท เราทำมาแล้ว ส่วนกรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเราไม่เลิก แต่เพิ่มจำนวนเงินให้มากขึ้น แถมนำไปซื้อ อะไรก็ได้ไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ ทั้งนี้ตลอดการปราศรัยได้รับเสียงปรบมือและเสียงเชียร์เป็นระยะๆ

เตือนใช้เวลาราชการ-กลไกรัฐ

ที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ช่วยนายชูศักดิ์ จึงพานิช ผู้สมัคร ส.ส.สระบุรี พรรคประชาธิปัตย์ หาเสียงที่บริเวณตลาดหนองแค ตลาดหนองปลาหมอ และวัดหนองบอน นายจุรินทร์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐเตรียมจัดคิวให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงว่า อยู่ที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ว่าตั้งใจจะไปปราศรัยหาเสียงด้วยวิธีไหน อย่างไร แต่ประเด็นสำคัญคือต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย เพราะท่านยังมีสถานภาพเป็นนายกฯที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่ด้วย ฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้เวลาราชการ การใช้กลไก หรืออำนาจรัฐหาเสียง เข้าใจว่าคงทราบดีอยู่แล้วว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เชื่อว่าคงระวังตัวอยู่เพราะมีคนคอยเฝ้าติดตามแน่นอน สำหรับพื้นที่ จ.สระบุรี หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงถึงวันเลือกตั้ง มั่นใจว่าประชาธิปัตย์จะปักธงในเขต อ.หนองแคได้แน่

“ธนาธร” ลุยพื้นที่ จว.ชายแดนใต้

ที่ จ.ยะลา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พร้อมด้วย น.ส.พรรณิการณ์ วานิช โฆษกพรรค สวมชุดโต๊ปชายแบบครึ่งท่อน และชุดบานงหญิง ซึ่งเป็นชุดประจำท้องถิ่นของมลายูชายแดนใต้ ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ยะลา ทั้ง 3 เขต คือนายจิรายุ เบ็ญจวงค์ นายไซด์นอน แวหามะ และนายณรงค์ อาแม หาเสียงขึ้นรถตระเวนไปทั่วเมืองยะลา มีประชาชนให้กำลังใจขอถ่ายรูปจำนวนมาก นายธนาธรเปิดเผยว่า เชื่อว่าการแก้ปัญหา ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องนำเศรษฐกิจ การเมือง นำการทหาร เชื่อมั่นว่าจะเกิดสันติภาพได้ พรรคอนาคตใหม่ปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบจากทุกฝ่าย ขจัดสงคราม ความเกลียดชัง ความชิงชังระหว่างกลุ่มผู้คน จะสร้างความเปลี่ยนแปลง ปัญหาความยากจนส่วนหนึ่งจากความไม่เท่าเทียมเอาเปรียบกัน ไม่เสมอภาค ไม่ยุติธรรม ต้องได้รับ การแก้ไขเพื่อให้เกิดสันติภาพในพื้นที่สามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ พร้อมสร้างระบบขนส่ง รถไฟความเร็ว สูงเชื่อมโยงชายแดน สร้างสิ่งดีๆแก่คนรุ่นหลัง

“สุวัจน์” ลุยสำเพ็งชอบใจฝรั่ง

ที่ตลาดสำเพ็ง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ลงพื้นที่ตลาดสำเพ็ง ช่วยผู้สมัคร ส.ส. กทม. ของพรรคหาเสียง บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้ค้าและประชาชนในพื้นที่ให้การตอบรับดี โดยระหว่างเดินหาเสียงมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาขอเซลฟี่กับนายสุวัจน์ด้วย และมีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันได้สอบถามถึงกิจกรรมที่นายสุวัจน์และคณะเดินหาเสียง ซึ่งนายสุวัจน์ได้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันจึงตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ แปลความว่า “ผมจำรายละเอียดไม่ได้ แต่ไม่มีปัญหา” ทำให้นายสุวัจน์กล่าวแบบทีเล่นทีจริงกลับไปว่า “คุณไม่ต้องจำชื่อชาติพัฒนาก็ได้ แต่ขอจำไว้ว่าพรรคผมโนพร็อบเบลม”

ไม่กังวลโคราชแข่งขันกันสูง

นายสุวัจน์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์เตรียมขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียง ว่า ไม่กังวล ไม่มีปัญหา การแข่งขันทุกพรรคต้องทำอย่างเต็มที่ ยอมรับว่าในพื้นที่ จ.นครราชสีมา แข่งขันกันสูง พรรคชาติพัฒนาในฐานะเจ้าของพื้นที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น เมื่อถามว่าช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งกังวลต่อกรณีที่มีกระแสข่าวการคุกคามผู้สมัครและหัวคะแนนหรือไม่ นายสุวัจน์กล่าวว่า กกต.ในฐานะผู้รักษากติกาต้องเข้าไปตรวจสอบ และป้องกันไม่ให้กรณีดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการได้รัฐบาลชุดใหม่ ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเป็นเรื่องในอนาคตที่จะต้องพิจารณา โดยพรรคชาติพัฒนาไม่ขอตั้งเงื่อนไขใดๆ

“เอี้ยง” เย้ยพรรคอื่นไร้นโยบายป่า

นายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย กล่าวว่า การบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในภาคใต้มีปัญหาในหลายจังหวัด อาทิ กระบี่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันและยางพารา ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นผู้มีบารมีในจังหวัด บางคนเป็นใหญ่เป็นถึงระดับนักการ เมืองใหญ่ สมคบกับเจ้าหน้าที่รัฐบางคน ส่งผลให้พื้นป่าประเทศไทยลดน้อยลงทุกปี หากพรรคต่างๆยัง ไม่มีนโยบายด้านนี้ชัดเจน ในอนาคตผืนป่าของประเทศอาจไม่มีเหลือตกทอดให้ลูกหลานคนไทย ดังนั้น ในฐานะเราเป็นพรรคการเมืองเดียวที่ให้ความสำคัญด้านนี้อย่างจริงจัง มีนโยบายด้านป่าไม้โดยเฉพาะ สามารถปฏิบัติได้จริง นอกจากนี้ ใน จ.กระบี่เป็นอีกพื้นที่ที่มีปัญหาการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาตินับแสนไร่ เราจึงวางตัวนายสมใจ นวลนุ่ม ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอาสารับใช้ชาวกระบี่ เพื่อปกป้องและรักษ์พื้นป่าที่เหลืออยู่น้อยนิดในจังหวัด กลับคืนมาเป็นสมบัติของประชาชน

คนส่วนใหญ่ยังไม่เลือกพรรค–คน

วันเดียวกัน กรุงเทพโพลล์เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,491 คน เรื่อง “นับถอยหลัง 21 วัน สู่การเลือกตั้ง” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 53.4 ยังไม่ตัดสินใจเลือกผู้สมัครจากพรรคใดมาบริหารประเทศ รองลงมาร้อยละ 12.8 บอกว่าตัดสินใจแล้วที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 11.6 เลือกพรรคพลังประชารัฐ และร้อยละ 7.6 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่าจะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 46.0 ระบุว่ายังไม่ตัดสินใจ ส่วนที่ตัดสินใจแล้ว ร้อยละ 17.2 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองลงมาร้อยละ 12.0 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และร้อยละ 6.9 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


“อภิสิทธิ์” จี้องค์กรสื่อปกป้องสื่อ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความลงในกลุ่มไลน์ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ถึงกรณีบอร์ด อสมท.มีคำสั่งปลดนางอรวรรณ ชูดี ผู้สื่อข่าวอาวุโสและพิธีกรรายการดีเบตในหัวข้อ “ประชันวิสัยทัศน์คนรุ่นใหม่ การเมืองไทยในความคิดของคนรุ่นใหม่ ควรเป็นอย่างไร” ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นที่ช่อง 9 ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลของนางอรวรรณ สมาคมสื่อฯควรแสดงบทบาทชัดเจนในการปกป้องสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ตามจรรยาวิชาชีพ ต้นสังกัดควรทบทวนการตัดสินใจไม่ว่าจะมีเบื้องหลังอย่างไร เรากำลังเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย การปิดกั้นไม่ใช่คำตอบ ขอให้กำลังใจทั้งนางอรวรรณ นายวีระ และสื่อมวลชนที่เตรียมจัดเวทีดีเบต ให้ยืนหยัดทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป


“องอาจ” ซัดคำสั่งอัปยศจี้ทบทวน

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง บอร์ด อสมท. และผู้บริหารสถานีไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ของพิธีกรรายการดีเบต หรือนักข่าวที่ทำหน้าที่รายงานข่าว ควรเปิดโอกาสให้ทุกคนทำหน้าที่อย่างอิสระ ตามจรรยาบรรณวิชาชีพของการเป็นสื่อสารมวลชนที่ดี โดยเฉพาะการมีคำสั่งปลดพิธีกรรายการดีเบตทางการเมืองในช่วงที่กำลังรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการกระทำที่ไม่ควรเกิดขึ้น อาจถูกมองได้ว่าใช้อำนาจโดยมิชอบจากผู้มีอำนาจรัฐจัดการกับบุคคลที่ตนเห็นว่าทำหน้าที่ส่งผลกระทบให้ผู้มีอำนาจรัฐเสียประโยชน์ หรือได้รับผลกระทบกับคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ขอประณามการกระทำของใครก็ตามที่อยู่เบื้องหน้า เบื้องหลังของคำสั่งอัปยศครั้งนี้ และขอเรียกร้องให้บอร์ด อสมท. และผู้บริหารสถานีทบทวนคำสั่งอัปยศครั้งนี้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมอีกต่อไป

พปชร.ร่วมให้กำลังใจคนช่อง 9

น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในวันนั้นตนได้รับมอบหมายจากทางพรรคให้ไปร่วมดีเบตที่ช่อง 9 ทราบแต่เพียงว่าเป็นรายการดีเบตรูปแบบใหม่ ในลักษณะเกมโชว์ และไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะมีคำถามอะไรบ้าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรายการเป็นไปตามสถานการณ์จริง ไม่มีการเตรียมบทให้แต่ละฝ่ายตอบคำถามแต่อย่างใด ส่วนที่มีข่าวบอร์ด อสมท. สั่งให้ผู้ดำเนินรายการทั้ง 2 คน ยุติการทำหน้าที่ ส่วนตัวขอให้กำลังใจตามหลักวิชาชีพสื่อมวลชน เชื่อว่าทุกคนมีความตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด แต่ไม่ขอก้าวล่วงการตัดสินใจของคณะกรรมการบอร์ดช่อง 9 เพราะเป็นเรื่องภายในองค์กร หวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะคลี่คลายและมีทางออกที่ดีที่สุด


“ชัชชาติ” ชี้สื่อไม่ใช่สมบัติใคร

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีของพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างช่วยทีมผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่หาเสียงที่ตลาด วโรรส และตลาดต้นลำไย อ.เมืองเชียงใหม่ ว่า ดูจาก โพลพรรคเพื่อไทยเราดีมาก หรือว่าดีที่สุดในทั้งหมด ภาคเหนือเข้มแข็งมั่นใจมาก ส่วนเรื่องที่บอร์ดช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ปลดผู้ดำเนินรายการดีเบตคนรุ่นใหม่นั้น มองว่าสื่อมวลชนเป็นเหมือนสถาบันสำคัญของระบอบ ประชาธิปไตย ต้องให้ความเที่ยงธรรมและต้องให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็นได้ การแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน ต้องเป็นคำถามใหญ่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่เป็นของรัฐหรือเป็นรัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง มันเป็นของประชาชนทั้งหมด ต้องให้ความเป็นกลาง ไม่น่าจะให้เกิดขึ้นอีก เมื่อภาครัฐเข้ามาแทรกแซงสื่อจึงส่งผลลบต่อทางฝ่ายภาครัฐเอง

อนค.ชี้ละเมิดสิทธิสื่อมวลชน

น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ในฐานะเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการดีเบตครั้งนี้ มองว่ารูปแบบการดีเบตในรายการโทรทัศน์ ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญของการเลือกตั้ง เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยทางรายการนำเสนออย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ เป็นเวทีของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง รายการอาจถูกใจประชาชน แต่ไม่ถูกใจผู้มีอำนาจหรือไม่ การปลดพิธีกรดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน สมาคมวิชาชีพสื่อควรออกมาปกป้อง ในฐานะที่เคยเป็นสื่อมวลชนมาก่อน ต้องขอแสดงความชื่นชม และเป็นกำลังใจให้นางอรวรรณ ยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนต่อไป

ขอผู้มีอำนาจอย่าเเทรกเเซงสื่อ

น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ รักษาการหัวหน้าพรรคพลเมืองไทย กล่าวว่า ได้ติดตามการจัดรายการในวันดังกล่าว นางอรวรรณแค่ทำหน้าที่พิธีกรรับฟังความเห็นจากผู้ร่วมรายการ ซึ่งเป็นเด็กเยาวชน เขาคิดอย่างไรก็เสนอตามนั้น ไม่เห็นเอียงข้างอะไร อยากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หรือผู้ใหญ่ที่บริหารสื่อฯ ให้ความเป็นธรรม ต้องใจกว้าง เปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับทราบความคิดเห็นของกลุ่มคนทุกกลุ่มในช่วงเลือกตั้ง ผู้มีอำนาจและผู้บริหารสื่อต้องทำใจเป็นกลาง ไม่ควรเเทรกเเซงสื่อฯ ที่ทำหน้าที่นำเสนอข้อมูลไปสู่สาธารณะและประชาชน

องค์กรสื่อจี้ผู้บริหารทบทวนคำสั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ “กรณีนางอรวรรณ ชูดี (กริ่มวิรัตน์กุล) ที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ต้องยุติการทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ “ศึกเลือกตั้ง 62” ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ที่ออกอากาศทางช่อง 9 MCOT HD หลังดำเนินรายการประชันวิสัยทัศน์เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ในหัวข้อ “คนใหม่ การเมืองใหม่?” ระบุว่ามีการทำหน้าที่ในลักษณะชี้นำให้โจมตีรัฐบาลนั้น สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เห็นว่าการสั่งให้นางอรวรรณยุติการทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ โดยที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าการทำหน้าที่ของนางอรวรรณ เข้าข่าย “ชี้นำให้โจมตีรัฐบาล” เป็นเพียงการกล่าวอ้างเพื่อปิดกั้นเสรีภาพการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เป็นการไม่เหมาะสม ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายแทรกแซงเสรีภาพในการนำเสนอข่าว และเป็นการคุกคามสื่อมวลชนโดยตรง และยังเป็นการละเมิดสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงที่กำลังมีการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้ การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวตระหนักถึงการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงขอเรียกร้องผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ และบอร์ด อสมท ทบทวนคำสั่งดังกล่าว เพื่อปกป้องและคุ้มครองเสรีภาพของบุคลากรในการทำหน้าที่ ตามมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพของสื่อมวลชน และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 35 ที่ระบุว่า บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ และขอเป็นกำลังใจให้กับนางอรวรรณ และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทุกคน ที่ทำหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ด้วยความรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน


ไม่มีความคิดเห็น: