PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2561

World Politics 2018 – การเมืองโลกตลอดปีนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ?

ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2017 ไม่ว่าจะเป็นกระแสการเมืองขวา ผู้นำอายุน้อยก้าวขึ้นมา ผู้ลี้ภัยข้ามประเทศ หรือสงครามนิวเคลียร์ ที่ทำให้การเมืองโลกมีเรื่องราวดุเดือด ให้เราได้ตามติดขอบจอกันตลอดปี

และในปีนี้ เรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นคงมีขึ้นไม่น้อยกว่าปีก่อน ทั้งการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก สงครามกลางเมืองที่ยังไม่จบ การเจรจาร่วมมือ รวมถึงความบาดหมางระหว่างประเทศ ก็ยังคงเป็นเรื่องราวภาคต่อให้เราได้ติดตามกันอีกในปีนี้
แต่กระแสการเมืองโลกในปีนี้จะเป็นอย่างไร สันติภาพ หรือสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นจริงไหม ? กระแสขวาจะยังคงมาแรงต่อไปหรือไม่ ? จะมีผู้นำรุ่นใหม่จากการเลือกตั้งทั่วโลกหรือไม่ ? The MATTER ขอพาไปกางแผนที่ ติดตามกระแสการเมืองที่จะเกิดขึ้นทั่วโลกในปี 2018 นี้กัน

เอเชีย
ความดุเดือดในการยิงขีปนาวุธเกาหลีเหนือ
เริ่มต้นกับเอเชีย ทวีปที่มีเรื่องราวร้อนแรงให้ติดตามตลอด จนหลายๆ คนหวั่นๆ ว่าจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่ในปีนี้ กลับเริ่มต้นด้วยข่าวดี จากการจัดเจรจาระดับสูงระหว่างเกาหลีเหนือ – ใต้ ที่จัดขึ้นหลังห่างหายไปตั้งแต่ปี 2015 และยังเห็นผลลัพธ์ที่ดีตามมา ทั้งการต้อนรับนักกีฬาเกาหลีเหนือเข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ, การเตรียมจัดงานรวมญาติของ 2 ประเทศ, ตกลงเริ่มการเจรจาทางทหาร รวมถึงมุน แจอิน ปธน.เกาหลีใต้ยังพร้อมเปิดเจรจากับคิม จองอึนด้วย นอกจากนี้ด้านสหรัฐฯ ยังยอมพักซ้อมรบกับเกาหลีใต้ ในช่วงโอลิมปิก ทำให้คาดการณ์ได้ว่าอย่างน้อยก็จะเกิดสันติภาพชั่วคราวระหว่างความสัมพันธ์ที่ร้อนแรงนี้
แต่ถึงอย่างนั้น เกาหลีเหนือก็ยังยืนยันว่าไม่มีการเจรจาเรื่องยุติโครงการนิวเคลียร์ ทั้งปีใหม่นี้ ท่านคิมยังตั้งปณิธานเตรียมสร้างขีปนาวุธที่ยิ่งใหญ่ อลังการกว่าเดิม เพื่อยิงขึ้นสู่อวกาศด้วย จึงไม่แน่ใจว่าสันติภาพ และการเจรจาที่เกิดขึ้น อาจเป็นข่าวดีชั่วคราว ก่อนข่าวร้ายใหญ่จะมาเยือนหรือไม่
อิทธิพลของจีนแผ่นดินใหญ่
จีน อีกประเทศหนึ่งที่โดดเด่นในเอเชีย และในเวทีโลก ในปีนี้ปธน.สี จิ้นผิง ได้เตรียมต่ออายุเป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 2 ซึ่งคาดว่า ท่านสีจะสานต่อนโยบายเชิงรุก ผลักดันความเป็นผู้นำในระดับโลก และยังคงให้ประเด็นเกาหลีเหนือ ทะเลจีนใต้ และไต้หวันเป็นวาระสำคัญของนโยบาย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า ความสัมพันธ์ของจีน-ไต้หวันอาจตึงเครียดมากกว่าเดิม เพราะแม้ว่าจะต้องการเปิดเจรจากับไต้หวัน แต่ก็ประกาศกร้าวคัดค้านทุกรูปแบบใน ‘การประกาศตนเป็นอิสระของไต้หวัน’ ด้วย

ยุโรป
การเลือกตั้งรัสเซีย
วลาดิเมียร์ ปูติน หนึ่งในผู้นำทรงอิทธิพลของรัสเซียและของโลก เตรียมขอท้าลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งรัสเซีย เดือนมีนาคมนี้อีกครั้ง แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจจะไม่ท้าทาย หรือเห็นการแข่งขันที่ดุเดือด สูสี เพราะจากโพลการเลือกตั้งคะแนนนิยมของปูตินนั้นมีมากถึง 58% ทิ้งห่างผู้สมัครคนอื่นๆ ที่ได้คะแนนเพียงแค่เลขหลักเดียวเท่านั้น และยังมีแนวโน้มว่าปูตินจะได้รับการโหวตจากประชาชนถึง 80% ทั้งยังมีกรณีการตัดสิทธ์คู่แข่งที่ลงสมัครอย่าง อเล็กเซย์ นาวาลนี ผู้ต่อต้านคอร์รัปชั่น และมักจัดประท้วงปูตินอยู่เรื่อยๆ ด้วย
รัฐบาลเยอรมนีที่ยังไม่พร้อมเดบิวต์
ในขณะที่ประเทศอื่นๆ จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว เยอรมนี ที่เลือกตั้งกันไปตั้งแต่ปีก่อน ก็ยังคงไม่สามารถเจรจาจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะพรรคแนวร่วมขอถอนตัว ทำให้พรรคของอังเกลา แมร์เคิล ต้องไปเริ่มเจรจากับพรรคอื่นๆ ใหม่ ซึ่งอาจทำให้ทิศทางนโยบายของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป และยิ่งการเจรจาล้าช้าออกไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลสั่นคลอนต่อการเมืองทั้งในประเทศเยอรมัน และ EU เราจึงอาจเห็นเมมเบอร์ BNK48 รุ่น 2 เปิดตัวเร็วกว่ารัฐบาลเยอรมนีที่เลือกตั้งมากว่าครึ่งปีก็เป็นได้
Brexit is still not exit
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตาในยุโรป คือกรณี ‘Brexit’ ที่ผ่านการลงมติมากว่า 2 ปี และมีแนวโน้มว่าในปีนี้สหราชอาณาจักรก็ยังจะไม่ได้ออกจาก EU แต่ทางรัฐบาลก็ยืนยันแน่วแน่ ว่าเราจะออกจาก EU แน่นอนภายในเดือนมีนาคม ปี 2019 ! โดยคาดว่าในปีนี้ การเมืองอังกฤษก็จะยังคงวนเวียนกับการเจรจา จัดทำข้อตกลงเพื่อเปลี่ยนผ่าน และการทำสัญญาต่างๆ ต่อไป
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าจับตาคือ การเลือกตั้งในฮังการี ที่จะมีคิวเข้าคูหาในช่วงเมษา – พฤษภานี้ และมีแนวโน้มฝ่ายขวาจะได้รับชัยชนะ ยืนหยัดในนโยบายไม่รับผู้อพยพ และขอเดินหน้าสวนทางกับของ EU และประเด็นของคาตาลูญญา ที่รัฐบาลกลางสเปนอนุญาตให้มีการเลือกตั้งในระดับแคว้น รวมถึงเศรษฐกิจ และปัญหาผู้อพยพในภูมิภาคนี้ด้วย

อเมริกาใต้
การเลือกตั้งหันขวา ?
แซงหน้าประเทศไทยกันไปรัวๆ เพราะปีนี้ถือเป็นปีทองของการเลือกตั้งในอเมริกาใต้ ที่จะมีคิวเข้าคูหาเลือกผู้นำกันถึง 6 ประเทศ ได้แก่ บราซิล โคลัมเบีย เม็กซิโก เวเนซุเอลา คอสตาริกา และปารากวัย เฉลี่ยแล้วเท่ากับประชาชนกว่า 350 ล้านคนที่จะมีสิทธิ์กาบัตรเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางการเมืองในภูมิภาคนี้ได้เลย
ในอดีต จะเห็นได้ว่าผู้นำส่วนใหญ่ที่มีอิทธิพลในแถบลาตินนี้ ล้วนแต่เป็นผู้นำจากฝั่งซ้ายทั้งนั้น แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผู้นำจากฝ่ายขวาและอนุรักษนิยม กลับมีอำนาจมากขึ้น เห็นได้จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในชิลี เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ที่ผู้นำจากฝ่ายขวาชนะการเลือกตั้ง ทำให้มีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งของภูมิภาคลาตินในปีนี้ จะเปลี่ยนมาหากระแสฝ่ายขวา
ถึงอย่างนั้น การเลือกตั้งสำหรับเวนาซุเอลา คงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะถึงแม้ประเทศจะถังแตกไม่มีเงินจ่ายหนี้ ประชาชนออกมาประท้วง ปะทะกันรุนแรงตลอดปี แต่ นิโคลัส มาดูโร ปธน.คนปัจจุบัน ก็ยังคงจะหาช่องทางต่ออำนาจตัวเอง ลงเลือกตั้งอีกครั้ง หลังเลือกตั้งสมาชิกสภารัฐธรรมนูญที่มีแต่ฝ่ายสนับสนุนตัวเอง และตัดช่องทางคู่แข่งพรรคฝ่ายค้านบางพรรคจากการเลือกตั้งปีนี้ด้วย หลายฝ่ายจึงคาดว่ามาดูโรจะชนะการเลือกตั้ง และความวุ่นวายในเวเนฯ จะเกิดขึ้นต่อไป

อเมริกา
เลือกตั้งกลางสมัยทรัมป์  ศึกชิงเสียงข้างมากในสภาคองเกรส
เป็นธรรมเนียมของสหรัฐฯ ที่จะมีการเลือกตั้งทุกๆ 2 ปี แต่ในปีนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่เป็นการเลือกตั้ง ‘Midterm Elections’ หรือการเลือกตั้งกลางสมัยการบริหารงานของประธานาธิบดี (ครบสองปี) ว่าพรรคใดจะได้อำนาจควบคุมสภาคองเกรส ที่ส่วนหนึ่งมีหน้าที่บัญญัติกฎหมาย และตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ 36 รัฐทั่วประเทศ
แต่โพลของเว็ปไซต์ The Crosstab ที่รวบรวมข้อมูลและสถิติทางการเมืองในสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า พรรครีพับลิกันของโดนัลด์ ทรัมป์มีโอกาสชนะเพียงแค่ 33.4% เท่านั้น ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านอย่างเดโมแครตมีโอกาสชนะถึงกว่า 66.6% ทั้งผลโพลของบริษัทสำรวจ และสำนักข่าวต่างๆ เองก็ยังชี้ให้เห็นว่าพรรครีพับลิกันมีโอกาสคว้าชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้น้อยกว่า ซึ่งเมื่อผลออกมาเช่นนี้ อาจทำให้การทำงาน ออกกฎหมาย บัญญัติต่างๆ ของทรัมป์ไม่ง่ายอย่างที่คาดคิดแม้จะเป็นผู้นำ
Canada Rising
พูดถึงผู้นำที่มาแรง ได้ฐานแฟนคลับ และเสียงชื่นชมจากทั่วโลก คงต้องยกให้ ‘จัสติน ทรูโด’ นายกฯ แคนาดา ที่ไม่ได้มีดีแค่ความหล่อเหลา แต่ด้วยนโยบายต่างๆ และความใกล้ชิดประชาชน สวนทางกับผู้นำประเทศใกล้เคียง ซึ่งในปีนี้ Heather Timmons ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวของสำนักข่าว Quartz ให้ความเห็นไว้ว่า ขณะที่ทรัมป์ โชว์ความเป็นผู้นำหัวร้อนให้ทั่วโลกเห็น  แต่จัสติน ทรูโด กลับได้รับความนิยมด้านบวก และเสียงชื่นชมมากขึ้น ทั้งในปีที่ผ่านมา GDP ของแคนาดายังเพิ่มขึ้นถึง 3% ซึ่งถือว่าเติบโตกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ และทรูโดเอง ยังให้คำมั่นสัญญายึดถือประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ , ความร่วมมือเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และสันติภาพของโลก เป็นวาระสำคัญในปี 2018 นี้ นอกจากนี้แคนาดายังเซ็นสัญญารับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ (Tech Brain Drain) ทำให้นักลงทุนคาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่เทคโนโลยีเฟื่องฟูในแคนาดา

ตะวันออกกลาง
ตะวันออกกลางที่ร้อนระอุ ทั้งการเมือง ความสัมพันธ์ และการก่อการร้าย ในปีนี้ก็ยังคงมีประเด็นให้เราได้จับตารอดูกันอีกมากมายหลายเรื่อง
ศึกชิงเยรูซาเล็ม to be continued
แน่นอนว่าการประกาศรองรับเยรูซาเล็มว่าเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล จะยังคงเป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องในปีนี้ และอาจทำให้มิตรภาพของเพื่อนเก่าอย่างสหรัฐฯ และซาอุดิอาระเบียแตกหักลงได้ เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองจะผนึกกำลังกันต่อต้านอิหร่าน แต่ซาอุฯ เองก็ต่อต้านการยอมรับอิสราเอลด้วย และจะเป็นตัวหลักในการกดดันสหรัฐฯ ถ้าเกิดความรุนแรงในปาเลสไตน์เพิ่มมากขึ้น  ความสัมพันธ์หลายเส้าของโลกอาหรับนี้จะเป็นอย่างไร จะนำสู่สงครามไหม เราคงต้องติดตามกันต่อไป
ซาอุดิอาระเบียโฉมใหม่
นอกจากความสัมพันธ์กับต่างประเทศของซาอุฯ ที่อาจจะเปลี่ยนไปแล้ว สังคมในประเทศเอง ก็จะมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเริ่มต้นปีนี้ ผู้หญิงในซาอุฯ จะสามารถเข้าสนามกีฬาได้ และในกลางปี จะสามารถขับรถได้อย่างถูกกฎหมาย รวมถึงเปิดโรงหนังสาธารณะให้ประชาชน จึงคาดว่าในปีนี้ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในประเทศที่ขึ้นชื่อว่า มีความไม่เท่าเทียมและกฎระเบียบสูง ทั้งอาจจะมีการออกกฎหมายใหม่ๆ ที่อนุญาตประชาชนอย่างเสรีขึ้นด้วย
IS คืนสังเวียน ?
แม้จะประกาศทวงคืนพื้นที่ และปราบกลุ่มก่อการร้าย IS ได้ในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงเป็นที่กังวลอยู่ว่า IS จะคัมแบ็คกลับมาไหม ? เพราะถึงแม้จะไม่มีรัฐหรือพื้นที่ในการปฏิบัติการที่ชัดเจน และกลายเป็นกลุ่มก่อการร้ายใต้ดิน ทั้งก็มีแนวโน้มว่า IS อาจร่วมมือกับกลุ่ม al-Qaeda และถ้าการเมืองในซีเรีย อิรัก และลิเบียยังไม่มั่นคง ก็ยิ่งทำให้ IS ยังสามารถออกปฏิบัติการและกลับมาอีกด้วยความแข่งแกร่งอีกครั้งนึงได้

แอฟริกา
ฤดูกาลเลือกตั้งเปลี่ยนตัวผู้นำ
ปีที่ผ่านมา เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย ในแอฟริกา ภูมิภาคที่มีผู้นำอยู่ในตำแหน่งเฉลี่ยยืนยาวที่สุดในโลก จากการลงจากตำแหน่งของปธน.ของซิมบับเว แองโกลา และแกมเบีย (รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งของ 3 คนเกือบ 90 ปี) และในปีนี้ ภูมิภาคนี้ก็จะมีคิวจัดเลือกตั้งมากถึง 8 ประเทศ
ประเทศที่จะมีคูหาในปีนี้ได้แก่ อียิปต์ เซียร์ราลีโอน ซูดานใต้ มาลี ซิมบับเว คาเมรูน คองโกและลิเบีย แต่ประเทศที่น่าสนใจคืออียิปต์ และลิเบีย 2 ประเทศที่ผ่านเหตุการณ์อาหรับสปริง คลื่นปฏิวัติประท้วงขับไล่ผู้นำในปี 2012 ซึ่งการเลือกตั้งในอียิปต์ครั้งนี้จะขบเคี่ยว ฟาดฟันกันแน่นอน เพราะมีการคาดการณ์ว่าแคนดิเดทจะมีทั้ง อัลเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซิ ปธน.คนปัจจุบัน, อดีตปธน., ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดัง และหลานชายอดีตปธน. เข้าร่วมลงศึกในครั้งนี้
ลิเบีย อีกหนึ่งประเทศที่โค่นล้มผู้นำเผด็จการอาหรับสปริง และหวังเปลี่ยนผ่านประเทศเป็นประชาธิปไตย ก็ยังประสบปัญหา ความขัดแย้ง และสงครามต่างๆ แต่ด้วยการสนับสนุนจาก UN ปีนี้ลิเบียจึงมีคิวเลือกตั้งด้วย โดยมีการคาดการณ์ว่า ซาอีฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี ลูกชายของมูอัมมาร์ กัดดาฟีอดีตผู้นำที่ถูกโค่น อาจลงชิงตำแหน่ง หลังได้รับอภัยโทษ และถูกปล่อยตัวเมื่อปีก่อน ทั้งก่อนหน้านี้เขายังเคยถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งถ้าเขาคว้าตำแหน่งผู้นำได้ ไม่แน่ว่าการสร้างประชาธิปไตยในประเทศนี้อาจยิ่งเป็นไปได้ยาก
นอกจาก 2 ประเทศนี้แล้ว ซิมบับเวก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะจะได้ผู้นำคนใหม่ หลังโรเบิร์ต มูกาเบ ผู้ครองตำแหน่งยาวนานถึง 37 ปีประกาศลาออก (เห็นไหม ของเรา 3 ปีกว่านี่ขอเวลาอีกไม่นานจริงๆ) การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ อาจเห็นความเปลี่ยนแปลง และความโปร่งใสมากขึ้นในประเทศนี้ก็เป็นได้

ไทย
การเลือกตั้งและทหารที่กลายเป็นนักการเมือง
“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” เห้ย ไม่นานหรอกแก แค่ 4 ปีกว่าเอง ในที่สุดเดือน พฤศจิกายน เราก็จะมีเลือกตั้งกับเค้าแล้ว (ถ้าไม่ถูกเลื่อนอีก) ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้กล่าวกับโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ ในครั้นไปเยือนทำเนียบขาวว่าจะจัดเลือกตั้งปี 2561 ตามโรดแมปโดยไม่มีการเลื่อนใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังมีสัญญาณจากท่านนายกฯ ที่ประกาศตัวว่าเป็นนักการเมือง และการพูดเป็นนัยยะให้หลายคนสงสัยว่าประยุทธ์อาจเตรียมตัวลงเล่นการเมืองในระยะยาว จึงอาจมองได้ว่าการเลือกตั้งนั้น ใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ
แม้จะเห็นสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ประยุทธ์ก็ได้ลั่นวาจารับปีใหม่ว่า “..ผมประกาศไว้เลยสถานการณ์ถ้ายังมีความขัดแย้งสูง การเลือกตั้งได้หรือเปล่า ผมไม่รู้” อีกทั้งสถานการณ์ขยายเวลาการปลดล็อกพรรคการเมืองถึงเดือนเมษา ทำให้หลายฝ่ายต่างก็ยังหวาดหวั่น ว่าเลือกตั้งครั้งนี้ที่สัญญาไว้ อาจมีการเลื่อนอีกเหมือนที่แล้วๆ มา
อนาคตประเทศไทยฝากไว้กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
หลังจากเหตุหน้าตาฉบับร่างพิมพ์เขียว ‘ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี’ กันมาตั้งแต่ปีก่อน ปีนี้เราจะได้เห็นฉบับจริงกันแล้วว่าอนาคตของประเทศอีก 2 ทศวรรษนี้จะถูกออกแบบอย่างไร แต่จากที่ The MATTER เคยรวบรวมข้อมูล ‘กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ’ เห็นได้ว่า ผู้ร่างเอกสารชุดนี้ล้วนแต่เป็นชายวัยเกษียณ ที่ส่วนใหญ่เป็นทหารและนายทุน จึงเป็นที่หน้าหวาดหวั่นว่าอนาคตของประเทศไทยในระยะยาว จะถูกร่างและผูกติดอยู่เพียงแค่ในกำมือของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และแม้จะได้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง แต่ก็ยังต้องคงนโยบายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์นี้ ที่ยังเกี่ยวข้องไปถึงการทำแผนปฏิรูปประเทศด้วย

หน้าตาและประเทศไทยอีก 20 ปีต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แค่คุกกี้เสี่ยงทาย ก็คงยังไม่สามารถทำนายอนาคตประเทศเราได้ คนไทยคงต้องรอดูยุทธศาสตร์ชาติฉบับเต็มในปีนี้กัน



อำลา 'เนชั่น' ทางการ! เทพชัย จัดงานเกษียณ 'สุทธิชัย หยุ่น' 12 ม.ค.นี้

อำลา 'เนชั่น' ทางการ! เทพชัย จัดงานเกษียณ 'สุทธิชัย หยุ่น' 12 ม.ค.นี้

เผยข้อมูล ฝ่ายทรัพยากรบุคคล เนชั่นฯ ส่งข้อความแจ้งเวียนเชิญผู้บริหาร-พนง. ร่วมงานอำลาเกษียณ 'สุทธิชัย หยุ่น' 12 ม.ค.61 นี้

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ในช่วงค่ำวันที่ 10 ม.ค.2561 ที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อความฝ่ายทรัพยากรบุคคล ของ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  แจ้งเรียนเชิญ  ผู้บริหารและพนักงานทุกท่าน ร่วมงานอำลาการเกษียณของนายสุทธิชัย หยุ่น ผ่านทางสื่อออนไลน์ 

ระบุว่า  คุณเทพชัย หย่อง ขอเรียนเชิญผู้บริหารและพนักงานทุกท่าน ร่วมงานอำลาการเกษียณของคุณสุทธิชัย หยุ่น ในวันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561 เวลา 15.00 น.

ณ ชั้น 1 อาคารมหาวิทยาลัยเนชั่น

จึงเรียนมาเพื่อทราบและขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมงาน

ฝ่ายทรัพยากรบุคคล

เบื้องต้น สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าว เนชั่น ว่า เป็นข้อมูลจริง

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย ระบุว่า สุทธิชัย แซ่หยุ่น หรือที่รู้จักทั่วไปว่า สุทธิชัย หยุ่น  เป็นกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ]ที่ปรึกษากองบรรณาธิการเครือเนชั่น อดีตประธานกรรมการ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บรรณาธิการอำนวยการ เครือเนชั่น, นักหนังสือพิมพ์, นักเขียน, ผู้ร่วมก่อตั้ง หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น, กรุงเทพธุรกิจ, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, เนชั่นทีวี และประธานที่ปรึกษามหาวิทยาลัยเนชั่น ปัจจุบัน (พ.ศ. 2555) มีผลงาน คอลัมน์ กาแฟดำ ในหน้า 2 หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์, รายการโทรทัศน์ ชีพจรโลก และ ชีพจรโลกวันนี้ ทางเนชั่นแชนแนล

9.00 INDEX : บทเรียน ด้านกลับ ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ เมื่อ ‘การเมือง’ เกิด ‘การแปรเปลี่ยน’

9.00 INDEX : บทเรียน ด้านกลับ ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ เมื่อ ‘การเมือง’ เกิด ‘การแปรเปลี่ยน’


ไม่ว่ากรณี นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่ากรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังให้ “บทเรียน” อย่างลึกซึ้งยิ่ง
เมื่อนึกเปรียบเทียบกับสถานการณ์ใน”อดีต”
ไม่ว่าอดีตก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าอดีตก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่อง “การเมือง”
เป้าหมายเพียงเพื่อให้ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่ง เป้าหมายเพียงเพื่อให้ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่อยู่ในแวดวงการเมือง
ที่หยิบยกประเด็น”กฎหมาย” หรือแม้กระทั่งใช้วิธียึดอำนาจโดย”รัฐประหาร”ก็เสมอเป็นเพียง”เครื่องมือ”
เมื่อสำเร็จเสร็จกิจก็ไม่คำนึงถึง”ผล”ที่ตามมา

หากย้อนไปดูอารมณ์และความร้อนแรงในห้วงที่มีการสาดทั้งน้ำร้อน น้ำเย็นเข้าใส่
ไม่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ดุเดือด รุนแรง ถึงขั้นที่ว่า ผีไม่ยอมเผา เงาไม่ยอมเหยียบ ถอดยศได้ก็จะถอด ยึดทรัพย์ได้ก็จะยึด ประหารได้ก็จะประหาร
แต่แล้วที่เห็นและเป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นอย่างไร

นายทักษิณ ชินวัตร ออกจากประเทศไปเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว สามารถเอาตัวมาลงโทษได้ตามกฎหมาย ตามคำพิพากษา หรือตามที่กล่าวโทษทางสาธารณะได้หรือไม่
กรณี นายทักษิณ ชินวัตร ยังไม่มีบทสรุป ก็มีกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามมา
โดยที่ไม่มีใครสามารถจัดการได้เพราะที่อื่นเขาไม่เอาด้วย

ผลดีอาจทำให้สามารถกำจัด นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกไปได้
แต่เมื่อผ่านไปนานวันสถานการณ์จะแปรเปลี่ยน
ยิ่งแปรเปลี่ยนยิ่งทำให้เห็นโฉมหน้าและรายละเอียดของการให้ร้ายโจมตีในประเด็นทางการเมืองมากและลึกซึ้งกว้างขวางยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
กลายเป็นว่านานาอารยประเทศเขามิได้มองและประเมินว่าเป็นอาชญากรรม หรืออาชญากร เหมือนที่ในสังคมไทยมองและประเมิน
ตรงนี้ต่างหากที่อาจกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนขึ้นมา

น้อยจริงๆ

น้อยจริงๆ


ปีนี้ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุทะลุ 11 ล้านคนหรือเท่ากับจะมีคนแก่เพิ่มเป็น 1 ใน 6 ของจำนวนประชากร
ปัญหาผู้สูงอายุจึงเป็นภาระหนักที่รัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่ต้องเตรียมแผนรับมือ

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าปัจจุบันมีผู้สูงอายุรับเบี้ยยังชีพคนชราจากรัฐบาลประมาณ 8 ล้านคน

ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนคนจนราวๆ 3 ล้านคน

ที่เหลืออีก 5 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุที่มีฐานะดี ซึ่งใช้สิทธิ์รับเบี้ยยังชีพคนชราเช่นกัน

ทำให้รัฐบาลต้องแบกภาระจัดหางบไปอัดฉีด จ่ายเบี้ยยังชีพคนชรา 8 ล้านคน ไม่ตํ่ากว่า 7 หมื่นล้านบาทต่อปี

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงต้องประกาศเชิญชวนผู้สูงอายุที่มีฐานะดีให้แสดงสปิริตแจ้งขอสละสิทธิ์ไม่รับเบี้ยยังชีพคนชราเดือนละ 600 บาทถึงเดือนละ 1,000 บาท ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา

คาดว่าจะมีผู้สูงอายุที่ไม่มีฐานะยากจน ยอมสละสิทธิ์ไม่รับเบี้ยยังชีพคนชราประมาณ 5 แสนราย

รัฐบาลจะนำเงินจากผู้สละสิทธิ์ (ปีละ 4,000 ล้านบาท) ไปเพิ่มเบี้ยยังชีพให้คนชราที่มีฐานะยากจนจริงๆ ขัดสนจริงๆ เดือดร้อนจริงๆต่อไป

โดยรัฐบาลจะมอบเหรียญเชิดชูเกียรติให้ผู้ขอสละสิทธิ์ทุกรายเพื่อตอบแทนคุณงามความดี

“แม่ลูกจันทร์” เคยกระชุ่นไว้ล่วงหน้าว่าเป็นเรื่องยากส์ ที่จะมีผู้แสดงสปิริตแจ้งขอสละสิทธิ์เบี้ยยังชีพคนชราตามคำเชิญชวนของรัฐบาลตามเป้าหมาย 5 แสนคน

เพราะเบี้ยยังชีพแจกฟรีๆ เดือนละ 600 บาท หรือปีละ 7,200 บาท แม้จะไม่มากมายสำหรับผู้ที่มีฐานะดี
แต่การได้รับเงินแจกฟรีๆ ทุกเดือนๆ ย่อมกลายเป็น “รายได้ประจำ”

เมื่อเบี้ยยังชีพคนชรากลายเป็น “รายได้ประจำ” การจะเชิญชวนให้สละสิทธิ์ไม่รับเบี้ยยังชีพอีกต่อไป จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆแน่นอน

เมื่อวานซืน นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะดีไปแจ้งขอสละสิทธิ์ไม่รับเบี้ยยังชีพคนชรา ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา

ปรากฏว่า มีผู้แจ้งขอสละสิทธิ์น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้บานตะเกียง

ปลัดกระทรวงการคลังมองว่าเหตุที่มีผู้แจ้งขอสละสิทธิ์เพียงหร็อมแหร็มไม่กี่ร้อยคน

เป็นเพราะการประชาสัมพันธ์น้อยไป หรือเพราะผู้สูงอายุไม่สะดวกที่จะเดินทางไปแจ้งขอสละสิทธิ์ด้วยตัวเอง

กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาจะเพิ่มช่องทางการแจ้งขอสละสิทธิ์เบี้ยยังชีพคนชราให้สะดวกขึ้นกว่าเดิม

“แม่ลูกจันทร์” เอาใจช่วยรัฐบาลให้มีจำนวนผู้สละสิทธิ์ครบ 5 แสนคนตามที่ตั้งเป้าไว้โดยเร็ว

ล่าสุด สำนักข่าวอิศราสรุปยอดผู้แจ้งสละสิทธิ์ทั่วประเทศจนถึงวันที่ 8 มกราคมปีนี้

มีจำนวนทั้งสิ้นเพียง 1,087 คน

ยังต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้อีก 498,922 คน

จังหวัดตรัง มีผู้แจ้งขอสละสิทธิ์มากที่สุด 80 คน

จังหวัดเชียงราย ตามมาเป็นอันดับ 2 คือ 72 คน

จังหวัดนนทบุรี ติดอันดับท็อปทรีคือ 70 คน

ที่น่าผิดหวังอย่างแรงคือ กรุงเทพฯ สะดือประเทศไทย มีคนแก่ใจบุญแจ้งขอสละสิทธิ์เบี้ยยังชีพคนชราแค่ 68 ราย

เสียยี่ห้อมหานครศูนย์รวมคนรวยๆๆๆหมดเลย.

"แม่ลูกจันทร์"

ลุ้นช็อตเคลียร์อีกลอต

ลุ้นช็อตเคลียร์อีกลอต


ผวา ระวังตัวแจเลย

กับช็อตที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ต้อง เอ่ยปากถามทีมงานของกระทรวงศึกษาธิการที่นำเด็กมามอบดอกกล้วยไม้ประจำวันครูให้นายกฯและ ครม.ที่ทำเนียบรัฐบาล

ย้ำให้แน่ใจว่า ดอกกล้วยไม้ที่นำมานี้ไม่ต้องซื้อ ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรใช่ไหม

อาการแหยงยังเข็ดไม่หาย จากเรื่องหมาๆที่เพิ่งเคลียร์กันซาไป

ในห้วงสถานการณ์ที่ “นายกฯลุงตู่” ต้องตั้งการ์ดสูงไว้ก่อน เพราะเกราะกำบังอำนาจพิเศษของรัฏฐาธิปัตย์เสื่อมพลังลงไป หลังประกาศตัวแสดงตนเป็นนักการเมือง

เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งพร้อมถูกจุดไฟเป็นเรื่องใหญ่ได้ตลอดเวลา

ตามธรรมชาติของคำว่า “การเมือง” ที่ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร

ที่แน่ๆกระโดดเหยงก่อนเลย ก็คือคิวของ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่บอกปัดออกอากาศไม่เดินตามยุทธศาสตร์ของ “บิ๊กตู่” ที่ประกาศตัวเป็นนักการเมือง

เบื้องต้นเลยเดาทางได้ น่าจะ “ขยาด”

ก็ขนาดอยู่ในสถานะเบอร์สองของทีมอำนาจพิเศษแท้ๆ ยังโดนล่อเป้าเป็นตำบลกระสุนตก อ่วมแล้วอ่วมอีก ขืน “พี่ใหญ่” โชว์ตัวลงสนามการเมืองตาม “บิ๊กตู่”

ตามสภาพคงโดนโจทก์รุมถล่มเละ ดูไม่จืดแน่

แต่อีกนัยมันก็แปรรหัสได้ว่า “พี่ใหญ่” ตีกรรเชียง ชิ่งตัวเองออกจากเส้นทางไปต่อของ “น้องเล็ก”

นั่นหมายถึง “บิ๊กป้อม” พร้อมหยุดเส้นทางตัวเองที่ปลายทางโรดแม็ป คสช.ไม่ไปต่อ

ช่วงเปลี่ยนผ่านอีก 5 ปี เพื่อตัดเงื่อนไขที่มีเสียงยุ เสียงกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ตัดตัวถ่วงทิ้ง

และจริงๆเลย สถานการณ์มาถึงตรงนี้ ก็เหลือแค่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ที่จะปั่นแต้ม โชว์เนื้องานด้านเศรษฐกิจ เพื่อเป็นใบเบิกทางให้ “นายกฯ ลุงตู่” กลับมาเบิ้ลเก้าอี้ผู้นำแบบไม่ต้องออกแรงมาก

โดยมีชื่อของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ผู้กว้างขวางในทุกวงการ คอยเป็นมือประสาน พร้อมคุมกำลังคอยคุ้มกันหลังให้ “พี่ตู่”

ดูตามหมากที่วางไว้เข้าเหลี่ยมเข้ารอยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ถึงได้หงายไพ่ แบไต๋ต่อตั๋วอำนาจ

และนั่นก็ตรงกันข้ามกับนักการเมืองที่แตะมือสกัดเส้นทาง “บิ๊กตู่” ดูเหมือนเป็นฝ่ายกุมสภาพกดดัน
แต่เมื่อสำรวจสภาพแท้จริง สิ่งที่ซ่อนอยู่คือภาวะ “กลวงใน”

ไล่จากสัญญาณการแตกทัพของลูกข่าย “นายใหญ่” ตามอาการของแนวร่วมกับกลุ่มเสื้อแดงที่ประกาศเลิกอิงแอบกับตระกูลชินวัตร

ยึดการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์

นั่นหมายถึงเสื้อแดงกับเพื่อไทยคงถึงทางต้องแยกกันเดินคนละสาย

แต่ที่สำคัญ “นายใหญ่” จะขยับต้องคำนึงถึงเงื่อนไขปมผลประโยชน์ของครอบครัวคนใกล้ชิด

โดยเฉพาะกับสถานะความชัดเจนของ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ล่าสุดนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยแล้วว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษเล่าให้ฟังว่า อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์อยู่ที่กรุงลอนดอนตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2560 ที่ผ่านมา

สถานะการขอลี้ภัย จะทางโล่งหรือโดนขวาง ฟังจากนายดอนที่พูดเป็นทำนอง รัฐบาลต้องพิจารณาก่อนว่าจะคัดค้านหรือไม่ จึงจะมาคุยกันว่าใครจะทำหน้าที่ในการคัดค้านการยื่นขอสถานะผู้ลี้ภัย

ตามรูปการณ์โยงเงื่อนไขน้องสาว “นายใหญ่” ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มสูบ

เหนืออื่นใด ปัจจัยมันแปรผันตามคดีความสำคัญที่ยังค้างอยู่

ดูแล้วในส่วนของพรรคเพื่อไทยยังจัดทัพไม่ได้ เพราะยังต้องลุ้นปมมติ ครม. “เยียวยากลุ่มเสื้อแดง” โดยไม่มีหลักกฎหมายรองรับ ที่จ่ออยู่บนเขียงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แนวโน้มส่อยกแผงอดีตรัฐมนตรี ขุนพลแถวสองแถวสาม

ทีมงาน “ทักษิณ” อีกลอตใหญ่

นกแล นกเอี้ยง แทบไม่เหลือทำพันธุ์แล้ว

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่พ้นบ่วงกรรม กับคดีสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง นปช.ที่แยกราชประสงค์เมื่อปี 2553 คนตายเจ็บจำนวนมาก “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ กับ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.ยังอยู่ในข่ายได้ลุ้นเสียว

คดีคาอยู่ใน ป.ป.ช.จ่อเดินหน้าต่อได้ทุกเมื่อ ท่ามกลางเสียงทวงถามของแกนนำเสื้อแดง ขอความเป็นธรรมให้คนตาย

ยิ่งเป็นอะไรที่ประชาธิปัตย์เล่นบทเฮี้ยวใส่ คสช. กดดันฝ่ายคุมเกมอำนาจ

โอกาส “อภิสิทธิ์” ก็เสี่ยงสูงตามไปด้วย.

ทีมข่าวการเมือง