PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

งานเข้าม.44อีก เมืองทองตามหลอนคิงส์เกตฯ ประกาศการเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลา



คิงส์เกตฯ จี้ไทยชดเชยค่าเสียหายปิดเหมืองทอง

คิงส์เกตฯ ประกาศการเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการกับประเทศไทย เพื่อเรียกชดเชยความเสียหายจากการระงับกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี   

บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จำกัด ได้ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย  เนื้อหาระบุว่า หลังจากใช้ความพยายามอย่างเต็มที่แล้ว บริษัทฯ ไม่สามารถหาข้อยุติในการเรียกร้องขอความเป็นธรรมกรณีเหมืองแร่ทองคำชาตรี ถูกสั่งระงับการประกอบกิจการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น บริษัทฯ จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการกับประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย เพื่อเรียกร้องให้ชดเชยค่าเสียหายจำนวนมากที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน อันเกิดจากมาตรการของรัฐบาลไทย เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าไปกว่านี้ บริษัทฯ ได้แต่งตั้งบริษัทกฎหมายชั้นนำ คือ บริษัท คลิฟฟอร์ด ชานซ์ (Clifford Chance) ให้เป็นตัวแทนดำเนินคดีแทน และ ดร.แอนดริว เบลล์ เอส. ซี (Dr. Andrew Bell S.C.) ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสสำหรับประเด็นทางกฎหมายดังกล่าว

ทั้งนี้ กระบวนการทางกฎหมายดังกล่าว อาจไม่สามารถกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการได้ และอาจมีค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งยังไม่สามารถรับประกันผลการพิจารณาได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า การเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการนั้นยังอนุญาตให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาหารือกันได้เพื่อหาข้อยุติ ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อตกลง ณ เวลาใดก็ตาม ในระหว่างกระบวนการพิจารณาทางกฎหมายนี้
คณะกรรมการ บริษัท คิงส์เกตฯ เห็นว่า ยังมีโอกาสที่จะได้รับการชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากประเทศไทย และจะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด
///
คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ยื่นให้ประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการอนุญาตโตตุลาการ จากผลกระทบจากคำสั่ง คสช. ระงับกิจการเหมืองแร่ทองคำ ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งทีมเจรจาหาข้อยุติ ยืนยันยังไม่ตอบรับข้อเรียกเรียกร้องการเปิดเหมืองทอง
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงกรณีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ยื่นให้ประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ระบุ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทย กับ บริษัท คิงส์เกตฯ โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหัวหน้าคณะและมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นต้น เพื่อเจรจาและหาข้อยุติอย่างต่อเนื่อง เจรจาโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน และให้ความเป็นธรรมกับผู้เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการแร่ทองคำใหม่ และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แร่ฉบับใหม่ ที่รัฐบาลได้ยกร่างขึ้นและมีผลบังคับใช้แล้ว
โดยกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ทองคำใหม่ และ พ.ร.บ.แร่ฉบับใหม่ มุ่งหวังให้การทำเหมืองแร่ชนิดต่างๆ รวมทั้งเหมืองแร่ทองคำ สนองตอบนโยบายของรัฐ เพื่อสร้างสมดุลของประโยชน์จากการทำเหมือง ทั้งด้านสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และกระจายผลประโยชน์จากการขุดค้นทรัพยากรของชาติให้เป็นธรรม ทำให้การกำกับดูแลกิจการเกี่ยวกับแร่ทองคำและแร่อื่นๆ ของไทยมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และรัดกุมมากขึ้น
กระทรวงอุตสาหกรรม ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาอย่างเคร่งครัด และเตรียมการสำหรับการระงับข้อพิพาทตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ทั้งนี้ การเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement: TAFTA) ซึ่งมีลักษณะเป็นการหาข้อยุติโดยคณะบุคคลที่ 3 ที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกัน และยอมรับตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกระบวนการอนุญาโตตุลาการนี้ ทั้ง2 ฝ่าย ยังสามารถดำเนินการเจรจาเพื่อหาข้อยุติที่ยอมรับร่วมกันต่อไป พร้อมย้ำว่า รัฐบาลไทย ยังไม่ได้ยอมรับข้อเรียกร้องใดๆ ของคิงส์เกต
การยื่นอนุญาโตตุลาการดังกล่าว เกิดจากประชาชน ร้องเรียนและคัดค้านการทำเหมืองแร่ทองคำ ว่าอาจทำให้สิ่งแวดล้อมปนเปื้อน เป็นอันตรายต่อสุขภาพและอาจส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยชุมชนในระยะยาว หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จึงมีคำสั่งที่ 72/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 ให้ระงับการอนุญาตและการทำเหมืองแร่ทองคำทั้งหมดในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดและจัดให้มีมาตรการเยียวยาแก้ไขผลกระทบด้านต่างๆ
บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด (คิงส์เกต) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำ จังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ ระบุว่าได้รับผลกระทบจากคำสั่ง คสช. ดังกล่าว จึงได้ยื่นหนังสือขอหารือกับรัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 โดยอาศัยสิทธิตามความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ซึ่งอนุญาตให้บริษัทเอกชนของประเทศคู่ค้า มีสิทธิยื่นคำขอปรึกษาหารือเพื่อเจรจาได้โดยตรงกับประเทศคู่ภาคี
///
(ข้อมูล)
ISDS vs มาตรา 44 หรือจะเป็นความพ่ายแพ้ราคา 3 หมื่นล้านของ คสช. (แล้วใครจะรับผิดชอบ?)
Published on Fri, 2017-09-08 11:19
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
รัฐไทยกำลังจะถูกบริิษัทออสเตรเลียฟ้องเรียกค่าเสียหาย 30,000 ล้าน เพราะสั่งปิดเหมืองทองด้วยมาตรา 44 ทำความรู้จักกับ ISDS เครื่องมือยุคการค้าเสรีที่ทำให้เอกชนฟ้องรัฐได้ งานนี้แทบไม่เห็นทางชนะ แต่คนออกคำสั่งบอกว่า "ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น"

อำนาจของมาตรา 44 ออกมาเป็นคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 72/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ ที่ให้ระงับการอนุญาตให้สำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ทำให้เหมืองทองอัคราต้องหยุดดำเนินการ

ปัญหาคงไม่เกิดขึ้น ถ้าการแก้ปัญหาแบบอำนาจนิยมจะจำกัดผู้เกี่ยวข้องอยู่เพียงภายในประเทศ แต่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) มีบริษัทแม่คือ บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จำกัด จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายทางธุรกิจอันเกิดจากคำสั่งดังกล่าวสูงถึง 3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัท คิงส์เกตฯ หยิบเอาความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ที่มีเนื้อหาว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนมาใช้ ผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชนหรือไอเอสดีเอส (Investor-state Dispute Settlement: ISDS)

แสดงให้เห็นว่ากำปั้นเหล็กของ คสช. ไม่มีความหมายใดๆ บนเวทีการค้าระหว่างประเทศที่มีกติกาอีกชุด

ไอเอสดีเอส กลไกคุ้มครองนักลงทุนมากกว่าคุ้มครองรัฐ

ไอเอสดีเอสเป็นกลไกที่เปิดช่องให้เอกชนสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้ ผ่านระบบอนุญาโตตุลาการ ไม่ต้องพึ่งพิงกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศนั้นๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีฐานความคิดว่า ผู้พิพากษาของประเทศนั้นๆ อาจมีอคติและความลำเอียงเข้าข้างประเทศตนเอง ไม่สามารถตัดสินข้อพิพาทด้วยความเที่ยงตรงเป็นธรรม รวมถึงมรดกตกค้างแบบอาณานิคมที่เชื่อว่าระบบกฎหมายของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมักเป็นผู้รับการลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้ว ยังไม่มีความก้าวหน้าเพียงพอ ทำให้ต้องมีไอเอสดีเอสไว้เป็นทางออกเพื่อการดำเนินการที่รวดเร็วและเป็นธรรม

ไม่ใช่เพียงว่ารัฐบาลประเทศนั้นออกกฎหมาย นโยบาย หรือคำสั่งที่ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของนักลงทุนเกิดความเสียหายแล้วจึงฟ้องร้องได้เท่านั้น ไอเอสดีเอสในข้อตกลงการค้าเสรีบางฉบับกินความถึงขั้นว่า หากการกระทำของรัฐถูก คาดการณ์ว่าจะทำให้รายได้ที่นักลงทุนประเมินว่าจะได้ในอนาคตต้องสูญเสียหรือได้รับน้อยกว่าที่คาด ก็เพียงพอที่จะฟ้องร้องได้แล้ว ซึ่งการเพิ่มขึ้นของไอเอสดีเอสที่มาพร้อมกับข้อตกลงการค้าเสรีส่งผลอย่างชัดเจนต่อกรณีเอกชนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐ ปี 2539 มีกรณีเช่นนี้เพียง 38 คดี ถึงปี 2557 จำนวนคดีกลับพุ่งขึ้นถึง 568 คดี

ใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการ ไม่มีสิทธิอุทธรณ์

ขณะที่กระบวนการยุติข้อพิพาทของไอเอสดีเอสก็ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมปกติ แต่เป็นกระบวนการอนุญาโตตุลาการ โดยคณะอนุญาโตตุลาการ 3 คน ฝ่ายนักลงทุนเลือก 1 คน ฝ่ายรัฐเลือก 1 คน ส่วนคนที่ 3 มาจากการเลือกร่วมกันของทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้นคณะอนุญาโตตุลาการจะทำการพิจารณาข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ซึ่งโดยมากแล้วจะเป็นการพิจารณาแบบปิดลับ ประชาชนของประเทศคู่กรณีไม่มีสิทธิรับรู้ความเป็นไปของการพิจารณา ในบางกรณีลับมากเสียจนไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดข้อพิพาทขึ้น นอกจากนักลงทุนและรัฐ
หากคณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้รัฐเป็นฝ่ายแพ้และต้องจ่ายชดเชยให้กับนักลงทุนเอกชน รัฐก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างมิอาจขัดขืน และไม่มีสิทธิอุทธรณ์ใดๆ ทุกอย่างจบที่อนุญาโตตุลาการ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยก็เคยถูกยึดทรัพย์สินที่อยู่นอกประเทศจากการพ่ายแพ้ในกระบวนการนี้มาแล้ว

มองในแง่อำนาจอธิปไตยของรัฐในการออกกฎหมายหรือกำหนดนโยบาย ไอเอสดีเอสเปรียบเสมือนเครื่องมือที่บ่อนเซาะอำนาจชนิดนี้ ยกสถานะของเอกชนให้ขึ้นมามีบทบาทเทียบเท่ารัฐ สามารถใช้สิ่งนี้ยับยั้งกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาลได้ ถ้ามันกระทบกับผลประกอบการที่นักลงทุนควรได้รับ แม้ว่าจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ของประชาชนในประเทศ

เมื่อรัฐไม่มีสิทธิกำหนดนโยบาย

ที่ผ่านมา เคยเกิดกรณีทำนองนี้หลายกรณี เช่น ปี 2540 รัฐบาลแคนาดาออกคำสั่งห้ามนำเข้าและขนย้ายสารเอ็มเอ็มที เนื่องจากเป็นสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้บริษัท เอธิล คอร์พ จากอเมริกา ฟ้องร้องรัฐบาลแคนาดา เรียกค่าชดเชยเป็นเงิน 251 ล้านเหรียญสหรัฐ กรณีจบลงที่รัฐบาลแคนาดายอมประนีประนอม จ่ายค่าชดเชยให้ 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยกเลิกคำสั่งดังกล่าว
ปี 2550 รัฐบาลแอฟริกาใต้ออกกฎหมายสร้างเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจแก่คนผิวดำในประเทศ เพื่อเยียวยาผลร้ายจากนโยบายแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) โดยกำหนดให้บริษัทเหมืองแร่ต้องโอนหุ้นจำนวนหนึ่งให้แก่นักลงทุนผิวดำ ทำให้บริษัท ปีเอโร ฟอเรสติ จากอิตาลี ฟ้องร้องรัฐบาลแอฟริกาใต้ สุดท้าย บริษัท ปีเอโรฯ สามารถลดจำนวนหุ้นที่ต้องโอนให้แก่นักลงทุนผิวดำได้เป็นจำนวนมากและยังได้รับใบอนุญาตฉบับใหม่
นี้เป็นสองในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นจากไอเอสดีเอส
คำถามคือจากสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาล คสช. จะหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย 30,000 ล้านให้แก่บริษัท คิงเกตส์ฯ ได้หรือไม่

เอ็นจีโอระบุหากถูกฟ้องจริง ไทยหมดสิทธิชนะ

กรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า
มาตรา 44 ไม่ใช่ขั้นตอนโดยชอบตามกฎหมายปกติ ดังนั้น เรียกว่าแทบจะปิดประตูชนะเลย แต่เราจะมองเฉพาะด้านเดียวไม่ได้ มิอย่างนั้นจะมองว่าเป็นเพราะรัฐบาลรัฐประหาร แต่โดยกระบวนการ กลไกไอเอสดีเอสถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองนักลงทุนโดยไม่เห็นหัวประชาชน เปรียบเหมือนกับประชารัฐของรัฐบาลนี้ คือการที่รัฐกับทุนจับมือกันโดยไม่เห็นหัวประชาชน ซึ่งไอเอสดีเอสสะท้อนภาพนั้นอยู่ ดังนั้น ต่อให้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยจะทำสิ่งที่ปกป้องประชาชนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำได้ แต่อย่างน้อยยังมีช่องพอหายใจได้ หรือการใช้กฎหมายปกติอย่างการฟ้องศาลปกครอง แล้วศาลปกครองตัดสินให้ยกเลิกการทำเหมืองตามกระบวนการกฎหมาย โอกาสที่จะสู้ยังมี
กรรณิการ์ กล่าวว่า บทเรียนจากกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่าในการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ทั้งผู้เจรจาและหน่วยงานของรัฐรับรู้ถึงนัยของผลที่จะเกิดขึ้นตามมาต่ำมาก สังคมจึงยังเห็นกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนไอเอสดีเอส ทั้งที่เอฟทีเอวอทช์เตือนมากว่าสิบปีแล้วตั้งแต่ตอนที่จะลงนามข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งมีการคาดหมายว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
สิ่งที่น่าวิตกอีกประการหนึ่งคือ ในรัฐธรรมนูญปี 2550 มีมาตรา 190 ที่กำหนดให้ต้องทำกรอบการเจรจา มีกระบวนการวิจัย การรวบรวมข้อมูลความรู้ถึงผลกระทบด้านต่างๆ การมีส่วนร่วมของประชาชนและของอำนาจนิติบัญญัติ ขณะที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ตัดมาตรา 190 ออก ซึ่งจะทำให้กระบวนการเหล่านี้หายไป
เรายังไม่รู้ว่าต่อจากนี้ การเจรจาเกี่ยวกับการลงทุน สาระเดิมที่เป็นตัวป้องกันจะยังถูกใช้หรือไม่ เพราะเท่าที่เห็นตอนนี้รัฐบาลทหารอยากจะสร้างผลงานด้วยการเจรจาเอฟทีเอ ฉบับใหญ่ๆ อาจจะยังเจรจาไม่ได้ แต่อย่างอาร์เซป (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP หรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียน) ตอนนี้ประเด็นอยู่ที่ไอเอสดีเอส เพราะอินเดียไม่เอากลไกนี้ แต่ไทยไปบอกให้ยอมรับเพื่อให้อาร์เซปผ่านไปได้
คำถามก็คือหากไทยต้องจ่ายค่าเสียหาย 30,000 ล้านบาทจริง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ในเมื่อผู้ออกคำสั่งพูดเองว่าไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะมีมาตรา 44 คุ้มครอง

จำเลยของเรื่องนี้คือ คสช.
ด้านเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา ผู้ทำงานเกี่ยวกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมือง เขายอมรับว่าเป็นเรื่องลำบากใจเนื่องจากเขาเห็นว่า การรัฐประหารไม่ถูกต้องชอบธรรม ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นด้วยกับคำสั่งนี้ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับชาวบ้านมาก ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะไม่เห็นด้วยเสียเลยก็เกรงว่าจะทำให้ชาวบ้านเสียหาย
ประเด็นของผมคือการปิดเหมืองทองไม่จำเป็นต้องใช้คำสั่ง คสช. ใช้กฎหมายปกติอย่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมกับกฎหมายแร่ก็ได้ แค่นี้ก็เอาอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะใช้คำสั่ง คสช. เพื่ออะไร ถ้าใช้กฎหมายปกติก็เข้าสู่ระบบศาลไทย ทางเหมืองแร่ก็สามารถฟ้องร้องได้ถ้าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งตามกฎหมายปกติ
จำเลยของเรื่องนี้คือ คสช. ที่ใช้คำสั่งมาตรา 44 ลำพังชาวบ้านเองไม่ว่าจะรัฐบาลใดไหนก็ไม่มีความสามารถที่จะทำให้รัฐบาลออกคำสั่งอะไรได้ เบื้องหลังมีความเป็นมาอย่างไร เราไม่ทราบ แต่ถ้าจะบอกว่าจำเลยของสังคมเป็นชาวบ้าน เป็นเอ็นจีโอ ก็เป็นเรื่องแปลก จริงๆ แล้วชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบสูงมาก แต่สังคมส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเลย
สังคมต้องเข้าใจว่าผลกระทบมีจริง แต่สมควรต้องใช้มาตรา 44 หรือไม่ ผมเห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ใช้กฎหมายปกติก็เพียงพอแล้ว ถ้าต้องเปรียบเทียบความรับผิดชอบของรัฐบาล คสช. กับกรณียิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) ผมเห็นด้วยว่ารัฐบาล คสช. จำเป็นต้องเผชิญเหมือนที่ทำกับยิ่งลักษณ์ ถ้ารัฐบาล คสช. กล้าหาญจริงที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน คุณก็ต้องสู้กับอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ถ้าสู้ไม่ได้ก็ต้องยอมจ่าย ถ้าโดนปรับแล้ว ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายนี้ และสังคมก็ควรต้องกดดันหรือตั้งคำถามต่อประยุทธ์



"นายกฯ" ย้อนวัน "น.ด.8969" กลับมาเยี่ยม รร.วัดนวลฯ กราบครู

"นายกฯ" ย้อนวัน "น.ด.8969" กลับมาเยี่ยม รร.วัดนวลฯ กราบครู/ เผย ผมนั่งรถมา ดีเพราะเป็นรถหลวง แต่นั่งรถก็คิดตลอดเวลาว่า คนจนจะกินอะไร"
ไม่ใช่ วันครู....แต่ พลเอกประยุทธ์ มาวางศิลาฤกษ์อาคารที่ รร.วัดนวลนรดิศ ที่เคยเรียน รุ่น77 น.ด.8969 เลยเจอคุผครู
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจยอมรับว่าเหนื่อยตั้งแต่เช้าพูดมากแต่ผมตั้งใจ ลูกนรดิศยึดมั่น และปฏิบัติตนตามค่านิยม 12 ประการ ซึ่งคนไทยทั้งหมดมีอยู่แล้ว วันนี้เราต้องเป็นคนไทยที่มีวัฒนธรรม มีความเป็นไทยมีอัตลักษณ์ ไปไหนต้องไม่ทิ้งขยะไม่ทิ้งไปเรื่อย ทั้งหน้าบ้าน ในบ้านและนอกบ้าน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหาย ไปชมอะไรโบราณสถานเก่าๆ จะไปเที่ยวเก็บหินใส่กระเป๋า ชนิดว่าขอให้ได้หยิบเป็นของขลังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดมันเกิดความเสียหาย คนข้างหลังก็ไม่ได้ดู ต้องขอฝากไว้ให้นึกถึงความเป็นไทย
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ เราไม่เคยต้องมาตีกัน สู้รบปรบมือแบ่งออกไม่รู้เป็นกี่ฝ่ายประเทศไทยไม่เคยมี
และวันนี้ผมจะไม่ยอมให้มีขึ้นมาอีกโดยเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราต้องเอาบ้านเมืองไปให้รอดนึกถึงลูกหลาน อย่ามัวแต่คิดถึงตัวเองเพราะเดี๋ยวก็ตายแล้ว ไม่มีใครไม่ตาย ตายแล้วก็เอาเงินไปไม่ได้มีเงินเยอะก็ไม่ได้ใช้ อย่าไปคิดว่ามีเยอะแล้วคนจะนับถือ ต้องใหญ่โตคนถึงจะมาเคารพนบนอบ
ผมไม่ได้มองตัวเองว่าเหนือคนอื่น ไม่เคยมอง ผมนั่งรถมาดีเพราะเป็นรถหลวง แต่นั่งรถก็คิดตลอดเวลาว่าคนจนจะกินอะไร และคิดมาตั้งแต่เด็ก ความเอื้อเผื่อแผ่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด" นายกฯ กล่าว

นายกลงใต้

"บิ๊กตู่" เตรียมลงใต้ ศุกร์นี้ ไป ปากพนังนครศรีธรรมราช ตรวจสถานการณ์น้ำท่วม 
 
หลังลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม ภาคกลางที่อ่างทอง และภาคอีสาน ที่ขอนแก่นไปแล้ว

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ มีกำหนดการลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์อุทกภัย เพื่อติดตามการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 3 พฤศจิกายน 

เพื่อติดตามการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา พร้อมพบปะให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดนครศรีธรรมราช 

โดยจะไปยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อกราบสักการะพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช 

ก่อนเดินทางไปยังศูนย์ประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อเป็นประธานการประชุมและมอบนโยบายให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดของภาคใต้ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับฟังปัญหา อุปสรรค ในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
จากนั้น  นายกรัฐมนตรี จะพบปะประชาชนที่ศูนย์ประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แล้วออกเดินทางจากไปตรวจเยี่ยมโครงการประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ์
 
ก่อนกลับ

อดีตเด็กวัดนวลฯ

ลูกนวลนรดิศ #8969 เป็นนายกฯคนที่29.."บิ๊กตู่" กลับถิ่น รร.เก่า

มีศิษย์ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อกลับมาเยือน รร.เก่า เลยจัดป้ายต้อนรับ ใหญ่โต
ที่หน้าโรงเรียน พร้อมรูปภาพ

และข้อความ แสดงความยินดี  พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา เลขประจำตัวนักเรียน 8969 ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่29

นายกฯ กลับมา โรงเรียน วัดนวลนรดิศ รร.เก่า อีกครั้ง. เพราะมาถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ของสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วก็มาวางศิลาฤกษ์ อาคารเรียนรวมพิเศษและเปิดมหกรรมวิชาการ Thailand 4.0 ที่ โรงเรียน


พร้อมข้อความ ลูกนวลนรดิศ ยึดมั่น และ ปฎิบัติตนตาม ค่านิยม 12 ประการ ของนายกฯบิ๊กตู่


ไปทำธุรกิจ

"นายกฯ" แจง "บิ๊กบี้" ลาออก ไปทำธุรกิจ ดักคอ สื่อ ไม่ต้องมาถามผมอีก ยันผมดูแลอยู่

นายกฯ กล่าวบนเวที ในงานที่ รร.วัดนวลนรดิศ ถึงการที่ พล.อ ศิริชัยดิษฐกุล อดีตรมว.แรงงาน และทีมลาออก

"สื่อไม่ต้องมาถามผมอีก เรื่องกระทรวงแรงงาน ท่านลาไปประกอบธุรกิจของท่าน ทุกคนก็ต้องออกตาม  

ไม่ต้องมาถามผม เรื่องผู้ช่วยรัฐมนตรี  มีคนทำงาน และรับผิดชอบอยู่แล้ว กับการรักษาการ มีอยู่แล้วไม่ต้องกังวล ทุกกระทรวงผมกำกับดูแลหมด มีปัญหาอะไรอีกไหมสื่อ ไม่ต้องมาหาเรื่องอีก" นายกฯกล่าว

"บิ๊กบี้" ลาออก ...เปิดทาง"บิ๊กตู่"ปรับครม.

"บิ๊กบี้" ลาออก ...เปิดทาง"บิ๊กตู่"ปรับครม. น้อยใจ มีข่าวจะถูกปรับออก เลยแสดงสปิริต /เผย บอก"บิ๊กป้อม"แล้ว/ จับตา "นายกฯ-บิ๊กป้อม" จะปรับครม.ใหญ่ มีเขย่า สลับเก้าอี้ กห.มั้ย/ จับตา"บิ๊กช้าง" อดีตปลัดกห.เสียบ
มีรายงานข่าว จาก ในกลาโหม ว่า บิ๊กบี้ พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน บอก บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร พี่ใหญ่ แล้ว เรื่องลาออก เพราะนอกจาก กระทรวงแรงงาน เป็นกระทรวงฝ่ายความมั่นคง ที่ พลเอกประวิตร คุม แล้ว เพราะ พลเอกประวิตร เป็นคนดึง พลเอกศิริชัย มาเป็น รมว.แรงงาน เอง ในฐานะอดีตปลัดกลาโหม และน้องรัก สายบูรพาพยัคฆ์
หลังมีข่าวนายกฯไม่พอใจผลงาน จะปรับ ออก และการใช้มาตรา 44 โยกย้ายตำแหน่งในกระทรวงแรงงาน วันนี้
....ก็ไม่แน่ว่า เป็นจังหวะ ให้ บิ๊กช้าง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล อดีตปลัดกลาโหม ที่เพิ่งเกษียณ มาเสียบ เป็น รมว.แรงงาน แทน ก็ได้. หากไม่มีการชยับเก้าอี้ ในกลาโหม. เพราะ บิ๊กป้อม ก็สุดแฮปปี้ กับ บิ๊กช้าง จนทำให้ก่อนเกษียณ มีการจับตามองกันว่า พลเอกชัยชาญ จะคัมแบ็ค
แม้ก่อนหน้าที่ พลเอกศิริชัย จะมาเป็น รมว.แรงงาน นั้น พลเอกประยุทธ์ เคยทาบทาม บิ๊กโด่ง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กห. แต่เจ้าตัว ไม่สมัครใจ เพราะอยากทำงายให้กองทัพ
จึงน่าจับตามอง อย่างยิ่งว่า คราวนี้ นายกฯกับบิ๊กป้อม จะเขย่า ครม.ใหม่ อย่างไร เพราะเชื่อกันว่า ปรับใหญ่
แล้วจะเลือกสูตร ขยับสลับเก้าอี้ ในกลาโหม หรือ เอาหน้าใหม่ มาเสียบ รมว.แรงงานเลย แม้แต่ พลเอกขัยชาญ เตรียมทหาร16 เพื่อย ผบ.เหล่าทัพ

ครม.ไม่ร้าว

ครม.ไม่ร้าว
"บิ๊กป้อม" ยัน"บิ๊กบี้" ลาออก ไม่สร้างรอยร้าวในครม. เผย ไม่ได้ปรึกษาตนเองก่อน ไม่รู้สาเหตุ คาดโยงเรื่องการทำงาน/ ให้นายกฯเลือกรัฐมนตรีคนใหม่ ยันตัวเองจะไม่เสนอใคร/รับ สัดส่วนทหาร ใน ครม ใหม่ อาจลดลง
พลเอกประวิตร กล่าวถึงการลาออก ของ พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รมว แรงงาน ว่า
ไม่รู้เหตุผล เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะไม่ได้บอกผม จะไปรู้ได้ยังไง บอก ไม่กระทบการทำงานรัฐบาล ปรับ ครม มั้ย ให้ ถามนายกฯ
ส่วนเพราะน้อยใจหรือไม่ ก็ไม่ทราบ เพราะ
ไม่รู้ไม่ได้ มาคุยกับผมก่อน
ในฐานะ ที่ดูแล กระทรวงแรงงาน จะเสนอ รมว .แรงงานคนใหม่หรือไม่ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่เสนอ ให้นายกฯตัดสินใจ เอง
ส่วนเพราะเรื่องแรงงานต่างด้าว ค้ามนุษย์หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว แต่ เป็น เริ่องการทำงานหรือไม่ ก็อาจจะเป็นได้
เมื่อถามว่า การปรับครม จะลดสัดส่วน รมต.ทหาร น้อยลงนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็อาจเป็นไปได้
ส่วน กลาโหม นั้น ไม่มีการปรับเปลี่ยน
เมื่อถามว่า ตัวท่านเองจะอยู่ต่อหรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ๆ แล้วแต่นายกฯ อยู่ที่นายกฯ
เมื่อถามว่า กรณีนี้จะทำให้เกิดรอยร้าวในครม.หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่มี ไม่มีรอยร้าว
เมื่อถามว่า หากต้องเอาทหารมาเป็น รมต. อีก กลัวข้อครหาหรือไม่ พลเอกประวิตร ย้อนถามสื่อว่า ตกลงจะเอาทหารมา หรือไม่เอาทหารมาเป็นรมต.

ทหารน้อยลง!!

ทหารน้อยลง!!
"บิ๊กป้อม" โยน นายกฯตัดสินใจ ปรับครม.เล็ก-ใหญ่ แต่ยอมรับสัดส่วนทหาร ใน ครม."ประยุทธ์5"จะลดลง/ไม่รู้ ตัวเองจะได้อยู่ต่อมั้ย ให้ไปถาม"นายกฯ"
พลเอกประวิตร รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการปรับ ครม.หลัง พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รมว แรงงาน ลาออกว่า อยู่ที่นายกฯ ว่าจะปรับอย่างไร
แม้ดูแล กระทรวงแรงงาน ตนเองก็จะไใาเสนอ รมว .แรงงานคนใหม่ แต่ ให้นายกฯตัดสินใจ เอง
เมื่อถามว่า การปรับครม จะลดสัดส่วน รมต.ทหาร น้อยลงนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็อาจเป็นไปได้
แต่ส่วน กลาโหม นั้น ไม่มีการปรับเปลี่ยน
เมื่อถามว่า ตัวท่านเองจะอยู่ต่อหรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ๆ แล้วแต่นายกฯ อยู่ที่นายกฯ
เมื่อถามว่า กรณีนี้จะทำให้เกิดรอยร้าวในครม.หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่มี ไม่มีรอยร้าว

"พี่ใหญ่" จะอยู่หรือไป...?



"พี่ใหญ่" จะอยู่หรือไป...?
"บิ๊กป้อม" บอก"ไม่รู้" ตัวเองจะหลุดเก้าอี้ รมว.กลาโหม มั้ย บอก แล้วแต่ นายกฯ เผย สัดส่วนทหาร ใน ครม."ประยุทธ์5"จะลดลง เผย ไม่คิดจะปรับครม.เก้าอี้ในกลาโหม
พลเอกประวิตร รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการปรับ ครม.หลัง พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รมว แรงงาน ลาออกว่า อยู่ที่นายกฯ ว่าจะปรับอย่างไร
แม้ดูแล กระทรวงแรงงาน ตนเองก็จะไม่เสนอ รมว .แรงงานคนใหม่ แต่ ให้นายกฯตัดสินใจ เอง
เมื่อถามว่า การปรับครม จะลดสัดส่วน รมต.ทหาร น้อยลงนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็อาจเป็นไปได้
เมื่อถามถึวในส่วนของกลาโหม จะมีการปรับเปลี่ยนในครม.หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่่ ไม่มีการปรับเปลี่ยน
เมื่อถามว่า ตัวท่านเองจะอยู่ต่อหรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ๆ แล้วแต่นายกฯ อยู่ที่นายกฯ

ถาวร แนะ”บิ๊กตู่” เห็นแก่ชาติ ปรับครม.ใหญ่ ตะเพิด 2 รมต.“เกษตรฯ –พาณิชย์”ออก

ถาวร แนะ”บิ๊กตู่” เห็นแก่ชาติ ปรับครม.ใหญ่ ตะเพิด 2 รมต.“เกษตรฯ –พาณิชย์”ออก

“ถาวร” แนะ “บิ๊กตู่” เห็นแก่ชาติปรับครม.ใหญ่ ตะเพิด 2 รมต. “เกษตรฯ –พาณิชย์” ออก หลังล้มเหลว แก้ปัญหาสินค้าเกษตร

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน นายถาวร เสนเนียม อดีตส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกรณี พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลาออกจากตำแหน่ง ว่า ตนในฐานะประชาชนที่ใช้บริการรัฐบาลชุดนี้มา 4 ปีเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯต้องปรับ ครม.ครั้งใหญ่ เพราะมีรัฐมนตรีบางคน บางกระทรวงที่กำกับดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องเกษตรกรคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนให้ประชาชนได้ ที่ผ่านมานายกฯอาจจะเกรงใจ หรือเป็นสุภาพบุรุษชาติทหารให้โอกาสพรรคพวก เพื่อนฝูง พี่น้องในการบริหารงาน แต่ทำให้พี่น้องประชาชนขาดโอกาส กระทรวงที่น่าจับตามองที่ต้องปรับครม.ครั้งนี้ คือกระทรวงที่มีความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำเป็นประวัติการณ์ เช่น ข้าวหอมประทุม ที่วันนี้ภาคเหนือ จ.เชียงราย ตกเหลือตันละ5,200 บาท ในภาคใต้เหลือ5,500 บาท ยางพาราแผ่นดิบตกเหลือกิโลกรัมละ39-41 บาท แล้วแต่พื้นที่ทั่วประเทศไทย เศษยางก้อนตกมากเหลือกิโลกรัม ละ18 บาท มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบมากกว่า40ล้านคน คือเกษตรกรชาวนา ชาวสวนยางพารา ประมาณ 30 ล้านคน และอีก10ล้านคนเป็นแรงงานรับจ้างที่เกี่ยวเนื่องในการจ้างทำนา หรือรับจ้างกรีดยาง

“ที่ผ่านมา นายกฯให้โอกาสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรงงพาณิชย์ มามากพอ และหลายครั้งแล้วในการแสดงฝีมือแก้ไขปัญหา แต่ก็ล้มเหลว สินค้าหมวดเกษตรยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ชาวไร่ชาวนาเดือดร้อนถูกกดราคา หากจะให้โอกาสต่อไปก็ควรให้หรือใช้ในเรื่องส่วนตัว แต่ไม่ใช่มาให้โอกาสทำหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ และปากท้องของประชาชน เกษตรกรคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเจ้าของประเทศ ผมจึงเรียนต่อท่านนายกฯว่าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของชาติ นายกฯควรจะปรับรัฐมนตรีทั้งสองกระทรวงนี้พ้นจากตำแหน่งได้แล้ว และควรจะเป็นการปรับ ครม.ครั้งใหญ่ โดยหาคนดีที่มีฝีมือ เป็นมืออาชีพมาทำหน้าที่แทนได้แล้ว” นายถาวร กล่าว


รูปธรรมวัดกับลมปาก

รูปธรรมวัดกับลมปาก

ไม่ได้หาเสียง แต่ใครจะให้คะแนนก็ไม่ว่า

ตามภาพข่าวที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ออกแรงแบกยกก้อนหิน ช่วยกำลังพลทหารบรรจุใส่ตาข่ายเหล็กหรือเกรเบียน ซ่อมพนังคันดินคลองส่งน้ำชลประทานที่ถูกกัดเซาะจนแตก ระหว่างตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานและผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดขอนแก่น

ลุยคลุกวงในกันถึงไซด์งานสถานที่เกิดเหตุ

แน่นอนลีลาแบบนี้ย่อมท้าทายเสียงวิจารณ์ สร้างภาพเรียกเรตติ้ง

แต่อีกนัย โดยปรากฏการณ์ที่ออกมามันก็สะท้อนว่า “นายกฯลุงตู่” มุ่งสมาธิไปที่งานเร่งด่วนเฉพาะหน้า แก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน กลบสถานการณ์กดดัน เสียงโหวกเหวกโวยวายของนักการเมืองที่ดาหน้าเรียกร้องให้ คสช.ปลดล็อกกฎเหล็กพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมเตรียมตัวเลือกตั้ง

เหลี่ยมเคลื่อนแต่ละจังหวะของผู้นำ คสช.ไม่ธรรมดาก็แล้วกัน

นั่นยังรวมถึงการออกมาประกาศภายหลังการประชุม ครม. “นายกฯลุงตู่” ได้สั่งอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังไปพิจารณามาตรการ “ช็อปช่วยชาติ” นำมาใช้ต่อช่วงปลายปี

ตีปี๊บดังๆเลยว่า ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจประเทศในภาพรวมดีขึ้น

ตามสถานการณ์ล้อไปกับข่าวดี ล่าสุดธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) จัดให้ประเทศไทยอยู่ในท็อป 10 ประเทศที่มีความก้าวหน้าในการปรับปรุงบรรยากาศทางธุรกิจมากที่สุด บนพื้นฐานของการลงมือปฏิรูป ความพยายามส่งเสริมการลงทุนและสร้างงานผ่านการลดกฎระเบียบจุกจิกทางราชการและข้อบังคับต่างๆ

เป็นครั้งแรกของประเทศไทยในรอบ 15 ปี

ถือเป็นผลงานแท้และเป็นรูปธรรมที่การันตีโดยองค์กรระดับโลก ต่อเนื่องจากการเลื่อนอันดับความสามารถในการแข่งขันโดย “IMD” ในปี 2560 ประเทศไทยขึ้นจากอันดับที่ 28 เป็นอันดับที่ 27

ไล่เลี่ยกันกับรายงานล่าสุดของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยรั้งอันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศ และเขตเศรษฐกิจทั่วโลก สูงขึ้นจากอันดับที่ 34 โดยไทยมีคะแนนดีขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคและโครงสร้างพื้นฐาน

นั่นคือมาตรฐานขององค์กรระดับโลกที่ประมวลจากหลายปัจจัย ไม่ได้ให้คะแนนกันง่ายๆ

ไม่เหมือนลมปากของนักการเมืองที่อำบลัฟ ด่ากันลอยๆ

เพราะฉะนั้น ยึดตามข้อมูลที่การันตีโดยองค์กรระดับโลกไม่ต้องสงสัยในกระบวนการที่มาที่ไป ก็ต้องยกเครดิตให้

พล.อ.ประยุทธ์และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

ที่ออกแรงนวดเฟ้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเกือบ 2 ปีเต็ม

แก้ปมติดล็อกจากข้าราชการที่ใส่ “เกียร์ว่าง” ผลตกค้างจากขั้วการเมืองแตกแยก เศรษฐกิจที่คิดหล่มวิกฤติขัดแย้ง ม็อบปิดบ้านปิดเมือง จ่อสภาพรัฐล้มเหลวหนีไม่พ้นการรัฐประหาร ต่างชาติตั้งแง่รังเกียจรัฐบาลท็อปบูต ไม่พูดไม่คุยไม่สุงสิงด้วยในช่วงปีแรกๆ

แต่วันนี้รัฐบาล คสช.ทั้งลากทั้งเข็นกันมาได้ขนาดนี้

ใครไม่ปรบมือให้ก็ถือว่า ไร้สปิริตไปหน่อย

และมันก็ถือเป็นสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจภาพรวมที่เด่นชัด มาช่วยรัฐบาลเคลียร์กระแสร้อนๆ

หลังโดนประจานว่า ตอนนี้กำลังถังแตกอย่างหนัก

โดยเฉพาะปม “ริบบัญชีเงินฝากเข้าคลัง” ที่เจอแรงต้านธนาคารพาณิชย์พยายามขวางลำ เขี่ยลูกไปเข้าเหลี่ยมนักการเมืองที่ได้ทีบลัฟรัฐบาลบ้อท่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

แต่เท่าที่เช็กข้อมูลวงใน โดยความตั้งใจของ “ขุนคลัง” อย่างนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ที่เป็นนักการธนาคารมืออาชีพ รู้ดีว่าธนาคารทั่วไปมีเงินฝากแบบนี้เยอะ บัญชีที่ลูกค้าไม่ได้ติดต่อ ขณะที่ธนาคารนำเงินไปใช้ประโยชน์ได้สบาย

โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย แถมได้เก็บค่ารักษาบัญชีอีกต่างหาก

รัฐบาลจึงต้องการจัดระเบียบเงินตรงนี้ ซึ่งรวมๆแล้วมีอยู่หลายหมื่นล้านบาท แต่หากเจ้าของบัญชีติดต่อก็คืนให้ ตรงนี้ผู้บริหารสำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มือใหม่ไม่ได้อธิบายให้เข้าใจ และปัญหาคือฝ่ายที่เสียประโยชน์คือธนาคารพาณิชย์จะไม่ได้จับเสือมือเปล่าอีกต่อไป

ในจังหวะแรงกระแทกเลยตีกลับ “ขุนคลัง” ผู้ไม่ประสีประสาการเมือง

เรื่องแย่ๆไหลเข้าเหลี่ยมนักเลือกตั้งอาชีพรีบขยายผลใส่หูชาวบ้าน ดิสเครดิตรัฐบาล “หน้ามืด”

ฟังแล้วเข้าใจง่ายกว่าข่าวต่างชาติยกระดับเครดิตเศรษฐกิจไทย.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

รอก่อนก็แล้วกัน

รอก่อนก็แล้วกัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช. พูดชัดถ้อยชัดคำ

ยังไม่ถึงเวลาปลดล็อกให้นักการเมือง เคลื่อนไหว เตรียมลงสนามเลือกตั้งได้อย่างอิสรเสรี

(แม้วันนี้ พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่เริ่มบังคับใช้แล้วก็ตาม)

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าเวลานี้บ้านเมืองสงบดี หากรีบปลดล็อกให้นักการเมืองเคลื่อนไหวโครมครามๆ อาจเกิดชุลมุนวุ่นวาย

ฉะนั้น ควรรอให้ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ประกาศใช้เสียก่อน

รอให้การสรรหา กกต.ชุดใหม่เสร็จเสียก่อน

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วปลดล็อกก็ยังไม่สายเกินเพล

ส่วนการรับสมัครสมาชิกพรรค การประชุมพรรค จะปลดล็อกอย่างไรให้ทันกรอบเวลาที่กำหนดไว้ใน ก.ม.พรรคการเมือง

รอให้ได้ข้อสรุปชัดเจนก่อน แล้วจะประกาศให้ทราบอีกที

“แม่ลูกจันทร์” ตีความคำพูดของ “พล.อ.ประยุทธ์” ผู้มีอำนาจไขกุญแจล็อกแต่ผู้เดียว

เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมแผนปลดล็อกเป็น 2 ขยัก 2 ช่วงเวลา

โดยจะไขกุญแจปลดล็อกขยักละ 50 เปอร์เซ็นต์

ขยักที่ 1, จะปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมเฉพาะที่จำเป็นตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.พรรคการเมือง

เช่น การตรวจสอบรายชื่อสมาชิกพรรค การเปิดรับสมัครสมาชิกพรรค การจัดประชุมพรรคเพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคตามกติกา

คาดว่าจะปลดล็อกก๊อกแรกก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายน

หรืออย่างช้าต้นเดือนธันวาคม

ขยักที่ 2, พล.อ.ประยุทธ์จะไขกุญแจปลดล็อกอีก 50 เปอร์เซ็นต์

หลังจากร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.คลอดออกมาบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

หลังจากสรรหา กกต.ชุดใหม่ครบ 7 คน เพื่อทำหน้าที่จัดเลือกตั้งแทน 5 เสือ กกต.ชุดเดิม

เพื่อให้พรรคการเมืองมีเวลาเตรียมจัดโผผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและคัดเลือกบุคคลที่จะส่งลงเลือกตั้ง ส.ส.เขต และเงื่อนไขอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง...

ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการยุ่งยากยืดยาวยิ่งกว่ากติกาเลือกตั้ง ส.ส.แบบเก่าอีกเท่าตัว

“แม่ลูกจันทร์” คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะปลดล็อกให้นักการเมืองเคลื่อนไหวเต็มลูกสูบ 100 เปอร์เซ็นต์ ราวปลายเดือนพฤษภาคมปีหน้า

หรืออย่างช้าก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน

เพราะถ้าปลดล็อกช้ากว่านั้น พรรคการ เมืองจะเตรียมตัวไม่ทันการเลือกตั้งใหญ่ที่กำหนดจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า

ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ลั่นวาจาไว้แล้วฉะนั้นแล

“แม่ลูกจันทร์” ไม่ห่วงพรรคการเมือง ใหญ่ๆจะเตรียมตัวไม่ทัน

แต่เป็นห่วงพรรคเล็กๆ และพรรคตั้งใหม่จะไม่สามารถปฏิบัติตามกฎเหล็กที่กำหนดไว้ใน ก.ม.พรรคการเมือง

เช่น...ต้องลงขันตั้งทุนประเดิมพรรค 1 ล้านบาท

ทุกพรรคต้องมีสมาชิกริเริ่มจัดตั้งไม่ตํ่ากว่า 250 คน

ปีแรกต้องมีสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่าห้าพันคน

ภายใน 4 ปี ต้องมีสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน

สมาชิกพรรคทุกคนต้องจ่ายเงินค่าสมาชิกคนละ 100 บาทต่อปี

ต้องจัดตั้งสาขาพรรคที่มีประชาชนในพื้นที่เป็นสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่าสาขาละ 500 คน ฯลฯ

ปัดโธ่...เขียนกติกาโหดๆแบบนี้

พรรคเล็กๆก็ตายเรียบน่ะซีโยม.

"แม่ลูกจันทร์"

รากเน่าของการโยกย้าย อธิบดีกรมการจัดหางาน 24 ปี 20 คน

รากเน่าของการโยกย้าย
อธิบดีกรมการจัดหางาน
24 ปี 20 คน
-------------
กรมการจัดหางานเป็นข่าวดังอีกครั้งภายหลังจาก “บิ๊กตู่”พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจมาตรา 44 สั่งย้ายนายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางานไปเป็นรองปลัดกระทรวง จนเป็นเหตุให้ “บิ๊กบี้”พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยกทีมลาออกโดยสาเหตุคาดกันว่าน่าจะมาจากเรื่องการบริหารแรงงานต่างด้าว

จริงๆแล้วหากฝ่ายการเมืองไม่ได้ตบเท้าลาออก การโยกย้ายอธิบดีกรมการจัดหางานครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะนั่นคือวิถีแห่งชะตากรรมของผู้กุมอำนาจสูงสุดในหน่วยงานแห่งนี้ที่ดำเนินในลักษณะนี้เรื่อยมา

กรมการจัดหางานตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2536 ภายหลังจากที่กรมแรงงานยกระดับเป็นกระทรวงแรงงาน แต่เชื่อหรือไม่ว่าหน่วยงานแห่งนี้ใช้อธิบดีเปลืองที่สุดในลำดับต้นๆของระบบราชการไทย

นับตั้งแต่ก่อตั้งกรมจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 24 ปี หน่วยงานแห่งนี้มีอธิบดีแล้วถึง 20 คน เฉลี่ยแล้วคนหนึ่งนั่งเก้าอี้นี้แค่ 1.2 ปี ซึ่งน้อยคนนักที่จะอยู่ครบวาระหรือได้เกษียณอายุในตำแหน่ง นับตั้งแต่อธิบดีคนแรกคือนายสินไชย เหรียญตระกูล ที่อยู่ได้เพียงไม่ถึง 2 ปีก็ถูกโยกย้าย และคนอื่นๆต่างก็ไม่รอดพ้นชะตากรรมนี้

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ถ้าแบ่งงานของกรมการจัดหางานแบบหยาบๆออกเป็นการจัดหางานภายในประเทศและการจัดหางานต่างประเทศ จะพบว่าอดีตอธิบดีหลายคนต้องมีอันเป็นไปเนื่องจากมีส่วนพัวพันกับการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในการจัดส่งแรงงานไปต่างประเทศ

ในยุคที่แรงงานไทยนิยมไปขุดทองต่างประเทศนับแสนคน ทั้งที่ตะวันออกกลาง อิสราเอล ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี เม็ดเงินมหาศาลจากค่าหัวคิวแรงงานได้ถูกส่งผ่านบริษัทจัดหางานเข้าสู่มือผู้บริหารอย่างเป็นกอบเป็นกำ บางคนแม้นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงแต่กลับตั้งบริษัทจัดหางานซะเองโดยใช้นอมินี 

ในปี 2545 หัวคิวแรงงานได้พ่นพิษถึงขนาดทำให้อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน อธิบดีกรมการจัดหางาน และผู้บริหารระดับสูงอีกหลายคนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงและสรุปผลให้ออกจากราชการ

อธิบดีกรมการจัดหางานอีกหลายต่างก็เผลิญชะตากรรมต่างๆนาๆ บางยุคต้องสนองต่อนักการเมือง ถ้าไม่ทำก็ถูกย้าย บางยุคก็ดูจะตรงเกินไปทำให้กลไกบางอย่างทำงานยากก็ถูกย้าย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเป็นรัฐมนตรีคนไหนก็ตามที่เข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้ากระทรวงกรรมกร ก็มักจะให้คนที่ตนไว้ใจมานั่งเก้าอี้อธิบดีกรมนี้เพื่อประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม

การจับจ้องและมุ่งแต่ผลประโยชน์เฉพาะตัวและเฉพาะกลุ่มทำให้การบริหารงานของกรมการจัดหางานไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

หลังจากพ้นยุคขุดทองของการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศเพราะรายได้ไม่หอมหวนเหมือนในอดีต แถมยังมีการต้มตุ๋นหลอกลวงไม่สร้างซา ประกอบกับการจ้างงานภายในประเทศดีขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเริ่มขาดแคลนในอาชีพที่เหนื่อยและหนัก จึงมีการเปิดรับแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติคือพม่า กัมพูชาและลาว เข้ามาอย่างถูกต้อง และเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการค้ามนุษย์ยุคปัจจุบัน

การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในแต่ละครั้งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่บริษัทจัดหางานและผู้ที่เกี่ยวข้องว่าแต่ละกระบวนการทุกขั้นตอนต้อง “จ่ายเพิ่ม”ให้ใคร เท่าไร เพื่ออำนวยความสะดวก ซึ่งแรงานข้ามชาติมีไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน เพราะฉะนั้นเม็ดเงินนอกระบบจึงมหาศาล

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทิศทางการทำงานของกรมการจัดหางานกลับไปมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาในเรื่องผลประโยชน์ที่ถูกจับจ้อง ทั้งๆที่ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรในวัยแรงงานอยู่ 39 ล้านคน ขณะที่มีแรงงานที่เดินทางทำงานต่างประเทศอยู่เพียงหยิบมือเดียวคือราว 1 แสนคน และแรงงานข้ามชาติ 2-3 ล้านคน แต่นโยบายการจัดหางานให้แรงงานในประเทศกลับถูกกลบหาย

ทุกวันนี้กรมการจัดหางานทำได้อย่างมาก็คือการจัดตลาดนัดแรงงาน ขณะที่การส่งเสริมการมีงานทำในรูปแบบอื่นๆ ทั้งในอาชีพต่างๆที่เกิดขึ้นใหม่ๆและการวิจัยเฝ้าระวังสถานการณ์ในอนาคตเพื่อรองรับตลาดแรงงานในวันข้างหน้ากลับไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร

การโยกย้ายอธิบดีกรมการจัดหางานในครั้งนี้ก็คงไม่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ หากยังไม่มีการแหวกม่าน-ปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายส่งเสริมการมีงานทำ

เชื่อว่าอีกไม่ช้าไม่นาน วัฏจักรเดิมๆก็จะวนกลับมาอีก
----------------------
ที่มา : เพจ
Paskorn Jumlongrach

ราชกิจจาฯ ประกาศ"บิ๊กบี้" ลาออก แล้ว

ราชกิจจาฯ ประกาศ"บิ๊กบี้" ลาออก แล้ว ความเป็น รมต.แรงงาน สิ้นสุดลง ตั้งแต่ 1 พย.2560
ด้วย พลเอกศิริชัย. ดิษฐกุล. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ความเป็นรัฐมนตรี ของพลเอกศิริชัย ดิษฐกุล จึงสิ้นสุดลง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560
ตามความในมาตรา 170 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ประกาศ ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2560
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี