PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

รูปธรรมวัดกับลมปาก

รูปธรรมวัดกับลมปาก

ไม่ได้หาเสียง แต่ใครจะให้คะแนนก็ไม่ว่า

ตามภาพข่าวที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ออกแรงแบกยกก้อนหิน ช่วยกำลังพลทหารบรรจุใส่ตาข่ายเหล็กหรือเกรเบียน ซ่อมพนังคันดินคลองส่งน้ำชลประทานที่ถูกกัดเซาะจนแตก ระหว่างตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานและผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดขอนแก่น

ลุยคลุกวงในกันถึงไซด์งานสถานที่เกิดเหตุ

แน่นอนลีลาแบบนี้ย่อมท้าทายเสียงวิจารณ์ สร้างภาพเรียกเรตติ้ง

แต่อีกนัย โดยปรากฏการณ์ที่ออกมามันก็สะท้อนว่า “นายกฯลุงตู่” มุ่งสมาธิไปที่งานเร่งด่วนเฉพาะหน้า แก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน กลบสถานการณ์กดดัน เสียงโหวกเหวกโวยวายของนักการเมืองที่ดาหน้าเรียกร้องให้ คสช.ปลดล็อกกฎเหล็กพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมเตรียมตัวเลือกตั้ง

เหลี่ยมเคลื่อนแต่ละจังหวะของผู้นำ คสช.ไม่ธรรมดาก็แล้วกัน

นั่นยังรวมถึงการออกมาประกาศภายหลังการประชุม ครม. “นายกฯลุงตู่” ได้สั่งอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังไปพิจารณามาตรการ “ช็อปช่วยชาติ” นำมาใช้ต่อช่วงปลายปี

ตีปี๊บดังๆเลยว่า ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจประเทศในภาพรวมดีขึ้น

ตามสถานการณ์ล้อไปกับข่าวดี ล่าสุดธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) จัดให้ประเทศไทยอยู่ในท็อป 10 ประเทศที่มีความก้าวหน้าในการปรับปรุงบรรยากาศทางธุรกิจมากที่สุด บนพื้นฐานของการลงมือปฏิรูป ความพยายามส่งเสริมการลงทุนและสร้างงานผ่านการลดกฎระเบียบจุกจิกทางราชการและข้อบังคับต่างๆ

เป็นครั้งแรกของประเทศไทยในรอบ 15 ปี

ถือเป็นผลงานแท้และเป็นรูปธรรมที่การันตีโดยองค์กรระดับโลก ต่อเนื่องจากการเลื่อนอันดับความสามารถในการแข่งขันโดย “IMD” ในปี 2560 ประเทศไทยขึ้นจากอันดับที่ 28 เป็นอันดับที่ 27

ไล่เลี่ยกันกับรายงานล่าสุดของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยรั้งอันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศ และเขตเศรษฐกิจทั่วโลก สูงขึ้นจากอันดับที่ 34 โดยไทยมีคะแนนดีขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคและโครงสร้างพื้นฐาน

นั่นคือมาตรฐานขององค์กรระดับโลกที่ประมวลจากหลายปัจจัย ไม่ได้ให้คะแนนกันง่ายๆ

ไม่เหมือนลมปากของนักการเมืองที่อำบลัฟ ด่ากันลอยๆ

เพราะฉะนั้น ยึดตามข้อมูลที่การันตีโดยองค์กรระดับโลกไม่ต้องสงสัยในกระบวนการที่มาที่ไป ก็ต้องยกเครดิตให้

พล.อ.ประยุทธ์และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

ที่ออกแรงนวดเฟ้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเกือบ 2 ปีเต็ม

แก้ปมติดล็อกจากข้าราชการที่ใส่ “เกียร์ว่าง” ผลตกค้างจากขั้วการเมืองแตกแยก เศรษฐกิจที่คิดหล่มวิกฤติขัดแย้ง ม็อบปิดบ้านปิดเมือง จ่อสภาพรัฐล้มเหลวหนีไม่พ้นการรัฐประหาร ต่างชาติตั้งแง่รังเกียจรัฐบาลท็อปบูต ไม่พูดไม่คุยไม่สุงสิงด้วยในช่วงปีแรกๆ

แต่วันนี้รัฐบาล คสช.ทั้งลากทั้งเข็นกันมาได้ขนาดนี้

ใครไม่ปรบมือให้ก็ถือว่า ไร้สปิริตไปหน่อย

และมันก็ถือเป็นสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจภาพรวมที่เด่นชัด มาช่วยรัฐบาลเคลียร์กระแสร้อนๆ

หลังโดนประจานว่า ตอนนี้กำลังถังแตกอย่างหนัก

โดยเฉพาะปม “ริบบัญชีเงินฝากเข้าคลัง” ที่เจอแรงต้านธนาคารพาณิชย์พยายามขวางลำ เขี่ยลูกไปเข้าเหลี่ยมนักการเมืองที่ได้ทีบลัฟรัฐบาลบ้อท่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

แต่เท่าที่เช็กข้อมูลวงใน โดยความตั้งใจของ “ขุนคลัง” อย่างนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ที่เป็นนักการธนาคารมืออาชีพ รู้ดีว่าธนาคารทั่วไปมีเงินฝากแบบนี้เยอะ บัญชีที่ลูกค้าไม่ได้ติดต่อ ขณะที่ธนาคารนำเงินไปใช้ประโยชน์ได้สบาย

โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย แถมได้เก็บค่ารักษาบัญชีอีกต่างหาก

รัฐบาลจึงต้องการจัดระเบียบเงินตรงนี้ ซึ่งรวมๆแล้วมีอยู่หลายหมื่นล้านบาท แต่หากเจ้าของบัญชีติดต่อก็คืนให้ ตรงนี้ผู้บริหารสำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มือใหม่ไม่ได้อธิบายให้เข้าใจ และปัญหาคือฝ่ายที่เสียประโยชน์คือธนาคารพาณิชย์จะไม่ได้จับเสือมือเปล่าอีกต่อไป

ในจังหวะแรงกระแทกเลยตีกลับ “ขุนคลัง” ผู้ไม่ประสีประสาการเมือง

เรื่องแย่ๆไหลเข้าเหลี่ยมนักเลือกตั้งอาชีพรีบขยายผลใส่หูชาวบ้าน ดิสเครดิตรัฐบาล “หน้ามืด”

ฟังแล้วเข้าใจง่ายกว่าข่าวต่างชาติยกระดับเครดิตเศรษฐกิจไทย.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น: