PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“รัฐต้องไม่นิรโทษกรรมตัวเอง กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องได้รับการสืบสวนและถูกบันทึก”

แถลงการณ์เครือข่ายพลเมืองเน็ต
“รัฐต้องไม่นิรโทษกรรมตัวเอง กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องได้รับการสืบสวนและถูกบันทึก”
ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ต่อเนื่องสู่การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และเหตุการณ์หลังจากนั้น การแสดงออกทางการเมืองได้ทวีความเข้มข้นและขยายตัวมากขึ้น ทั้งในรูปแบบการชุมนุมบนพื้นที่กายภาพและการแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่สื่อทุกชนิด ซึ่งในหลายวาระก็ตามมาด้วยการปะทะกัน ทั้งระหว่างประชาชนกับรัฐ ประชาชนกับประชาชน หรือกับกลุ่มไม่ทราบฝ่าย ทั้งด้วยกำลังและด้วยการดำเนินคดีตามกฎหมาย
ในส่วนของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงนักข่าวและอาสาสมัครกู้ชีพ เป็นที่ชัดเจนว่าพบการใช้มาตรการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในระหว่างการชุมนุมและการสลายการชุมนุม ซึ่งจำเป็นต้องมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป
ในส่วนผู้ที่ถูกดำเนินคดี ปรากฏการกล่าวหาว่ามีความผิดตามกฎหมายความมั่นคงฉบับต่างๆ ที่ประกาศใช้ในเวลานั้น หรือตามกฎหมายที่กำหนดให้การแสดงออกบางลักษณะเป็นอาชญากรรม หรือตามกฎหมายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงแต่ถูกใช้เพื่ออ้างเหตุให้จับกุมฟ้องร้องได้ กฎหมายต่างๆ ดังกล่าวเช่น พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551
คดีเหล่านั้นจำนวนหนึ่ง อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลสั่งยกฟ้อง หรือศาลตัดสินว่าจำเลยไม่มีความผิด (แต่ติดคุกไปแล้วหลายปี) อย่างไรก็ตามยังมีคดีอีกจำนวนมากที่ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม และบางคดีก็ยังใช้พยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่รัฐได้ยอมรับต่อศาลในคดีอื่นแล้วว่า เป็นหลักฐานที่หน่วยงานความมั่นคงที่ตนสังกัดสร้างขึ้นมาโดยหวังผลทางการเมือง
เนื่องด้วยขณะนี้กำลังมีการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อยกเลิกความผิดทางการเมืองและความผิดที่เกี่ยวข้องกับการปะทะกันทางการเมืองทั้งหมด “แบบเหมาเข่ง” โดยการสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยและส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเสื้อแดง เครือข่ายพลเมืองเน็ตมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้
  1. การนิรโทษกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรองดอง ซึ่งยังประกอบไปด้วยกระบวนการค้นหาความจริง การนำผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาลงโทษ การขอโทษอย่างเป็นทางการ การทำให้มีหลักประกันว่าจะไม่มีการกระทำผิดซ้ำอีก และการเยียวยาอื่นๆ
  2. การนิรโทษกรรมจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วน คำนึงถึงผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย ให้สามารถกลับไปมีเสรีภาพดังเดิมโดยเร็วที่สุด คำนึงถึงประโยชน์ที่กลุ่มประชาชนดังกล่าวจะได้รับ พร้อมกับรักษาสิทธิในการได้รับการเยียวยาทางจิตใจ
  3. การนิรโทษกรรมกลุ่มบุคคลที่แสดงออกทางการเมืองด้วยการร่วมชุมนุมและการแสดงออกรูปแบบอื่นๆ เป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้กระบวนการการเมืองในสังคมเดินต่อไปได้
  4. การนิรโทษกรรมจะต้องไม่รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ผู้มีส่วนร่วมดังกล่าวทั้งหมดจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการค้นหาความจริงและการเยียวยาทางจิตใจแก่ผู้เสียหาย
  5. การนิรโทษกรรมแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการแยกประเภทของฐานความผิดหรือมูลเหตุชักจูงใจ ไม่มีการกำหนดว่าผู้กระทำผิดจะต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้างก่อนจะได้รับนิรโทษกรรม เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไม่ต้องรับผิด และจะทำให้สังคมไทยไม่หลุดจากวังวนของการละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำซาก
การบิดเบือนการนิรโทษกรรม จะเป็นการ “กลับไปเริ่มจากศูนย์” ในวันนี้ เพื่อพบว่าจะต้อง “กลับไปเริ่มจากศูนย์” ในวันข้างหน้าอีกไม่รู้จบ เราขอเชิญชวนทุกฝ่ายที่ต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นจริง ร่วมกันคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมแบบไม่มีเงื่อนไขที่กำลังถูกพิจารณาอยู่ในขณะนี้
เครือข่ายพลเมืองเน็ต
30 ตุลาคม 2556
วันสากลเพื่อหยุดการไม่ต้องรับผิด

นาทีประกบยิงที่ปัตตานี

 เวลาประมาณ ๐๖๓๐ น. คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่เทศบาลเสียชีวิต ๑ ราย ทราบชื่อ นายวิชาญ ชะฎารัฐ อายุ ๔๑ ปี อยู่บ้านเลขที่ -- ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
สถานที่เกิดเหตุ สวนจิตรมนตรี หมู่ที่ ๑ ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี //// ภาพการนำเสนอครั้งไม่มีเจตณาเป็นอย่างอื่น เป็นการนำเสนอเพื่อเป็นสติเตือนใจในการใช้­ชีวิตประจำวันใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ การขับขี่จักรยานยนต์ต้องระมัดวังระวังในก­ารขับขี่ การมาประกบ ระหว่าง ขับขี่อันตรายมาก ดูเพื่ออุทาหรณ์เตือนใจ ขออภัยหากผิดพลาดประการใดขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=P6esga_epB4

http://www.youtube.com/v/P6esga_epB4?version=3&autohide=1&autohide=1&feature=share&showinfo=1&autoplay=1&attribution_tag=S-skdXgNUlMlK96ZOxgGtw

3 พยาบาลร้องไห้ขอโทษลงรูปไม่อันควรผู้วายชนย์ในโซเซียลเน็ตเวิร์ค

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 ต.ค. 56 ที่ห้อประชุมชั้น 3 ตึกอำนวยการโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส นายฉัตรชัย ศรีนามวงศ์ ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีที่พยาบาลของโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ลงรูปภาพที่บันทึกด้วยโทรศัพท์มือถือ ภายในห้องฉุกเฉินเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 56 ที่ในขณะนั้นพยาบาลกำลังช่วยกันตกแต่งศพของ จ.ส.ต.นิมิตร ดีวงศ์ ผบ.หมู่ นปพ.จ.นราธิวาส ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ที่ถูกระเบิดเสียชีวิตพร้อมกับ ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ รอง หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ที่มีการชูนิ้วขึ้น 2 นิ้ว จำนวน 2 คน ในภาพที่มีการนำไปลงในระบบโซเซียลเน็ตเวิร์ค ในช่วงดึกของวันที่ 29 ต.ค. 56 ที่ผ่านมา และชาวโซเซียลเน็ตเวิร์คได้นำไปโพสแชร์ต่อๆกันเป็นทอดๆ และเขียนข้อความด่าท้อว่าไม่สมควรทำกับผู้วายชนย์

โดยนายฉัตรชัย ศรีนามวงศ์ ผอ.รพ.นราธิวาสฯ แถลงว่า ยอมรับว่าภาพที่เผแพร่เป็นภาพที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนราธิวาสฯจริง จากการสอบสวนในเบื้องต้นเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของผู้ป่วย ซึ่งถือว่าผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ เนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คณะทำงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้น ทุกๆคนทำงานด้วยความตั้งใจเต็มใจและมุ่งมั่น ทางโรงพยาบาลจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนการกระทำผิดและลงโทษทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ตนจึงขออภัยและแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย และจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีก


ต่อมานายฉัตรชัย ผอ.รพ.นราธิวาสฯได้เชิญตัวพยาบาล 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับภาพดังกล่าวมาแถลงต่อสื่อมวลชน โดย น.ส.พัซเราะห์ รอดอมาแซะ พยาบาลห้องคลอด ซึ่งเห็นหน้าในรูปที่โพสเปิดเผยว่า ดิฉันได้รับมอบหมายไปทำการชันสูตรพลิกศพและตกแต่งศพ ความรู้สึกแรกดีใจมาก เพราะผู้สูญเสียทั้ง 3 ท่านเป็นฮีโร่ในดวงใจ หนูเขาไปทำงานตรงนั้นไม่มีเจตนาอย่างอื่น แต่ที่ถ่ายไปเป็นบรรยากาศการทำงาน ซึ่งปัจจุบันหนูทำงานห้องคลอดไม่มีโอกาสบ่อยครั้งที่สามารถช่วยเหลือชีวิต


ด้าน น.ส.โนซีรา ดอเลาะ ซึ่งเห็นเฉพาะชูนิ้ว 2 นิ้ว ในรูปที่โพส เปิดเผยว่า คือหลังจากที่เรากำลังเย็บแผล ได้หันมาดูกล้องเพื่อที่จะบอกว่าเรายังสู้สู้เพื่อที่จะทำหน้าที่นั้น ไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่น และไม่มีเจตนาที่จะนำไปโพส เพราะรูปนั้นมันไม่ได้หลุดออกมาจากหนู


ด้าน น.ส.โนรีซา เจ๊ะแล ซึ่งเป็นพยาบาลห้องคลอด เจ้าของโทรศัพท์มือถือและเป็นคนที่ถ่ายภาพดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่นจึงขอให้สังคมให้อภัยด้วย


//////////////////////////////// 30 ตุลาคม 2556

https://www.facebook.com/photo.php?v=554202394655604&set=vb.100001975458300&type=2&theater

แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เรื่อง หยุดการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรม หยุดการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย

แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เรื่อง หยุดการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรม หยุดการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย
การแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรมที่กำลังบังเกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยนับว่าเป็นการกระทำที่ “บิดเบือน” ต่อหลักการสำคัญของกฎหมายนิรโทษกรรมที่ได้มีการนำเสนอไว้ในวาระแรกอย่างแจ้งชัด ความเร่งรีบต่อการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวก็ยิ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษอันบิดเบี้ยวฉบับนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธ
กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ประเด็นสำคัญของกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งพอจะเป็นที่ยอมรับกันได้อย่างกว้างขวางในชั้นต้นก็คือ การนิรโทษกรรมให้แก่บรรดามวลชนที่เข้าร่วมการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดหรือสีใดก็ตาม ซึ่งก็ได้เป็นส่วนสำคัญของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่เสนอในวาระแรกโดย ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยเอง รวมทั้งการยืนยันว่าจะไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาผู้นำ ผู้สั่งการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้กระทำความผิดอย่างรุนแรงต่อการทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชนขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมาสู่การพิจารณาในวาระที่สอง พรรคเพื่อไทยก็ได้ปฏิบัติการ “ตระบัดสัตย์” ต่อหลักการที่นำเสนอมา
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ดังต่อไปนี้
ประการแรก การออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งซึ่งทำให้บุคคลทุกฝ่ายพ้นไปจากความผิด จะเป็นการกระทำที่ทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยถูกซุกเข้าไปอยู่ใต้พรมอีกครั้งหนึ่ง นอกจากจะทำให้บุคคลซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามสามารถลอยนวลไปจากความผิดแล้ว สังคมไทยจะไม่ได้เรียนรู้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมาบังเกิดขึ้นได้อย่างไร และโดยกระบวนการอย่างไร และใครบ้างที่ควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ อันจะเป็นประเด็นสำคัญต่อการทำความเข้าใจและนำไปสู่การพยายามป้องกันไม่ให้ความรุนแรงได้บังเกิดซ้ำรอยขึ้นอีกในอนาคต
ประการที่สอง แม้กฎหมายนิรโทษกรรมอยู่ในอำนาจทางการเมืองของฝ่ายนิติบัญญัติก็ตาม แต่การใช้อำนาจในทางการเมืองก็ต้องตระหนักถึงผลกระทบที่จะติดตามมาจากการใช้อำนาจดังกล่าว ซึ่งกรณีการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรมโดยพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่ากำลังสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงการไม่เห็นด้วยในหมู่ญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ บรรดาแกนนำหรือนักการเมืองฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก็ต่างพร้อมเข้าสู่กระบวนการพิจาณาคดีเพื่อให้ความจริงปรากฏ ความพยายามในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งของพรรคเพื่อไทยจึงไม่อาจถูกมองไปเป็นอย่างอื่นได้นอกจากการมุ่งรับใช้ “นายใหญ่” แบบไม่ลืมหูลืมหา กระทั่งไม่สนใจว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวจะสร้างผลเสียเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด
ประการที่สาม แม้ว่าฝ่ายเสื้อแดงจำนวนหนึ่งอาจไม่อยากแสดงความขัดแย้งต่อพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีความเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพันธมิตรกับฝ่ายตนเองมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ แต่ต้องพึงตระหนักว่าการจะสัมพันธ์กับพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม พรรคการเมืองก็จะต้องรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของบุคคลผู้ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรค หากพรรคการเมืองใดตัดสินใจดำเนินนโยบายของตนไปโดยเห็นแก่ผู้มีอำนาจภายในพรรคและไม่เห็นหัวฐานเสียงของพรรค ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้การสนับสนุนพรรคดังกล่าวต่อไป
มวลชนคนเสื้อแดงควรต้องตระหนักว่าพรรคเพื่อไทยก็จะอยู่ในภาวะเฉกเช่นเดียวกันกับพรรคการเมืองอื่นๆ หากยังคงดำเนินการไปในลักษณะที่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเสียงเรียกร้องที่ได้บังเกิดขึ้น ทั้งต้องตระหนักว่าการปกป้องระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่การปกป้องพรรคเพื่อไทย หากมวลชนคนเสื้อแดงไม่สามารถกดดันให้พรรคเพื่อไทยทำการแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรมได้ก็แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยก็พร้อมจะทิ้งกลุ่มที่เป็นมวลชนของพรรคไปได้อย่างง่ายดายเช่นกัน พรรคการเมืองเช่นนี้ย่อมไม่สามารถฝากความหวังต่อการพัฒนาประชาธิปไตยต่อไปได้อย่างแน่นอน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ตระหนักถึงความจำเป็นของการออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้ร่วมกันกดดันและปฏิบัติการเพื่อยุติการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรมและการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย ด้วยการแสดงความเห็นคัดค้านและถอนตัวจากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นการแสดงถึง “อำนาจ” ของประชาชนในการกำกับนโยบายและทิศทางของพรรคการเมือง ทั้งนี้จะไม่เพียงเป็นการสั่งสอนพรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากยังจะเป็นบทเรียนให้กับพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ตระหนักต่อไปถึงความสำคัญของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองต่อไปในวันข้างหน้า
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
30 ตุลาคม 2556
- See more at: http://www.prachatai3.info/journal/2013/10/49479#sthash.nzwnOopZ.l1VNDlWV.dpuf

เรื่องของ “แอนดี้ ริคเคอร์” ที่ “เชฟอาหารไทย” ในอเมริกาควรอ่าน

รายงานหน้าหนึ่ง : เรื่องของ “แอนดี้ ริคเคอร์” ที่ “เชฟอาหารไทย” ในอเมริกาควรอ่าน

แอนดี้ ริคเคอร์

หนังสือตำราอาหารไทย "ป๊อกป๊อก" ของแอนดี้ ริคเคอร์ วางแผงในอเมริกาวันที่ 29 ตุลาคม 2013

ภาพประกอบในหนังสือ ป๊อกป๊อก

เชฟ แอนดี้ ริคเคอร์ (สามจากซ้าย) ร่วมกับเหล่าเซเลบริตีเชฟของอเมริกา ร่วมเสวนาถึงอาหารไทยในอเมริกา ในงาน ไทยฟู้ดเฟสติวัล ที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอส แอนเจลิส จัดขึ้นที่ พาราเมาท์ พิกเจอร์ สตูดิโอ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2013


ในบรรดา “เซเลบริตีเชฟ” ที่สร้างชื่อเสียงจากอาหารไทยนั้น นอกเหนือจากเชฟไทยอย่าง เชฟเจ็ต ติลา และเชฟหนุ่มคลื่นลูกใหม่อย่าง คริส เย็นบำรุง หรือเชฟของร้านอาหารไทยดังๆ ที่ถือเป็น “โลเคิล เซเลบริตี เชฟ” อีกมากมายแล้ว ยังมีเชฟอเมริกันจากเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน ชื่อ “แอนดี้ ริคเคอร์” อยู่อีกคน

          เชฟอเมริกันคนนี้ ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ เพราะมีรางวัล “เบสท์เชฟ” ของ เจมส์ เบียร์ด อวอร์ด รางวัลใหญ่ซึ่งเปรียบเหมือน “ออสการ์” ของอุตสาหกรรมอาหารอเมริกัน เมื่อปี 2011 ไม่รวมถึงรางวัลอื่นๆ ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นอีกเยอะแยะมากมาย คอยการันตีความดังอยู่

          แอนดี้ ริคเคอร์ สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากอาหารไทย... อาหารไทยแบบแท้ๆ ไม่มี “ฟิวชั่น” เสียด้วย...
          เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (26 ตุลาคม) เว็บไซต์ เอ็นพีอาร์ นำเสนอเรื่องราวน่าสนใจของเชฟอาหารไทยคนนี้ ในชื่อเรื่องว่า “How A Portland Cook Became A 'Proud Copycat' Of Thai Food” (คุ๊กจากเมืองพอร์ทแลนด์ กลายเป็นนักก็อปปี้อาหารไทยผู้แสนจะภูมิใจในตัวเองได้อย่างไร)
          อ่านจบแล้วเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในอารยธรรมด้านอาหารการกินของไทย นับถือภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่ทำให้หนุ่มอเมริกันคนหนึ่ง ถึงกับอุทิศตัว อุทิศเวลาเกือบสิบปีเข้ามาศึกษาจนเข้าใจถึงแก่นแท้ แถมยังนำมาประกอบเป็นอาชีพ จนประสบความสำเร็จในระดับประเทศ อีกทั้งยังได้ประกาศความเป็นไทยแท้ๆ ของอาหารไทยให้แผ่กว้างในอเมริกา อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน...
          อ่านแล้วรู้เลยว่า แอนดี้ ริคเคอร์ “ซีเรียส” กับการทำอาหารไทยมากกว่าเชฟไทย และคนไทยในอเมริกาส่วนใหญ่...
          จริงจังกับการ “เปลี่ยนแนวคิด” ของคนอเมริกันที่รู้จักเพียงอาหารไทยกลายพันธุ์ หรือเพี้ยนไปจาก “ของแท้” เพราะเคยชินกับการกินอาหารไทยหวานๆ ตามร้านอาหารไทยส่วนใหญ่ และจริงจังถึงขนาดอุทิศเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตให้กับการศึกษา “ศาสตร์และศิลป์” แห่งอาหารไทยอย่างจริงจัง
          แอนดี้ ริคเคอร์ ใช้เวลาสิบปีในการตระเวนกินอาหารไทยริมถนนในเมืองไทย ทั้งข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวรถเข็น รวมถึงตีสนิทกับคนไทยทุกภาคจนเข้าถึงก้นครัวพวกเขา... ก่อนจะมาเปิดร้านอาหารไทยร้านแรก “ป๊อกป๊อก” ในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน...
          และวันนี้ แปดปีต่อมา เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จถึงเจ็ดแห่ง ทั้งในพอร์ทแลนด์ และนิวยอร์ค ซิตี แถมหนังสือตำราอาหารไทยเล่มแรกของเขาขื่อ “ป๊อกป๊อก (Pok Pok)” ก็กำลังจะวางแผงในวันที่ 29 ตุลาคมนี้
          เขาพูดถึงตำราอาหารไทยฉบับสมบูรณ์ของเขาว่า...
          “ผมอยากจะมีเสียง คอยบอกคนทั่วไปว่า ‘ดูนะ อาหารไทยมันมีอะไรมากมายกว่าแค่ผัดขี้เมา แกงสารพัดสี หรือผัดไทย’ อาหารไทยในความเห็นของผม คือหนึ่งในอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มันควรได้รับการยอมรับซะที” แอนดี้ ริคเคอร์ ประกาศชัด...
          เชฟดังเจ้าของแทททูลายพร้อยที่แขนขวา บอกว่าเขายังจำได้ดีถึงวินาทีที่ทำให้เขาหลงเสน่ห์อาหารไทย เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วได้อย่างชัดเจน
          เขาบอกว่าเขาเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ และมีโอกาสได้ลองแกงพื้นบ้านที่ทำจากเห็ดถอบ (puffball mushroom)
          “มันไม่เหมือนอะไรที่ผมเคยกินมาก่อน มันทั้งเป็นสมุนไพร ทั้งขม ทั้งเค็ม เผ็ดนิดหน่อย มันเหมือนโดนตบหน้าน่ะ” เขาพยายามอธิบาย...
          กลับมาถึงบ้านที่เมืองพอร์ทแลนด์ แอนดี้ ริคเคอร์ พยายามปรุงอาหารแบบที่เขาชอบ โดยเฉพาะอาหารเหนือและอาหารอีสานของไทย แต่ไม่สามารถหาสูตรอาหารท้องถิ่นที่เป็นภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น เกือบๆ สิบปีต่อจากนั้น เขาจึงเข้าออกเมืองไทยเป็นว่าเล่น เพื่อเรียนรู้ศาสตร์ก้นครัวของคนไทย ทั้งจากบรรดาพ่อค้าริมถนน เรื่อยไปจนถึงพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย พ่อใหญ่แม่ใหญ่ ที่เรียกเขากินข้าวด้วยความเอื้ออาทรต่อฝรั่งผมบรอนด์ที่มาเยือนถึงเรือนชาน...
          ในที่สุด ปี 2005 แอนดี้ ริคเคอร์ ก็เริ่มแขวนป้ายขาย “ส้มตำ-ไก่ป่าย่างเตาถ่าน” จากบ้านของเขาในเมืองพอร์ทแลนด์
          เพิงขายส้มตำของฝรั่งผมทองคนนี้ ไม่นานก็มีลูกค้าอุ่นหนาฝาคั่ง ทำให้เจ้าของเริ่มคิดจะเปิดร้านอาหารให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เงินสดไม่พอ เพราะอยู่ในสภาพ “ถังแตก” กับการเดินทางไปใช้ชีวิตที่เมืองไทยแบบครั้งละนานๆ จึงระดมเงินจากบัตรเครดิตทั้งหกใบที่เขามี บวกกับเงินที่ยืมจากแม่อีก 7,000 ดอลลาร์... เพื่อเปิดร้านอาหาร “ป๊อกป๊อก” ขึ้นเป็นร้านแรกเมื่อปี 2006
          ไม่นาน ร้านอาหารชื่อพิลึกของ แอนดี้ ริคเคอร์ ก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง และพอ คาเรน บรูคส์ นักวิจารณ์อาหารมือทองของหนังสือพิมพ์ เดอะโอเรกอนเนี่ยน มอบฉายา “ร้านอาหารแห่งปี 2007” ให้กับร้าน ป๊อกป๊อก... ทุกอย่างก็สดใส... แอนดี้ ริคเคอร์ บอกว่าเขาปลดหนี้ทั้งหมดได้ภายในสิ้นปีนั้น...
          คาเรน บรูคส์ บอกว่ารสชาติอาหารไทยของ แอนดี้ ริคเคอร์ นั้นไม่เหมือนกับรสชาติอาหาร  “ไทย-อเมริกัน” ชืดๆ ที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่คุ้นเคย... และพยายามอธิบายถึงรส “แซ่บ” ของอาหารไทยฝีมือ แอนดี้ ริคเคอร์ ด้วยสำนวนที่สุดจะแปลเป็นไทยได้ว่า "It marched into your mouth like sour bombs, and fire, and like more funk than a James Brown record."
          ที่แปลได้ก็คือ เธอบอกว่า อาหารไทยของร้านป๊อกป๊อกนั้น “เหมือนโรคติดต่อที่ไม่มีทางรักษา เมื่อลองกินดูแล้วจะไม่มีทางเลิกได้”
          แม้จะเป็นผู้นำอาหารไทยแบบแท้ๆ ออกเผยแพร่ให้ชาวอเมริกันได้รู้จักมากกว่าเชฟไทยแท้ๆ ค่อนประเทศอเมริกา แต่ความที่แอนดี้ ริคเคอร์ เป็นอเมริกันผมบรอนด์ สูงหกฟุต เกิดและโตที่รัฐเวอร์มอนท์ ทำให้เขาบอกทุกคนว่าเขาไม่ใช่ “ทูต” ของอาหารไทย แถมยังเลี่ยงการใช้คำว่า “traditional” และ “authentic” ต่อท้ายอาหารไทยในร้านของเขาอย่างสุดความสามารถ
          “สองคำนี้ถือเป็นคำต้องห้ามในร้านของผม” แอนดี้ ริคเคอร์ บอก
          แต่สิ่งที่ แอนดี้ ริคเคอร์ อยากจะเน้นถึงอาหารไทยที่เขาปรุงคือความ “ถูกต้องและแม่นยำ” ตามสูตรต้นตำรับ
          ในหนังสือคุ๊กบุ๊ก ป๊อกป๊อก ของเขา แอนดี้ ริคเคอร์ เรียกตัวเองว่า proud copycat of Thai food ซึ่งน่าจะแปลได้ในทำนองที่ว่า เขาคือ “นักก็อปปี้อาหารไทย” ที่ภาคภูมิใจในตัวเองมาก...
          “เหตุผลที่ผมคิดว่าอาหารที่ร้านป๊อกป๊อกมีความพิเศษ ก็คือว่า เราได้ใช้กรรมวิธีแบบที่เขาทำกันในประเทศไทย” แอนดี้ ริคเคอร์ บอก และว่า “เราไม่ใช้เครื่องผสมอาหาร (food processor) เราไม่ใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า (blender)”
          เขาพยายามบอกว่าเขาใช้ “ครก” และ “สาก” เป็นอุปกรณ์หลักในการทำอาหารเสิร์ฟลูกค้าที่ร้านป๊อกป๊อก...
          เช่นเดียวกับในหนังสือ ป๊อกป๊อก ที่บอกตั้งแต่ต้นว่าหากจะปรุงอาหารไทยตามสูตรของเขาที่บ้าน คุณก็ต้องมีอุปกรณ์จำเป็นหลายอย่าง โดยที่ขาดไม่ได้เลยคือ ครกและสากอย่างน้อยหนึ่งชุด, ที่นึ่งข้าวเหนียว และกระทะก้นแบน (flat-bottom wok) ต่อด้วยรายการเครื่องปรุงและส่วนประกอบอาหารไทยยาวเหยียดที่คนอเมริกันอาจไม่คุ้น เช่น kaffir lime (มะกรูด), มะขามเปียก (tamarind pulp) กะปิ (shrimp paste) ฯลฯ ซึ่ง แอนดี้ ริคเคอร์ บอกชัดเจนว่าฟังดูอาจวุ่นวายสักหน่อย แต่หากจะปรุงอาหารไทยให้อร่อยแบบไทยแท้จริงๆ ก็ไม่มี “ทางลัด” อื่นใดให้เลือก
          “เราต้องทำมากกว่าปกติ เพราะนั่นคือวิธีเดียวที่จะได้รสชาติอย่างที่ต้องการจริงๆ” แอนดี้ ริคเคอร์ บอก
          “ดังนั้น พอเราตกลงกันว่าจะเขียนหนังสือ มันไม่ใช่แบบ ‘เอาล่ะ เราจะเอาสูตรอาหารที่เราใช้ในร้าน ป๊อกป๊อก มาย่อส่วน’ ไม่ใช่แบบนั้น”
           คนที่ “ตื่นเต้น” กับคุ๊กบุ๊ก ป๊อกป๊อก ของแอนดี้ ริคเคอร์ มีเยอะ... รวมถึง คาเรน บรูคส์ ที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนที่ทำงานจาก เดอะโอเรกอนเนี่ยน มาเขียนให้ พอร์ทแลนด์ มันลีย์ และเป็นเจ้าของหนังสือ The Mighty Gastropolis: Portland ที่พูดถึง “ฟู้ดซีน” ในพอร์ทแลนด์อย่างละเอียด...
          คาเรน บรูคส์ ตื่นเต้นที่ได้รู้วิธีทำ Vietnamese Fish Sauce Wings. (น่าจะหมายถึง ‘ปีกไก่แช่น้ำปลาทอด’) ของร้านป๊อกป๊อก ที่เธอชอบนักชอบหนา...
          “จริงๆ นะ ริคเคอร์ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากทำปีกไก่แช่น้ำปลาทอดอย่างเดียว เขาก็สามารถเป็นบิลเลี่ยนแนร์ได้สบายๆ” คาเรน บรูคส์ บอก
          นักวิจารณ์อาหารคนนี้บอกด้วยว่า เธอและชาวอเมริกันอีกเป็นจำนวนมาก ต้องการแค่ได้กินอาหารไทยฝีมือ แอนดี้ ริคเคอร์ เท่านั้น แต่เจ้าตัวกลับต้องการมากกว่านั้น
          สิ่งที่ แอนดี้ ริคเคอร์ ต้องการที่สุดในเวลานี้คือความยอมรับ...
          ความยอมรับนับถือ แบบที่สะกดว่า Respect
          ไม่ใช่สำหรับตัวเขา...
          แต่สำหรับอาหารไทยที่เขารัก...