PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

M79 ...4 ลูก ที่ ป.ป.ช. 3 / สำนักงานสลาก 1

24/3/57 ....(M79 ...4 ลูก ที่ ป.ป.ช. 3 / สำนักงานสลาก 1 เมื่อ 22.30 น.)
ภาพหลังคาอาคาร 2 ชั้น 4 ป.ป.ช โดนยิงทะลุ
มีรายงานเข้ามาว่าเป็นขนาด 40 มม. ยิงจากเครื่องยิง M79
(จำนวนยิง M79 เด๋วต้องขอสรุปอีกครั้งนะครับ ยังไม่นิ่ง 23.25 น. /
ไม่ 3 ก็ 4 ตอนนี้เจ้าหน้าที่ทหาร + EOD. อยู่ระหว่างตรวจสอบ )


เปิดบันทึก ป.ป.ช. ไฟเขียวแจ้งข้อกล่าวหาคดีระบายข้าว"จีทูจี" " บุญทรง-ภูมิ-มนัส-สมคิด-รัฐนิธ-ลิตร"

เปิดบันทึก ป.ป.ช. ไฟเขียวแจ้งข้อกล่าวหาคดีระบายข้าว"จีทูจี" " บุญทรง-ภูมิ-มนัส-สมคิด-รัฐนิธ-ลิตร" กลางอากาศ หลังพร้อมใจ "เบี้ยว" ?
erppp
หมายเหตุ "สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org" : เป็นบันทึกข้อความของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีมติเห็นชอบให้นำหนังสือแจ้งผู้ถูกกล่าวหาในคดีทุจริตระบายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ ตัวแทนบริษัทเอกชน มาปิดประกาศไว้ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ภายในสำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ
หลังจากที่สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ทั้ง 6 ราย เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา 
แต่ไม่มีใครเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา แม้แต่รายเดียว!  
ล่าสุดในช่วงเช้าวันที่ 24 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ติดต่อไปยังนายบุญทรง เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการไม่เดินทางการรับทราบข้อกล่าวหาในคดีนี้ ต่อ ป.ป.ช. 
แต่นายบุญทรง ระบุว่า "กำลังจะขึ้นเครื่องบิน ไม่สะดวก ค่อยติดต่อกลับมาใหม่" ก่อนจะวางสายไป 
จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง ผู้สื่อข่าวก็ยังไม่สามารถติดต่อนายบุญทรง ได้ ทั้งที่ โทรศัพท์มีสัญญาณติดต่อปกติ  
pooio
pouyy

ใบตองแห้ง : จากศาลสู่มิคสัญญี

บทความในข่าวหุ้นวันนี้
.....................
จากศาลสู่มิคสัญญี
......................
คำวินิจฉัย “เลือกตั้งโมฆะ” ของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันศุกร์ มีปัญหาอย่างมาก เพราะศาลตัดสินดื้อๆ ไม่มีหลักตรรกะทางกฎหมาย แต่อาศัยคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจกฎหมาย และสังคมไทยยังเชื่อศาล กลัวศาล ไม่กล้าเถียงศาล ศาลตัดสินอย่างไรก็ว่าตามนั้น ไม่ดูหลักการเหตุผลของคำตัดสิน

บางคนก็คิดง่ายๆ ว่าเลือกตั้งโมฆะเสียก็ดี จะได้เลือกใหม่ รัฐบาลไปเจรจากับพรรคประชาธิปัตย์ ให้ลงเลือกตั้ง กปปส.ไม่ขัดขวาง จะได้จบๆ เสียที แต่ดูให้ดีๆ มันง่ายอย่างนั้นหรือ

ศาลตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้อย่างไร ในเมื่อผู้ออกไปใช้สิทธิ 20 กว่าล้านคนไม่ได้ทำอะไรผิด การเลือกตั้งทั่วประเทศจัดได้สำเร็จ 347 เขต มีเพียง 28 เขตที่ยังไม่มีผู้สมัครและไม่สามารถลงคะแนน เพราะมีผู้ขัดขวางการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย

ผู้ทำผิดกฎหมายไม่กี่พันคน ทำให้ 20 กว่าล้านเสียงที่ลงคะแนนโดยสุจริตกลายเป็น “โมฆะ” คำตัดสินอย่างนี้ถูกหลัก ตรรกะ และเป็นธรรมแล้วหรือ มีอย่างที่ไหนศาลตัดสินให้ผลจากการกระทำผิดของคนส่วนน้อยมาลบล้างการกระทำโดยสุจริตของคนส่วนใหญ่

แล้วคำตัดสินนี้สร้างบรรทัดฐานอะไร ก็สร้างบรรรทัดฐานให้ผู้ทำผิดได้ใจ อยากล้มเลือกตั้งก็ไปขัดขวาง ไม่ต้องถึง 28 เขต แค่ 4-5 เขตก็พอ ยังไงศาลก็ถือว่าไม่ได้เลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ทำให้พระราชกฤษฎีกาขัดรัฐธรรมนูญ

ฉะนั้นผลของคำตัดสินคือ ไม่มีทางจัดเลือกตั้งใหม่ได้ เพราะ กปปส.จะได้ใจ จะขัดขวางการเลือกตั้งไม่สิ้นสุด รัฐบาลอาจต้องไปกราบแทบเท้าเทพเทือก ขอร้องอ้อนวอน เพื่อเห็นแก่ประชาธิปไตย ม็อบอย่าทำผิดกฎหมาย อย่าขัดขวางเลือกตั้งอีกเลย

พูดกันเล่นๆว่า ถ้าจะจัดเลือกตั้งได้ พรรคเพื่อไทยอาจต้องเว้นวรรค ตระกูลชินวัตรต้องขายทรัพย์สินบินหนีไปต่างประเทศ เพราะประเทศนี้คนทำผิดกฎหมายเป็นใหญ่ ไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ตราบใดที่ไม่ยอมแพ้คนทำผิด

เผลอๆ รัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้ง แล้วพอ กปปส.ขัดขวาง สตง.ก็จะโทษรัฐบาลอีกว่าทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ

อันที่จริงถ้าวิพากษ์คำวินิจฉัยในแง่กฎหมาย ยังมีประเด็นไร้เหตุผลอีกมากมาย เช่น อันที่จริงศาลไม่ได้วินิจฉัยว่า “เลือกตั้งโมฆะ” แต่บอกว่า “พระราชกฤษฎีกาขัดรัฐธรรมนูญ” เฉพาะส่วนที่กำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งยิ่งเลอะเทอะ เพราะรัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 108 ประกาศยุบสภาพร้อมกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน เป็นวันที่ 2 ก.พ.2557 กำหนดวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

แต่พอถูกขัดขวาง ไม่สามารถรับสมัคร ไม่สามารถลงคะแนนในวันที่ 2 ก.พ.พร้อมกันทั่วราชอาณาจักร ศาลกลับบอกว่าพระราชกฤษฎีกาขัดรัฐธรรมนูญ

มีด้วยหรือครับ กฎหมายประกาศออกมาแล้ว มีคนฝ่าฝืน ทำให้กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้โดยสมบูรณ์ ศาลกลับบอกว่ากฎหมายผิด

แล้วเดี๋ยวก็จะมีคนไปโทษว่าเป็นความผิดของรัฐบาล ออกพระราชกฤษฎีกาขัดรัฐธรรมนูญ ให้ถอดถอนรัฐบาลอีก

แต่ถ้าพูดเฉพาะผลที่ตามมา ก็จะเห็นอนาคตชัดเจนว่า ไม่สามารถจัดเลือกตั้งได้ รัฐบาลต้องรักษาการต่อไปไม่รู้จบ โดยไม่มีอำนาจบริหารประเทศ ต้นเดือนเมษายน ก็จะถูก ปปช.ชี้มูล ถูกยื่นถอดถอน ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

ทั้งหมดเป็นไปตามสูตร สร้างทางตันให้เกิด “นายกฯ คนกลาง” “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” เว้นวรรคการเลือกตั้ง 18 เดือน หรือ 2 ปี 3 ปี แก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีหลักประกันว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ชนะเลือกตั้งอีก โดยใช้วิธีเพิ่ม ส.ส.สาขาอาชีพ

ถามว่านี่คือคนกลางจริงหรือ นี่คือการปฏิรูปจริงหรือ นี่คือวิถีทางปราบคอร์รัปชั่นจริงหรือ

การบังคับข่มขืนใจคนข้างมากเกินครึ่งประเทศ ไม่มีทางนำไปสู่ความดีงามได้ มีแต่จะเกิดการต่อต้านจนนำไปสู่มิคสัญญีเท่านั้น ทั้งการลุกฮือ การปราบปราม จับกุมเข่นฆ่ากันไม่สิ้นสุด

ใบตองแห้ง
23 มี.ค.57

นายกฯมาเลย์แถลงMH370ตกมหาสมุทรอินเดียไม่มีผู้รอดชีวิต

นายกฯมาเลเซียแถลงคาดเครื่องบินMH370หายไปในมหาสมุทรอินเดีย-ไม่มีผู้รอดชีวิต ส่งข้อความแสดงความเสียใจครอบครัวผู้สูญหาย

เมื่อช่วงค่ำของวันนี้ (24 มี.ค.) นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ของมาเลเซีย ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777200ER เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ อาจตกลงในทะเลบริเวณทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย และไม่พบผู้รอดชีวิต โดยอ้างอิงจากข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมที่ได้จากทีมสืบสวนด้านอุบัติเหตุทางอากาศของอังกฤษ

“ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ผมขอแจ้งว่า จากผลวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมชิ้นใหม่ บ่งชี้ให้เห็นว่าเครื่องบินเที่ยวบินMH370 ตกลงในทะเลบริเวณตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย และไม่มีรายงานผู้สูญหายหรือรอดชีวิต” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว นับเป็นการไขปริศนาครั้งแรกของการหายสาบสูญไปร่วม 3 สัปดาห์ของเครื่องบินเที่ยวบิน MH370 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เครื่องบินค้นหาของออสเตรเลียพบวัตถุทั้งสองชิ้นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นชิ้นส่วนของเครื่องบินมาเลเซียที่หายไปในทะเลจีนใต้ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างขนส่งวัตถุดังกล่าวทางเรือ เพื่อนำไปตรวจสอบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทางสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ก็ได้ส่งข้อความแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวและลูกเรือทั้ง 229 ชีวิตแล้ว


ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง:ซ้ำรอยสมัคร ยิ่งลักษณ์กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง?

ซ้ำรอยสมัคร
ยิ่งลักษณ์กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง?

ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง กรณียิ่งลักษณ์ ชินวัตร โยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นแห่งชาติ เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ และมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งเลขาธิการ สมช. แก่นายถวิล เปลี่ยนสี ภายใน 45 วันนับแต่มีคำพิพากษาอีกด้วย

1) ในการโยกย้ายดังกล่าว ยิ่งลักษณ์ได้ใช้อำนาจย้ายนายถวิลออกไปเสียจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. เพียงเพื่อจะเปิดทางให้สามารถโยก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี จากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ข้ามมาเป็นเลขาธิการ สมช. ตามเงื่อนไขข้อตกลงว่าจะต้องมีตำแหน่งที่มีศักดิ์และสิทธิไม่น้อยไปกว่าเดิม ทั้งหมดนั้นก็เพื่อจะเปิดทางสะดวกสำหรับการแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ อดีตภริยาทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ กระทำการเพื่อให้บุคคลที่เป็นเครือญาติของตนเองได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญ ไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรมและนิติธรรม โดยศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาไว้โดยละเอียดแล้ว
ยิ่งกว่านั้น คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ยังชี้ชัดว่า การโยกย้ายดังกล่าวเป็นการกระทำมิชอบ เพราะเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุผล บางตอนระบุว่า
“ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการประจำ ย่อมมีอำนาจดุลพินิจในการบริหารงานบุคคลหมุนเวียนสับเปลี่ยนบทบาท หรือการทำหน้าที่ของข้าราชการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามแนวนโยบายที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาได้ แต่ในการใช้อำนาจดุลพินิจดังกล่าว นอกจากจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของกฎหมายและอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายแล้ว ยังจะต้องมีเหตุผลรองรับที่มีอยู่จริงและอธิบายได้ ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่องหรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะถือได้ว่ามีเหตุผลอันสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม
ได้ตรวจสอบเหตุผลที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้อ้างในการโอนผู้ฟ้องคดีแล้ว ปรากฏว่ามิได้เป็นไปตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กล่าวอ้าง ซึ่งเท่ากับฝ่ายบริหารได้ใช้อำนาจดุลพินิจในการโอนผู้ฟ้องคดีโดยไม่มีเหตุผลรองรับ จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบอันเป็นเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายประการหนึ่งตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ดังนั้น การโอนผู้ฟ้องคดีจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 ก.ย.2554 จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย...”

2) หลังจากศาลปกครองสูงสุดพิพากษาชี้ขาดว่าการโยกย้ายดังกล่าวเป็นการกระทำมิชอบด้วยกฎหมาย ปรากฏว่า สมาชิกวุฒิสภา 27 คน นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา ได้เข้ายื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา ในฐานะประธานรัฐสภา ผ่าน นพ.อนันต์ อริยชัยพานิชย์ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 จากกรณีก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตัวเองและผู้อื่นในการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี อดีตเลขาธิการ สมช. อันเป็นเหตุให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดแล้ว
การก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายโดยมิชอบ เป็นการกระทำต้องห้ามของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติห้ามมิให้ใช้สถานะหรือตำแหน่งเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ตามมาตรา 268 และ 266 ไม่ว่าจะเป็น การแต่งตั้งโยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่งของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมถึงการให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำพ้นจากตำแหน่ง เป็นต้น เรื่องพวกนี้จะไปก้าวก่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตนไม่ได้
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญคุ้มครองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต บริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาหรือตามที่กฎหมายกำหนด บทบัญญัติมาตรา 268 จึงระบุว่า “นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะกระทำการใดที่บัญญัติไว้ในมาตรา 266 มิได้ เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติ”
แต่ข้อเท็จจริงแห่งพฤติกรรมของยิ่งลักษณ์ในการโยกย้ายนายถวิลนั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย และไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าเป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ดังปรากฏในคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ชี้ชัดไว้เลยว่า
“...ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่ากระบวนการโอนผู้ฟ้องคดีก็ดำเนินการอย่างเร่งรีบ ไม่เป็นไปตามขั้นตอนการรับโอนในการปฏิบัติราชการตามปกติ จึงเชื่อได้ว่าปัจจัยอันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงผู้ฟ้องคดีจากการดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ คือความประสงค์ให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่พลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ดำรงอยู่ในขณะนั้นว่างลง เพื่อแต่งตั้งบุคคลอื่นให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน เหตุผลตามข้ออ้างข้างต้นยังไม่เพียงพอจะรับฟังว่าการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ราชการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา จึงเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับหลักการจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตามระบบคุณธรรม ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๓๔ ประกอบมาตรา ๔๒....”
พูดง่ายๆ ว่า ศาลปกครองกลางได้พิพากษามัดตราสังข์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

3) เมื่อนายกรัฐมนตรีกระทำการต้องห้ามดังกล่าว ความเป็นรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 บัญญัติให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อตาย หรือลาออก หรือกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 267 มาตรา 268 หรือมาตรา 269 เป็นต้น
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดตามมาตรา 182 ก็เป็นผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 บัญญัติให้ “รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (1) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 182...”
พูดง่ายๆ ว่า รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วยโดยทันที

4) สภาพการณ์เช่นนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 180 ก็ได้มีบทบัญญัติเป็นทางออกไว้ โดยระบุว่า ให้ดำเนินการตามมาตรา 172 และมาตรา 173 โดยอนุโลม ทำอย่างไร?
รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มาประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ขณะนี้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่มี ส.ส.เลยแม้แต่คนเดียว ส่วนการเลือกตั้งก็ไม่เห็นหนทางที่จะได้มาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรภายในเร็ววัน คงมีแต่วุฒิสภา จึงต้องให้วุฒิสภาทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภา
รัฐธรรมนูญเปิดช่องทางไว้ แม้ว่าลงคะแนนครั้งแรกไปแล้ว ไม่มีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำความขึ้นกราบบังคมทูลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลซึ่งได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี
โอกาสนี้ หากมวลมหาประชาชนจะรวมตัวกันแสดงพลังครั้งสำคัญ ประกาศเจตนารมณ์ของประชาชนในการเสนอบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขวิกฤติของประเทศชาติ ย่อมจะเป็นทางออกสำคัญของบ้านเมือง
การดำเนินการโดยอนุโลม ตามบัญญัติรัฐธรรมนูญ บนพื้นฐานจารีตประเพณีการปกครอง ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยนั้น ในสถานการณ์วิกฤติ คับขัน ถึงทางตันของระบบรัฐสภา บุคคลที่ประธานวุฒิสภาจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จึงอาจไม่เป็น ส.ส.ก็ได้
ดังจะเห็นได้จากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีเวลานี้ ก็สิ้นสภาพความเป็น ส.ส.ไปแล้ว ตั้งแต่ยุบสภา หากยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้
และในความเป็นจริง ข้อกำหนดที่ให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. เป็นธรรมเนียมข้อปฏิบัติที่เพิ่งจะมีการกำหนดขึ้นมาในปี 2535 นี่เอง มิใช่จารีตการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยเราแต่เดิม

5) วันพุธที่จะถึงนี้ คาดว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่า จะรับหรือไม่รับคำร้องว่าการกระทำของยิ่งลักษณ์ในการโยกย้ายนายถวิล เป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่
หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณา เชื่อว่าคงจะใช้เวลาไม่นาน เพราะประเด็นข้อเท็จจริงทั้งหมด ได้ผ่านการพิพากาชี้ขาดถึงที่สุดโดยศาลปกครองสูงสุดไปแล้ว คงมีแต่เพียงประเด็นข้อกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาชี้ขาดให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญต่อไป

6) กรณีนี้ อาจเทียบเคียงกับการวินิจฉัยสถานภาพของนายรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปเพราะกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไปรับค่าจ้างทำรายการโทรทัศน์
กรณีของยิ่งลักษณ์มีการกระทำความผิดชัดแจ้งยิ่งกว่า เพราะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว ระบุถึงพฤติกรรมการใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้ดุลพินิจขัดต่อกฎหมาย ไม่มีเหตุผล โดยยิ่งลักษณ์ไม่อาจอ้างว่าเป็นการบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาด้วย

สุดท้าย... ยิ่งลักษณ์จะต้องรับผลกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้ นั่นคือการใช้อำนาจโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ช่วยเหลือเครือญาติของตนเอง กระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่คำนึงถึงระบบคุณธรรมและนิติธรรม
หากยิ่งลักษณ์จะต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นสภาพตามไปด้วย ระบอบทักษิณและบริวารลิ่วล้อก็ไม่ควรจะไปกล่าวโทษใครอื่น นอกจากย้อนกลับไปมองพฤติกรรมการใช้อำนาจของตนเองว่าเหตุใดจึงลุแก่อำนาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เคารพกฎหมาย ไม่คำนึงถึงความถูกต้องเป็นธรรม เล่นพรรคเล่นพวก ช่วยเหลือเครือญาติของระบอบทักษิณ ไม่ประพฤติปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ และนำพาบ้านเมืองมาสู่สถานการณ์ความขัดแย้ง เกิดความสูญเสีย เข้าสู่ทางตัน
ถึงเวลาที่คนไทยจะต้องรวมพลังกัน ก้าวข้ามทักษิณ เพื่อออกจากวิกฤติของชาติ เดินหน้าปฏิรูปประเทศเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต


แก้วสรร อติโพธิ:ไม่ต้องเลือกตั้ง ประกาศกฏอัยการศึก ปราบมันเลย ปราบมันเลย พอแล้ว พอแล้ว ซ้ำซากพอแล้ว

นี่คือคำพูดเต็มๆของแก้วสรร เมือคืนนะครับ
เมื่อคืน ผมฟังสด แล้วเขียนสรุปไป ไม่กี่นาที ผมก็ตัดสินใจ"ซ่อน"ไว้ เพราะมาคิดว่า น่าจะดูคลิปและถอดคำพูดเขาให้ตรงๆเป๊ะๆดีกว่า แต่ก็มีเพื่อนหลายท่าน "ไว" มาก capture ทีผมโพสต์ และบางท่าน ยังทำเป็นสไลด์ รูปแก้วสรร แล้วเอาคำทีผมสรุปไปโพสต์ด้วยว่าเป็นคำแก้วสรร
จริงๆที่ผมสรุปก็ตรงนะ ไม่ได้บิดเบี้ยวอะไร แต่นี่คือ คำพูดของเขาจริงๆ คำต่อคำ นาทีที่ 25 นะครับ (ตอนแก้วสรรพูด "ปราบมันเลย" ย้ำ 2 ครั้ง นี่เน้นเสียงดุดันมาก) ขอให้สังเกตว่า "ตัวอย่าง" ที่แก้วสรรพูดว่า ถ้าเสื้อแดง "กล้าเข้ามา" นี่คือตัวอย่างจริง เรื่อง นปช นัดชุมนุม 5 เมษา ด้วย
"...หนึ่ง เมื่อไหร่พวกแดง ไม่ว่าในพรรคหรือกองกำลัง หรือมวลชน กล้าเข้ามาเอามีดจ่อคอ ปปช หรือศาล หรือคนกรุงเทพ (แล้ว)บอกมึงอย่าขยับขอกูข่มขืนต่อไป เมื่อไหร่มันมาถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ ไม่ต้องเลือกตั้ง ประกาศกฏอัยการศึก ปราบมันเลย ปราบมันเลย พอแล้ว พอแล้ว ซ้ำซากพอแล้ว ปฏิเสธอำนาจตุลาการ ปฏิเสธกฎหมาย หยามเหยียด คอร์รัปชั่น ออกกฎหมายเพื่อตัวเอง ซ้ำๆซากๆ เป็นบ้านอื่นเมืองอื่นเค้าไล่ยิ่งแม่งตายไปหมดแล้ว มีพวกเรานี่แหละยังยืนอยู่นี่แหละ แต่ถ้าถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ ที่ว่า 5 เมษายน จะมานี่นะครับ ผมว่าไม่มีทางออกทางอื่น ถ้ามะเร็งมันกำเริบขนาดนี้นะครับ ต้องผ่า ประกาศกฏอัยการศึก จัดการมันเลย ข้อที่ 1 ที่ผมพูดไปนี่ ไม่ใช่ความเห็นคุณสุเทพหรือ กปปส แต่เป็นความเห็นในทางกฎหมายว่า ว่าเหตุถึงขนาดนี้แล้วต้องทำอะไรบ้าง ข้อที่ 2 หลังจากใช้กำลังจัดการให้อยู่ในที่ในทาง ..."

"พล.อ.ประยุทธ์" ประกาศกลางที่ประชุม ไม่ช่วย ไม่ปกปัอง ทหารที่ไปเอี่ยว การชุมนุม ให้เป็นเรื่องส่วนตัว


บิ๊กตู่ แรงส์....

"พล.อ.ประยุทธ์" ประกาศกลางที่ประชุม ไม่ช่วย ไม่ปกปัอง ทหารที่ไปเอี่ยว การชุมนุม ให้เป็นเรื่องส่วนตัว หน่วยไม่ช่วยเพราะทำเสื่อมเสีย โดยทั้งอาญา -วินัย เหตุมีทหารถูกจับกุม พกอาวุธ และร่วมชุมนุม บ่อย สั่งกำชับกวดขันเก็นอาวุธ ในคลัง หากสูญหาย ผบ.หน่วยตัองรับผิดชอบ

มีรายงานว่า ในการประชุมติดตามสถานการณ์ประจำวันที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นประธานในการประชุม วันนึ้นั้น

หน่วยข่าวได้รายงานความเคลื่อนไหวของการชุมนุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ รวมถึงพูดถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศชุมนุมครั้งใหญ่ในวันที่ 29 มี.ค.

และการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 5 เม.ย.นี้

โดยที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์และเป็นห่วงว่าจะเกิดความรุนแรงในช่วงเดือนเม.ย. ซึ่งผบ.ทบ.ได้สั่งให้หน่วยข่าวติดตามการชุมนุมของกปปส.และกลุ่มนปช. พร้อมให้กรมพระธรรมนูญเร่งรัดในคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมที่ยังไม่มีความคืบหน้า

ส่วนกรณีที่มีกำลังพลมักถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม พร้อมอาวุธหลายครั้งในช่วงนี้ ผบ.ทบ.สั่งการในที่ประชุม ว่า การเดินทางในยามค่ำคืนของกำลังพล แม้เป็นเรื่องส่วนตัวและอยู่นอกเวลาราชการ แต่หากถูกจับกุมก็ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งทางหน่วยต้นสังกัดไม่สามารถเข้าไปดูแลได้ เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว
"หากกำลังพลเข้าไปร่วมชุมนุมโดยมีการพกอาวุธนั้นถือว่าทำให้กองทัพเสียชื่อเสียง จะต้องได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย"

นอกจากนี้ ผบทบ.ได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยเพ่งเล็งเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยให้ผบ.หน่วยดูแลและควบคุมการใช้อาวุธในคลังอาวุธ หากกำลังพลนำอาวุธของกองทัพออกมาใช้โดยไม่มีคำสั่งทางราชการ ทางผู้บังคับหน่วยต้องรับผิดชอบ


เสธน้ำเงิน : ไขปริศนา..นักรบป๊อบคอร์นตัวจริง

ไขปริศนา..นักรบป๊อบคอร์นตัวจริง แฉความลับ โดย@เสธน้ำเงิน
ไขปริศนา..นักรบป๊อบคอร์นตัวจริง พ่อไอ้ป๊ดหน้าแตกดังเปรี๊ยะ
ย้อนร้อยเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว (วันที่ 18 ก.พ.57) มีคำสั่งจากชายดูไบ ที่สไกป์มายังที่ประชุม ศูนย์รวมสัตว์ (ศรส.) สั่งการให้พ่อไอ้ป๊ดในฐานะ ผอ.ศูนย์ จัดการเคลียร์ผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐอั้งยี่แดงอย่างเด็ดขาด เพื่อเปิดทางให้ปูเน่า เหยียบประตูทำเนียบให้ได้ภายใน 24.00 น.ของวันที่ 19 ก.พ.57 เพราะตามฤกษ์หมอดูพม่า ต้องแก้เคล็ด เข้าไปทาสีพระพรหมที่เหนือหลังคาทำเนียบฯ ให้เป็นสีแดงให้ได้
1. ขั้นเตรียมการและวางแผน
ก่อนปฏิบัติการพลาดชนวนตาย มีการระดมชายชุดดำปราจลาจล และหน่วยปฎิบัติการพิเศษ พร้อมอาวุธสงครามครบมือ ครั้งนี้จำนวน 2.5 หมื่นคน ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ 5 จุด ตามแผนของ ศรส. ได้ประสานไปยังอาคารต่างๆ รอบพื้นที่ ขอขึ้นไปตรวจและวางกำลังที่สูง แต่เจ้าของอาคารไม่ยินยอม
มีการวางแผนจัดกำลังเป็น 2 ชุดหลักๆ ชุดแรกคือ ปราบจลาจล (ปจ.) ทำหน้าเจรจา และผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม ด้วยโล่ กระบอง และปืนยิงกระสุนยาง (บางคนแอบบพกอาวุธปืนสั้นประจำ กาย) เพื่อเปิดทางเข้าทำเนียบ ทอดสะพานให้ปูนวยนาด ชุดที่ 2 คือ ชุดปฏิบัติการพิเศษ(ปพ.) เพื่อคุ้มกันชุดปราบจลาจล และ ตอบโต้นักรบป๊อบคอร์น คือ
- ลำดับแรก คือ อรินทราช 26 เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษระดับกองร้อย สังกัดกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) ขึ้นตรงกับชายชุดดำนครบาลชั้นใน หน่วยงานนี้ได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น มีอุปกรณ์ครบมือ เช่น ปืนยิงแห, ปืนไฟฟ้า, ปืนพก, ปืนลูกซอง, ปืนกลเบา, ปืนไรเฟิล, ระเบิดมือ, รวมถึงอุปกรณ์ต่อต้านการจลาจล
- ลำดับ 2 นเรศวร 261 ขึ้นตรง บก.สนับสนุนทางอากาศ ชายชุดดำตระเวนชายแดน ขณะที่ทางยุทธการ ขึ้นตรงกับศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย กองบัญชาการกองทัพไทย ประกอบกำลังในลักษณะกองร้อยปฏิบัติการพิเศษ (ร้อย ปพ.) จำนวน 3 กองร้อย, กองร้อยกู้ชีพ และงานเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด การปฏิบัติการพิเศษ การปฏิบัติการปกปิด มีมีขีดความสามารถเชี่ยวชาญในการจู่โจมทางอากาศ ภารกิจจู่โจมชิงตัวแกนนำโดยวิธีการโรยตัวจากที่สูง
2. ขั้นปฏิบัติการ
เปิดกล้องฉากหนัง “พลาดชนวนตาย “ ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. ถนนวิภาวดี และพื้นที่ใกล้เคียง ตั้งแต่เช้าตรู่ มีการส่งกำลังหวังเข้ายึดอาวุธหนักจุดหมอ กวี ตามข้อมูลของสายข่าวห่วยๆ..ที่โดน ลับ ลวง พราง หลอกต้มจนเปื่อย เพราะผลการค้นไม่พบอาวุธใดๆ เลย จนต้องแก้เก้อ ด้วยการควบคุมตัวแกนนำ และผู้ชุมนุมจุดนี้ราว 100 กว่าคน ใส่รถขนผู้ต้องไปที่ ดชด.ปทุมธานี (ต่อมาได้รับประกันตัวหมดทุกคน)
เมื่อถึงเวลานัดหมาย ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ชุดปฏิบัติการชายชุดดำจากภูธรภาค 2 นำโดย กวี ผบช.ภ.2 ได้รับมอบหมายจาก ศรส.ให้เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์สลายการชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้า-อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จุดนี้ใช้กำลัง 14 กองร้อย หรือราว 1,700 นาย กวี มอบให้ คัชชา ผบก.ภ.ชลบุรี ทำหน้าที่หัวหน้าทีมเจรจา กับแกนนำผู้ชุมนุม (คัชชาเติบโตมาเพราะใกล้ชิด ส.ส.เสื้อแดงคนหนึ่ง ให้พาเข้าพบชายดูไบ และได้เลื่อนตำแหน่งมาในปัจจุบัน)
เช้ามืด คัชชา สั่งการปราบจลาจลภาค 2 ระดมแถวเข้าประจำการ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแถวเริ่มปฏิบัติการบริเวณรุกเดินหน้า เข้าถนนราชดำเนินกลาง เข้าประจันหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุ ม ที่เป็นพื้นที่กลุ่ม กปท. และกลุ่มกองทัพธรรมเดิม ยึดครองอยู่ เปิดเจรจากับผู้ชุมนุม ขอพื้นที่ถนนราชดำเนิน จากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ การพูดคุยครั้งแรกกับผู้ชุมนุมที่ยึดสะพานผ่านฟ้าฯ ไม่เป็นผล จึงมีการพูดคุยรอบสอง พร้อมกับขยับเข้าใกล้ผู้ชุมนุม
ชายชุดดำ คฝ.รุกฝ่าแผงกั้น บริเวณแยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เข้าสู่ที่ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ชุมนุมที่ขวางสกัดกั้นต่างนั่งสวดมนต์ จึงมีการเผชิญหน้าระหว่างชุดปราบจลาจล กับกลุ่มผู้ชุมนุม ชายชุดดำทุบตีผู้หญิง และคนแก่ ที่กำลังสวดมนต์จนมีผู้บาดเจ็บ และบางรายถูกจับกุมส่งเข้ารถคุมขังผู้ต้องหา ผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมกองทัพธรรม จนถอยร่นไปถึงสะพานผ่านฟ้าฯ แล้วลุยรื้อบังเกอร์ และกรีด ทำลาย เต็นท์ของประชาชน
แกนนำสมเกียรติ ถูกชายชุดดำจับกุมบริเวณด้านหลังที่ชุมนุมฯ โดยใช้เชือกมัดมือไพล่หลังไว้ ขณะพระได้ประกาศทางเครื่องขยายเสียงให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบสันติและอหิงสาอย่างต่อเนื่อง ชายชุดดำได้ตรงเข้าไปปิดเครื่องปั่นไฟ พระจึงพูดกับผู้ชุมนุมทางโทรโข่งแทนไม่ให้ผู้ชุมนุมตอบโต้ แล้วติดตั้งเครื่องเสียงใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นชายชุดดำได้ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ พร้อมกับยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บหลายคน
แต่นกกระจอก หรือจะสู้พญาอินทรีย์ ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ผู้สั่งการนักรบป๊อบคอร์น ก็ได้สั่งให้ ชุดตั่วป๊อบคอร์นเล็ก และ ชุดคั่วป๊อบคอร์นยาว เข้าประจำจุด เพื่อคุ้มครองกองทัพธรรมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ทันที
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ชุดปฏิบัติการพิเศษของชายชุดดำ ก็สังเกตพบความผิดปกติ โดยสามารถ ดักฟังการสั่งการ ผ่านระบบวิทยุสื่อสารของกองกำลังป๊อบคอร์นไม่ทราบฝ่ายได้ โดยเสียงที่ดักฟังได้นั้นมีคุณภาพของเสียงที่คมชัดยอดเยี่ยม ส่งผ่านเครื่องส่งวิทยุขนาดใหญ่ ไม่ใช่วิทยุสื่อสารแบบพกติดตัว
ในชายชุดดำเอง ก็เป็นใส้ศึกให้ผู้บัญชาการนักรบป๊อบคอร์น ทำให้รู้ความเคลื่อนไหว และจุดวางกำลังของชายชุดดำทั้งหมด ที่ตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ ตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ และตลอดแนวรอบพื้นที่การชุมนุม จนถึงบริเวณหน้าวังสราญรมย์ ยาวไปถึงด้านข้างกระทรวงปืนใหญ่ เมื่อชายชุดดำมีการปรับกำลัง หรือเคลื่อนย้ายกำลัง ผู้บัญการนักรบป๊อบคอร์น ก็จะแจ้งผ่านวิทยุสื่อสารให้นักรบป๊อบคอร์น ที่แฝงตัวอยู่ในทุกพื้นที่ทั้งที่ต่ำ และจุดสูงข่ม รับทราบความเคลื่อนไหวแบบนาทีต่อนาที
หลังประเมินสถานการณ์แล้ว บิ๊กสีกากี เห็นท่าไม่ดีจึงสั่งให้ ชุดปราบจลาจลของภูธรภาค 2 ถอนออกจากบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ แต่ไม่ทันการณ์ เพียงแค่ไม่ถึง 5 นาที ระเบิดลึกลับ ก็ได้ตกเข้าใส่ชายชุดดำ ปราจราจล 3 ลูก คัชชาสั่งถอย แต่ก็ให้ตั้งแนวอยู่หลังโล่กันกระสุนไว้ก่อน พอตั้งแนวได้ลูกเกลี้ยงเอ็ม 67 ก็ตกมาใส่ และมีชายชุดดำคนหนึ่งเปิดโล่มาเตะจนระเบิดปะทุขึ้นอย่างแรงจนเจ็บกันระนาว จนล้มระเนระนาด แตกฮือกระเจิงถอยไม่เป็นขบวน
และทันใดนั้นมีนักรบป๊อบคอร์น สวมหมวกโม่งสีดำ จากฝั่งสะพานผ่านฟ้าฯ ได้ระดมปล่อยป๊อบคอร์น ถล่มชายชุดดำเสียงดับตับๆๆ ตลอดเวลา..แลัวก็ช่วยพาผู้ชุมนุม หลบหนีออกจากลุ่มชายชุดดำอีกด้วย ตามมาด้วย ป๊อบคอร์นปริศนา ที่ถูกปล่อยเข้ามาบริเวณรถควบคุมผู้ต้องขัง จนชายชุดดำที่เฝ้ารถอยู่ต้องหาที่หลบกันจ้าละหวั่น ก่อนจะมีกองกำลังป๊อบคอร์นเข้ามาชิงตัว สมเกียรติ แกนนำ กปท. ออกไป จากชายชุดดำขณะถูกคุมอยู่ในรถ กลับมาที่เวทีสะพานผ่านฟ้าได้อย่างอย่างปลอดภัย
ชุดปราบจลาจลต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นกระบวน มาจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีการระดมป๊อบคอร์นระดมเข้าใส่ ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง จนโงหัวไม่ขึ้น ซึ่งตรงจุดนี้ ชายชุดบางละมุง ได้กระโดดหนีขึ้นรถกระบะ ก่อนจะถูกป๊อบคอร์น ระดมเข้าใส่ เจาะเข้าที่ใต้ราวนมซ้าย อยู่บนกระบะหลัง ถัดมาไม่นานนักชายชุดดำปราจราจลบางละมุง ก็โดนเม็ดข้าวโพดเจาะเข้าหัว โดยปลิวมาจากจุดสูงข่มร่วงลงทันที ข้าวโพดหนาทึบยิ่งกว่าห่าฝนมาตลอด จนชายชุดดำปราจราจลถอยมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยคิดว่าน่าจะพ้นวิถีข้าวโพดแล้ว แต่แล้วสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อชายชุดดำปราจราจลอีกคนก็ร่วงลงไปอีก
กวี ได้พยายามติดต่อ ขอกำลังเสริม แต่ชุดปฏิบัติการพิเศษ อรินทราช 26 ปักหลักอยู่ที่ บชน. กว่าจะเดินทางมาถึงก็ร่วม 10 นาที ช่วงเวลานั้นจึงได้ เกิดการถล่มตอบโต้กันไปมา ชายชุดดำปราจราจล ถอยไปถึงบริเวณโรงแรม รอยัล รัตนโกสินทร์
แต่เมื่อ อรินทราช 26 เคลื่อนมาจาก บช.น. เพื่อมาช่วยชุดปราบจลาจล ที่ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณสะพานผ่านฟ้านั้น ผู้สั่งการนักรบป๊อบคอร์นที่มีชายชุดดำฝ่ายดี เป็นสายก็ส่งข่าวไป และผู้สั่งการนักรบป๊อบคอร์น จึงสั่งการผ่านวิทยุสื่อสารให้ กองกำลังป๊อบคอร์น รู้การเคลื่อนไหวตลอดเวลา แล้วสั่งให้กองกำลังป๊อบคอร์นอีกชุดหนึ่ง เข้าประจำการดักซุ่มรอบริเวณโรงแรมรัตนโกสินทร์ บริเวณหัวมุมสนามหลวง
เมื่อ อรินทราช 26 เข้ามาถึงพื้นที่ ก็มาก็มีแค่ไม่กี่นาย และเริ่มเข้าช่วยเหลือชุดปราบจลาจลออกมา โดยมีการ ปะทะกันอย่างดุเดือดนัวเนียกับนักรบปีอบคอร์น แต่ชายชุดดำตกเป็นรองทางยุทธการมาก คัชชา จึงสั่งยิงแบบมั่วใส่ประชาชนที่บริสุทธิ์ เหตุการณ์ชุลมุนในช่วงนี้เอง ที่ทำให้ ผู้ชุมนุมเสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 50 ราย
จากนั้นอรินทราช 26 ก็ได้เข้าควบคุมพื้นที่ และลำเลียงปราบจลาจลที่บาดเจ็บออกมาได้แบบทุกลักทุเล ตามถนนราชดำเนินกลาง จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ก็เหมือนตกอยู่กลางทุ่งสังหาร เพราะที่นั่นกองกำลังป๊อบคอร์นอีกชุดที่ตะหลิ๋วคั่วเหนือกว่ามาก ดักรออยู่ บุกเข้าโจมตีกระหน่ำรอบด้านอีก ชายชุดดำปราจลาจลต้องช่วยกันอย่างทุลักทุเล
ระหว่างนั้นชุดปฏิบัติการพิเศษชายชุดดำอีกชุดหนึ่ง ก็ได้เคลื่อนกำลังเข้ามาจากเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า เพื่อช่วยเหลือหน่วยอรินทราช 26 ที่ดันตกอยู่ในวงล้อมเสียเอง แต่วินาทีเดียวกันนั้นเอง เมื่อเห็นว่าสั่งสอนเพียงพอแก่เหตุแล้ว ผู้สั่งการนักรบป๊อบคอร์น ก็ได้วิทยุแจ้งกองกำลังปีอบอคอร์น ที่ซุ่มอยู่บริเวณโรงแรมรัตนโกสินทร์ ให้ถอนกำลังออกมา ชายชุดดำทั้งหมดจึงหนีวิ่งเตลิดเปิดเปิงหนีตาย ข้ามไปที่สะพานปิ่นเกล้าออกไปได้อย่างทุลักทุเล จนต้องทิ้งรถไว้จำนวนหลายคัน และสลายตัวไปในที่สุด
3. ขั้นยุติปฏิบัติการ
หลังสถานการณ์คลี่คลาย ศรส.ก็ได้มีคำสั่งเด็ดขาด ให้ยุติปฏิบัติการทั้ง 5 จุดทันที และสั่งให้ถอนกำลังชายชุดดำทั้งหมดออกจากพื้นที่ เพราะชัดเจนแล้วว่า กองกำลังนักรบป๊อบคอร์น มีประสิทธิภาพเหนือกว่าชายชุดดำมาก ข้าวโพดจากจุดสูงข่ม ถือเป็นสาเหตุที่สร้างความพ่ายแพ้ให้กับชายชุดดำมากที่สุด ขณะเกิดเหตุปะทะชายชุดดำเสียกระบวนอย่างหนัก กองกำลังป๊อบคอร์คลุมโม่งปิดหน้าตา ถูกฝึกมาอย่างดีมาก ถึงดีมากที่สุด ช่ำชอง ชำนาญการใช้ตะหลิ๋วคั่วป๊อบคอร์น และรู้หลักโจมตี
ยุทธวิธีชัดเจน มีการเสริมกำลังรบ วางแผนดักเส้นทางของชายชุดดำว่าจะหนีไปทางไหนได้ ก็ไปดักคั่วข้าวโพดรออีก วิทยุชายชุดดำถูกดักฟังหมดทุกวินาที นักรบป๊อบคอร์นเหนือกว่าชายชุดดำทุกด้าน หากยังดึงดันปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ต่อไป ก็จะเกิดการสูญเสียชายชุดดำอีกมากมายกว่านี้หลายเท่า
ที่สำคัญหลังมีการปะทะกันอย่าง ดุเดือดระหว่าง ชายชุดดำ กับ กองกำลังป๊อบคอร์น ท่ามกลางมวลชนจำนวนมาก ก็ได้มีสายตรงลึกลับจาก บิ๊กสีเขียวเข้ม ยกหูมาถึงบิ๊กสีกากี พร้อมกับให้คำแนะนำนุ่มๆ หูว่า “คุณไม่มีทางเอาชนะม็อบ ที่มีประชาชนอยู่แถวหน้า โดยมีกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวอยู่ได้หรอก นอกจากจะทำเหมือนปฏิบัติการกระชับพื้นที่ในปี 2553 ซึ่งในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็จะต้องตกเป็นจำเลย ”
ข้อความแนะนำดังกล่าวได้ถูกสื่อ สารไปถึง พ่อไอ้ป๊ด ศรส. และ ปูเน่า พร้อมคำบ่นบิ๊กสีกากี ในวอร์รูม ศรส. ว่า “ ผมบอกแล้วให้ถอนออกมา เอาแค่เปิดการจราจรจากถนนหลานหลวง ให้รถสามารถตรงมาที่ราชดำเนินกลางได้พอแล้ว แล้วให้เจรจากดดันกลุ่มผู้ชุมนุมไปเรื่อยๆ”
ปูเน่า และเป็ดเหลิม ทั้งสองเห็นตรงกันว่าหมดท่าพ่ายแพ้แล้ว ควรยุติปฏิบัติการสลายการชุมนุม และขอคืนพื้นที่อย่างถาวร เพราะฝั่งชายชุดดำเองก็มีหนอนบ่อนไส้ โศกนาฏกรรมปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ จากความรุนแรงที่นำมาสู่ความสูญเสียครั้งนี้เกิดขึ้นในห้วงเวลาระหว่าง 10.50 น.-12.30 น. ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งฝ่ายตำรวจผู้ปฏิบัติและฝ่ายผู้ชุมนุมเสียชีวิตรวมกัน 5 คน บาดเจ็บ 68 คน
ต่อมาช่วงบ่าย ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาส ชายชุดเขียวในเครื่องแบบอีกชุด ได้มาปลอบขวัญ และให้กำลังใจ ประชาชน บอกว่าชายชุดเขียวอยู่กับประชาชนเสมอ ให้ประชาชนมีขวัญและกำลังใจให้เข้มแข็ง
มีบางคนสงสัยว่า ช่วงที่ผู้ชุมนุมเผชิญหน้าชายชุด ดำในหลายจุด จนปะทะกันนั้น บิ๊กชายชุดเขียวไปไหน คำตอบคือชายผู้ไม่ค่อยยิ้ม ยกเลิกกำหนดเดินทางลงใต้ ที่ก็กำลังแรง เพราะรู้แกวว่ามีคนสร้างสถานการณ์ที่ไต้ เพื่อดึงเขาลงไปด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง
ช่วงนั้นเขาจึงเก็บตัวเงียบ ใน ร.1 รอ.ไม่ร่วมประชุมประจำวัน แต่เกาะติดเหตุสลายชุมนุมทั้งวัน ทั้งโทรศัพท์สั่งการให้กำลังพลไปช่วยดูแล ทั้งเสนารักษ์ และ ชุดเคลื่อนที่เร็ว หลังจากนั้นรองเลขานุการกองทัพชายชุดเขียว บอกว่ากองกำลังป๊อบคอร์นไม่ทราบฝ่ายที่เข้าช่วยกลุ่ม กปท.ปะทะกับชายชุดดำที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ไม่มีใครทราบในรายละเอียดเรื่องดังกล่าว แต่บิ๊กสีเขียว มีความเป็นห่วงการใช้อาวุธสงครามมาปฏิบัติการกัน การดำเนินการใดๆ ของทุกฝ่าย เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายบ้านเมือง
ส่วนการจับชายคนหนึ่ง และเป็ดเหลิมนำมาแถลงข่าวว่าเป้นนักรบปีอบคอร์นนั้น ในหลักการนั้นการจะนำใครสักคนเข้าคุกได้นั้น จะต้องมีพยานบุคคล และพยานแวดล้อม ให้ทุกคนคิดตามดังนั้นว่า
1. น้องและพี่สาว ของผู้ที่ถูกจับกุม ไปเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษ และน้องคนนั้นบอกว่าถูกชายชุดดำซ้อมบังคับ และรัดคอ ให้สารภาพ อีกทั้งนักรบป๊อบคอร์นตัวจริงคนนั้น ก็นั่งกินเหล้าอยู่กับสายข่าว และนั่งดูทีวีหัวเราะเยาะ เป็ดเหลิมอยู่ตอนแถลงข่าว
2. พยาน
2.1 พยานบุคคล..การยิงป้องกันตัวของนักรบปีอบคอร์นวันนั้น เกิดจากถูกมือปืนของโกเต็ก และชายชุดดำในเครื่องแบบยิงมาก่อนจากฝั่งไอทีสแควร์ ( ดูที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.212244082298960.1073741905.187529244770444&type=3) ที่มีระยะห่างกับจุดนี้ไกลมาก คำถาม..พยานผู้เสียหายคือใคร สามารถจดจำเห็นใบหน้า ชี้ตัวนักรบปีอบคอร์นคนนี้ได้ไหม ก็วันนั้นเขาใส่หมวกไหมพรหมอยู่ แต่พยานทาง กปปส.เขาอยู่ใกล้ก็จริง แต่ทุกคนมองขึ้นฟ้าหมด จึงไม่มีใครเห็นหน้าเขาเลย
2.2 พยานชายชุดดำ ชายชุดเขียว และนักข่าว..มีใครเห็นหน้าผู้ต้องหาขณะมียิงแสงไฟแลบจากในถุงป๊อบคอร์นบ้าง..ไม่มี..เพราะเห็นแต่ภาพคล้ายเมื่อเขาเปิดหน้า แต่ก็ไม่ใช่ขณะยิงอยู่ดี ถือว่า พยานอ่อนเกินไป
3. หลักฐาน..
3.1 ปืนของจริง..วันที่ทำแผนที่หลักสี่วันนั้น ไม่ได้ใช้ปืนจริงในการทำแผน เพียงใช้ท่อนเหล็กสีดำเอาถุงป๊อบคอร์นคลุมไว้เท่านั้น..เปาบุ้นจิ้นจะถามว่าไหนขอดูหลักฐานเป็นปืนของจริงที่ลั่นกระสุนวันนั้นหน่อย..แล้วปืนอยู่ไหน?..ปืนนี่แหละจะเป็นจุดตายให้ชายชุดดำ และเป็ดเหลิมหน้าแตก เมื่อขึ้นสู่ศาลไคฟง..เพราะไอ้ท่อนเหล็กสีดำวันนั้น มันยิงคนไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ปืน
3.2 รูปถ่ายปืน..มันก็ไม่สามารถใช้ปรักปรำเป็นหลักฐานขนาดให้คนติดคุกได้ เพราะรูปปืน ใครๆ ก็ Print มาได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะมีน้ำหนักพอ..ต้องยกประโยชน์ให้ผู้ต้องหาไปจากข้อสงสัยเท่านั้น
4. การรับสารภาพชั้นพนักงานสอบสวนนั้น มีเยอะแยะไปเพราะถูกบังคับ ก็ดูมือยังขวัญควายเป็นตัวอย่าง ที่เมียเขาต้องมาแจ้งความว่าผัวถูกบังคับมา แล้วรายชื่อชายชุดเขียวกาญจนบุรีที่เข้ามอบตัว และออกไปทำงานตามเดิมนั้น..ไหนคือปืนที่ยิงวันนั้นไปงมหาในสระน้ำ ไม่เจอสักกระบอก !!
5. การรับสารภาพของผู้ต้องหา เปาบุ้นจิ้นเขาเที่ยงธรรมทำ ไม่ลงโทษทันทีได้ เขาจะต้องขอดูหลักฐาน “ อาวุธปืน “ ที่กระทำความผิด ถ้าหาไม่ได้..ก็ชนะคดี
6. ผู้ต้องหาที่ชนะคดี ก็ให้ทนายยื่นฟ้องแพ่งชายชุดดำชุดที่จับกุม ที่ใส่ร้ายให้สูญเสียอิสรภาพ และชื่อเสียง และใช้ชดใช้ค่าเสียหายตามรายได้จำนวนวันที่ถูกคุมขัง , ร้องต่อ ปปช.ฐานใช้อำนาจหน้าที่มิชอบในทางราชการกลั่นแกล้ง , ร้องศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราว และให้ชุดจับกุมชดใช้ค่าเสียหายตามแต่จะเรียก , ร้องต่อกระทรวงยุติธรรม ให้จ่ายเงินกองทุนเยียวยา จากการกระทำผิดพลาดของรัฐ
7. ความน่าเชื่อถือของชายชุดดำ กับเป็ดเหลิม และริดสีดวง...คดีที่ผ่านมาเป็นไง? มันมีจริงบ้างไหมล่ะ หมายจับสาธิต จะเนรเทศเป็นไง?..คนที่อ่านลองตอบคำถามในใจตัวเอง และถามเพื่อนดู และมีหลายคดีที่ชัดเจนกว่านี้ ยังจับไม่ได้เลย เช่น
- คนที่ยิงทหาร ยึดปืนไปปี 53 แล้วมายืนหลังขวัญควายบนเวทีปราศรัยที่พัทยา จับได้ไหม?
- ใส่ร้ายว่าคนยืนปราศรัยคู่กับสุทิน พยายามฆ่า..ฆ่าใคร? แล้วคนยิงสุทินไปไหน ?
- คนปาระเบิดอนุสาวรีย์ และบรรทัดทอง ที่ถูกหมายจับไปไหน ?
- ตำรวจ 2 คนที่ยิง M79 ใส่จุดหลวงปู่ แล้วถูกจับได้คดีไปถึงไปไหน?
- ตำรวจที่ยิงแกนนำ กปปส.ที่หน้าสโสมสรตำรวจ คดีไปถึงไหน?
- และอีกสารพัดคดีที่มีคนตาย เช่น ถล่มฆ่าเด็ก จ.ตราด , ประตูน้ำ, นศ.ราม, สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น ฯลฯ
คดีนี้คือการกลั่นแกล้งจับแพะชัดๆ เพื่อหาเรื่องมาโยงใย กปปส. แต่เป็ดเหลิมต้องหน้าแตกเปรี้ยะไปอีก..ถ้างานนี้ถ้าผู้ต้องหาคนนี้เอาเรื่อง..จะได้เห็นชายชุดดำอีกหลายคน ต้องเดินขึ้นโรงขึ้นศาล ถูกให้ออกจากราชการฐานประมาทเลินเล่อ ติดคุก และต้องชดใช้เงินค่าเสียหาย
ทั้งหมดที่เล่ามาคงให้คำตอบได้ว่านักรบป๊อบคอร์น ที่ถูกจับได้ที่หลักสีเป็นตัวจริง หรือแพะ คนที่ก็รู้ดีว่าป๊อบคอร์นเป็นใคร คือ อับดุล และ คัชชา แต่จะกล้าพูดหรือเปล่าแค่นั้น !!
@เสธ น้ำเงิน
ที่มา https://www.facebook.com/topsecretthai
--------------------------------------
จากวันนั้น 19 มกราคม 2557 ถึงวันนี้ 2 เดือนเศษ ที่ทนายเบิ้มได้มาแนะนำเพจนี้"แฉความลับ"ผ่านเอ็นทรี่"แฉความลับ"Fan Page ฮาร์ดคอร์ เปิดตัวถูกที่ถูกเวลา ไฮไลท์ล่าสุด"ยุทธการอุดรูปู"วันนี้ เพจดังกล่าว ได้เป็นเพจยอดนิยมเกินกว่าที่จะคาดคิด มีคนติดตามอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะคำว่าป๊อบคอร์น"ก็เพจนี้ เป็นคนตั้งนี่แหละ
จึงไม่แปลก ถ้าจะกลับมาเสนอเรื่องของ@เสธน้ำเงิน จอมข้อมูลผู้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่รัฐเถื่อน อีกครั้งหนึ่ง แล้วถ้าวันไหนคนไทยอ่าน"แฉความลับ"เกิน 1,000,000 คน วันนั้น จะตาสว่างกันอย่างทั่วถึง แน่นอน


“ขยะแพรกษา-บางปู ภาพสะท้อนความวิบัติระดับชาติ”



                                 “ขยะแพรกษา-บางปู  ภาพสะท้อนความวิบัติระดับชาติ
                              โดย มูลนิธิบูรณะนิเวศ และกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

            หนึ่งสัปดาห์หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้บ่อขยะแพรกษา-บางปู จ.สมุทรปราการ ภาคประชาสังคมซึ่งติดตามปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง ได้เปิดเวทีเพื่อร่วมกันวิเคราะห์ถึงที่มา ผลกระทบ ตลอดจนข้อเสนอในการจัดการปัญหาจากเหตุการณ์ดังกล่าว  พร้อมกับเชื่อมโยงให้เห็นถึงปัญหาขยะอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขยะอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งกำลังเป็นภัยเงียบที่ขยายตัวคุกคามสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของผู้คนอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนนำเสนอรูปแบบและแนวทางต่างๆ ในการจัดการขยะอันตรายที่เหมาะสมและปลอดภัยกว่าที่เป็นอยู่ โดยหวังให้สังคมไทยร่วมกันปรับปรุงระบบการจัดการและป้องกันปัญหาที่ต้นเหตุ ก่อนที่จะปะทุขึ้นเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงอีกครั้ง

             ดร.สมนึก จงมีวศิน กล่าวถึงสถานการณ์การลักลอบทิ้งขยะอุตสาหกรรมในพื้นที่สาธารณมีอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก ฝากถึงรัฐบาลยุทธศาสาตร์ด้านสิ่งแวดล้อมต้องมีการปรับ โดยเฉพาะแผนรับมือด้านภัยพิบัติและอุบัติภัยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพ หากยังไม่มีแผนที่ดี ยังไม่ควรขยายอุตสาหกรรม

             คุณเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้สะท้อนปัญหาขยะอุตสาหกรรม โดยย้อนในเหตุการณ์ไฟไหม้กองขยะ ปี พ.ศ. 2551 ที่ ต.แพรกษาใหม่ จนถึงกรณีไฟไหม้กองขยะแพรกษา บางปู ครั้งล่าสุด พบการลักลอบนำขยะอุตสาหกรรมแอบทิ้งรวมกับขยะชุมชนเช่นเดียวกัน สะท้อนความบกพร่องและเพิกเฉยของหน่วยงานภาครัฐที่ไม่มีความจริงใจในการทำงาน ตลอดจนชี้ให้เห็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและความผิดของผู้ที่มีส่วนได้เสียในเหตุการณ์นี้

             ดร.อาภา หวังเกียรติ อาจารย์สาขาวิศวะกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งข้อสังเกตว่า พื้นที่บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ เป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษ แต่ที่ผ่านมาทางจังหวัดเองไม่มีแผนและเป้าหมายลดมลพิษหรือมีการจัดทำข้อมูลที่ชัดเจนที่จะนำไปสู่การลดมลพิษหรือแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่ได้เลย ถึงเวลาแล้วที่ทางจังหวัดจะต้องมีแผนการรับมือและข้อมูลที่ถูกต้องและเปิดเผย นอกจากนี้บทลงโทษและอัตราค่าปรับยังต่ำมากคุ้มค่าแก่การทำผิดกฏหมายเมื่อเทียบกับค่าดำเนินการบำบัดและกำจัดอย่างถูกวิธีซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง จึงเสนอให้มีการปรับบทลงโทษคิดเป็นมูลค่า 100เท่าของมูลค่าของการกระทำผิด ซึ่งผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย

ข้อเสนอต่อ กรณีเพลิงไหม้บ่อขยะแพรกษา-บางปู และการจัดการขยะ (อุตสาหกรรม) ต่อภาครัฐ
  1. เรียกร้องให้ต้องมีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดอย่างถึงที่สุด
  2. หน่วยงานภาครัฐต้องทำการสำรวจและจัดทำข้อมูลมลพิษในพื้นที่เพื่อนำไปสู่แผนการจัดการปัญหา
  3. ต้องมีแผนการฟื้นฟูและเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อม
  4. ต้องมีแผนการเฝ้าระวังสุขภาพของคนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ อย่างน้อย 5 ปี
             คุณธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้นำเสนอแนวทางการจัดการขยะอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ โดยยกตัวอย่างการพัฒนากฎหมายการจัดการขยะอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของประเทศสหรัฐอเมริกา และชี้ให้เห็นว่าการสร้างเตาเผาขยะไม่ใช่คำตอบปลายอุโมงค์ของการจัดการขยะอุตสาหกรรม เช่น ประเทศเยอรมันนี มีแผนปฎิบัติการจัดการลดขยะที่ชัดเจนทั้งขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรมจนในที่สุดปริมาณขยะมีน้อยจนไม่เพียงพอต่อการป้อนเข้าสู่เตาเผาขยะ หัวใจที่สำคัญที่สำคัญที่สุดในการจัดการคือ ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดของผู้นำของประเทศ คุณธารา กล่าวทิ้งท้าย

๕ วัน... อันตราย...!


๕ วัน... อันตราย...!
๑. การเผชิญหน้ากันของ "ยิ่งลักษณ์ - ทักษิณ" กับ "กปปส.ของลุงกำนัน" ก้าวมาถึงจุดอันตราย เรียกได้ว่า ก้าวเข้าสู่เขตสังหารของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่าย "เคลื่อนกำลังพล ลงสู่ท้องถนน" เพื่อประกาศ อนุภาพของแต่ละฝ่าย

๒. การจัดแถวของฝ่าย "ยิ่งลักษณ์ - ทักษิณ" ระดมกำลังออกมาทุกรูปแบบ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เรียงหน้ากันออกมา "สวมบทบาทตามบทที่ได้จัดวางไว้แล้ว ตั้งแต่ จตุพร ณัฐวุฒิ สุภรณ์ วรชัย ขวัญชัย ฯลฯ และที่เคลื่อนเข้าประจำการตามภารกิจที่ไม่เปิดเผยอีกจำนวนมาก

๓. ภารกิจพิเศษ ถูกตีเส้น ล้อมกรอบ รายชื่อ ๓ - ๔ รายชื่อของ วี.ไอ.พี. เหตุการณ์ที่หลายคน "ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น" ภายใน ๕ วัน จากนี้ไป จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า "เหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง"

๔. จากการคาดการสถานการณ์ การเคลื่อนกำลังพลเข้าปะทะกันเป็นไปได้น้อยมาก แต่ปรากฏการณ์ ซุ่มโจมตีด้วยปืน ระเบิด m ๗๙ และระเบิดแสวงเครื่อง ถูกลำดับความสำคัญไว้สูงมาก "เรื่องที่ไม่เชื่อว่าจะเกิด ก็อาจจะเกิดในครั้งนี้เอง"

๕. ขบวนประชาชนถูกขับเคลื่อน "แบบไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย" บริสุทธิ์ใจ ปราศจากอาวุธ "สู้เข้าไปอย่าได้ถอย มวลชนคอยเอาใจช่วยอยู่.......... เขาจะฆ่า เขาจะฟัน เราไม่พรั่น พวกเราสู้ตาย"

๖. "บังเกอร์" ทหาร ที่กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ "เพื่อป้องปราม" ความรุนแรงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ กำลังจะได้รับการ "พิสูจน์ว่าเอาอยู่หรือไม่"

๗. "นักรบป๊อปคอร์น" และ "นักรบนิรนาม" ปรากฏการณ์การเกิดขึ้นของนักรบ เพื่อการพิทักษ์ผู้ถูกรังแก หรือสัญลักษณ์ความเป็นนักรบของผู้ถูกกดขี่ "ลักษณะปิดลับ อำพรางการเคลื่อนไหว มุ่งปฏิบัติการ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน " ศึกครั้งนี้นักรบนิรนามไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นทัน และเพียงพอกับการดูแลความปลอดภัยประชาชนหรือเปล่า"

๘. "ความรุนแรง และความตาย" ดูเหมือนจะไม่เป็นที่พึงปรารถนาของฝ่ายใด แต่เมื่อเฝ้าดูสถานการณ์ จะเห็นได้ว่า "ทุกอย่างกำลังถูกออกแบบไปสู่ความรุนแรง" จากนี้ไป ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบถ้าความรุนแรงเกิดขึ้น
สันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย