PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

26102558 ข่าวเช้าวันจันทร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม 2558

26102558 ข่าวเช้าวันจันทร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม 2558

1. เงินปริศนาคนไทย "จำใจจ่าย" เป็นค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ใช้ไป
โดยไม่สามารถระบุว่าใช้ไปกับสิ่งใด สูงถึงปีละ 60,000บาท สูงสุดในอาเซียน
เริ่มตั้งแต่ค่าบริการของธนาคารพาณิชย์ ที่เอาเปรียบลูกค้า หลายกรณี
รวมทั้งยังมีการคิดค่ารักษาบัญชีหรือที่เรียกว่าค่าดูแลบัญชีจากผู้บริโภค
โดยในกรณีที่มีเงินฝากในบัญชีเหลือไม่ถึง 2,000 บาท และบัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลา 1 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตรา 50บาท/ปี ……
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/report/395783
@ "ค่าใช้จ่ายแฝง" ภัยเงียบเสียเงินฟรี....
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/digital/395884
• 2. “วิษณุ” แจงเรียกค่าเสียหายจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์” ไม่โยงการเมือง
ตาม “จตุพร” อ้าง ย้ำ ให้ความเป็นธรรมทุกคน
สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการเป็นไปตามกระบวนการและอยู่ภายในกรอบอายุความ 2 ปี
พร้อมยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน และหากใครติดใจในประเด็นใดก็สามารถเข้ามาชี้แจงเพิ่มเติมได้
ซึ่งเท่าที่ทราบในส่วนของคณะ กรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความรับผิดทางแพ่ง ของกระทรวงการคลัง ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลแล้วหลายคน
รวมถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วย แต่ไม่ทราบว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เข้ามาให้ข้อมูลแล้วหรือยัง
• 3. กูรูเศรษฐศาสตร์ชี้ เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วกำลังฟื้นตัว
ดัชนีเชื่อมั่นกระเตื้องสูงสุดในรอบ 2 ปี สุดเชื่อมั่น 3-6 เดือนข้างหน้าสดใส
“สรรเสริญ” วอนคนไทยเปิดกว้าง ผุดโรงไฟฟ้า “ถ่านหิน-เชื้อเพลิงขยะ”
เผยอย่าจมปลักความเชื่อกลุ่มทุน-นักการเมืองที่หลอกล่อ
อารยประเทศเมื่อฟังข้อมูลก็เห็นดีเห็นงาม
"นายกฯ กำชับให้หน่วยงานภาครัฐขยันสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพราะ
เขาอาจมีบทเรียนจากอดีตที่ทำให้ไม่ไว้วางใจในความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยี
หลายประเทศได้พัฒนาโรงไฟฟ้าจากถ่านหิน พลังงานชีวมวล และสำรวจแหล่งพลังงานใหม่ๆ เช่น ปิโตรเลียม เพื่อใช้ในประเทศ ส่งออกสร้างรายได้ และลดพึ่งพาการนำเข้า เนื่องจากทุกคนเห็นความสำคัญของความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว
ขณะเดียวกันรัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญกับการดูแลด้านความปลอดภัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
จึงอยากให้คนไทยหันมาพิจารณาข้อเท็จจริงของประเทศอย่างมีจิตสำนึก
เพื่อสร้างประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่งยั่งยืน
• 4. หมอหยองยังอยู่ดี ‘รองปลัดยธ.’ปัดข่าวอาการน่าหวง/นิติเวชรอผ่าชันสูตรศพ‘เอี๊ยด’
ขณะที่ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เรียกประชุมชุดสืบสวนสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีและติดตามผลการตรวจค้นภายในที่พักของ พ.ต.ต.ปรากรมและนายสุริยัน
ซึ้งเจ้าหน้าที่สามารถยึดรถ, อาวุธปืน และทรัพย์สินจำนวนมากมาได้
เพื่อเร่งรัดให้เร่งตรวจสอบที่มาของสิ่งของทั้งหมดว่าเกี่ยวข้องกับ
คดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกหรือรับผลประโยชน์ตามมาตรา 112 หรือไม่
• 5. กรธ.เริ่มถกวาระร้อน โครงสร้าง ส.ส.-ส.ว. กรรมการฯ ลั่นไม่เดินตามก้นตะวันตก สมาชิก สปท.สายทหารทุบโต๊ะเชียร์สภาสูงให้มาจากลากตั้งทั้งหมด โละทิ้งระบบเลือกตั้ง ยังถกไม่ลงตัว ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นสิทธิหรือหน้าที่
ปชป.เชียร์เพิ่มยาแรงตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต
"วิษณุ" หนุนแม่น้ำ 5 สายต้องไปร่วมรับฟังความเห็นร่าง รธน.พร้อมกันทั้งแผง
• 6. วางแนวถกแม่น้ำ 5 สายพุธที่ 28 ตุลาคม นี้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมวันดังกล่าว
หลักๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องการจะพูดกับสภาขับเคลื่อนการปฏิรูประเทศเป็นพิเศษ
ดังนั้น จะเป็นการพูดถึงแนวทางการปฏิรูปมากกว่าเรื่องอื่นๆ
เพราะกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์พูดด้วยหลายหนแล้ว
แต่กับ สปท.เป็นการพบกับนายกฯ เป็นครั้งแรก จึงเข้าใจว่าต้องการพูดแนวทางการปฏิรูป ซึ่งแน่นอนต้องพูดถึงเรื่องโรดแมปด้วยอยู่แล้ว
การที่ สปท.จะทำงานร่วมกับแม่น้ำสายต่างๆ ทั้ง กรธ. สนช.และ ครม. ออกไปพบปะประชาชนรับฟังความคิดเห็น โดยเฉพาะการร่างรัฐธรรมนูญนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะนายกฯ ได้เคยให้แนวทางไว้แล้วว่าออกไปฟังความคิดเห็นได้
แต่เวลาไป อย่าแยกกันไป และอย่าไปกันหลายหน แต่ให้ชวนไปพร้อมกันทั้ง
ครม. กรธ. สปท. และ สนช. ไปตั้งวงทำความเข้าใจพร้อมกันๆ
มันจะประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ ทำให้ได้อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า
• 7. ด้านสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิรูปประเทศไทยโดยสำรวจความเห็นจากประชาชน 1392 คน
ระหว่าง 19-24 ตุลาคม 2558
ผลสำรวจพบว่า ความเห็นของประชาชนมองว่า
๑. สิ่งที่ "ถ่วงความเจริญ" ของประเทศไทยที่ต้องเร่งปฏิรูป ในสายตาประชาชน
การทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 87.21,
ความขัดแย้งจากการเมือง ร้อยละ 79.17,
ผู้อิทธิพลหรือมาเฟีย ร้อยละ 74.06,
การไม่เคารพกฎหมายของทุกภาคส่วนร้อยละ 71.91 และ
ขาดคุณธรรม จริยธรรม เห็นแก่ตนมากกว่าส่วนรวมร้อยละ 65.88
๒. แนวทางหลักในการปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างความเจริญ
81.25 % ระบุสร้างคุณภาพทางการเมืองโดยเฉพาะนักการเมือง,
75.65% เร่งรัดปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด,
72.20 % เร่งสร้างความเสมอภาคในสังคมไทย,
66.81% เร่งรัดปฏิรูปการศึกษาให้สามารถพัฒนาคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
60.49% และปลูกฝังความรักความสามัคคีของคนไทยทุกกลุ่ม
๓. ความคาดหวังต่อผู้ที่จะปฏิรูปประเทศให้บรรลุผล
83.89% นายกฯ สามารถใช้ ม.44 ได้,
78.08% ระบุคณะ คสช. และ ครม.ในชุดปัจจุบัน,
76.34% ระบุประชาชนและหน่วยงานทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังึ
71.39% สภาปฏิรูปการขับเคลื่อนประเทศ
64.05% กระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะศาลทั้งตุลาการและผู้พิพากษา
• 8. คอลัมน์ความรู้ความคิด
พี่เปลว สีเงิน : 'ชักสงสัยผู้ว่าสตง.แทนสสส.?'
กาแฟดำ : สีจิ้นผิงกับ ‘การทูตจิบเบียร์ในผับ’
การเยือนที่เริ่มด้วยงานเลี้ยงอลังการในราชวัง Buckingham และจบลงด้วยการจิบเบียร์ในผับชนบทของสีจิ้นผิง กำลังจะถูกบันทึกเป็นอีกตำนานหนึ่งของการทูตจีนสมัยใหม่ ที่จะวัดความสำเร็จมากหรือน้อยจากการลงมือทำตามคำประกาศร่วมเท่านั้น แต่ที่ยืนยันว่าเกิดขึ้นจริงก็คือการทูตแบบจีนในศตวรรษที่ 21 ที่มีสีสันและลีลาแหวกแนวจากประวัติศาสตร์หลายพันปีของจีนทีเดียว 

นายกฯ ปราศรัย วันUN ชื่นขมบทบาทไทย ในเวทีUN ร่วมมือUNHCR ดูแลด้านมนุษยธรรม มาตลอด

นายกฯ ปราศรัย วันUN ชื่นขมบทบาทไทย ในเวทีUN ร่วมมือUNHCR ดูแลด้านมนุษยธรรม มาตลอด คุยย้ำ ผลงานไปประชุมUN ที่ผ่านมา
คำปราศรัย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในวันสหประชาชาติ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๘

พี่น้องชาวไทยที่รัก วันที่ ๒๔ ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสหประชาชาติ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมวลมนุษยชาติ เป็นวันที่องค์การสหประชาชาติได้ถูกก่อตั้งขึ้น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรสากลระหว่างประเทศ ในการบรรเทาทุกข์และแก้ไขปัญหาของโลก จรรโลงสันติภาพและความมั่นคง ปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน รวมทั้ง เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่มวลมนุษยชาติ

ปีนี้นับเป็นปีที่พิเศษ เนื่องจากสหประชาชาติก่อตั้งครบ ๗๐ ปี ตลอด ๗ ทศวรรษที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติได้พิสูจน์แล้วว่า มีบทบาทสำคัญในการพยายามระงับการพิพาทระหว่างประเทศที่ใช้กำลัง การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคมของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะที่ประสบความเสียหายจากภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ ตลอดจน นำความกินดี-อยู่ดีมาสู่รัฐสมาชิก

พี่น้องชาวไทยที่รัก เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่า ประเทศไทยได้มีบทบาทเข้มแข็งในฐานะสมาชิกสหประชาชาติมาเกือบ ๗ ทศวรรษ บทบาทของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับจากองค์กรและประเทศสมาชิก ด้วยการมีส่วนร่วมในการให้ความเห็น และแบ่งปันประสบการณ์ การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศ เพื่อนำไปสู่การออกข้อมติต่าง ๆ ของสหประชาชาติที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม นอกจากนั้น ประเทศไทยยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานสำคัญที่อยู่ภายใต้องค์กรสหประชาชาติ เช่น คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก หรือ เอสแคป 
ประการสำคัญ ประเทศไทยได้ให้ความร่วมมือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ในการช่วยเหลือผู้หนีภัยจากประเทศเพื่อนบ้านมาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี รวมทั้งส่งกำลังพลกว่า ๒๐,๐๐๐ คน เข้าร่วมภารกิจการรักษาสันติภาพในประเทศต่างๆทั่วโลก 

นอกจากนั้น ยังมีคนไทยที่ได้มีบทบาทและดำรงตำแหน่งสำคัญของสหประชาชาติ เช่น ประธานสมัชชาสหประชาชาติ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก รวมทั้งทูตองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย
และที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยอย่างสูงสุด ได้แก่ การที่สหประชาชาติทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเกียรติยศความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี 

เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุม สมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๐ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และได้กล่าวถ้อยแถลงในหัวข้อ “๗๐ ปีสหประชาชาติ เส้นทางสู่สันติภาพ ความมั่นคง และสิทธิมนุษยชน”

ในถ้อยแถลง ผมได้กล่าวถึงบทบาทและการทำงานของไทยที่ผ่านมาในเวทีสหประชาชาติ วิสัยทัศน์ของไทยต่อการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายโลก พร้อมย้ำถึงความตั้งใจที่จะปฏิรูปประเทศไทยอย่างครอบคลุมรอบด้าน เพื่อนำประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รวมทั้งยืนยันว่า ประเทศไทยพร้อมทำงานในฐานะเป็นหุ้นส่วนกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติ เพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน

การประชุมสำคัญอีกรายการหนึ่งที่ผมได้เข้าร่วม คือ การประชุมสุดยอดสหประชาชาติระดับผู้นำว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเวทีที่ประเทศสมาชิกได้ร่วมรับรองเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นเป้าหมายการพัฒนาของโลกในช่วง 15 ปี จากนี้ไป โดยไทยได้มีบทบาทอย่างแข็งขัน ในการร่วมเจรจากำหนดเป้าหมายดังกล่าวมาโดยตลอด และในโอกาสนี้ ผมได้กล่าวถ้อยแถลงถึงนโยบายของรัฐบาลที่น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการพัฒนาประเทศ และย้ำว่าไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยจะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในวิสัยทัศน์การพัฒนาที่ยั่งยืนของเรา

ผมภูมิใจที่จะเรียนให้ท่านผู้ฟังทราบว่า ไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม G 77 ในปี 2559 กลุ่ม ๗๗ เป็นกลุ่มเจรจาที่ใหญ่ที่สุดในสหประชาชาติเพราะ มีประเทศกำลังพัฒนาเป็นสมาชิกกลุ่มถึง 134 ประเทศ และไทยยังได้รับมอบรางวัล ITU Global Sustainable Development Award ในฐานะประเทศที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ไทยยังได้รับเชิญให้ร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมคู่ขนานอีกหลายรายการ เช่น การประชุมเรื่องน้ำ ความเท่าเทียมทางเพศ การรักษา พยาบาลอย่างทั่วถึง บทบาทในการรักษาสันติภาพ ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นว่า ความก้าวหน้าโดยรวมของไทย และบทบาทของไทยในทุกเรื่องที่กล่าวมานี้ เป็นที่ยอมรับโดยแท้จริงของสหประชาชาติและประเทศสมาชิกทั้งหลาย

ผมเชื่อว่าความสำเร็จที่กล่าวมาน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี สำหรับการที่ประเทศไทยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗ - ๒๐๑๘ ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นในศักยภาพและบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยว่า จะสามารถช่วยส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พี่น้องชาวไทยที่รัก เนื่องในวันสหประชาชาติ ในนามของรัฐบาลไทย ผมขอส่งความปรารถนาดี ไปยัง นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ตลอดจนเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาติ ทั้งที่พำนักอยู่ในประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเข้มแข็งทั่วโลก ขอให้มั่นใจว่า ประเทศไทยจะยึดมั่นในหลักการ และความรับผิดชอบขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งจะให้ความร่วมมือกับประชาคมโลกในทุกมิติ ทั้งในอาเซียน และในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ ความสงบสุข ความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดีของ มวลมนุษยชาติอย่างเต็มความสามารถ
ขอบคุณและสวัสดีครับ

คำแถลงของกรมราชทัณฑ์ กรณี สารวัตรเอี๊ยด ใช้เสื้อ ผูกคอตายกับลูกกรงในเรือนจำทหารเมื่อคืน 22.00 น.

คำแถลงของกรมราชทัณฑ์ กรณี สารวัตรเอี๊ยด ใช้เสื้อ ผูกคอตายกับลูกกรงในเรือนจำทหารเมื่อคืน 22.00 น.
เรื่อง ผู้ต้องขังเสียชีวิต

กรมราชทัณฑ์ได้รับรายงานเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2558 เวลาประมาณ 22.00 น. จากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี สังกัดเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯว่า ข.ช.ปรากรม วารุณประภา ผู้ต้องขังระหว่างสอบสวนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งได้รับตัวไว้ควบคุมตามหมายขังของศาลทหารกรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2558 ได้พยายามฆ่าตัวตายด้วยการใช้ผ้าจากเสื้อผู้ต้องขังที่ทางเรือนจำจ่ายให้ตามระเบียบผูกคอตัวเองกับลูกกรงห้องขังภายในเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีโดยเวรรักษาการณ์กลางคืนในวันดังกล่าวได้ตรวจพบ จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาและเปิดห้องขังเข้าไปให้การช่วยเหลือในทันที

ในเบื้องต้นพบว่าผู้ต้องขังยังไม่เสียชีวิต จึงได้พยายามใช้เครื่องช่วยหายใจและให้การปฐมพยาบาล พร้อมกับนำตัวส่งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในทันที จนกระทั่งนำตัวส่งถึงทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และได้รับแจ้งจากแพทย์ในเวลาต่อมาว่าผู้ต้องขังได้เสียชีวิตแล้ว 

ข้อเท็จจริงเบื้องต้นมีดังนี้

1. ห้องขังที่เรือนจำชั่วคราว ไม่ใช่ห้องขังเหมือนเรือนจำปกติทั่วไป แต่ใช้อาคารที่ทำการของหน่วยทหาร ซึ่งมีประตูทึบผนังปูน 4 ด้าน ไม่สามารถมองตรวจตราจากภายนอกได้ ต้องเปิดประตูจึงจะมองเห็น ภายในห้องขังมีเครื่องหลับนอนผู้ต้องขัง ใช้ระบบขังเดี่ยว ผู้ต้องขังทั้งหมดไม่มีโอกาสพบกัน
2.การควบคุมผู้ต้องขังเวลากลางคืนจะมีเวรผลัดละ 1 คน คอยเดินตรวจตรา ซึ่งขณะนี้ เรือนจำชั่วคราวมีผู้ต้องขังรวม 5 คน ประกอบกับเป็นวันหยุดราชการ ไม่มีการสอบสวน ผู้ต้องขังถูกขังห้องเพียงลำพัง ไม่มีโอกาสพบคู่คดี จะมีการเดินตรวจเป็นระยะเท่านั้น
3.คดีนี้เป็นคดีสำคัญ ผู้ต้องขังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง อาจมีปัญหาในการปรับตัว เพราะเพิ่งรับตัวไว้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558
การเสียชีวิตของผู้ต้องขังในครั้งนี้ เป็นการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน จึงต้องดำเนินการชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และส่งศพให้สถาบันนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 

ทั้งนี้ ในส่วนของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวด้วย เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานรายงานผู้บังคับบัญชาต่อไป

บิ๊กปัอม ยันไม่ปิดคุกทหาร

เลิกพูดเหอะ.....บิ๊กปัอม ยันไม่ปิดคุกทหาร ยังจำเป็น ยันสอบสวน กรณี"สารวัตรเอี๊ยด" ยัน "หมอหยอง" แค่ป่วย
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ยืนยันว่า ไม่คิดจะยกเลิกเรือนจำทหาร มทบ.11 ตามที่องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้อง ยันยังจำเป็นในการควบคุมนักโทษสำคัญ เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่งก็คงปิดได้ ยันราชทัณฑ์-ทหารคุมโปร่งใส เพราะสถานการณ์แบบนี้ จำเป็นต้องมีเรือนจำทหาร ในสถานการณ์นึ้ ราชทัณฑ์ยธ.ดูแล ร่วมทหารในฐานะเจ้าของสถานที่ ยันมีการสอบสวนหากเกิดเรื่อง ยกกรณี"สารวัตรเอี๊ยด"ผูกคอตาย ก็ตัองมีการสอบสวน
ยัน "หมอหยอง"ป่วย แต่ยังไม่ตาย แต่ยอมรับล่าสุดทาง มทบ.11ยังไม่ได้รายงานเพิ่มเติม วอน"เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ"

"บิ๊กหมู" ประชุม คสช. สั่งกกล.รส.กระชับภารกิจจัดระเบียบสังคม ขจัดอิทธิพลสิ่งผิดกฎหมาย ตามนโยบายรัฐ

"บิ๊กหมู" ประชุม คสช. สั่งกกล.รส.กระชับภารกิจจัดระเบียบสังคม ขจัดอิทธิพลสิ่งผิดกฎหมาย ตามนโยบายรัฐ เร่งสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัยและเกื้อกูลต่อการบริหารราชการ สนับสนุนนโยบายเร่งด่วน เตรียมดูแลประชาชนช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลประเพณีปลายปี และร่วมเป็นส่วนหนึ่งสนับสนุน “ปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD” อย่างดีที่สุด เดินหน้าชี้แจง ช่วยเหลือเกษตรกร

พลเอก ธีรชัย นาควานิช ผบทบ.ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ บก.ทบ.

พันเอกหญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. เผยว่า ได้มีการสรุปผลการปฏิบัติงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ยังคงสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย ยาเสพติด ป่าไม้ การพนัน ผู้มีอิทธิพล การดูแลความสงบเรียบร้อย ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างๆ การเสริมสร้างความเข้าใจตามนโยบายการปฏิบัติของรัฐบาลและ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในเรื่องที่สำคัญ เข่น สถานการณ์ภัยแล้ง รวมถึงการแนะนำการปลูกพืชทดแทนที่ใช้น้ำน้อย ส่วนงานด้านการช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัยได้ร่วมกับประชาชนพัฒนาสถานที่ สาธารณประโยชน์ สร้างที่พักอาศัย จำนวน ๙๗ ครั้ง รวมถึงการเข้าร่วมประชุมประชาคมหมู่บ้านเพื่อรับฟังปัญหาของชุมชนนำไปสู่การแก้ไข ๖๗ ครั้ง

พลเอกธีรชัย ได้สั่งการให้สนับสนุน การที่รัฐบาลร่วมกับทุกภาคส่วนจัดกิจกรรม “ปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD” ในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ นี้ ให้ทุกหน่วยงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้การสนับสนุนและร่วมในจัดกิจกรรมอันเป็นมหามงคลนี้อย่างดีที่สุด ทั้งความรับผิดชอบในส่วนการเป็นคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ การสนับสนุนให้กำลังพล ครอบครัว และประชาชนได้รับทราบข้อมูลเพื่อเตรียมเข้าร่วมกิจกรรม

นอกจากนี้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ซึ่งจะเข้าสู่ฤดูกาลแห่งการท่องเที่ยว และการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองตามประเพณีและเทศกาลสำคัญในทุกภูมิภาค เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กำชับให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ให้การดูแลและอำนวยความสะดวก
รวมทั้งสนับสนุนการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองของทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ในทุกด้าน ทั้งเรื่องการรักษาความปลอดภัย การช่วยจัดระเบียบสถานที่ท่องเที่ยว มาตรการป้องกันและลดอุบัติภัย โดยให้ประสานงานกับจังหวัด ตำรวจ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลประชาชนให้มีความปลอดภัยและการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำหรับภารกิจของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกันระหว่างตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง มาอย่างต่อเนื่อง ในการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัยและเกื้อกูลต่อการบริหารราชการ สนับสนุนนโยบายเร่งด่วน
ในการดูแลช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลที่สำคัญคือ การจัดระเบียบสังคม สกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย นั้น เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้สั่งการให้พิจารณาแผนการปฏิบัติอย่างเข้มข้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในเรื่องการขจัดอิทธิพลและสิ่งผิดกฎหมายทั่วประเทศ
ส่วนปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ยังคงให้ใช้แนวทางการสร้างความเข้าใจ รับรู้ รับฟัง พร้อมช่วยผลักดันให้ปัญหาได้รับการแก้ไขผ่านกลไกของศูนย์ดำรงธรรมในระดับพื้นที่ ควบคู่ไปกับการให้นักศึกษาวิชาทหารเข้ามามีส่วนร่วมในลักษณะจิตอาสา
โดยมีปัญหาสำคัญในขณะนี้คือ ปัญหาเกษตรกรสวนยางพารา ปัญหาขาดแคลนน้ำในลุ่มแม่น้ำมูล ทั้งนี้ในทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการรวบรวมข้อเท็จจริงจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลนำเสนอให้รัฐบาลได้พิจารณาแก้ไขปัญหาให้ตรงกับความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนมากที่สุด
โดยย้ำถึงการดำเนินการของเจ้าหน้าที่จะเป็นไปในลักษณะการเข้าไปชี้แจง ในโอกาสหรือวาระที่ชุมชนมีการจัดประชุม หรือผ่านประชาคมหมู่บ้านเป็นหลัก

บิ๊กปัอม สั่ง ผบ.เหล่าทัพ กห.พร้อมรับมือการโจมตีทางไซเบอร์Cyber Attack ที่รุนแรง

Cyber Attack.....
บิ๊กปัอม สั่ง ผบ.เหล่าทัพ กห.พร้อมรับมือการโจมตีทางไซเบอร์Cyber Attack ที่รุนแรง ให้เพิ่มความเข้มข้น การรปภ เฝ้าระวัง การถูกโจมตี จากผู้ไม่หวังดี เพราะส่งผลปชช. ไม่สามารถเข้าถึง ข้อมูลรัฐได้ และอาจขยายตัว ส่งผลเสียหาย ต่อเศรษกิจ สั่งดูแลเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นภัยคุกคาม กระทบความมั่นคงมากขึ้น ยันเราไม่ได้ทำสงครามกับใคร ไม่ได้เป็นศัตรู รุกรานใคร ป้องกันข้อมูลรั่วไหล เน้นการทำงานเชิงรับ ป้องกันการถูกโจมตี เตือนประชาชนระวัง การเสพข้อมูล และหากสามารถตอบโต้กลับได้ก็ให้ช่วยกัน หรือ แจ้ง จนท.รัฐ

พลตรีคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า ในการประชุมสภากลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้แจ้งให้เหล่าทัพ เรื่องการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ( Cyber Attack ) จากปัญหาสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของประเทศในปัจจุบัน โดยมีการเจาะระบบข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต รวมทั้งการรบกวนไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของรัฐ ซึ่งก่อให้เกิดความเดือดร้อน และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐเป็นอย่างยิ่ง และอาจขยายตัวนำมาซึ่งความเสียหายในระบบเศรษฐกิจ ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติในอนาคต

พลเอกประวิตร รมว.กห.ได้ เน้นย้ำให้ นขต.กห.และเหล่าทัพ เพิ่มความเข้มข้นในระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทางราชการ พร้อมกับกำหนดมาตรการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อเว็บไซต์ในส่วนที่หน่วยรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับข้อมูลที่สำคัญต่อการปฏิบัติของหน่วย รวมถึงข้อมูลที่เป็นการบริการประชาชนด้วย

"เราไม่ได้ทำสงครามกับใคร เพราะเราไม่ได้เป็นศัตรู หรือเพื่อรุกรานใคร แต่ต้องป้องกันข้อมูลรั่วไหล เน้นการทำงานเชิงรับ ป้องกันการถูกโจมตี"
พลตรีคงชีพ ได้เตือนประชาชนด้วยว่า ให้ระวัง การเสพข้อมูล และหากสามารถตอบโต้กลับได้ก็ให้ช่วยกัน หรือ แจ้ง จนท.รัฐ

มาเฟีย-อิทธิพล-เอ็กซเรย์อาวุธสงคราม-ระเบียบวินัยทหาร

บิ๊กป้อม สั่งเหล่าทัพ เตรียมร่วมปราบปรามอาวุธสงคราม ให้สิ้นซาก เตรียมส่งกำลัง เอ็กซเรย์ ทุกพื้นที่ ใช้กม.เด็ดขาด จบใน 6 เดือน สั่งเก็บรักษาอาวุธ ในคลังให้ปลอดภัย ไม่รั่วไหล สั่ง อบรมทหารดูแลใช้อาวุธ มีประสิทธิภาพ กวดขันระเบียบวินัย

พลตรีคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า ในที่ประชุมสภากลาโหม ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้สั่งการ เรื่อง การดูแลอาวุธยุทโธปกรณ์ให้มีความปลอดภัยและพร้อมใช้งาน โดยขอให้ นขต.กห. และเหล่าทัพ กำกับดูแลการเก็บรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้มีความปลอดภัยและพร้อมใช้งานตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ให้มีฝึกอบรมกำลังพลให้มีการใช้งานอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ใน เรื่อง การปราบปรามผู้มีอิทธิพล พลเอกประวิตร ได้สั่งการว่า การปราบปรามผู้มีอิทธิพลถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของ นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ใน 6 เดือน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอให้นายกฯลงนามในแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน 

โดยคณะกรรมการนี้ จะมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและ รมว.กห. เป็นประธาน
"เป้าหมายคือ “บังคับใช้กฎหมายปรามปรามผู้มีอิทธิพลและกวาดล้างอาวุธสงครามให้สิ้นซาก” ภารกิจดังกล่าวต้องมีความร่วมมือกันทั้งภาครัฐและภาคประชาชน"

"ขอให้ หน่วยขึ้นตรงกลาโหม(นขต.กห.)และเหล่าทัพ ร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจัง โดยประสานกับส่วนราชการต่าง ๆ พร้อมกับสร้างความร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ร่วมกันตรวจสอบเบาะแสและเครือข่าย โดยดำเนินการอย่างเด็ดขาดภายใน 6 เดือน" โฆษกกห.กล่าว

นอกจากนี้ พลเอกประวิตร ยังสั่งการเรื่อง การปกครองบังคับบัญชากำลังพล โดยขอให้ นขต.กห. และเหล่าทัพ กำชับและกำกับดูแลให้มีการอบรมกำลังพลอย่างต่อเนื่องถึงเรื่องวินัย กฎข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้กำลังพลประพฤติปฏิบัติและเป็นตัวอย่างที่ดีกับขณะเดียวกันก็ขอให้ดูแลสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพลที่ต้องทำงานหนักในปัจจุบันควบคู่กันไป

นายกฯ เผย สั่งปราบมาเฟีย-กวาดล้างอาวุธสงคราม ไม่เกี่ยวการเมืองเคลื่อนไหว หรือไช่ล่าใคร

นายกฯ เผย สั่งปราบมาเฟีย-กวาดล้างอาวุธสงคราม ไม่เกี่ยวการเมืองเคลื่อนไหว หรือไช่ล่าใคร ปล่อยเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ยอมรับสถานการณ์ยังไม่ปกติ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการ หรืแ มีบัญชีดำ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปราบปรามมาเฟีย ที่ให้ พลเอกประวิตร เป็นประธาน ว่า "ทำไมต้องมีคณะกรรมการ ในเมื่อหน้าที่ของทุกคนก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ให้ทุกคนไปเข้มงวดในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย" 
"ไม่ต้องถึงกับไปทำเป็นบัญชีดำ บัญชีแดงอะไรขึ้นมา ในทุกพื้นที่ก็สามารถตรวจค้น จับกุมทั้งเรื่องอาวุธสงครามก็มีการทำหน้าที่กันอยู่แล้ว
เดี๋ยวก็จะมากล่าวหากันอีกว่าใช้มาตรการนอกกฎหมายอีก ไม่ทำ เพราะกฎหมายมีอยู่แล้ว มีการตรวจค้นจับกุมในพื้นที่ไหนก็ไปว่ากันตามขั้นตอน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รับผิดชอบ"

วันเดียวกันนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ก็ได้สั่งการไปแล้ว ทำให้ชัดเจนกันมากขึ้น ทั้ง คสช.และตำรวจต้องร่วมมือกัน ในการสืบจับแต่ละพื้นที่ก็ต้องมีการข่าวกันอยู่แล้ว ต้องหาข้อมูลได้ โดยเฉพาะคนที่ทำความผิด"
เมื่อถามว่า มีสิ่งบอกเหตุอะไร ทำไมจึงตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่อยู่ดีๆ เพียงแต่ตนเห็นว่ามีการใช้อาวุธสงคราม อาวุธปืนยิงแม้กระทั่งลูกหนี้ ตนทนไม่ได้ อยู่ดีๆ ก็เอาปืนมายิงคนเล่น ยิงเข้าบ้านคน ขนาดรัฐบาลนี้ยังเป็นอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ตนต้องคำนึงถึงมากกว่าอย่างอื่น ๆ
ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปไล่ล่าใครหรือไปไง่บ่าฝ่ายการเมือง อย่าไปเอามาพันกัน เรื่องนี้ถือเป็นกฎหมายปกติมันจะต้องไม่มีอาชญากรรม การใช้อาวุธสงคราม ช่วงที่ผ่านมายังมีการใช้อาวุธสงครามยิงคนตายอยู่ แสดงว่ามีการลักลอบรั่วไหลในเรื่องอาวุธสงครามก็ต้องจับกุมให้ได้
เมื่อถามว่า ภายใน 6 เดือน จะสามารถจับกุม กวาดล้างได้ทั้งหมดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในระยะเวลา 6 เดือนก็ต้องจับกุมได้บ้าง ที่สามารถจับกุมได้ก็ต้องจับ ไอ้ส่วนที่เหลือก็คงไม่กล้าแล้ว แต้ถ้าสามารถจับได้หมดก็เป็นเรื่องดี ทุกฝ่ายก็ต้องช่วยกัน ร่วมมือกันแจ้งเบาะแส ใครรู้ก็ขอให้แจ้งมาจะจับกุมให้ตั้งแต่พรุ่งนี้เลย"
เมื่อถามว่า การเน้นย้ำนโยบายดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีข่าวว่าจะนัดรวมตัวให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "มันจะไปเกี่ยวอะไร ผมไม่ได้ให้ความสนใจอยู่แล้ว คุณอย่าเอามาโยงกับผม ต่อไปนี้อย่าเอาเรื่องเหล่านั้นมาโยงกับผมอีก จะผิดหรือถูกก็ให้ไปอยู่ในศาล สื่อมาถามผมทุกวันก็ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ ไอ้ผมก็อดไม่ได้ที่จะตอบ แต่ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่ตอบแล้ว เพราะเขาไม่ใช่คู่กรณีกับผม เขาไปเป็นคู่กรณีกับกระบวนการยุติธรรม วันนี้ถ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไป ถ้าสังคมยอมรับได้ ผมก็รับได้ จะมาชวนกันต่อต้านอะไรตรงไหน กฎหมายเขาว่าอย่างไร ถ้าผิดกฎหมายผมก็จับกุม ถ้าทุกคนสอนให้เคารพกฎหมาย สอนให้คนปฏิบัติตามหน้าที่ ทุกคนก็จะไม่มีเรื่อง วันนี้ใครทำผิดกฎหมายก็ยังไปโฆษณาให้คนที่ทำผิดเหล่านั้น มันเรื่องอะไรกันเล่า ก็ปล่อยให้เขาไปต่อสู้กันในชั้นศาล ถ้าศาลตัดสินออกมาว่าไม่มีความผิด หลุดออกมาแล้วก็จบถือว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ จะมาเชียร์กันอย่างไรก็เชียร์กันไปเถอะ วันนี้ยังคลุมเครือเดี๋ยวก็เกิดปัญหากลายเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่อีก"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทุกวันนี้เราต้องทำตัวของเราเองให้ดีที่สุดทุกเรื่อง อย่าไปติคนอื่น ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน อย่างตนก็เร่ิมที่ตัวเองก่อน พยายามปรับปรุงตัวเอง พยายามทำงานให้มากขึ้น โมโหให้น้อยลง แต่ถ้าทุกคนไม่ยอมปรับตัวเองให้คนอื่นมาชี้นำตลอด ให้คนมาคอยพูดมันก็เบื่อ คนพูดก็เบื่อ คนฟังก็เบื่อ แล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาสักอย่าง ทุกวันนี้มันยุ่งพออยู่แล้ว ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง ทุกๆ เรื่องมีปัญหาทั้งหมด หรือคิดว่าทุกอย่างยังปกติก็ไม่รู้
"วันนี้มันยังไม่ปกติทุกคนก็ต้องช่วยผม เพราะผมกำลังทำสิ่งที่ไม่ปกติให้เป็นเรื่องปกติ ทั้งเรื่องของรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปประเทศ เราต้องช่วยกันหาทางออก เดี๋ยวก็สามารถทำกันจนได้ วันนี้เอาส่วนที่เห็นตรงกันมาทำก่อน ถ้าเอาสิ่งที่เห็นไม่ตรงกันมาเริ่มก่อน ก็ไปตรงไหนไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้น อย่าไปช่วยกันขยายความขัดแย้ง ผมรู้ว่าสื่อไม่มีเจตนา เพียงแต่ก็ต้องเสนอข่าวในทุกมิติ แต่บางมิติมีผลกระทบต่อการทำงาน มีผลกระทบต่อความมั่นคง ก็ต้องเบาลงหน่อยเท่านั้นเอง"

ใกล้สงครามโลกครั้งที่3เข้าไปทุกที‬


จเด็จ สิบเอ็ดทิศ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 4 ภาพ
เล่าแบบย่อๆนะ สภาวการณ์ในซีเรีย
- มหาอำนาจสหรัฐฯและพันธมิตร กำลังรุมโทรม IS อยู่ทางอากาศ โดยใช้ข้อมูลข่าวกรอง เรื่อง ‪#‎เป้าหมาย‬ ร่วมกันจาก CIA สหรัฐฯเป็นหลัก โดยทั้งหมดนี้ให้การสนับสนุน ‪#‎ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย‬ และ ‪#‎รัฐบาลอิรัค‬
- มหาอำนาจรัสเซีย โดดเข้ามาร่วมวงรุมโทรม IS ด้วย ขณะนี้เริ่มด้วยทางอากาศเป็นหลัก คาดว่าทางภาคพื้นคงจะตามมาในไม่ช้า เพื่อเข้ายึดครองและขับไล่ IS ในพื้นที่เป็นเขตๆไป หลังจากนวดทางอากาศจน ISเริ่มเสียหายเสียการส่งกำลังบำรุง เพราะรัสเซียได้ส่งกำลังภาคพื้นเช่น รถถัง ทหารคอมมานโด ทหารราบ พร้อมส่วนสนับสนุน เข้ามาตั้งค่ายทหารในซีเรียเรียบร้อยแล้ว
และที่สำคัญคือ รัสเซียไม่ได้นวด IS ทางอากาศ จากทั้งเครื่องบินมิกทั้งหลายและจาก ฮ.MI ทั้งหลายพวกเดียวเท่านั้น แต่กองทัพรัสเซียยังนวด ‪#‎กองกำลังใต้ดิน‬ ที่เป็น #ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ที่สหรัฐฯและพันธมิตรแอบสนับสนุนลับๆ ด้วย เพราะ ‪#‎รัสเซียให้การสนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันของซีเรีย‬
ข่าวกรองภายในของหลายชาติ ว่ากันว่า กองทัพรัสเซียนั้น เล่นหนัก เล่นแม่น เล่นจริง และเล่นแบบไม่ค่อยสนพลเรือนเท่าไรนัก ทำให้ IS เสียหายมากทั้งกำลังพลและยุทธปัจจัยรวมทั้งศูนย์สื่อสารบัญชาการในเขตหลัง (ทัพอากาศรัสเซียเน้นการโจมตีแนวหลังของIS เป็นหลักนะครับ) อีกทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ที่สหรัฐฯและพันธมิตรแอบหนุนอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวก ซีเรียฝ่ายค้าน+เคิร์ดรับจ้าง+กองกำลังเคิร์ดหลัก
- มหาอำนาจจีน เสือกจริงๆ กลัวตกขบวนมหาอำนาจยุคใหม่ ตอนนี้กำลังส่ง ‪#‎เรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง‬ เข้าไปยังชายฝั่งซีเรีย โดยอ้างว่าเพื่อสังเกตุการณ์ (แต่จริงๆคือ จีนแอบจับมือกับรัสเซียเรื่อง IS เพราะในทางลับนั้น ข่าวกรองจีนสืบได้ว่า หลายๆดอกที่จีนโดนไปเมื่อเร็วๆนี้บนแผ่นดินตัวเองนั้น IS มีส่วนให้การสนับสนุนอุยกูร์)
ทั้งหมดนี่คือสภาพการณ์โดยรวมล่าสุดในซีเรียห้วงนี้นะครับ ..
หมายเหตุ :
- สหรัฐฯ+พันธมิตรเฉพาะกิจ+ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย vs IS
- รัสเซีย+จีน+ฝ่ายรัฐบาลซีเรีย vs IS
นับรวมๆดูหลักๆนะครับ สงครามซีเรียตอนนี้ มีชาติทั้งที่อยากออกนามและไม่อยากออกนาม เข้ามายุ่งเกี่ยวทั้งทางตรงทางแจ้ง เอาเฉพาะที่ออกตัวออกแรงชัดๆนี่ มีถึง 13 ชาติ คือ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อิตาลี ตุรกี บาห์เรน ยูเออี อิสราเอล อียิปต์ ซาอุฯ รัสเซีย จีน อิหร่าน อิรัค ยังไม่รวมที่ไม่เป็นชาติ แต่เป็นกลุ่มอีก 6-7 กลุ่มในย่านนั้น ซึ่งกลุ่มใหญ่สุดคือ เคิร์ด ซึ่งทำงานร่วมกับ CIA สหรัฐฯ ทำหน้าที่ชี้เป้า ยืนยันเป้า หาข่าวกรอง
ถ้าวันดีคืนร้าย พร๊อกซีวอร์ที่มีสนามรบเป็นซีเรียเกมส์นี้ เกิดเอ๊กซ์ซิเดนท์ หรือแม้นแต่การจงใจป้ายสีบิดเบือนข่าวกรองทางทหาร โดยไอ้โม่ง หรือโดยชาติใดชาตินึง .. เช่น เป้าผิด พิสูจน์ฝ่ายผิดหรือพลาด และเกิดความเสียหายต่อฝ่ายใดฝ่ายนึงอย่างรุนแรง ..
โอกาสที่จะเกิด ‪#‎การเอาคืน‬ อันสามารถที่จะเป็นชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่3ได้ มีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก ข่าวกรองและสำนักวิเคราะห์ทางทหารทั่วโลกประเมินกันไว้ว่า อัตราความเป็นไปได้สูงถึงร้อยละ 65 เลยทีเดียว

รายชื่อ “กรรมการ – ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิรับเงินจากสสส. 8 ปีกว่า 3,000 ล้านบาท


สสส.1
ตามที่มีการนำเสนอข่าวการตรวจสอบการดำเนินงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ว่ามีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ จากนั้นได้มีการแถลงข่าวของกองทุน สสส. ต่อมาอีก 4 วัน ผู้จัดการกองทุน สสส. ประกาศลาออก
ทั้งนี้การดำเนินการตรวจสอบสสส.เป็นผลมาจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้ทำหนังสือรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน ปี 2557 กองทุนสสส. ถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2558 โดยรายงานระบุว่า การบริหารงานที่ผ่านมายังไม่บรรลุผลตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและเป้าหมายตามแผน มีความไม่โปร่งใสในการดำเนินงาน และขาดการรายงานและติดตามผลของโครงการที่ได้เงินสนับสนุน พร้อมระบุว่ามีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ สสส. และผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อกลั่นกรองทางวิชาการ จัดตั้งมูลนิธิหลายแห่งและได้เงินอุดหนุนโครงการจากกองทุน สสส. และบางโครงการที่ได้รับเงินอุดหนุนมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการ ผู้ประสานงานโครงการ และเจ้าหน้าที่กองทุน สสส. ร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานในต่างประเทศกับผู้ได้รับทุนตามโครงการ ทำให้มีข้อร้องเรียนหรือกล่าวหาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
จากรายงานสตง.ได้ระบุถึงโครงการที่รับเงินอุดหนุนโดยไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสสส.ได้รับเงินจากสสส.ไปกว่า 100 ล้านบาท อาทิ โครงการสวดมนต์ข้ามปี 33 ล้านบาท โครงการผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาแรงงาน 17.7 ล้านบาท โครงการเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา 16.3 ล้านบาท โครงการขับเคลื่อนงานด้านเด็กและเยาวชนแบบบูรณาการระดับจังหวัด : อุบลราชธานี 17.9 ล้านบาท เป็นต้น (ดูรายละเอียดทั้งหมด)
นอกจากนี้จากรายงานของสตง.ได้ระบุถึงรายชื่อกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิซึ่งเป็นผู้รับเงินสนับสนุนจากสสส.อาทิ นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ(ที่ปรึกษาอดีตนพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมต.สาธารณสุข) นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ เป็นต้น ตั้งแต่ปี 2550-2557 รวมเป็นเงินกว่า 3,000 ล้านบาท ดังรายละเอียดดังนี้(ดูรายชื่อทั้งหมด) และ รายชื่อกรรมการสสส.ปี 2557,ปี 2555,ปี 2554,ปี 2553,ปี 2552,ปี 2551,ปี 2550(ขาดปี2556)และ ดูรายชื่อการหมุนเวียนของกรรมการในสสส.

คลังกู้2แสนล้าน! ใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ชดเชยขาดดุลงบประมาณ

วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 08:43:11 น. มติชน



นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2559 หรือช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ กระทรวงการคลัง จะทำการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2 แสนล้านบาท จากวงเงินกู้ที่ตั้งไว้ 3.9 แสนล้านบาท หรือมากกว่า 50% เพื่อใช้จ่ายในการ ลงทุนโครงการต่างๆ เนื่องจากรัฐบาล มีมาตรการเร่งการลงทุนทั้งโครงการ ขนาดเล็กและขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้เงิน จำนวนมาก

นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2559 การจัดเก็บรายได้ของประเทศจะเข้ามาน้อย เนื่องจากเป็นปกติของการจัดเก็บรายได้ในช่วงแรก แต่จะเริ่มเข้ามามากในช่วงไตรมาสสองและไตรมาสสาม เนื่องจากเป็นช่วงของการจ่ายเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล

สำหรับการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ 5 หมื่นล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3% ได้รับผลการตอบรับ เป็นอย่างดีและมีการซื้อไปแล้วมากกว่าครึ่งหนึ่ง คาดว่าจะหมดได้ในเร็วๆ นี้

ขณะที่การกู้ชดเชยขาดดุล งบประมาณอีก 1.5 แสนล้านบาท ในไตรมาสนี้ จะเป็นการออกพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี 10 ปี 15 ปี และ 20 ปี ซึ่งได้มีแผนการออกและสถาบันการเงินที่จะเข้าประมูลรับทราบเป็นอย่างดีแล้ว

นายสุวิชญกล่าวว่า ในส่วนของการกู้เงินเพื่อใช้โครงการเร่งด่วนซ่อมสร้างถนนและบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท มีการกู้เงินไปแล้ว 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการเบิกจ่ายที่รวดเร็วขึ้น ปัจจุบันเบิกจ่ายไปแล้ว 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งตามแผนในปีหน้าจะมีการกู้และเบิกจ่ายทั้งหมด 8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็กและการดำเนินการของโครงการไม่เกิน 1 ปี

ผู้อำนวยการ สบน. กล่าวว่า แผนการบริหาร หนี้สาธารณะของรัฐบาลปีงบประมาณ 2559 วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท เป็นการกู้ใหม่ 5.63 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 3.9 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ

สำหรับการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557-กันยายน 2558) จัดเก็บได้ 2,207,476 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ ตามเอกสารงบประมาณ 117,524 ล้านบาท หรือ 5.1% (แต่ยังสูงกว่าปีที่แล้ว 6.4%) สาเหตุหลักจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงตั้งแต่ปลายปี 2557 ได้ส่งผลให้ภาษีมูลค่าเพิ่มจาก การนำเข้า ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และรายได้จากสัมปทานปิโตรเลียม จัดเก็บได้ต่ำกว่า ประมาณการ นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจปี 2557 ที่ชะลอตัวลง ประกอบกับเศรษฐกิจในปี 2558 ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ กระทบต่อ การประกอบการของภาคธุรกิจ ส่งผลให้การ จัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เป็นตามเป้าหมาย

มีผลแล้ว! ป.ป.ช. ออกระเบียบเปิดให้ชาวบ้านของดูเหตุผล หากวินิจฉัยข้อกล่าวหาไม่มีมูลได้


PIC ppchhh 25 10 58 1
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการจัดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าตรวจดูเหตุผลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีที่มีมติวินิจฉัยว่า ข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป พ.ศ. 2558
ระเบียบดังกล่าว ระบุว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจัดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าตรวจดูเหตุผลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีที่มีมติวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 53 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจัดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าตรวจดูเหตุผลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีที่มีมติวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป พ.ศ. 2558”
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตนไป ้
ข้อ 3 ในระเบียบนี้
“ข้อมูล” หมายความว่า เหตุผลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีที่มีมติวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป
“หน่วยงานในสังกัด” หมายความว่า สํานัก สถาบัน ศูนย์ สํานักงาน ป.ป.ช. ประจําจังหวัดหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่เทียบเท่า
ข้อ 4 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร เรื่องกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดําเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติว่า ข้อกล่าวหาใดไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป ให้หน่วยงานในสังกัดที่รับผิดชอบเรื่องจัดเตรียมข้อมูลแล้วนําส่งไปยังหน่วยงานในสังกัดตามที่เลขาธิการกําหนด เพื่อจัดเตรียมไว้ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าตรวจดูได้ ทั้งนี้การจัดเตรียมและการเข้าตรวจดูข้อมูลดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงาน ป.ป.ช. ประกาศกําหนด
การจัดเตรียมข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ถ้ามีส่วนที่ต้องห้ามมิให้เปิดเผยหรือหากเปิดเผยแล้ว อาจทําให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือเกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ทําคําร้อง ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ให้ถ้อยคํา หรือผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูล พยานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตต่อหน้าที่ การร่ำรวยผิดปกติหรือข้อมูลอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อการไต่สวนข้อเท็จจริง ให้หน่วยงานในสังกัดที่รับผิดชอบเรื่องนั้นดําเนินการลบ ปกปิด ตัดทอน หรือกระทําด้วยวิธีอื่นใดที่ไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลในส่วนนั้น
ข้อ 5 การเก็บรักษาข้อมูลเพื่อจัดเตรียมไว้ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าตรวจดู ตามข้อ 4 สํานักงาน ป.ป.ช. อาจเก็บรักษาไว้ในระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ กรณีที่มีการเก็บรักษาข้อมูลไว้ในระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามวรรคหนึ่ง ให้สํานักงาน ป.ป.ช. เก็บรักษาไว้ในรูปแบบ วิธีการหรือช่องทางที่คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ โดยจัดให้มีอุปกรณ์หรือเครื่องมือ สําหรับให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ด้วย
ข้อ 6 ให้หน่วยงานในสังกัดตามที่เลขาธิการกําหนดจัดสถานที่ให้บริการข้อมูล และการติดต่อเพื่อขอรับข้อมูล เพื่อให้บริการข้อมูลแก่บุคคลทั่วไปในการเข้าตรวจดูข้อมูล ตามข้อ 4
ข้อ 7 ค่าธรรมเนียมการทําสําเนาเอกสารและข้อมูลและการรับรองสําเนาเอกสารและข้อมูลให้นําระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการเปิดเผยเอกสารและข้อมูล พ.ศ. 2558 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 8 การจัดเตรียมและการเข้าตรวจดูข้อมูลตามระเบียบนี้ ให้ใช้บังคับกับเรื่องกล่าวหา ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไปตั้งแต่วันที่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับเป็นต้นไป
ข้อ 9 ให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้มีอํานาจวินิจฉัยสั่งการ
ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ
ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ