PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

จุดหมายใต้ผืนฟ้าแผ่นน้ำ

ขอบฟ้าจรดผืนน้ำ ใสกระจ่าง ดุจดั่งเป็นพื้นแผ่นภาพเดียวกัน..
เรือลำน้อยอีกหนึ่งฝีพาย.. แม้เหมือนเป็นเพียงหนึ่งชีวิตโดยลำพังบนแผ่นน้ำฟ้า..แต่ใช่ว่า จะเป็นเพียงความลำพัง หากเรือยังเดินทางจากฝีพาย ไปยัง"จุดหมาย"อันไม่ไกลไปจากฝัน แม้สุดขอบแผ่นผืนน้ำฟ้า..

25/4/56

มีพ่อจนๆน่าอายนักหรือ


(เคยอ่านเรื่องนี้มานานแล้ว มาเห็นอีกทีเลยขอคัดลอกมาอ่านอีกครั้ง)

มีพ่อจนๆน่าอายนักหรือ

วันนี้เลิกงานเร็วเลยพาพี่นุ่มไปซื้อของใช้ที่ห้างแห่งหนึ่ง รอต่อแถวจ่ายตังค์นานเลย เจ้านุ่มก็เริ่ม งอแงๆ ง่วงนอน สังเกตุว่าคิวด้านหน้าเรามากันเป็นครอบครัว มีพ่อแม่ลูกสาววัยประมาณเจ้านุ่ม แล้ว ก็ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง ที่หนูน้อยเรียกว่า "ปู่" คุยกันยิ้มแย้มแจ่มใสดี ซื้อของใช้ล้นตระกร้าเชียวค่ะ

พอแคชเชียร์คิดเงินของครอบครัวนี้จนเสร็จได้ยินคร่าวๆว่า "ทั้งหมดพัน(กว่าๆ)บาทค่ะ...." ผู้ เป็น"ปู่ " เป็นคนเปิดกระเป๋าสตางค์ใบเก่าๆ จะจ่ายเงิน พร้อมทำท่าอ้ำอึ้ง มีลูกชายลูกสะใภ้จ้อง ตาเขม็ง หุบยิ้มทันที

" ว่าไงพ่อ จ่ายเค้าไปสิ" ลูกชายบอก คุณปู่ยังทำท่าอ้ำอึ้ง 

"ไหน ดูหน่อย มีตังค์เท่าไหร่" คุณปู่ยื่นกระเป๋าตังค์ให้ดูข้างใน

" อ้าว ไหนว่ามีตังค์เยอะไง แล้วแบบนี้จะชวนมาซื้อของทำไม ไม่มีตังค์จ่ายก็ไม่บอก อายเค้าจริงๆ "

ลูกชายลูกสะใภ้พากันมองคุณปู่ด้วยสายตาที่เหมือนดูถูก...รำคาญ

ในที่สุดเค้าก็พากันทำสิ่งที่เราไม่อยากจะเชื่อสายตา คืออุ้มลูกเดินหนีไปเลย พร้อมกับโกรธหัวฟัดหัว เหวี่ยง ไม่สนใจลูกสาวที่ร้องว่า "ปู่ๆๆๆ ปู่มาด้วย" 

คุณปู่ยืนคอตก หน้าเศร้าอยู่หน้าแคชเชียร์ พอเด็กถามว่าจะเอายังไง คุณปู่เปิดกระเป๋าตังค์ให้เด็กดู แล้วบอกว่าให้คิดเงินตามนี้ ได้ของเท่าไหร่เท่านั้น (เด็กนับแล้วมีแปดร้อยบาทค่ะ)

ระหว่างรอแคชเชียร์คิดเงินใหม่ ได้ยินคุณปู่เล่าว่า แกบ้านอยู่ต่างอำเภอห่างไปเป็นร้อยกิโล ลูกหลาน ไม่ไปหานานแล้ว แกจึงตัดสินใจรวบรวมเงินทั้งหมดที่มีนั่งรถเข้ามาเยี่ยมลูกหลานในเมือง แล้วชวน ออกมาซื้อของ ลูกแกก็ไม่ถามสักคำว่าเงินมีเท่าไหร่ หยิบของเอาๆ แกก็ไม่เคยรู้ราคาของ เพราะอยู่ บ้านนอกก็ซื้อร้านของชำทีห้าบาทสิบบาท ใครจะจะรู้ว่าของในห้างใหญ่เค้าซื้อกันทีละเป็นพัน

เราจ่ายเสร็จเห็นคุณปู่ยังเดินเคว้งอยู่แถวๆนั้น ก็เลยถามแกว่าจะกลับยังไง แกบอกว่าพอขึ้นรถกลับ เป็น ( อ้าว แล้วตังค์ล่ะ เมื่อกี้เห็นจ่ายไปหมดแล้วนี่นา ) แต่ก็ยังลังเลอยู่ กลัวลูกกลับมาตามหาแล้ว ไม่เจอ มือถือก็ไม่รู้เบอร์

เลยตัดสินใจพาคุณปู่ไปที่แผนกประชาสัมพันธ์ประกาศหาลูกค่ะ จากนั้นเราบอกให้รอสักพัก ถ้าลูกไม่มา จริงๆ ให้ไปขึ้นรถที่คิวรถ( ฝากเด็กที่ปชส.ค่ะ ว่าให้ย้ำคุณปู่อีกที) พร้อมกับให้เงินแกเป็นค่ารถไว้ค่ะ จริงๆอยากรอดูสักพัก แต่เจ้านุ่มไม่ไหวแล้วค่ะ งอแงเหลือเกิน

คุณปู่น้ำตาคลอบอกเราว่า "มันคงไม่ทิ้งปู่จริงๆหรอกนะ นี่ก็ได้ของไปเยอะเหมือนกันถึงจะซื้อได้ไม่หมด ก็เถอะ นี่มันไม่เคยกลับไปหาปูเลย ก็เพราะปู่มันจน ไม่มีสมบัติอะไรให้ " เราปลอบใจแก
ไปบอกว่า เดี๋ยวเค้าคงกลับมาน่ะ คงเดินไปดูอย่างอื่นก่อน

เดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยค่ะ หันหลังกลับไปมองเห็นคุณปู่ยังยืนคอตกที่เดิม ในใจคิดวน เวียนตลอดเวลา

.... นี่เค้าทำแบบนี้กับพ่อตัวเองได้ยังไงนะ ... 

... พ่อไม่มีตังค์พอเนี่ย มันผิดด้วยหรือ? เค้าไม่รู้หรือไงว่า เงินเท่านี้อาจจะเป็นเงินที่คุณปู่เก็บมาทั้ง ชีวิตก็ได้ (คนชนบทจะไปหาเงินจากไหนล่ะ?) ...

...แล้วเค้าจะสอนลูกให้กตัญญูต่อพ่อแม่ได้อย่างไร ก็ทำพฤติกรรมแบบนี้กับพ่อตัวเองให้ลูกเห็น....

จริงอยู่ พื้นฐานครอบครัวนี้อาจจะมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านี้ แต่เป็นเรา เราคงไม่มีวันทอดทิ้งพ่อให้ได้รับ ความเจ็บปวดอับอายจากการที่ไม่มีเงินซื้อของให้ลูกหลานได้พอแบบนี้หรอก เป็นเรา เราคง

บอกพ่อว่า

" ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ กลับบ้านเราเถอะ " 

รักพ่อให้มากๆกันนะคะ เพราะคนตั้งกระทู้ คุณพ่อเสียไปตั้งแต่ยังเด็กเลย....คิดถึงพ่อนะคะ

Credit

เจ้าของเรื่อง & เพจพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

องค์กรยุคใหม่กับวายเจเนอเรชั่น


 25 เม.ย 2556 เวลา 15:23:49 น.
คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์

โดย บุญชัย พงศ์รุ่งทรัพย์ เอพีเอ็ม กรุ๊ป

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ส่งผลให้องค์กรและสถาบันทางเศรษฐกิจต้องเร่งปรับตัว เพื่อให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะโลกที่สามารถสื่อสารเชื่อมโยงเข้าหากันได้อย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรม สังคม และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตในโลกยุคไอที หรือกลุ่มคนที่เรียกว่า "เจเนอเรชั่นวาย" (Generation Y) ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลให้วิถีแห่งการพัฒนาองค์กรไม่อาจหยุดนิ่ง เพื่อก้าวทันโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจนทำให้วิเคราะห์แนวโน้มขององค์กรในอนาคต ปี 2020 ออกมาทั้งหมด 5 ประเด็น ได้แก่

1.การเพิ่มขึ้นของเจเนอเรชั่นวาย (ช่วงอายุ 13-32 ปี หรือผู้ที่เกิดปี 2523-2543) ที่จะเติบโตและเข้าสู่ระบบขององค์กรต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง อันเนื่องมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มเจเนอเรชั่นวายกับกลุ่มเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ (Generation X) รวมถึงกลุ่มเบบี้บูเมอร์ (Baby boomer) ที่มีอยู่เดิมในองค์กร

2.การปรับเปลี่ยนการสื่อสารทั้งในองค์กรและระหว่างองค์กร เนื่องจากวัฒนธรรมที่หลากหลายของพนักงานและคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นจากหลากหลายประเทศ 3.คนทำงานในโลกยุคใหม่ ใช้ชีวิตเสมือนทำงานอยู่ตลอดเวลา (Nine to Five) ไม่สามารถแยกชีวิตส่วนตัว (Life) ออกจากการทำงาน (Work)

4.การทำคุณประโยชน์คืนสู่สังคม (CSR) องค์กรธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคล และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการตอบแทนประโยชน์แก่สังคมมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังจากองค์กร

5.การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลให้ Social Media ทรงพลังยิ่งขึ้น จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้องค์กรธุรกิจต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร และพนักงานในองค์กร รวมถึงกลุ่มคนที่จะเข้ามาเป็นบุคลากรในอนาคต ได้แก่ กลุ่มคนในเจเนอเรชั่นวาย องค์กรจำเป็นต้องมีความเข้าใจในพฤติกรรมและความต้องการของคนกลุ่มนี้
เพื่อให้การสื่อสารภายในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้องค์กรมีศักยภาพในก้าวสู่ความสำเร็จต่อไปในอนาคต

สิ่งแรกที่องค์กรยุค 2020 จะต้องทำให้สำเร็จคือการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์กรเอง (Connect People with People) ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมของคนในองค์กร เครื่องมือ ช่องทาง และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่บุคลากรในองค์กรใช้ในการสื่อสาร เพราะจะทำให้องค์กรสามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับบุคลากรได้อย่างแท้จริง

นอกจากนั้นผลสำรวจยังพบอีกว่าการใช้ชีวิตและการทำงานของบุคลากรของคนในเจเนอเรชั่นวาย จะมีการเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างใกล้ชิด ก่อให้เกิดบุคลิกพิเศษที่เรียกว่า "I-workers" คือ

1.การมีอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตมากกว่า 3 ชิ้นขึ้นไป

2.สถานที่ทำงานไม่จำกัดอยู่แต่ออฟฟิศ อาจทำงานจากหลากหลายสถานที่ ซึ่งมากกว่า 3 สถานที่

3.มีแนวโน้มที่จะใช้แอปพลิเคชั่น (application) ในการทำงานมากกว่า 7 แอปพลิเคชั่น ผู้บริหารในทุกระดับจึงต้องมีความเข้าใจถึงพฤติกรรมของบุคลากรกลุ่มนี้ เพื่อลดช่องว่างในการสื่อสารและถ่ายทอดอุดมการณ์ขององค์กร

องค์กรในอนาคตไม่อาจละเลยการพัฒนาระบบความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและบุคคล (Connect People and Organization) ด้วยการผ่านสิ่งสำคัญ 3 ประการ คือ

1.วิสัยทัศน์ (Vision) องค์กรที่ดีต้องสร้างแรงขับเคลื่อนหรือกระตุ้นให้พนักงานก้าวไปตามวิสัยทัศน์ขององค์กร รวมทั้งเข้าถึงคุณค่าและวัฒนธรรมขององค์กร

2.คุณค่า (Values) นอกจากองค์กรจะต้องทำให้บุคลากรรับรู้ถึงคุณค่าและเกิดความภาคภูมิใจในองค์กรแล้ว แรงขับเคลื่อนขององค์กรจะต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของคนในองค์กรด้วย

ขณะที่คุณภาพของงานและชีวิตไม่ถดถอย สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและชีวิตที่มีความสุขไปพร้อมกัน (Integrated Life and Work)

3.ความกระชับ รวดเร็ว (Velocity) บุคลากรในยุค 2020 ต้องการความรวดเร็วจากการทำงาน (end-to- end process) ต่อต้านระบบงานที่อาศัยการอนุมัติหลายขั้นตอน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน ทั้งนี้การทำงานจะมีลักษณะเป็นองค์รวมมากยิ่งขึ้น การตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการบริหาร ไม่สามารถแยกทำงานตามฟังก์ชั่นกล่าวคือทุกขั้นตอนจะต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันตลอดเวลา ไม่สามารถดำเนินงาน โดยปราศจากการมีส่วนร่วมของฟังก์ชั่นอื่น

โดยสรุปองค์กรในยุค 2020 จะต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) เพื่อให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น

ขณะที่องค์กรไม่สามารถมุ่งหวังเพียงผลประโยชน์ขององค์กรเท่านั้น หากแต่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของสังคม รวมถึงการลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม เร่งสร้างองค์กรให้เอื้อต่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของบุคลากรไปพร้อมกับการสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ศึกษา และเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเจเนอเรชั่นวายที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรในอนาคต

ทั้งนั้นเพื่อลดช่องว่างความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของบุคคลภายในองค์กรที่อาจเกิดขึ้น โดยผู้นำในทุกระดับ (Leader) มีส่วนสำคัญในการลดช่องว่างดังกล่าว รวมถึงการสร้างศรัทธาที่มีต่อตัวผู้นำและองค์กร เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพขององค์กร ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้องค์กรในโลกยุค 2020 สามารถก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว


โดย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร

ด้วยพระเมตตาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อพสกนิกรชาวไทย พระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน ทรงเป็นดั่งผู้มอบชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายในหัวใจคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นแรงบันดาลใจจุดประกายพลังแผ่นดิน

หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาท แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด ด้วยคำสอนที่พระองค์ทรงพระราชทานให้แต่ละข้อแต่ละอย่างนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ ทรงไตร่ตรองพิเคราะห์ถึงปัญหานั้นอย่างถ่องแท้แล้วว่า จะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหาการดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ

ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม เกิดขึ้นจากความผ่อนคลาย หรือเกิดขึ้นจากภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะทำให้ต้อง เร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร สมาธิเป็นของดี เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน เป็นของที่มีอยู่ในกายและในจิตอันพร้อมเป็นของเข้าใจได้ เป็นของเข้าใจง่าย และใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย และความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่า สมาธิเองก็มิใช่ของที่เกิดขึ้นโดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มาก หากผู้ใช้สมาธิรู้จักการปฏิบัติอันถูกต้อง ถูกต้องทั้งแก่ตนแลถูกต้องทั้งแก่ผู้อื่น ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยวัตร แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ "พระสมาธิ"

ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องประทับอยู่เป็นเวลานานๆ เช่น ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร คงจะได้เห็นด้วยความพิศวงกันทุกคนว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้นเมื่อทรงนั่งลงแล้ว จะประทับอยู่ในพระอิริยาบถนั้น ตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่งจบไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถเลย

นอกจากนั้น ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างกระฉับกระเฉงต่อเนื่อง ไม่มีพระอาการที่แสดงว่าทรงเหนื่อย หรือทรงเบื่อเลย ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พิธีนั้นยาวถึงประมาณ ๔ ชั่วโมง และมีบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯ รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคน ได้เห็นเหตุการณ์เช่นว่านั้น แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานในตอนค่ำวันนั้น พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกาย ด้วยการวิ่งในศาลาดุสิตาลัยอีก

ในการประกอบพระราชกรณียกิจอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัต ิด้วยพระอาการที่แสดงว่า เอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรี (ที่ใครๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อนพระราชหฤทัย) เป็นต้น ผมเคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรี ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง โดยทรงนั่งไม่ลุกเลย แม้แต่จะเพื่อเสด็จฯ ไปห้องสรง ในขณะที่นักดนตรีอื่นๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน

ในการทรงเรือใบก็เช่นเดียวกัน ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ อยู่ ด้วยความฉงนว่า เสด็จฯ กลับเข้าฝั่งเพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้าซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่า ฟาวล์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น

แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัวเป็นงานอีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้องทำด้วยความจดจ่อและต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนกัน

พระราชกรณียกิจอื่นๆ ทั้งน้อยและใหญ่ ทรงปฏิบัติแบบเดียวกัน คือด้วยการเอาพระราชหฤทัยจดจ่อ ไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะจนกว่าจะเสร็จ และไม่ทรงทิ้งขว้างแบบทำๆ หยุดๆ เพราะฉะนั้นจึงจะเห็นว่าพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้น สำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่

ผมไปรู้เอาหลังจากที่เข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ได้ไม่นานว่า ที่ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจทุกชนิดได้เช่นนั้น ก็เพราะพระสมาธิ

ผมไม่ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) หลังจากทรงผนวชแล้ว ประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอยู่ในสมณเพศเป็นเวลา ๑๕ วัน ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (เมื่อครั้งยังเป็นพระโสภณคณาภรณ์) ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ทราบกันดีว่า แม้จะทรงมีเวลาน้อย แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย


เมื่อผมเข้าไปเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ นั้น ปรากฏว่า การศึกษาและปฏิบัติสมาธิ หรือกรรมฐานในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติเป็นประจำ และข้าราชสำนักข้าราชบริพารหลายคน ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร ก็กำลังเจริญรอยพระยุคลบาทอยู่ด้วยการฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น

ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัดสมาธิ แม้จะเคยศึกษามาก่อนโดยเฉพาะจากหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ แต่ระหว่างการตามเสด็จฯ โดยรถไฟ จากกรุงเทพมหานครไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ การเดินทางไกลกว่าที่ผมคาดคิด หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟ ก็อ่านจบเล่มเสียตั้งแต่กลางทาง ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ประจำ ที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยร่วมกันสองนาย ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ ผมจึงลองทำดูบ้างโดยใช้อานาปานสติ (คือกำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้า และหายใจออก) อันเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ และท่านอาจารย์พุทธทาสแนะนำ ปรากฏว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด แลเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวยๆ งามๆ มากมาย และเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิ และกลายเป็นอีกผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิเป็นประจำมาจนทุกวันนี้

เมื่อความทราบถึงพระกรรณ ว่าผมเริ่มปฏิบัติสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกรุณาพระราชทานหนังสือ และแถบบันทึกเสียงคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ลงมา และบางครั้งก็ทรงพระกรุณาพระราชทาน พระราชดำรัสแนะนำด้วยพระองค์เอง ผมจึงได้รู้ว่า พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวนั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก รับสั่งเล่าเองว่า แม้จะทรงใช้อานาปานสติเป็นอุบายในการทำสมาธิ แต่พระเจ้าอยู่หัว ก็ไม่ทรงสามารถที่จะกำหนดพระอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) และพระปัสสาสะ (ลมหายใจออก) ได้แต่ลำพัง ต้องทรงนับกำกับ วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้ หายใจเข้าครั้งที่หนึ่ง นับหนึ่ง หายใจเข้าครั้งที่สอง นับสอง หายใจเข้าครั้งที่สาม นับสาม หายใจเข้าครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจเข้าครั้งที่ห้า นับห้า หายใจออกครั้งที่หนึ่ง นับหนึ่ง หายใจออกครั้งที่สอง นับสอง หายใจออกครั้งที่สาม นับสาม หายใจออกครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจออกครั้งที่ห้า นับห้า

เมื่อถึงห้าแล้ว หากจิตยังไม่สงบ ก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหาห้าใหม่ กลับไปกลับมาเช่นนั้นจนกว่าจิตจะสงบ รับสั่งว่า ที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่งๆ นั้น พระจิตทรงอยู่กับหนึ่งเข้าหนึ่งออกตลอดเวลา

พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิด้วยการรวบรวม และประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกคนแล้ว ก็ทรงพระกรุณาพระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฏิบัติสมาธิอยู่

ครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของสมเด็จพระญาณสังวรฯ ให้ผม รับสั่งว่าเป็นบันทึกเสียงการแสดงธรรมเรื่อง ฉฉักกสูตร (คือพระสูตรว่าด้วยธรรมะ หมวด ๖ รวม ๖ ข้อ ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และตัณหา พระสูตรนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน) และทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น

ผมรับพระราชทานแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้วก็เอาไปใส่เครื่องบันทึกเสียงและเปิดฟัง ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ปิด แล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก หลังจากนั้นไม่นานนัก ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งถามว่า ฟังเทปของสมเด็จฯ แล้วหรือยัง เป็นอย่างไร

ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้ ต้องกราบบังคมทูลตรงๆ ว่าฟังได้ไม่ทันจบม้วนก็ได้หยุดฟังเสียงแล้ว ตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ฟังให้จบ และผมก็จำเป็นต้องกราบบังคมทูลตรงๆ ว่า สมเด็จฯ ท่านเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรคๆ เป็นห้วงๆ เนื่องจากสมเด็จฯ พิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำและประโยคเทศน์ของท่านนั้น ถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง

พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯ เทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนหรือไม่ว่า สมเด็จฯ ท่านจะพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่คาดหมายจึงเบื่อ เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ ก็ทรงแนะนำว่าให้กลับไปฟังใหม่ คราวนี้อย่าคิดไปก่อนว่าสมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร สมเด็จฯ หยุดก็ให้หยุดด้วย ผมกลับมาทำตามพระราชกระแสรับสั่ง เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯ จากแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้งแต่ต้น ฟังด้วยสมาธิ

สมเด็จฯ หยุดตรงไหน ผมก็หยุดตรงนั้น และไม่คิดๆ ไปก่อนว่า สมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร คราวนี้ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส แถบบันทึกเสียงม้วนนั้น เป็นม้วนที่ดีที่สุดม้วนหนึ่ง

ครั้งหนึ่ง หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และกราบบังคมทูลประสบการณ์ที่ได้ขณะทำสมาธิ ผมกราบบังคมทูลว่า ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้น รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้นสูงประมาณศอกหนึ่ง ทีแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไรแต่ครั้นหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกทำสมาธิ

พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรจะเลิก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้น

อีกครั้งหนึ่ง หลังจากทำสมาธิแล้ว ผมกราบบังคมทูลว่า พอจิตสงบ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อนต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่ และที่ปลายท่อข้างล่าง ผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ แสดงว่าท่อยาวมาก กลัวจะหลุดออกจากท่อไป ผมก็เลยเลิกทำสมาธิ รับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว (มีสติ) อยู่ ก็ไม่ควรเลิก ถึงหากจะหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่สติยังอยู่และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน

ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่าน และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสสอนให้ "ดำรงสติให้มั่น" ในเวลาทำสมาธิ

ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว เคยตรัสเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังทรงทำสมาธิอยู่ พระจิตสงบและเกิดนิมิต ในนิมิตนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระ เนตรเห็นพระกร (แขนท่อนล่าง) ลอกออกทีละชั้นๆ ตั้งแต่จากพระตจะ (หนัง) ลงไปจนถึงพระอัฐิ (กระดูก)

พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิในการประกอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างทั้งน้อยและใหญ่ จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนัก ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่ทรงสะทกสะท้าน หรือหวั่นไหว ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์ ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว อันเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ทรงจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับพระราชกรณียกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น

ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศ ที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข และในฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ ให้เป็นที่ร่มเย็นของเรา และของลูกหลานของเรา จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาท ด้วยการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกันอย่างจริงจัง และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา

“เปิดโปขบวนการทิ้งสารเคมีในที่สาธารณะ ช่อง 3 คว้ารางวัลสืบสวนสอบสวนโทรทัศน์ยอดเยี่ยม


ประกาศผลการตัดสินรางวัลข่าว-สารคดีเชิงข่าวโทรทัศน์ยอดเยี่ยม รางวัลแสงชัย สุนทรวัฒน์ “เปิดโปขบวนการทิ้งสารเคมีในที่สาธารณะ ช่อง 3 คว้ารางวัลสืบสวนสอบสวนโทรทัศน์ยอดเยี่ยม, ไทยพีบีเอสรับ 2 รางวัลยอดเยี่ยมสารคดีเชิงข่าวเรื่อง พิพาทธรณีสงฆ์ และ ตามหาสันติภาพฯ ส่วนรางวัลข่าวเหตุการณ์โทรทัศน์ยอดเยี่ยม คือ ข่าวปมหักสวาท ไล่ยิงอริกลางเมือง โมเดิร์นไนน์ทีวี (25 เม.ย. 56) 

นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25เม.ย. นี้ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และมูลนิธิแสงชัย สุนทรวัฒน์ ได้จัดงานประกาศผลการตัดสินรางวัลแสงชัย ฯ ประจำปี 2555 โดยมี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นประธานในพิธี โดยในปีที่ 15 ของการจัดประกวดข่าว สารคดีเชิงข่าววิทยุโทรทัศน์ยอดเยี่ยม รางวัลแสงชัย สุนทรวัฒน์ มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดรางวัลแสงชัยฯ ประจำปี 2555 ทุกประเภท 94 ข่าว ในประเภทรางวัล ดังนี้ 1.รางวัลรายการข่าวและรายการวิทยุยอดเยี่ยม 2.รางวัลประเภทข่าว-สารคดีเชิงข่าวโทรทัศน์ท้องถิ่นดีเด่น 3.การประกวดข่าวโทรทัศน์ยอดเยี่ยม แบ่งเป็น 3 ประเภทรางวัล คือ รางวัลยอดเยี่ยมประเภทข่าวเหตุการณ์, รางวัลยอดเยี่ยมประเภทสารคดีเชิงข่าว และ รางวัลยอดเยี่ยมประเภทข่าวสืบสวนสอบสวน สำหรับรายชื่อผู้ที่ได้รับโล่เกียรติยศและเงินรางวัลของรางวัลแสงชัยสุนทรวัฒน์ ปีที่ 15 ประเภทต่างๆ มีดังนี้

ประเภทโทรทัศน์ข่าวสืบสวนสอบสวน รางวัลยอดเยี่ยม คือ ข่าวเปิดโปงขบวนการทิ้งสารเคมีในที่สาธารณะ รายการข่าว 3 มิติ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท ส่วนรางวัลชมเชย คือ ข่าว เปิดโปงลักลอบทิ้งขยะติดเชื้อ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท รางวัลสารคดีเชิงข่าวโทรทัศน์ยอดเยี่ยม 2 เรื่อง คือ เรื่อง พิพาทธรณีสงฆ์ และ เรื่อง.....ตามหาสันติภาพ ที่ปัตตานี ตอนสายบุรี สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งทั้งสองเรื่องจะได้รับเงินรางวัลๆ ละ 50,000 บาท รางวัลข่าวเหตุการณ์โทรทัศน์ยอดเยี่ยม ได้แก่ ข่าวปมหักสวาท ไล่ยิงอริกลางเมือง สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท รางวัลข่าวเหตุการณ์ชมเชยอันดับ 1 คือ ข่าวระเบิดโรงแรม ลี การ์เดนส์ พลาซ่า สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท และรางวัลข่าวเหตุการณ์ชมเชยอันดับ 2 คือ ข่าว ภูเขาถล่มที่ร่อนพิบูลย์ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท

ประเภทข่าวสารคดีเชิงข่าวโทรทัศน์ท้องถิ่นดีเด่น ผลงานที่ได้รับรางวัลชมเชยอันดับ 2 จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ ผลงานเรื่อง ยาโรงเรียนบริษัท มหาชัยเคเบิลทีวี จำกัด, ผลงานเรื่องลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม...มลพิษระยะยาว..เย้ยอำนาจรัฐ บริษัท เอ็ม เอส เอส เคเบิ้ล ทีวี จำกัด สาขาฉะเชิงเทรา และ ผลงานเรื่อง อาเซียนมาภาษา(ไทย)ไป บริษัท ปราการเคเบิ้ลทีวี จำกัดได้รับเงินรางวัลๆ ละ 7,000 บาท รางวัล

ประเภทรายการข่าวและรายการวิทยุยอดเยี่ยม แบ่งเป็น 2 ประเภทรางวัลดังนี้รายการวิทยุยอดเยี่ยมเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมยอดเยี่ยม คือ รายการ "สุขทุกข่าว"สถานีวิทยุฯ อสมท จังหวัดขอนแก่น ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท และ รางวัลชมเชยรายการวิทยุยอดเยี่ยมเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มี 2 รายการคือ รายการ "สืบจากข่าว" ตอน เหยื่อบัญชีอาชญากร สถานีวิทยุ F.M. 100.5 MHz และ รายการ รายการ “การเดินทางของความคิด” จากสถานีวิทยุ F.M. 96.5 MHz ทั้งสองรายการได้รับเงินรางวัลๆ ละ 10,000 บาท ส่วนประเภทรางวัลรายการข่าววิทยุ ไม่มีรายใดได้รับรางวัลยอดเยี่ยม แต่มีรายการ “ครบเครื่องเรื่องข่าว” จาก สำนักข่าวไทย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลชมเชย โดยได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท

แฟนสาวหัวหน้าหน่วย EOD ที่เสียชีวิต ยังทำใจไม่ได้


แฟนสาวหัวหน้าหน่วย EOD ที่เสียชีวิต ยังทำใจไม่ได้ เผยหมวดหนุ่ม เพิ่งแต่งงานได้ ๔ เดือน และถูกส่งลงใต้เพียง ๑เดือนก่อนเสียชีวิต

น.ส.กชมน  เตชะสว่างวงศ์ ภริยาของ  เรือโท ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ หัวหน้าชุด EOD  หน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิดช่วงเย็นวันที่22เม.ย.ที่ผ่านมา  โพสผ่านFB Kotchamon NuMay ของเธอโดยนำภาพการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือน้ำท่วมของ เรือโท ชัยสิทธิ์ ที่ใช้ชื่อในเฟสบุ๊คว่าNet Davidมาลง พร้อม โพสข้อความ ขอบคุณกำลังใจจากหลายๆคนที่เข้ามาแสดงความเสียใจกับการสูญเสียสามี โดยยอมรับว่า ยังทำใจไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น

"ณ จุดนี้หัวใจกำลังจะสลาย 
เสียใจที่สุดในชีวิต อยากจะเข็มแข็งแต่มันยากเหลือเกิน ไม่ว่าตอนนี้ที่รักจะอยู่ที่ไหน
ขอให้ที่รักกลับมาหาเค้านะ Net David 
T_T มันยาก และโหดร้ายจริงๆ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรือโท ชัยสิทธิ์ พึ่งลงไปประจำการในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เพียง ๑ เดือน โดยมีกำหนดประจำการ ๑ ปีครึ่ง หลังจากที่เพิ่งแต่งงานกับแฟนสาว เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา โดยในเฟสบุ๊คของ นางกชมน มีการโพสภาพการติดต่อพูดคุยของทั้งคู่ก่อนวันเกิดเหตุเพียงวันเดียว โดยมีการหยอกล้อกันด้วยความรักด้วย

"กุ๊กกิ๊กกันทางไกลก่อนนอน 
แม้สัญณาณจะไม่ดี
แต่ก็เบลอว่ารักแถบ 
..แบบว่ารักเธอ?อิ้ววว ^^"



การคุยผ่านโทรศัพท์ของทั้งคู่ก่อนวันสุดท้าย




@@@


กชมน  เตชะสว่างวงศ์
Kotchamon NuMay
เมื่อวานนี้ บริเวณ Amphoe Bang Bua Thong ผ่าน โทรศัพท์มือถือ

ขอบคุณทุกคนนะคะที่ให้กำลังใจ
ณ จุดนี้หัวใจกำลังจะสลาย 
เสียใจที่สุดในชีวิต อยากจะเข็มแข็งแต่มันยากเหลือเกิน ไม่ว่าตอนนี้ที่รักจะอยู่ที่ไหน
ขอให้ที่รักกลับมาหาเค้านะ Net David 
T_T มันยาก และโหดร้ายจริงๆ

/////////////
Kotchamon NuMay
เฟสบุ๊คของ หมวดเน็ต

Kotchamon NuMay
20 เมษายน ผ่านทาง โทรศัพท์มือถือ
ใกล้ Bang Saen, Chon Buri

กุ๊กกิ๊กกันทางไกลก่อนนอน 
แม้สัญณาณจะไม่ดี
แต่ก็เบลอว่ารักแถบ 
..แบบว่ารักเธอ❤อิ้ววว ^^ — กับ Net David

////////////////////

Net David
23 ธันวาคม 2011 บริเวณ Bangkok
เมย์เปรียบเสมือนขวดอากาศ..เพราะหากไม่มีผมคงตาย

/////////////////

ร.ท.ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ หัวหน้าชุด EOD ผู้สังเวยชีวิตในหน้าที่

เปิดประวัติ ร.ท.ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ หัวหน้าชุด EOD ผู้สังเวยชีวิตจากการหน้าที่ตรวจสอบระเบิด และเพิ่งลงมาปฏิบัติหน้าที่ในภาคใต้เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น

          เกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ห้องยุทธการเฉพาะกิจนาวิกโยธิน 32 อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ขณะที่เจ้าหน้าที่ชุด EOD ของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกอง
ทัพเรือ กำลังผ่าตรวจสอบระเบิดที่เก็บกู้ได้เมื่อเช้าวานนี้ (22 เมษายน) ทว่าโจรใต้กลับซ้อนแผน วางวงจรระเบิดไว้สองชั้น ส่งผลให้ระเบิดถูกจุดติดกลางห้องยุทธการ เจ้าหน้าที่ชุด EOD ดับทันที 3
นาย ได้รับบาดเจ็บ 6 นาย กลายเป็นการสูญเสียเจ้าหน้าที่รัฐที่แสนเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง

โดยที่ 1 ใน 3 รายที่เสียชีวิตนั้น เป็นหัวหน้าชุด EOD ...นามว่า ร.ท.ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ หรือชื่อเล่นว่า "เน็ต" เป็นนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี รุ่นที่ 42-25 และนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 45

ฉะนั้นอายุปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 25-28 ปี ถือว่าเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ข้อมูลที่น่าเศร้ายิ่งกว่า นั่นคือ ร.ท.ชัยสิทธิ์ เพิ่งลงมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น


          นอกจากนี้ เฟซบุ๊ก Wassana Nanuam ของวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายกองทัพชื่อดัง ยังได้เขียนข้อความถึง ร.ท.ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวเอาไว้ ดังนี้

(22 เม.ย.56 ) มื้อกลางวัน บนสวรรค์เถิดนะน้องชาย RIP..... ด้วยเพราะหน้าที่ ความรับผิดชอบและไฟแรงของ "น้องเน็ท" เรือโท ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ ผู้หมวด EOD หน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดขอบ ทร. นายทหารเรือแห่ง ตท.45 คนนี้ ที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิตจากแรงระเบิด 25 กก. ของระเบิดถังแก๊สปิคนิค ระเบิดมัจจุราช ที่คร่าชีวิตเขาและ จ่าเอก ลูกน้องอีก ๓ นาย และบาดเจ็บแขนขาขาด ปางตาย
อีก ๔ นาย.....

          ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชะตากรรม หรือฟ้ากำหนดไว้แล้วก็ตาม แต่ เรือโท ชัยสิทธิ์ ก็ถือว่าได้ตายในหน้าที่ ....

ด้วยเพราะเวลานั้น 13.30 น. อันล่วงเลย เวลาที่จะทานข้าวมื้อเที่ยงมานานแล้ว แต่ ร.ท.ชัยสิทธิ์ ยังไม่อยากทานข้าว เพราะอยากทำภารกิจให้เสร็จสิ้น ในการตรวจสอบถังระเบิดให้เรียบร้อยเสียก่อน

หลังจากที่หน่วยEOD ทั้งหมด ทำงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้า หลังจากการเคลียร์พื้นที่ ในวันอันแสนวุ่น โจรใต้นำป้ายผ้าภาษา "รูมี" (ภาษามาเลเซียที่เขียนทับศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษ) ต่อต้านการเจรจาสันติภาพ ไปแขวนไว้ในหลายจุด พร้อมทั้งการเก็บกู้ระเบิดถังแก๊สปิคนิค แล้ว แต่ก็นำมันกลับเข้ามาในค่าย ฐาน ฉก.นย.๓๒ ด้วย โดยมิอาจหยั่งรู้ได้ว่า เป็นการเปิดประตู ให้มัจจุราช ที่มาเยือนถึงในฐาน ด้วยเพราะคิดว่า ตัดชนวนและวงจรไปแล้ว

          โดยหารู้ไม่ว่า โจรใต้คิดนำหน้าไปไกล ด้วยแรงแค้นอาฆาต วางวงจรระเบิดสองชั้น แบบที่เรียกว่า "วงจรแบบหัวล้านชนกัน" ซ่อนไว้ เมื่อหน่วย EOD ไปแกะเพื่อตรวจสอบ เพื่อศึกษา ก็ไปถูกวงจรที่ซ่อนอยู่ระเบิด ส่งผลให้ ร.ท.ชัยสิทธิ์ เสียชีวิตคาที่ ร่างกายแหลก ศีรษะขาด พร้อมลูกน้องในทีม และเจ็บสาหัส แขนขาขาดอีกหลายนาย....พวกเขาจึงเป็นทหารเรือผู้เสียสละโดยแท้ ขอให้ไปทานมื้อเที่ยง บนสรวงสวรรค์ แล้วกันนะ น้องชาย และทหารเรือผู้เสียสละทุกนาย RIP

สุดท้ายนี้ ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ ร.ท.ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ หัวหน้าชุด EOD รวมถึง พ.จ.อ.ทัศนัย ชมภูทวีป และ จ.อ.เรวัตร คงนาค เจ้าหน้าที่ชุด EOD ที่พลีชีพเพื่อชาติ และขอให้

ดวงวิญญาณของวีรบุรุษเหล่านี้ไปสู่สุคติด้วยเถิด
//////////
ทำเนียบรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 45
ชื่อ นตท. ชัยสิทธิ์ นามสกุล เตชะสว่างวงศ์
ชื่อเล่น เนท เหล่า ทหารเรือ
ฉายา เหลน , นักบาส RCA , หน้าหม้อ
วันเกิด ๓๐ เม.ย. ๒๕๒๘
ที่อยู่ ๖๘/๘๒ หมู่ ๑๕ ซอย ๔ ถนน ตลิ่งชัน -สุพรรณบุรี
ตำบล บางแม่นาง อำเภอ บางใหญ่ จังหวัด นนทบุรี
โรงเรียนเดิม เทพศิรินทร์ นนทบุรี
e-mail ninetninet@hotmail.com
ชมรม แฟนซีดริล
หน้าที่พิเศษ คอมเพียว
ความสามารถพิเศษ ควงปืน
บุคคลในดวงใจ พ่อ แม่ ตา ยาย
งานอดิเรก เล่นเน็ต ,วิ่ง
ข้อความฝาก ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อนซื่อสัตย์ในหน้าที่ จงรักภักดีต่อชาติ
////////////////////////
ผบ.หน่วยกู้ระเบิดฉก.อโณทัย

ผบ.หน่วยกู้ระเบิดฉก.อโณทัย 'ถ้าเราไม่เข้าหา..แล้วใครจะทำ'

               เหตุความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พรากชีวิตทหารกล้าไปอีก 3 นาย คราวนี้เป็นชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดนาวิกโยธิน ประกอบด้วย 1.ร.ท.ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ อายุ 28 ปี หัวหน้าชุด

2.พ.จ.อ.ทัศนัย ชมพูทวีป อายุ 35 ปี รองหัวหน้าชุด และ 3.จ.อ.เรวัตร คงนาค อายุ 31 ปี เสมียนกองยุทธการหมวดทำลายวัตถุระเบิด

               การสูญเสียชุดกู้ระเบิดฝีมือดีครั้งนี้ หนึ่งในผู้ที่สะเทือนใจมากที่สุด นอกจากครอบครัวทหารผู้กล้า คือ พ.อ.ทวีศักดิ์ จันทราสินธุ์ ผู้บังคับหน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย

จ.ปัตตานี ในฐานะ "ครู" ของชุดอีโอดีทุกเหล่าทัพ ผู้ยืนหยัดทำลายล้างระเบิดนับหมื่นๆ ลูกมาเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 หรือหลังเหตุการณ์ปล้นปืนแค่ 6 วัน

@ทราบว่า หัวหน้าชุดกู้ระเบิดที่เสียชีวิตเป็นหนึ่งใน "ลูกศิษย์" ด้วย

               ปกติอีโอดีทุกเหล่าทัพจะต้องผ่านการอบรมกับผมมาทั้งหมด เป็นคอร์สสั้นๆ 1 อาทิตย์ สำหรับ ร.ท.ชัยสิทธิ์ เคยมาเรียนหลักสูตรระเบิดแสวงเครื่องในภาคใต้ และตะวันออกกลาง ซึ่งตอนที่ลงมาปฏิบัติภารกิจภาคใต้เขาก็ยังมารายงานตัวกับผมอยู่เลย ซึ่งนิสัยของน้องเขาเป็นคนเรียบร้อย เอาจริงเอาจัง เขาบอกว่า หากมีอะไรช่วยชี้แนะเขาได้เต็มที่ ผมก็ชวนอยู่ว่าว่างๆ มาทานข้าวด้วยกัน

@รู้สึกอย่างไรตอนที่ทราบข่าว และประเมินว่า สาเหตุเกิดจากอะไร

               ทั้งตกใจ และเสียใจมาก แต่เขาทำดีที่สุดแล้ว เท่าที่ประเมินเบื้องต้นคาดว่า เป็นการต่อวงจรที่ภาษาอีโอดีเรียกว่า "โอเวอร์ลูป" หรือที่โบราณเรียก "หัวล้านชนกัน" คือ หากเราเปิดฝาออกเพื่อ
จะปลดเชื้อปะทุข้างใน มันจะดึงให้วงจรที่ต่อเอาไว้ข้างในทำงาน และระเบิดทันที กรณีแบบนี้ผมก็เจอมาหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นคาร์บอมบ์ ถ้าเราเปิดฝากระโปรงออกมันก็จะระเบิดทันที

@เคยเจอเหตุการณ์เฉียดตายแค่ไหน

               ตอนนั้นประมาณปี 2550 ผมเข้าไปเก็บกู้ระเบิดในกล่องเหล็ก 5 ลูก ที่ จ.นราธิวาส ขณะที่กำลังเก็บกู้ลูกที่ 1 อยู่นั้น จู่ๆ อีก 4 ลูกก็มีควันลอยขึ้นมาพร้อมกัน ทุกลูกอยู่ห่างไปแค่ 3 เมตรเท่านั้น ผมจึงรีบถอนกำลังออกมา เพราะกลัวระเบิดจะทำงาน แต่โชคดีมากที่เป็นแค่วงจรไหม้เท่านั้น ไม่รู้รอดมาได้ยังไง

@มีกลัวบ้างไหม

               ยิ่งรู้มากก็ยิ่งกลัวมาก และจะประมาทไม่ได้เลย เพราะถ้าพลาดแล้วไม่มีโอกาสแก้ตัว

@เสี่ยงชีวิตขนาดนี้มีการฝึกทบทวน และระมัดระวังตัวเองอย่างไร

               เราจะฝึกทบทวนกันทุกวันในตอนค่ำโดยให้มีการตั้งโจทย์ขึ้นมา แล้วให้กำลังพลฝึกคิดแก้ปัญหา จากนั้นก็ให้คนที่เหลือคอมเม้นต์ (แสดงความคิดเห็น) ว่า สิ่งที่เขาคิดรอบคอบดีแล้วหรือไม่ หรือจะต้องปรับปรุงตรงจุดไหนเพื่อให้ปลอดภัยมากที่สุด จากนั้นก็จะให้ฝ่ายยุทธการสรุปเป็นรูปแบบในการปฏิบัติงานขึ้นมา การฝึกคิดจะช่วยชีวิตเขาได้ เพราะรูปแบบระเบิดมันไม่ตายตัว

@ฝึกทบทวน และระวังกันขนาดนี้มีพลาดบ้างหรือไม่

               ตั้งแต่ตั้งหน่วยมามีสูญเสีย 1 นาย บาดเจ็บ 10 กว่านาย โดยเหตุการณ์ที่สูญเสีย คือ เหตุระเบิดที่อาคารแปดเหลี่ยม จ.ยะลา ปี 2552 และมีบาดเจ็บสาหัสอีก 2 นาย ซึ่งครั้งนั้นกระทบขวัญกำลังใจมากๆ แต่ก็พยายามบอกลูกน้องว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานที่ร้อยครั้งพันครั้งต้องมีพลาดกันบ้าง แต่หลังจากนั้นคนที่บาดเจ็บสาหัส 2 นาย ก็กลับเข้ามาทำงานอีกจนถึงวันนี้

@อุปกรณ์ป้องกัน และเบี้ยเสี่ยงภัยเพียงพอหรือไม่

               เราไม่ได้มองตัวเงินเป็นหลัก แต่ถ้าได้ค่าฝ่าอันตรายที่มากขึ้นก็ถือว่าดีกว่าตายแล้วได้เงินเป็นล้าน แต่ไม่ได้ใช้ ทุกวันนี้นายทหารสัญญาบัตรได้ค่าเสี่ยงภัยเดือนละ 10,000 บาท ชั้นประทวน 7,500 บาท สมมุติว่า กู้ระเบิดวันละ 1 ลูก เดือนหนึ่งก็ 30 ลูก ก็ตกลูกละ 200 กว่าบาท แต่ส่วนใหญ่จะมีระเบิดมากกว่านั้น เฉลี่ยปีละประมาณ 1,000 ลูก

               สำหรับอุปกรณ์ตรวจระเบิดก็ใช้ "ไฟโด้" เป็นหลัก ส่วนบอมบ์สูทมี 18 ตัว ซึ่งถือว่าเพียงพอ แต่ของเก่ากำลังหมดอายุปีหน้าอีก 7 ตัว เราก็กำลังเสนอความต้องการมาทดแทน ขณะที่เสื้อเกราะมีประมาณ 20 ตัว กำลังพล 100 กว่าคน ใช้เสร็จก็เอามาผึ่งแดดให้ชุดต่อไปได้ใช้ แต่ถ้าบางครั้งมีระเบิดพร้อมกันหลายสิบจุดก็ไม่พอ ถ้ามีเสื้อเกราะมาเพิ่มก็จะช่วยได้มากขึ้น

@ทำงานหนัก เสี่ยง และเครียดแบบนี้ได้พักแค่ไหน

               เรามีเวลาทำงาน 30 วัน พัก 10 วัน ส่วนผมไม่จัดอยู่ในระบบ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่หน่วยตลอด บางครั้งก็ต้องเข้าที่เกิดเหตุด้วย เช่น เหตุป่วน จ.ปัตตานี หลายสิบจุดเมื่อวันที่ 9-10 เมษายน
ที่มีทั้งระเบิดเรือประมง และระเบิดรถเกราะรีว่าทำให้ทหารเสียชีวิต 2 นาย แต่บางครั้งถ้าได้มาประชุมกรุงเทพฯ ก็อาจได้พักบ้าง 2-3 วัน

               ส่วนวงรอบการทำงาน คือ ผลัดละ 1 ปี แต่ส่วนใหญ่ลูกน้องผมจะอยู่กันหลายปี ไม่ค่อยมีใครขอย้าย ส่วนที่ต้องย้าย เพราะความจำเป็นของครอบครัวมากกว่า เช่น บางคนต้องไปแต่งงาน มีลูก ต้องกลับไปดูแลพ่อแม่ แต่ก็มีคนมาสมัครใหม่จนเกินความต้องการตลอด

@อยู่ภาคใต้มาเกือบ 10 ปี ไม่มีความคิดที่จะย้าย หรือครอบครัวอยากให้ย้ายบ้างหรือ

               ตั้งแต่จบจากโรงเรียนนายร้อยเมื่อปี 2530 ผมก็ทำงานกับระเบิดมาตลอด และมาอยู่ภาคใต้ตั้งแต่วันแรกๆ หลังเหตุการณ์ปล้นปืน ถามว่า เขาเคยห้าม และอยากให้ย้ายไหมก็ห่วงเป็นธรรมดา
แต่ตอนหลังคงชินแล้ว ซึ่งผมก็บอกมาตลอดว่า งานอีโอดี(เก็บกู้วัตถุระเบิด) ในประเทศนี้มีไม่กี่คนที่ทำได้ รวม 3 เหล่าทัพไม่ถึงพันคน ถ้าเราไม่เข้าหา แล้วใครจะทำ
................

แม้จะต่างยศกันแต่นี่คือเพื่อนร่วมสนามรบของเพื่อนผม เขาเป็นเพื่อน ที่รักของพวกเรา ทุกคน .....เพื่อนตท 45 

.....ความในใจ มาราดา เน็ท ร.ท.ชัยสิทธ์ เตชะสว่างวงศ์. ....

ตอนได้ยินข่าวเรื่องระเบิด..แม่ก็นั่งดูข่าวอยู่นะ..ยังนึกสงสารทหารอยู่เลยว่า ต้องมาเจ็บมาตาย...แม่ก็สงสารครอบครัวทหารว่าเค้าจะอยู่กันอย่างไร...แต่ยังไม่ทันไร...แม่มาคนที่แม่สงสารกลับมาเป็นลูกชายตัวเอง...ครอบครัวที่น่าสงสาร..คือครอบครัวตัวเอง..แม่เจ็บ..แม่ปวด..แม่น้ำตาไหลจนแทบเป็นสายเลือด..น้ำตาแม่ไหลจนมันตกในไปแล้ว..แม่นั่งรถมาสัตหีบระหว่างรอศพ..ลูกชายแม่...มองไปทางไหน...แม่ก็เห็นเขาไปหมด..เพราะทุกบนถนนสายสัตหีบนี้...ลูกชายแม่พาเที่ยว...พาทำความรู้จักหมดแล้ว...แล้วแม่จะทำเช่นไร...แม่มองไปทางไหนก็มีแต่ลูกชายแม่คนนี้....แต่ตอนนี้สิ ไม่ม่แล้ว ....ใครตอบแม่ได้ไหม...แม่ต้องทำเช่นไร.../// อารยา ไร้คำตอบจากคำถามนี้ ..เพราะอารยาก็ไม่รู้จะหาคำตอบจากไหนมาให้...มันมีเพียงแค่คำความว่างเปล่า....ก่อนจะหันไปมองร่างที่นอนสงบนิ่งภายในโลงศพที่คลุมด้วยธงชาติไทย

ข้อคิด....กลับมาจากงานรดน้ำศพของ 3 นายทหารนาวิกโยธิน อีโอดี กองทัพเรือ ....แล้วคิดได้อย่างเดียว....คนเราจะอะไร...สุดท้ายก็ต้องไปอยู่ในโลงศพอยู่ดี....ตอนอยู่...ทำอะไรไว้ให้และตอบแทน

บนผืนแผ่นดินนี้เช่นพวกเค้าเหล่านี้หรือยัง...

(by Araya Poejar : Spring News ) ภาพ และ บทความดีๆนี้มาจาก คุณ Araya Poejar และเห็นว่าเป็นบทความดีๆที่ คนไทยทั้งในและที่อยู่นอกพื้นที่ จชต.ควรจะอ่าน ควรจะแชร์ ครับ

///////////////
อ้างอิง เหตุ
22 เม.ย.56 เวลา 1330 เกิดเหตุระเบิดขณะ จนท.ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ฉก.นย.ทร. ทำการตรวจสอบและนิรภัย ณ ที่ปลอดภัย บก.ฉก.นราธิวาส 32 เบื้องต้น
เสียชีวิต 3นาย ทราบชื่อเสียชีวิต ดังนี้
1.ร.ท.ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงค์
2.พ.จ.อ.ทัศนัย ชมภูทวีป
3.จ.อ.เรวัตร คงนาค

ได้รับบาดเจ็บ 6นาย ทราบชื่อ ดังนี้
1.พ.จ.อ.สมเพชร ญาณปัญญาเสา
2.จ.อ.ธีรวัฒน์ สมรอดรู้
3.จ.อ.สายัญ ชินบุตร
4.จ.อ.ธงชัย สุยวงค์
5.จ.อ.ศราวุธ ตาปนานนท์
6.จ.อ.องอาจ ศัดดา
2222222222

 Wasana Nanuam

(22 เม.ย.56 ) มื้อกลางวัน บนสวรรค์เถิดนะน้องชาย RIP..... ด้วยเพราะหน้าที่ ความรับผิดชอบและไฟแรงของ "น้องเน็ท" เรือโท ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ ผู้หมวด EOD หน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดขอบ ทร. นายทหารเรือแห่งตท.45 คนนี้ ที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิตจากแรงระเบิด 25กก. ของระเบิดถังแก๊สปิคนิค ระเบิดมัจจุราช ที่คร่าชีวิตเขาและ จ่าเอก ลูกน้องอีก ๓นาย และบาดเจ็บแขนขาขาด ปางตายอีก ๔ นาย.....ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชะตากรรม หรือฟ้ากำหนดไว้แล้วก็ตาม แต่ เรือโท ชัยสิทธิ์ ก็ถือว่าได้ตายในหน้าที่ ....ด้วยเพราะเวลานั้น 13.30 น.อันล่วงเลย เวลาที่จะทานข้าวมื้อเที่ยงมานานแล้ว แต่ ร.ท.ชัยสิทธิ์ ยังไม่อยากทานข้าว เพราะอยากทำภารกิจให้เสร็จสิ้น ในการตรวจสอบถังระเบิดให้เรียบร้อยเสียก่อน หลังจากที่หน่วยEOD ทั้งหมด ทำงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้า หลังจากการเคลียร์พื้นที่ ในวันอันแสนวุ่น โจรใต้นำป้ายผ้าภาษา "รูมี" (ภาษามาเลเซียที่เขียนทับศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษ) ต่อต้านการเจรจาสันติภาพ ไปแขวนไว้ในหลายจุด พร้อมทั้งการเก็บกู้ระเบิดถังแก๊สปิคนิค แล้ว แต่ก็นำมันกลับเข้ามาในค่าย ฐาน ฉก.นย.๓๒ ด้วย โดยมิอาจหยั่งรู้ได้ว่า เป็นการเปิดประตู ให้มัจจุราช ที่มาเยือนถึงในฐาน ด้วยเพราะคิดว่า ตัดชนวนนและวงจรไปแล้ว โดยหารู้ไม่ว่า โจรใต้คิดนำหน้าไปไกล ด้วยแรงแค้นอาฆาต วางวงจรระเบิดสองชั้น แบบที่เรียกว่า "วงจรแบบหัวล้านชนกัน" ซ่อนไว้ เมื่อหน่วยEOD ไปแกะเพื่อตรวจสอบ เพื่อศึกษา ก็ไปถูกวงจรที่ซ่อนอยู่ระเบิด ส่งผลให้ ร.ท.ชัยสิทธิ์ เสียชีวิต พร้อมลูกน้องในทีม และเจ็บสาหัส แขนขาขาดอีกหลายนาย....พวกเขาจึงเป็นทหารเรือผู้เสียสละโดยแท้ ขอให้ไปทานมื้อเที่ยง บนสรวงสวรรค์ แล้วกันนะ น้องชาย และทหาร

เรือผู้เสียสละทุกนาย RIP
222222222222