PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ย้อนดูตระกูล"ชินวัตร"

ตระกูล ชินวัตรมีที่ไปที่มาอย่างไร ลองวิเคราะห์กันเอง ทำไมถึงโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ผู้คนที่บริสุทธิต้องมาเสียชีวิตไปหลายพันศพ เพราะใคร DNA มีผลต่อผู้สืบสันดานจริงหรือไม่ โดย บัณรส บัวคลี่ มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า นายเส็ง แซ่คู ต้นตระกูลชินวัตรเคยเป็นอั้งยี่ระดับหัวหน้าและเคยถูกจับติดคุกมาก่อน นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เนื้อหาของเรื่องดังกล่าวสามารถอ่านได้จากบทความเรื่อง “อั้งยี่ที่เมืองจันทน์” ตอน 1 และตอน 2 ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์สื่อมหาชนออนไลน์ www.mahachonnews.com ที่ได้เขียนไว้ว่า ง่วนเส็ง แซ่คู บุตรนายเช้า (ชาวจีน) เป็นหัวหน้าอั้งยี่คณะงี่เฮ็งบ้านบางกะจะ อำเภอพลอยแหวน เมืองจันทบุรีในยุคที่ถูกฝรั่งยึดครองเป็นหลักประกันให้สยามจ่ายค่าตอบแทน กรณี รศ.112 

ต่อมาถูกทางการจับกุมขังคุก มีลูกชื่อ ชุนเชียง แซ่คู อพยพมาอยู่เชียงใหม่เป็นต้นตระกูลชินวัตร ปู่ของทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา แม้บทความดังกล่าวไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนและก็ไม่ได้ระบุเอกสารอ้างอิง อันใดไว้แต่มากพอที่ทำให้ยิ่งอยากรู้เข้าไปอีกว่าประวัติศาสตร์ดังกล่าวคัด ลอกอ้างอิงมาจากแหล่งใด ใช้เวลาสืบค้นอยู่พักใหญ่จึงค่อยทราบว่า เนื้อหาที่บทความอั้งยี่ที่เมืองจันทน์นำมาเผยแพร่นั้นแท้ที่จริงปรับแปลงมา จากหนังสือเล่มที่ชื่อว่า “จดหมายเหตุความทรงจำสมัยฝรั่งเศสยึดจันทบุรี ตั้งแต่พ.ศ.2436-2447” เขียนโดย หลวงสาครคชเขต (ประทวน สาคริกานนท์) 

โชคดีที่ยังพอมีหนังสือเล่มนี้ในท้องตลาดแต่กว่าจะได้มาถึงมือใช้ เวลา 2 วัน เล่มที่ใช้อ้างอิงเป็นเล่มปกแข็งพิมพ์ครั้ง 3 โดยสำนักพิมพ์ศรีปัญญาจัดจำหน่ายโดยเคล็ดไทยราคา 500 บาท สำหรับท่านที่สนใจเรื่องแนวนี้ปัจจุบันยังพอหาได้ตามคลังสต๊อกของร้าน หนังสือใหญ่ หลวงสาครคชเขต เป็นข้าราชการฝ่ายปกครองที่อยู่ในเหตุการณ์ฝรั่งเศสถืออำนาจบาตรใหญ่มายึด เมืองจันทน์สมัยปลายรัชกาลที่ 5 กว่าจะคืนกลับมาได้ไทยต้องเสียดินแดนในเขมรในลาวเพิ่มให้ไปอย่างเจ็บปวด หลวงสาครฯมีชีวิตอยู่จนข้ามมาสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียชีวิตเมื่อ 2497 ได้บันทึกเหตุการณ์รายละเอียดที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่งบรรยาย ถึงสภาพบ้านเมืองผู้คนรายละเอียดความสัมพันธ์ของคนฝ่ายต่างๆ ในยุคนั้น เช่นเล่าว่ามีทหารฝรั่งเศสประมาณ 60-70 นายทหารญวนประมาณ 600 มาตั้งค่าย เย็นๆ ก็แก้ผ้าอาบน้ำทั้งฝรั่งทั้งญวน หญิงไทยเดินผ่านเบือนหน้าหลบก็ถูกฝรั่งหัวเราะใส่ ไปจนถึงมีเหตุการณ์จันทรุปราคาชาวบ้านยิงปืนตีเกราะเคาะไม้ผู้บัญชาการทหาร ฝรั่งเศสตกใจเตรียมพร้อมรับมือคนไทยบุก หรือกรณีทหารฝรั่งเศสเมาสุราไปเที่ยวแทะโลมจับนมหญิงชาวบ้าน ฯลฯ เป็นต้น 

บันทึกกรณีเหตุการณ์กรณีอั้งยี่ที่มีการโยงมาถึงตระกูลชินวัตรปรากฏ ในตอนที่ชื่อว่า “สมาคมอั้งยี่กำเริบ ทหารฝรั่งเศสช่วยปราบ” อยู่ในหน้า 61-64 ขอคัดลอกลงมาเพื่อผู้อ่านจะได้เทียบเคียงกับข้อความที่เผยแพร่ก่อนหน้า สมาคมอั้งยี่กำเริบ ทหารฝรั่งเศสช่วยปราบ เมื่อ ฝรั่งเศสเข้าไปตั้งอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีแล้วไม่กี่ปี ระหว่างพ.ศ.2438-2439 (ร.ศ.114-115) ก็เกิดมีสมาคมอั้งยี่ขึ้น 2 คณะ คณะหนึ่งใช้สมนามสมญาว่า “งี่ฮก” สำนักตั้งอยู่ที่ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมืองจันทบุรีแห่งหนึ่งมีนาย อำภณ วิเศษประสิทธิ์ บุตรพระประสิทธิ์พลรักษ์ กรมการพิเศษเป็นหัวหน้า (หลวงสาครฯคงจะใส่นาม สกุลที่เกิดขึ้นภายหลังเข้าในบันทึกไปเลยไม่ได้ใช้เฉพาะชื่อตนตามยุคสมัย อีกทั้งชื่อจังหวัดก็เรียกแบบยุคหลังไม่ได้เรียกว่าเมืองจันทบุรีอันเป็น เชื่อก่อนตั้งมณฑลเทศาภิบาล—บัณรส) อีกคณะหนึ่งมีนามสมญาว่า “งี่เฮ็ง” สำนักงานตั้งอยู่ที่ตำบลบางกะจะ อำเภอพลอยแหวน จังหวัดจันทบุรีแห่งหนึ่ง มีนายง่วนเส็ง บุตรนายเช้า (ชาติจีน) เป็นหัวหน้าสมาคมอั้งยี่ ทั้ง สองคณะนี้ไม่มีความสามัคคีปรองดองกัน ต่างหมู่ต่างคณะได้ถืออำนาจในพวกเหล่าของตนคุมสมัครพรรคพวกทำร้ายซึ่งกันและ กันอยู่เป็นเนื่องนิตย์บรรดาประชาชนคนใดไม่เข้าในคณะใดพวกอั้งยี่ก็เที่ยว กรรโชกขู่เข็ญทำร้ายประชาชนพลเมืองโดยพลการอยู่เนืองๆ บางครั้งคุมสมัครพรรคพวกเที่ยวปล้นแย่งชิงทรัพย์สินพลเมืองก็มี นอกจากนี้ความยังปรากฏว่าบรรดาพวกพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในท้องที่อำเภอพลอย แหวนซึ่งเคยน้ำสินค้ามาจำหน่ายขายให้แก่พลเมืองทางท้องที่อำเภอเมืองแล้ว พวกคณะอั้งยี่ทางฝ่ายคณะงี่เฮ็งก็ประกาศห้ามปราม................ และ ความเดือดร้อนทั้งนี้ไม่ได้มีแต่พลเมืองฝ่ายเดียวเลยพลอยทำให้กองทหาร ฝรั่งเศสก็มีส่วนได้รับความเดือดร้อนด้วยเหมือนกัน กล่าวคือกองทหารฝรั่งเศสก็ต้องอาศัยสินค้าจากพ่อค้าแม่ค้าทางเขตอำเภอพลอย แหวนเหมือนกันเมื่อความเดือดร้อนของพลเมืองตลอดจนกองทหารฝรั่งเศสไม่ได้รับ ความสะดวกเช่นนี้แล้ว........... ก็ มาขอร้องให้ทางบ้านเมืองจัดการปราบปรามแต่เวลานั้นทางฝ่ายบ้านเมืองก็ไม่มี กำลังพาหนะ ตำรวจหรือพลตระเวนอย่างใดที่จะทำการระงับปราบปรามอั้งยี่ให้เป็นที่เรียบ ร้อยได้ จึงนับว่ายุคนั้นที่จันทบุรีแม้แต่ตามถนนตลาดประชาชนพลเมืองก็มีความหวาด เกรงภัยของคณะอั้งยี่อยู่ถ้วนหน้า........... ทาง ฝ่ายบ้านเมืองจึงได้ปรึกษาทำความตกลงกับกองทหารฝรั่งเศสผลที่สุดฝ่ายกองทหาร ฝรั่งเศสจัดกำลังทหารฝรั่งเศสมอบให้แก่ทางบ้านเมืองทำการปราบปรามจับกุม อั้งยี่ทั้งสองคณะนี้โดยความร่วมมือกับพนักงานฝ่ายบ้านเมืองออกเที่ยวสืบจับ ตามตำบลต่างๆ มีตำบลบางกะจะ ตำบลวัดใหม่และที่แห่งอื่นๆ เป็นต้น เจ้าพนักงานฝ่ายไทยที่ควบคุมทหารฝรั่งเศสและพลเมืองออกไปสืบจับพวกอั้งยี่ นั้นคือท่านพระยาเดชานุชิตเป็นหัวหน้า หลวงพรหมเสนากับหลวงศรีรองเมืองเป็นผู้ช่วยทำการจับกุมอั้งยี่ทั้งสองคณะได้ พรรคพวกและหัวหน้าสำคัญหลายคนมีนายอำภณและนายง่วนเส็งเป็นต้น แล้วจัดการนำตัวส่งไปกรุงเทพฯ ต่อมาปรากฏว่าหัวหน้ากับพรรคพวกถูกรับพระราชอาญาจองจำกักขังไว้หลายๆ ปี ตั้งแต่นั้นมาสมาคมอั้งยี่ก็แตกหมู่แตกคณะควบคุมกันไม่ติดและไม่มีสมาคมใด ที่คิดตั้งคณะอั้งยี่ขึ้นมาอีก นับว่าเหตุการณ์เรื่องอั้งยี่เป็นปกติเรียบร้อยมาจนบัดนี้ นอกจากความเรื่องอั้งยี่ที่กล่าวไปแล้วบันทึกจะหมายเหตุของหลวงสาคร คชเขต หน้า 203 ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จีน ง่วนเส็ง ไปทำร้ายร่างกายผู้พิพากษาบาดเจ็บ โดยเหตุการณ์ตอนนี้เป็นช่วงที่ฝรั่งเศสมอบเมืองจันทบุรีคืนแก่สยามใน พ.ศ.2447 หลังจากยึดไว้นานถึง 11 ปีแต่ก็ยังไม่ไปไหนกำลังทหารที่ถอนจากจันทบุรีก็ไปยึดเมืองตราดไว้ต่อ ฝรั่งเศสยึดเมืองตราดนาน 3 ปีจนที่สุดสยามต้องแลกตราดและเกาะกูด กลับคืนมาโดยตัดเฉือนที่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงด้านตรงข้ามหลวงพระบางอันเป็นแขวง ไชยะบุรีในปัจจุบันรวมทั้งเสียมราฐ ศรีโสภณ พระตะบองในเขมรให้ไป เหตุการณ์ตอนที่ฝรั่งย้ายไปยึดเมืองตราดจึงมีข้าราชการไทยที่โยกย้าย กลับมา บ้างก็สมัครใจอยู่ที่เดิมหลวงสาครคชเขตได้กล่าวถึง ผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่ เกี่ยวข้องเป็นค่ากรณีกับจีนง่วนเส็ง ความว่า “มีข้าราชการบางคนสมัครคงอยู่ในจังหวัดตราดก็มีบ้างดังเช่น หลวงวิพิธพจนการ ผู้พิพากษาศาลคนหนึ่งเป็นผู้มีเคหสถานบ้านเรือนแลเรือกสวนไร่นาอยู่มากจะ ละทิ้งฐานเดิมไปก็รู้สึกเสียดายจึงคงอยู่ที่จังหวัดตราดต่อไปชั่วคราวต่อมา ภายหลังหลวงวิพิธพจนการเห็นว่าการอยู่กับฝรั่งเศสจะไม่เป็นผลดีต่อไปแล้วจึง ได้อพยพย้ายครอบครัวมาตั้งอยู่ที่บ้านตลาดขวาง จังหวัดจันทบุรีแลต่อมาก็ประจวบเวลานั้นอำเภอขลุงได้ยกขึ้นเป็นจังหวัดแลขาด ตัวผู้พิพากษาอยู่ พระยานครไภยพิเฉทซึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาเห็นเป็นโอกาสดีจึงได้ขออนุญาต กระทรวงยุติธรรมให้หลวงวิพิธฯเป็นผู้พิพากษาศาลเมืองขลุงบุรีตั้งแต่นั้นมา ระหว่างที่หลวงวิพิธฯ พักอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีก่อนยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลเมืองขลุงนั้น ได้ถูกนายง่วนเส็ง (เชิงอรรถของหลวงสาครระบุว่า คือคนๆเดียวกันกับที่ปรากฏเรื่องอั้งยี่) หัวหน้าอั้งยี่คณะงี่เฮ็ง ให้พรรคพวกทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ ทั้งนี้ปรากฏว่านายง่วนเส็งมีความเจ็บแค้นหลวงวิพิธฯ ตั้งแต่ครั้งเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดตราดก่อนสมัยฝรั่งเศสปกครองได้ตัดสิน คดีความจำคุกพวกอั้งยี่คณะของเขา การที่หลวงวิพิธฯ ถูกพรรคพวกนายง่วนเส็งทำร้ายครั้งนั้นผลที่สุดการสืบสวนจับกุมค้นร้ายไม่ได้ ทั้งไม่มีหลักฐานอะไรด้วย ตกลงว่าหลวงวิพิธฯถูกทำร้ายเปล่า เมื่อพิจารณาเปรียบถ้อยคำในจดหมายเหตุฯของหลวงสาครคชเขตซึ่งเป็นหลัก ฐานชั้นต้นที่มีอยู่ทั้งหมดตามที่คัดลอกมามีข้อสังเกตดังนี้ 1.จดหมายเหตุระบุชื่อจีน ง่วนเส็ง แต่ประวัติที่เผยแพร่ของตระกูลชินวัตรระบุว่าปู่ทวดชื่อ ชุ่นเส็ง 2.ในจดหมายเหตุไม่ระบุนามสกุล แต่ข่าวสารที่เผยแพร่ไปเรื่องอั้งยี่เมืองจันทน์ เติมนามสกุลแซ่คู ให้กับ จีนง่วนเส็ง 3.ประวัติตระกูลชินวัตรไม่เคยกล่าวถึงบิดาของคูชุ่นเส็ง บอกเพียงว่าปู่ทวดชุ่นเส็งเดินทางจากกวางตุ้งมาขึ้นบกที่เมืองจันทบุรี แต่ในจดหมายเหตุของหลวงสาครระบุชื่อบิดาของ จีนง่วนเส็งว่าชื่อ นายเช้า สัญชาติจีน ดังนั้นหากพิจารณาเฉพาะหลักฐานถ้อยคำในจดหมายเหตุ หัวหน้าอั้งยี่ชื่อ “ง่วนเส็ง” ไม่น่าจะเป็นคนเดียวกับ “คูชุ่นเส็ง” ผู้ที่ต่อมาอพยพครอบครัวจากบางกะจะ เมืองจันทบุรีไปอยู่เชียงใหม่และเปลี่ยนสกุลเป็นชินวัตรในเวลาต่อมาก็ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อมองเหตุการณ์แวดล้อม ดูเงื่อนไขประกอบ และระยะเวลา (Time Line) ของจีนง่วนเส็งมีเหตุทำร้ายร่างกายผู้พิพากษาและมีบทบาทในแวดวงคนจีนบ้านบาง กะจะเมืองจันทบุรี ย่อมอยู่ในยุคสมัยเดียวกับ คูชุ่นเส็ง ซึ่งก็ปักหลักสร้างหลักฐานอยู่ที่บ้านบางกะจะ เมืองจันทบุรีเหมือนกัน หาก จีนง่วนเส็ง ตั้งตัวเป็นหัวหน้าอั้งยี่คณะงี่เฮ็ง รวบรวมสมัครพรรคพวกคนเชื้อสายจีนมีพื้นที่เคลื่อนไหวในเขตบางกะจะในช่วง พ.ศ.2436-38 ย่อมน่าสนใจว่าในตอนนั้นบรรพบุรุษตระกูลชินวัตรผู้มีถิ่นฐานบ้านบางกะจะที่ ชื่อ คูชุ่นเส็ง มีบทบาทใด และหากจะสวมวิญญาณนักจินตนาการประสาคอหนังฮอลลีวูดปะติดปะต่อผูกตำนานใหม่ขึ้นมาอาจจะเป็นเนื้อเรื่องว่า... เมื่อกว่า 100 ปีก่อนจีนง่วนเส็งนายอั้งยี่คณะงี่เฮ็งแห่งบ้านบางกะจะ ตั้งตัวขึ้นมาจากการเป็นผู้นำชาวจีนในยุคที่อำนาจการปกครองของสยามกับ ฝรั่งเศสทับซ้อนกันอยู่ ตั้งสมาคมองค์กรปกครองดูแลชาวจีนด้วยกันซึ่งเป็นเรื่องปกติมากสำหรับ ธรรมเนียมของคนจีนโพ้นทะเล แต่ต่อมาเกิดวิวาทกับสมาคมชาวจีนอีกคณะทำให้ถูกจับกุมคุมขังแต่ก็ยังมีสถานะ เป็นระดับแกนนำของชาวจีนในท้องถิ่น จนกระทั่งเขาเกิดมีวิวาทกับขุนนางผู้กำลังจะรับตำแหน่งผู้พิพากษาด้วยสำคัญ ผิดว่าขุนนางผู้นั้นไม่ได้รับราชการแล้ว ทำให้ต้องอพยพหนีคดีพาครอบครัวลี้ภัยไปอยู่เมืองเหนือ เปลี่ยนชื่อเรียกเสียใหม่เพื่อลบอดีตติดตัวจากเมืองจันทน์ นิยายแต่งใหม่เรื่องนี้คงน่าสนุกไม่น้อยเพราะโยงเอาบรรพบุรุษของนายก รัฐมนตรี 2 คนไปผูกโยงกับเรื่องราวอั้งยี่เมืองจันทบุรีในยุคที่อำนาจการปกครองของสยาม ไม่มั่นคงแถมฝรั่งเศสมาตั้งกำลังเป็นอำนาจทับซ้อนปกครองอยู่ ประวัติศาสตร์คงจะเล่นตลกไม่น้อยหากจีนง่วนเส็งนายอั้งยี่ มาเป็น คูชุ่นเส็งนายอากรเชียงใหม่ !!!? มันจะไม่เล่นตลกได้ยังไงเพราะหลวงวิพิธพจนการผู้พิพากษาที่ถูกทำร้าย คนคนดังกล่าวเป็นคนเดียวกับ หลวงวิพิธพจนการ (แจ่ม สูตะบุตร) ผู้เป็นคุณตาของ พ.ญ.สดใส เวชชาชีวะ (สกุลเดิมสูตะบุตร) มารดาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือนัยหนึ่ง หลวงวิพิธพจนการเป็นคุณตาทวด ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนั่นเอง ซึ่งก็หมายถึงว่าก๋งของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ชื่อ คูชุ่นเส็ง-จีนง่วนเส็ง เคยมีกรณีวิวาทขนาดส่งลูกน้องไปทำร้ายร่างกายตาทวดของ อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหตุเกิดที่เมืองจันทบุรี ในช่วงพ.ศ. 2449-2450 โดยประมาณ !! แต่เหตุการณ์ในโลกของความเป็นจริงจะเป็นดั่งเช่นที่ผูกนิยายที่กล่าว มาข้างต้นหรือไม่ ก็ต้องมาดูประวัติชีวิตของคูชุ่นเส็งตลอดถึงเหตุการณ์แวดล้อมเมื่อ 100 ปีก่อนโน้นกันเพื่อมาชั่งน้ำหนักว่าตำนานอั้งยี่เมืองจันทน์ที่เผยแพร่ใน อินเตอร์เน็ตนั้นตรงกับข้อเท็จจริงแค่ไหนเพียงใด ตอนหน้าจะมาวิเคราะห์เรื่องราวชีวิตของ คูง่วนเส็ง ช่วงที่อยู่ในเมืองจันทบุรีก่อนจะอพยพโยกย้ายมาเชียงใหม่ซึ่งน่าแปลกนะครับ ขนาดตระกูลชินวัตรเองก็แทบไม่รู้เรื่องปู่ทวดต้นตระกูลของเขาเช่นเดียวกัน.

พลิกแฟ้มคดีดัง จุดจบนักรบพระเจ้า ก็อดอาร์มี่



เริ่มที่ ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 มกราคม 2543 

ชาวเมืองราชบุรี ตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ในห้วง ฤดูหนาวท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นไม่มีคาดคิดว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ความร้อนระอุ จะแผ่อานุภาพปกคลุมไปทั่วเมืองราชบุรี

เหตุการณ์ระทึกขวัญ ที่ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่บุกยึด รพ.ศูนย์ราชบุรี 



เวลาที่ผู้คนบางคนยังหลับใหล บางคนอยู่ในบ้านยังหุงหาอาหาร หรือทำกิจกรรมที่บ้านยามเช้าตรู่ ในเวลา 6 โมงเช้า 24 มกราคม 2543 ได้มีรถบัสสาย 18 ได้เดินทางจากบ้านห้วยสุด อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี มุ่งหน้าเข้าตัวเมือง 


และแล้วในขณะที่รถโดยสาร ผ่านบ้านหวายน้อย ต.สวนผึ้ง ทันไดนั้นได้มีผู้โดยสารชาย 2 คนขึ้นมาบนรถ ก่อนจะชักปืนจ่อศีรษะ "พินิจ ปองมณี" คนขับไว้ 


จากนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ได้ส่งสัญญาณให้อีก 8 คนที่ซุ่มอยู่ในป่าข้างทาง โดยที่บุคคลทั้ง 8 คนนี้ ได้ติดอาวุธสงครามครบมือ จากนั้นก็กระโจนขึ้นรถอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่จะบังคับให้คนขับรถโดยสาระตะบึงด้วยความเร็วสูงมุ่งสู่ รพ.ศูนย์ราชบุรี


เมื่อรถได้จอดนิ่งสนิทคนร้าย ได้ใช้ปืนบุกเข้าจี้ รปภ. เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้ป่วย และญาติ รวมถึงบังคับให้ ผู้โดยสารที่ติดมากับรถบัส เข้าไปอยู่ในห้องโอพีดี คนร้ายอีกส่วนแยกไปติดตั้งระเบิดเคลย์โมตามประตูทางเข้าและกำแพงโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรีไว้



เมื่อ ผกก.สภ.เมืองราชบุรี พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ตันบุญเอก รับทราบ และรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ให้ พล.ต.ต.ฉลอง สนใจ ผบก.ภ.จว.ราชบุรี และนายโกเมศ แดงทองดี ผู้ว่าฯ ราชบุรี รับทราบ จากนั้นแล้วนำกำลังตำรวจกว่า 100 นาย พร้อมอาวุธครบมือ สมทบกับกองกำลังทหารค่ายภานุรังษี ปิดล้อมโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรีไว้



กองกำลังก็อดอาร์มี่ ได้ยิงปืนเข้าใส่ ขู่จะกดระเบิด
ทหารและตำรวจจึงต้องถอยร่นออกมาตั้งรับใหม่



พล.ต.ท.อนันต์ เหมทานนท์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.กิตติ สินธุสุวรรณ รอง ผบช.ภ.7 ร่วมประชุมกับนายโกเมศ ระหว่างนี้มีพยาบาลภายในโรงพยาบาลคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ทราบเป็นระยะๆ 


ทำให้ทราบว่าตัวประกันถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน 

ส่วนแรกถูกคุมตัวอยู่ที่วิทยาลัยพยาบาลด้านทิศใต้ 
อีกส่วนอยู่ห้องตรวจคนไข้นอก 


ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยและญาติที่กระจายอยู่ตามตึกต่างๆ ร่วม 1,000 ชีวิต



นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี หารือกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย สั่งเสริมกำลังอีก 300 นาย วางแผนร่วมกับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ นายกร ทัพพะรังสี รมว.สาธารณสุข เกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 5 ข้อของกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่ 


ซึ่งข้อเรียกร้อง 5 ข้อของกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่ ได้แก่

1.ให้รัฐบาลไทยหยุดใช้ปืน ค 120 มม. ยิงชนกลุ่มน้อยตามแนวตะเข็บชายแดนและให้รับรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

2.ให้รัฐบาลไทยหยุดช่วยเหลือทหารพม่าที่มาใช้ดินแดนไทยมาต่อสู้กับชนกลุ่มน้อย

3.ให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือผู้อพยพบ้านบ่อหลี

4.ให้รัฐบาลไทยกดดันรัฐบาลพม่าให้ยอมรับชนชาติกะเหรี่ยง

5.ให้รัฐบาลไทยลงโทษทหารไทยที่สั่งให้ยิงฐานกำลังของตน





ระหว่างนี้มีการยิงปืนขู่เป็นระยะๆ กดดันไม่ให้ตำรวจ-ทหารเคลื่อนไหว 


ต่อมาสถานการณ์เริ่มดีขึ้น เมื่อกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่ยอมปล่อยตัวประกันเด็ก สตรี และคนชราที่ป่วยออกมารักษา 

กระทั่งบ่าย 2 โมง กองกำลังก็อดอาร์มี่ ร้องขอช่างภาพโทรทัศน์ช่อง 7 สี เพื่อประกาศเจตนารมณ์ให้สาธารณชนได้รับรู้ โดย พ.จ.อ.ชาลี ศรีเพ็ง ได้รับหน้าที่บันทึกภาพหัวหน้าชุดปฏิบัติการชื่อ "หนุ่ย" หรือ "ปรีดา" ผู้ก่อการร้ายเพียงคนเดียวที่พูดไทยได้และยังเป็น 1 ในกองกำลังกะเหรี่ยง เคเอ็นยู ที่ยึดสถานทูตพม่าประจำประเทศไทย


เมื่อความมืดโรยตัวเข้าครอบคลุม นักรบพระเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจากลายพรางมาเป็นชุดผู้ป่วย เพื่อให้ตำรวจทหารแยกแยะไม่ออก ป้องกันการจู่โจมและปิดประตูหน้าต่าง ไฟฟ้า ไม่ให้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวภายใน


ระหว่างนี้ทางการไทยได้วางแผนเตรียมจัดการขั้นเด็ดขาด เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อจะไม่เป็นผลดี กองกำลังผสมชุดปฏิบัติการนเรศวร 261 ของ ตชด. หน่วยอรินทราช 26 ของ บช.น.และชุดปฏิบัติการ 90 จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี ค่อยๆ คืบคลานเข้าประจำจุดอย่างเงียบเชียบและรัดกุม รอคอยคำสั่งปฏิบัติการ เน้นความรวดเร็วและแม่นยำ ที่สำคัญต้องไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจาก 10 ชีวิตของผู้ก่อการร้าย






แผนปฏิบัติการแบ่งออกเป็น 3 ชุด 


ชุดแรก
พลร่มป่าหวายทำหน้าที่จู่โจม โดยประกบคนร้ายแบบ 2 ต่อ 1 พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด 



ชุดที่ 2 ปิดล้อมอาคารและสนับสนุนปฏิบัติการ หากมีคนร้ายเล็ดลอดออกมา 


ชุดที่ 3 ปิดล้อมอยู่ด้านนอก คอยคุ้มกันและสนับสนุนการจู่โจม



และแล้วเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ล่วงเลยมากว่า 22 ชั่วโมงก็มาถึงจุดสิ้นสุดตอนตีห้าครึ่ง 


ปฏิบัติการสายฟ้าแลบก็เปิดฉากขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดของผู้คนใน รพ ศูนย์ราชบุรีแห่งนี้ 


ระเบิดแบบไร้สเก็ดกว่า 20 ลูก สั่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า 

สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ รพ.ศูนย์ราชบุรี ที่แสงไฟสปอตไลท์จับอยู่ เสียงปืนและระเบิดกัมปนาทไปทั่วทั้งตัวเมืองราชบุรี ผสานเสียงกรีดร้องของตัวประกัน ที่ก้มหมอบตามเสียงกำชับของชุดปฏิบัติการ ส่วนเบื้องบนก็มีเฮลิคอปเตอร์คอยบินวนฉายสปอตไลท์สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่จู่โจม


โรงพยาบาลกลายเป็นสมรภูมิเลือด เสียงปืนที่ดังทิ้งจังหวะ 1 ชุด 3 นัด เงียบลงตอน 6 โมง 10 นาที 


ทหาร-ตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่ปรากฏร่างนักรบก็อดอาร์มี่ 9 คน นอนเรียงรายจมกองเลือดใกล้ๆ กัน ส่วนรายที่ 10 เสียชีวิตคาห้องน้ำ หลังหลบหนีออกมาจากการปะทะ ทั้งหมดถูกยิงที่ศีรษะในลักษณะเผาขนและเสียชีวิตทันที






เหตุการณ์วันนั้นไม่มีใครได้รับอันตราย จะมีก็เพียงกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่ทั้ง 10 ชีวิตที่ด่าวดิ้นลง พร้อมกับความทรงจำของเจ้าหน้าที่และตัวประกัน ที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์อย่างยากจะลืม



กรุ่นควันปืน 


พจนีย์ ใจเย็น พยาบาลวิชาชีพ ประจำห้องฉุกเฉิน รพ.บ้านโป่ง เป็นอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ยึด รพ.ศูนย์ราชบุรี เล่าว่า ได้รับฟังสถานการณ์ตั้งแต่เช้า กระทั่งบ่าย 3 โมง เธอและเพื่อนจำนวนหนึ่งอาสาเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ รอบๆ โรงพยาบาลเต็มไปด้วยตำรวจ ทหาร สื่อมวลชน และผู้คนที่มาติดตามสถานการณ์ 


สภาพเต็มไปด้วยความวุ่นวาย รถพยาบาล รพ.บ้านโป่ง จอดอยู่สนามกีฬาฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาล เช่นเดียวกับรถกู้ชีพอีกกว่า 10 คัน


"เกือบตีห้า เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกนักข่าวให้เข้าไปในสนามกีฬา เพื่อรับฟังแผนช่วยเหลือตัวประกัน ตอนนั้นฉันก็คิดแบบนั้น แต่ระหว่างรอเปลี่ยนเวรระเบิดลูกแรกก็ดังขึ้น ตอนแรกคิดว่าเป็นของคนร้าย พอเห็นเจ้าหน้าที่กรูเข้าไปในโรงพยาบาลเลยเข้าใจว่าฝ่ายเราเข้าจู่โจม"



พจนีย์ยอมรับว่าวินาทีนั้นเกิดความกลัวอย่างมาก ความชุลมุนเกิดขึ้นทั่วบริเวณ ทั้งนักข่าว เจ้าหน้าที่ และรถพยาบาลต่างวิ่งกันสับสน แผนการที่เตรียมไว้แต่แรกมีอุปสรรค ไม่สามารถเข้าประจำจุดได้ ภาพที่เห็นมีเพียงแสงจากปลายกระบอกปืน เสียงปืนและเสียงหวีดร้องของตัวประกัน ภาพความวุ่นวายยุติลงพร้อมกับเสียงหยุดยิง เธอและพยาบาลอีกจำนวนหนึ่งจึงถูกส่งเข้าไปนำตัวผู้บาดเจ็บออกมา โดยพจนีย์ถูกส่งเข้าไปรับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ถูกยิงหน้าอก นอนรอความช่วยเหลืออยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง


"ตอนนั้นวุ่นวายไปหมด ในโรงพยาบาลก็วุ่นไม่แพ้กัน เจ้าหน้าที่ตรึงกำลังไว้ทั่วบริเวณ อีกส่วนให้ความคุ้มกันแพทย์และพยาบาล ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ข้างในมืดมาก เพราะถูกตัดไฟมานานหลายชั่วโมง มองไม่ค่อยเห็นอะไรเลย พอปฐมพยาบาลให้ผู้บาดเจ็บเสร็จก็ลำเลียงขึ้นรถฉุกเฉินไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลใกล้เคียง" 




มาทำความรู้จักกับ'นักรบพระเจ้า' 



ตั้งแต่ปี 2530 นักศึกษาและประชาชนชาวพม่าเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลทหารเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงถูกกวาดล้างอย่างหนัก ต้องหลบหนีมาอาศัยอยู่กับชนกลุ่มน้อยตามแนวตะเข็บชายแดน บางส่วนหนีเข้ามาฝั่งไทย ด้วยความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ประเทศไทยได้จัดตั้งศูนย์นักศึกษาพม่าขึ้นที่บ้านมณีลอย ต.วังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2534


ต่อมาปี 2538 กองกำลังกะเหรี่ยงกู้ชาติเคเอ็นยู ถูกทหารพม่าตีแตกออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มหนึ่งใช้ชื่อว่า "ก็อดอาร์มี่" หรือนักรบพระเจ้า มีผู้นำเป็นเด็กแฝดลิ้นดำ 2 คน คือ จอห์นนี่และลูเธอร์ ฮะทู ซึ่งมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มนักศึกษาพม่าศูนย์มณีลอย เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลพม่า เช่น บุกยึดสถานทูตพม่าเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542 ยึด รพ.ศูนย์ราชบุรี ปี 2543 และมีความพยายามอีกหลายครั้ง


กระทั่งวันที่ 16 มกราคม 2544 สองเด็กแฝดลิ้นดำพร้อมลูกน้องเข้ามอบตัวต่อทางการไทย สุดท้ายทางการไทยจึงสั่งปิดศูนย์ในปี 2545 โดยนักศึกษาบางส่วนถูกส่งตัวไปยังประเทศที่สาม 

ปฏิบัติการเด็ดหัว ก๊อดส์อาร์มี ปฏิบัติการที่กบฏไพร่พึงสังวร (พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล

พุธ เมษายน 2553
 พิมพ์หน้านี้  |  ดูบล๊อกอื่นๆ ที่ OKnation

ปฏิบัติการเด็ดหัว ก๊อดส์อาร์มี ปฏิบัติการที่กบฏไพร่พึงสังวร (พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล)



.
.
ปฏิบัติการเด็ดหัว ก๊อดส์อาร์มี (God's Army)
ปฏิบัติการที่กบฏไพร่พึงสังวร
(พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล)

เช้าตรู่วันที่ 24 มกราคม 2543 (ก่อนวันกองทัพไทยเพียง 1 วัน) ในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี (ครั้งที่ 2) ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.ตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก

กะเหรี่ยงอิสระกลุ่มหนึ่งในนาม ก๊อดส์อาร์มี (God's Army) ติดอาวุธสงครามครบมือจากอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี บุกเข้ายึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี พร้อมจับตัวแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และคนไข้เกือบ 600 ชีวิต เป็นตัวประกัน

ก๊อดส์อาร์มี เป็นกะเหรี่ยงอิสระกลุ่มหนึ่ง มีกองกำลังประมาณ 200 คน มีลักษณะเป็นกองกำลังแบบกองโจร มีผู้นำหรือหัวหน้าเป็นเด็กฝาแฝดอายุเพียง 12 ปี ชื่อ "ลูเซอร์กับจอห์นี" ซึ่งแตกมาจากกองกำลังของนายพลโบเมี๊ยะ และเป็นศัตรูกับพม่าเรียกตนเองว่า "นักรบของพระเจ้า:God's Army" เป็นกองกำลังชุดเดียวกับที่บุกสถานทูตพม่าที่กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542 ซึ่งรัฐบาลชวน หลีกภัย ได้เข้าเจรจาจนสามารถเกลี้ยกล่อมให้ยอมเดินทางออกไปจากประเทศไทย โดยมี ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศในขณะนั้น ยอมเสี่ยงเป็นตัวประกันร่วมขึ้นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกันไปส่งที่ ชายแดนจนปลอดภัยทั้งสองฝ่าย

กองกำลังผู้ก่อการร้าย ก๊อดส์อาร์มี พร้อมอาวุธร้ายแรงจำนวน 10 คน ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งของ "กะเหรี่ยงดีเคบีเอ" มีฐานที่มั่นอยู่ตามตะเข็บแนวชายแดน จ.ราชบุรี

ผู้ก่อการร้าย "ก๊อดส์อาร์มี" เรียกร้องให้รัฐบาลจัดเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์พร้อมแพทย์ 10 คน เพื่อนำไปรักษานักรบ ก๊อดส์อาร์มี ที่บาดเจ็บจากการปะทะกับทหารพม่า และขอไม่ให้ไทยและพม่าวางกำลังปิดล้อมชายแดนเพื่อให้เขาสามารถเคลื่อนไหวใน บริเวณนี้ได้สะดวก กับขอให้ไทยปล่อยนักรบก๊อดส์อาร์มีที่ถูกจับคืนถิ่น ซึ่งล้วนเป็นข้อเรียกร้องที่รัฐบาลไทยไม่สามารถรับได้

นายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย เรียกประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ พร้อม น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ปรึกษานายกฯ ด้านความมั่นคงเข้าร่วมประชุม เพื่อระดมสรรพกำลังทางสมองวางแผน แก้ปัญหา โดยมี "ผู้บริสุทธิ์" หลายร้อยชีวิตในโรงพยาบาลเป็นเดิมพัน

พลเอกยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบกสมัยนั้น ถูกมอบหมายจาก นายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย ให้เป็น "ผู้บัญชาการแก้ไขวิกฤต"

มีการเรียกหน่วยจู่โจมชั้นยอดของประเทศ ทั้งชุดปฏิบัติการพิเศษพลร่มป่าหวาย จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี หน่วยนเรศวร 261 จาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ หน่วยอรินทราช 26 จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และหน่วยคอมมานโดจากกองปราบปราม กรมตำรวจมา "สแตนบายด์" เพื่อเตรียมปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด..!!

"ชวน หลีกภัย" บินด่วนจากกรุงเทพฯ พร้อมด้วย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ และ พล.อ.มงคล อัมพรพิศิษฐ์ ไปยังค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี เพื่อหารือถึงข้อเสนอซึ่งเป็น "ทางออกสุดท้าย" ให้กับ กลุ่มนักรบก๊อดส์อาร์มี คือขอให้ก๊อดส์อาร์มีวางอาวุธและยอมมอบตัว ส่วนเหตุการณ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไทยจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว และจะส่งเรื่องให้ศาลโลกเป็นคนตัดสินเพื่อความเป็นธรรม แต่ข้อเสนอไม่ได้รับการสนองใดๆ จากฝ่าย "ก๊อดส์อาร์มี"

นายกรัฐมนตรีใช้เวลาประเมินสถานการณ์อย่างถี่ถ้วน สุดท้ายก็ได้แจ้ง "การตัดสินใจครั้งสำคัญ" ให้ที่ประชุมรับทราบ เพื่อช่วยเหลือตัวประกันผู้บริสุทธิ์ทุกคนก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายหนัก การใช้วิธีรุนแรงเข้าแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภายใต้ข้อกำชับอย่างหนักแน่นจากนายกรัฐมนตรีว่า "ปฏิบัติการนี้ต้องไม่มีความผิดพลาด และต้องไม่มีตัวประกันบาดเจ็บล้มตายเป็นอันขาด"

แผนปฏิบัติการ "ชิงตัวประกัน..เด็ดหัวก๊อดส์อาร์มี" เริ่มต้นด้วยคำกำชับจาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการแก้ไขวิกฤตว่า

"ทุกคนต้องทำตามแผน อย่างละเอียด รอบคอบ และรัดกุม หน่วยกล้าตายทุกนายให้ใช้แค่อาวุธปืนพก หรือปืนสั้นเท่านั้น ห้ามหยิบ เอ็ม-16 หรือเอชเค ออกมาใช้ และปฏิบัติการนี้ห้ามเกิดข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด"

ปฏิบัติการสำคัญเริ่มต้นโดยเจ้าหน้าที่ขว้าง สตั๊นบอมบ์ (ระเบิดสีและแสงนำทาง) เปิดฉากลุยเข้าหาโดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยกล้าตายที่รุกคืบเข้าไปฝังตัวอยู่ตาม ชายคากันสาด ในระยะทำการของปืนพก

รวมทั้งที่ซุ่มโป่งอยู่ข้างล่างก่อนแล้ว พร้อมกันกรูเข้าจู่โจมใส่คนร้ายแบบสายฟ้าแลบ

นักรบก๊อดส์อาร์มีที่เก่งๆ เพราะผ่านการฝึกมาอย่างช่ำชองยังหมดสิทธิชักอาวุธตอบโต้ เพราะกระสุนปืนพกสั้นทุกนัดของเจ้าหน้าที่ผู้เข้าปฏิบัติการเจาะเข้ากลาง ศีรษะนักรบก๊อดส์อาร์มีทุกคนอย่างเผาขน จนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณทันทีโดย "ตัวประกัน" ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว

ร่างนักรบก๊อดส์อาร์มี 9 คน นอนเรียงรายจมกองเลือดในบริเวณไม่ห่างกัน ส่วนรายที่ 10 เสียชีวิตคาห้องน้ำหลังหลบหนีออกมาจากการปะทะเดือดจึงถูกยิงตายคาห้องน้ำ ทุกศพมีบาดแผลถูกยิงที่ศีรษะในลักษณะ "เผาขน" นัดเดียวจอด และเสียชีวิตทันที

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ให้เหตุผลที่ต้องเด็ดชีพเหล่าทหารของพระเจ้าว่า

"เป็นการยิงเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวประกันได้รับบาดเจ็บคือ ต้องยิงทีเดียว ยิงที่ศีรษะทั้งหมด ผู้ก่อการร้ายต้องเสียชีวิตทันที มิฉะนั้นเขาอาจจะกดระเบิด หรือโยนระเบิดออกมาทำให้ตัวประกันบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ ถือเป็นยุทธวิธีสากลที่ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เป็นการทำเพื่อช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์จากการทำร้ายของผู้ก่อการร้าย"

นักรบของพระเจ้าทั้ง 10 คนผู้ถูกเด็ดหัวเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2543 ถึงแม้เป็นคนต่างชาติและเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ยังไม่ได้ทำร้ายประเทศไทยร้ายแรงเท่าขบวนการกบฏไพร่ในขณะนี้

นักรบก๊อดส์อาร์มี ไม่เคยคิดก่อการกบฏต่อรัฐบาลไทย

นักรบก๊อดส์อาร์มี ไม่เคยคิดสร้าง "รัฐไทยใหม่" เพื่อล้มล้างระบอบการปกครองของไทย

นักรบก๊อดส์อาร์มี ไม่เคยคิดล้มล้างรัฐบาลและระบบรัฐสภาไทย

นักรบก๊อดส์อาร์มี ไม่เคยจาบจ้วงคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

นักรบก๊อดส์อาร์มี ไม่เคยเข้ามาก่อวินาศกรรมทำร้ายประเทศไทย

นักรบก๊อดส์อาร์มี ไม่เคยจัดกองกำลังเข้ามาฆ่าทำร้ายทหารและประชาชนไทย

นักรบก๊อดส์อาร์มี ไม่เคยเข้ามาจับประชาชนในกรุงเทพฯ และยึดศูนย์เศรษฐกิจสำคัญของไทยเป็นตัวประกันจนเสียหายยับเยินวันละนับหมื่น ล้านบาท

นักรบก๊อดส์อาร์มี เปิดเผยตัวตนชัดเจนไม่ใช่อ้างเป็น "กองกำลังกบฏไม่ทราบฝ่าย"

วันนี้รัฐบาลยังมีนักรบหน่วยจู่โจมชั้นยอดของประเทศ ทั้งชุดปฏิบัติการพิเศษพลร่มป่าหวาย จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หน่วยนเรศวร 261 จากกองบัญชาการตำรวจชายแดน หน่วยอรินทราช 26 จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และหน่วยคอมมานโดจากกองปราบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

แต่เพียงแค่แกนนำกบฏไม่กี่คนที่มีหมายจับแล้วรัฐบาลก็ยังจับไม่ได้ พ่ายแพ้กบฏอย่างซ้ำซากครั้งแล้วครั้งเล่า

เหตุเพราะวันนี้ไม่มีผู้บัญชาการทหารบกที่เด็ดขาดเยี่ยง พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์

เหตุเพราะวันนี้ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเยี่ยง พลตรี สนั่น ขจรประศาสตร์ และ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน

เหตุเพราะวันนี้ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายกรัฐมนตรีเยี่ยง นายชวน หลีกภัย

เหตุเพราะวันนี้ไม่มีที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเยี่ยง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ

การใช้มาตรการรุนแรงกับกบฏผู้กำลังก่อการร้ายและถืออาวุธร้ายแรง เป็นความชอบธรรมที่กระทำได้ แต่ยังไม่มีใครเด็ดขาดและกล้าหาญพอ เหมือนที่นายชวน หลีกภัย เคยเด็ดหัวก๊อดส์อาร์มี เพื่อช่วยตัวประกันมาแล้ว

วันนี้บ้านเมืองกำลังถูกกบฏไพร่จับไว้เป็นตัวประกัน
หรือวันนี้คนไทยจำเป็นต้องรอให้ดอกไม้บานที่ปลายกระบอกปืนอีกสักครั้งหนึ่ง ?

ที่มา 
http://www.naewna.com/news.asp?ID=207736

"ลูเธอร์" อดีตแกนนําก๊อดอาร์มี่ เตรียมยื่นหนังสือถึง กสม.ตามหา 55 ผู้สูญหาย เมื่อ 13 ปีก่อน

วันที่ 03 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21:25:04 น.

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 3 ตุลาคม ที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตภาคกลางตะวันตก ตําบลสวนผึ้ง อําเภอสวนผึ้ง  จังหวัดราชบุรี  มีการเปิดแถลงการณ์เตรียมทำหนังสือยื่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อขอให้รับเรื่องและตรวจสอบชาวกะเหรี่ยงที่สูญหาย ในเหตุการณ์ทหารบุกยึดฐานที่มั่นของกะเหรี่ยงก๊อดอาร์มี่เมื่อกว่า 13 ปี


นายวุฒิ บุญเลิศ ที่ปรึกษาประธานเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตภาคกลางตะวันตก  นายเกรียงไกร ชีช่วง เลขาเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และนายลูเธอร์ ทู อายุ 25 ปี พี่ชายนายจอนนี่ สองเด็กฝาแฝด อดีตหัวหน้ากองกำลังกะเหรี่ยงก๊อตอาร์มี่ เมื่อ 13 ปีก่อน มาร่วมแถลงข่าว
         
นายวุฒิ บุญเลิศ ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษาให้กับนายลูเธอร์ว่า วันนี้ได้มาเยี่ยมญาติที่อำเภอสวนผึ้ง และได้รับการร้องขอจากครอบครัวผู้สูญหายให้ช่วยติดตามหาญาติและเพื่อนที่สูญหายไปเมื่อ 13 ปีก่อน จึงทำหนังสือผ่านทางเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เพื่อร้องถึงกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาทนายความ ในวันพรุ่งนี้ (4 ต.ค.) ให้ช่วยรับเรื่องและติดตามหาคนที่สูญหาย เพราะอยากรู้ว่าคนที่สูญหายไป 55 คน อยู่ที่ไหน เสียชีวิตหรือไม่ ครอบครัวของพวกเขาอยากจะรู้ ซึ่งเป็นมิตรสหาย ลูกน้อง หายไปเมื่อปี ค.ศ.2000

ที่มา : มติชน


ภัยเถื่อนกลางกรุง “สะพานพุทธฯ” แหล่งเสื่อมโทรม-มั่วสุม ดักจี้ปล้น


โดย ASTVผู้จัดการรายวัน3 ตุลาคม 2556 20:14 น.

        อาจเป็นเรื่องที่เคยชินของคนในย่านนั้นไปเสียแล้ว ปัญหามั่วสุม จี้ปล้น บริเวณสะพานพระพุทธยอดฟ้า หลังตกเป็นประเด็นฮือฮาอีกครั้งเมื่อมีการตั้งกระทู้ผ่านเว็บสังคมชื่อดังอย่างพันทิป “อยากจะเตือนภัยวัยรุ่นที่จะไปสะพานพุทธฯ ครับ” ชี้ให้เห็นว่าปัญหาซ้ำซากบริเวณนี้ที่ขึ้นชื่อว่าเถื่อน ยังไม่ได้รับการใส่ใจและแก้ปัญหา โดยเฉพาะคำติติงจากประชาชนที่กล่าวไปในทำนองเดียวกันว่า “ตำรวจเค้าก็เฉยๆ แจ้งความไปก็เท่านั้น” 
    
       โจ๋สะพานพุทธฯ ซ่าส์ ดักปล้น
    
        “ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเที่ยวสะพานพุทธฯ มาก่อน ก็ไปมาบ่อยมากครับ แต่ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เลยตกใจมากๆ ครับ เมื่อมันถึงเวลาเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา (เรื่องเกิดขึ้น วันศุกร์ 27 กันยายน 2556 ครับ)
    
        เรื่องเกิดขึ้นกับน้องชายผมอายุราวๆ ประมาณ 15-16 ไปกับเพื่อนๆ อีกราวๆ 4คน (ผู้ชายหมด) เรื่องเกิดขึ้นว่าน้องผมกำลังคุยโทรศัพท์อยู่บนสะพานพุทธฯ สักพักมีกลุ่มวัยรุ่นไม่รู้มาจากไหนราว 10-20 คนได้ ซึ่งไม่พูดพร่ำทำเพลงเลยครับ ต่อยน้องผมก่อนเลย เสร็จแล้วตามด้วยขวดเบียร์ฟาดเข้าที่หัว หน้าซ้ำยังรุมกระทืบอีก อาวุธมีทั้ง ไม้ มีด เหล็ก พอพวกมันกระหน่ำเสร็จก็แย่งเอาโทรศัพท์ไป แล้วก็ไปกันครับ 
    
        หลายคนคงสงสัยว่าทำไมเพื่อนน้องผมไม่ช่วย ผมคิดว่าด้วยที่ว่ายังเด็กและด้วยความตกใจกัน และยังมีเวลาเพียงแปปเดียว เลยได้แต่เพียงยืนดูน่ะครับ แต่ก็ยังดีที่ส่งน้องผมไป ร.พ.ได้ครับ อาการของน้องผมหนักสุดคือ โดนกระทืบจนซี่โครงหักทิ่มปอดเลยครับ เกือบตายได้เลยครับ โดนเหล็กตีเข้าที่หัวด้านหน้าครับ โดนขวดเบียร์ตีเข้าที่หัวด้านหลังแตกครับ ฟันหน้าหักไป 2 ซี่ครับ สภาพดูไม่ได้เลย มีแผลเหมือนถูกแทงเข้าที่หลัง 2 รูครับ และแผลฟกช้ำอีกหลายจุดครับ มากๆครับ ตอนนี้น้องผมปลอดภัยดีและครับ อยู่ ร.พ นอนหยอดข้าวต้มอยู่ครับ ยังโชคดีที่ไม่ถึงตายก็เป็นอุทาหรณ์ได้เลยครับว่าไม่ควรไปอีกครั้งที่ 2”
    
        ข้อความจากกระทู้ “อยากจะเตือนภัยวัยรุ่นที่จะไปสะพานพุทธฯ ครับ” บนเว็บไซต์พันทิป ถูกเผยแพร่เมื่อราวปลายเดือนที่ผ่านมา พร้อมกับรูปภาพบาดแผลตามร่างกายของเหยื่อรายหนึ่งที่ถูกชิงทรัพย์ กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากชาวเน็ต เหตุการณ์ซ้ำรอยที่ไม่ควรเกิดขึ้นในแหล่งพลุกพล่านอย่าง “สะพานพุทธฯ” สอดรับกับคำกล่าวขานเมื่อนานมาแล้ว เรื่องเล่าที่ว่า บริเวณนั้นมี “มาเฟีย” คุมแก๊งอยู่
    
        ยามค่ำคืนของสะพานพุทธฯฯ ค่อนข้างคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเนื่องด้วยมีตลาดค้าขายสินค้าหลากหลายชนิด จนกระทั่งที่นี่ได้ฉายาว่าเป็นตลาดมืด ไม่ใกล้ไม่ไกลเป็นศูนย์รวมสินค้าสดอย่างดอกไม้และผลไม้หรือปากคลองตลาด เหล่าวัยรุ่นวัยโจ๋มักเลือกมุมวิวดีกลางสะพานจับกลุ่มซ่องสุม โดยที่คนธรรมดาคงมิอาจแยกออกว่าเป็นเด็กเที่ยวเตร็ดเตร่ทั่วไปหรือเป็นมิจฉาชีพตัวร้ายภัยของสังคม 
    
        นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลระบุจากคนในพื้นที่ว่า ยิ่งดึก กลุ่มพวกนี้ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนคนมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งนักเรียนคอซองก็มักจะเลือกสถานที่เหล่านี้มาจับกลุ่มเฮฮา “บ้างมานั่งกินเหล้า บางทีก็เห็นคู่รักมาจู๋จี๋กัน บางทีก็มีนักเรียนมาตีกัน สารพัดอย่าง แล้วแต่ละคนนี่ก็ยังเป็นเด็กๆ อยู่เลยนะ” แหล่งข้อมูลอีกด้านที่เคยแวะเวียนมาก็ระบุว่า ขอมาครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย เพราะเข็ด!! หลังต้องตกอยู่ในสถานการณ์เฉียดตาย
    
        “เคยไปเดินซื้อของกับเพื่อนที่สะพานพุทธฯ เขาว่ากันว่าของถูก ก็เลยพาไปเดินช็อปปิ้ง ระหว่างที่เดินดูของกัน ก็มีกลุ่มวัยรุ่นตีกัน วิ่งไล่กันเสียงดังน่ากลัวมาก เห็นๆ เลย วัยรุ่นคนหนึ่งถือมีดเล่มยาว วิ่งกันมาเป็นกลุ่ม ในใจตอนนั้นชัวร์เลยว่าต้องมีเรื่องกันแน่ๆ เพราะเห็นผู้คนเริ่มแตกตื่น และวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เรากับเพื่อนก็วิ่งหนีเช่นกัน ระหว่างนั้นก็มีเสียงระเบิด คิดว่าน่าจะเป็นระเบิดปิงปอง บอกตรงๆ กลัวตายมาก แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ 
    
        หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้น บอกกับเพื่อนๆ เลยว่า ขอไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก แม้จะมีคนบอกว่าไม่มีอะไรหรอก เขาเลิกตีกันแล้ว แต่ก็เลือกที่จะไม่ไปดีกว่า ถ้าเกิดตีกันอีก แล้วถูกลูกหลงขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ ส่วนตัวอยากให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดกว่านี้ ถ้าไม่ลงมาตรวจดู และจัดการอย่างจริงจัง ใครที่ไหนจะอยากมาเดิน
    
        ยิ่งพอมาได้ยินข่าวมีกลุ่มวัยรุ่นดักตี ชิงทรัพย์ วิ่งราวด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง ฝากถึงคนที่ไปเดินด้วยว่า พยายามอย่าไปเดินช่วงดึกมากๆ ระหว่างเดินซื้อของก็ควรมองซ้าย มองขวาด้วย เพราะต้องยอมรับว่า ตลาดมืดแห่งนี้กลายเป็นสถานที่อันตราย และเสี่ยงตายมากขึ้นทุกวัน บางครั้งจะไปหวังพึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเดียวก็ไม่ได้ ป้องกันตัวเองไว้ก่อนดีที่สุดครับ”
    
       เกิดซ้ำซาก เพราะตำรวจเมิน??
    
        อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากประเด็นความไม่ปลอดภัยบริเวณสะพานพุทธฯ ในยามค่ำคืนแล้ว อีกหนึ่งเสียงจากประชาชนคือ ความบกพร่องหละหลวมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยถูกติติงผ่านโลกอินเทอร์เน็ตว่าบริเวณสะพานเป็นจุดเกี่ยวเนื่องระหว่าง สน. ปากคลองสานกับสน.พระราชวัง ทั้งนี้ แหล่งข้อมูลคนในพื้นที่ระบุเพิ่มเติมว่า ความจริงแล้วก็พอมีสายตรวจคอยมาสอดส่องอยู่บ้าง แต่เหล่าวัยรุ่นก็จะรีบหลบ พอตำรวจกลับไปก็กลับขึ้นมาจับกลุ่มมั่วสุมกันต่อ 
    
        “มีอยู่วันหนึ่งผมอยู่บ้านเพื่อนย่านฝั่งธนฯ มองเห็นบนสะพานพุทธฯ มีเด็กยกพวกตีกัน แล้วได้ยินเสียงปืนด้วย พวกผมก็ได้โทร.ไปแจ้งตำรวจ แต่กว่าที่ตำรวจจะมาเรื่องมันก็เงียบไปแล้ว.... ตำรวจไทยเหมือนในหนังเลยครับมาตอนจบ” ข้อความจาก Professional Advice
    
        “บ้านอยู่แถวนี้ขอยืนยันว่าจริงครับ สมัยเปิดใหม่ๆ เมื่อสิบปีที่แล้วยังโอเค แต่เดี๋ยวนี้อย่าว่าแต่ซื้อของ เดินผ่านยังไม่ควรเลย ส่วนสน. ปากคลองสานกับพระราชวังก็เกี่ยงกันดูแล” ข้อความจาก CloudColorOfSound 
    
        “พูดเลยครับกฎหมายประเทศไทยยังแข็งไม่พอครับ และเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายของบ้านเมืองเรา อ่อนแอมากครับ” ข้อความจากสมาชิกหมายเลข 856348
    
        “บนสะพานเป็นจุดเกี่ยงกันทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 สน. มั้งครับ รู้สึกว่าเคยมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นบนสะพาน เวลาโทร.ไปแจ้งความ ตำรวจจะมาช้าเป็นพิเศษ เพราะงงว่าใช่พื้นที่ตัวเองหรือป่าว” ข้อความจากข้าวคลุกน้ำปลา
    
        สำหรับการมั่วสุมจับกลุ่มของเด็กวัยรุ่น ไม่ได้ถือเป็นความผิดแต่อย่างใด แต่หากมีพฤติกรรมขัดต่อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุมได้ทันที ในประเด็นนี้พ.ต.ท. ด.ร. กฤษณพงศ์ พูตระกูล ประธานบริหารหลักสูตรวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ให้ความคิดเห็นที่น่าสนใจว่า
    
        “จริงๆ แล้วการที่เด็กและเยาวชนมารวมตัวกันตามสถานที่ต่างๆ เนี่ย ถ้าไม่ได้ส่งเสียงดังรบกวนอะไร ดื่มเหล้าเอะอะอะไร ไม่ได้ไปรบกวน สร้างความลำบากเดือดร้อนให้กับคนที่สัญจรผ่านไป-มา แถวนั้น ความผิดทางกฎหมายก็อาจยังไม่ชัดเจนครับ แต่ถ้าเกิดรวมตัวกันแล้วมีการพกอาวุธมีด มาจี้, ปล้น, เสพยาเสพติด หรือดมกาว อันนี้ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย เพราะว่าสิ่งเหล่านี่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้” 
    
       เปิดต้นตอแหล่งมั่วสุมกลางสะพาน
    
        หลายคนที่เดินผ่านไป-มา บริเวณนั้น อาจมองว่าเด็กวัยรุ่นที่มาจับกลุ่มนั่งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เป็นปัญหาหนักใจของสังคม แต่จากการประสบการณ์ที่เคยได้สัมผัสเด็กเหล่านี้อย่างใกล้ชิด พ.ต.ท. ด.ร. กฤษณพงศ์ จึงมีความคิดเห็นที่ต่างไป โดยมุ่งหวังแก้ปัญหาจากต้นตอ เรื่องของครอบครัวของเด็กเหล่านี้ มากกว่าการใช้มาตรการบีบบังคับอันจะยิ่งทำให้เด็กเหล่านี้ก่อปัญหามากกว่าเดิม 
    
        “จากที่ผมเคยลงพื้นที่สำรวจตรงนั้นเลยนะครับตรงสะพานพุทธฯ เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นผมกำลังสนใจเรื่องปัญหาอาชญากรรมของเด็กเร่ร่อน สิ่งหนึ่งที่ผมเคยได้ไปดูมานะครับ พบว่าเด็กเหล่านี้ส่วนมากไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ว่าที่เค้าไปมั่วสุมกันส่วนหนึ่งก็จะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องดมกาว หรือยาเสพติดบางส่วน 
    
        ประเด็นที่ถามว่าพวกเขาเหล่านี้มาจากไหน มามั่วสุมกันเพราะอะไร ตรงนี้มันมีหลายปัจจัย ส่วนแรกคือโครงสร้างทางสังคมของบ้านเรา หมายความว่าครอบครัวอาจจะไม่พร้อมขณะที่มีบุตร หรือถูกเลี้ยงโดยญาติพี่น้องก็ดูแลไม่เต็มที่ หรือพ่อ-แม่ไม่มีเวลา เค้าก็จะออกมาอยู่กับเพื่อนข้างนอกบ้าน ประการที่สองก็อาจเป็นเด็กที่มีปัญหากับครอบครัว บางครั้งพ่อ-แม่ไม่เข้าใจพฤติกรรมของวัยรุ่น ก็อาจจะถูกเพื่อนชักจูงกันไปได้ ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กวัยรุ่นนะครับ อยากจะรู้ อยากลอง อยากท้าทาย” 
    
        ทั้งนี้ จากที่ทีมงาน ASTV ผู้จัดการ Live ได้สำรวจพื้นที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอื่นๆ ก็พบว่า มีปัญหาการมั่วสุมของเยาวชนบ้างประปราย แต่ที่น่าสังเกตคือบริเวณสะพานกรุงธนนั้น มีการจับกลุ่มของนักศึกษาที่คาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏสองแห่งที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน นอกจากนั้นรศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร ประธานคณะกรรมการบริหารงานหลักสูตรปริญญาเอก สาขาอาชญาวิทยาการบริหารงานยุติธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็สามารถเกิดการมั่วสุมได้ทุกแห่ง 
    
        “จริงๆ แล้วกรณีการมั่วสุม และการรวมตัวของเหล่าเยาวชน มันก็มีทุกที่นั่นแหละ เพียงแต่ลักษณะของการมั่วสุมรูปแบบในปัจจุบันมันค่อนข้างที่จะเปลี่ยนไป เช่นการมั่วสุมแล้วไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เรื่องของการอยากได้ทรัพย์ต่างๆ ก็เป็นช่องที่จะทำให้พวกเขาชิงทรัพย์
    
        ส่วนแหล่งมั่วสุมมันก็มีทั่วทุกที่ในกรุงเทพฯ ซึ่งภาครัฐเองก็ต้องมีการจัดการปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อม จุดอับต่างๆ ที่ไม่มีไฟฟ้า หรือจุดที่เป็นที่รกร้างให้ดูสะอาด ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ แล้ว บริเวณสะพานพุทธฯ จะมีปัญหาเรื่องของไฟส่องสว่าง ตรงบันไดทั้งสองข้าง และสวนหย่อม ซึ่งคิดว่าบริเวณนั้นยังสว่างไม่เพียงพอ”
    
        อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดหากอยู่ในสถานที่สาธารณะ ควรหรือไม่?? กับการมั่วสุมประพฤติไม่ดี และตำรวจควรจะต้องหามาตรการสอดส่องตรวจตราเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายได้อย่างไร

โจรใต้พัฒนาใช้ปืนกลลอบยิงเจ้าหน้าที่กันแล้ว

(๓ต.ค.๕๖)จากเหตุของรือเสาะ พื้นที่ ซุ่ม จุดแรก เป็นเนินสูงข่ม หันหน้าเข้าหารถ เป้าหมาย พื้นที่ซุ่ม จุดที่ 2 (ตรงกลาง) เป็น เนิน จมูกเขา รับกับถนน พื้นที่ซุ่ม จุดสุดท้ายครับ มีหินเป็นกำบังผกร.ใช้ M 60 ประมาณ 3 กระบอกเพราะตรวจพบ ปลอกกระสุน M 60 ทั้ง 3 จุดซุ่ม ระเบิด ปลากระป๋อง พร้อม ถุงน้ำมันด้วย คอเขา จุด ที่เป็น จุด สูงสุดของ ถนน 4066 ครับมีการขว้างถุงน้ำมัน เข้ามาบนถนน เพื่อให้รถเสียหลัก ตกข้างทาง เนื่องจากเป็นทาง ที่กำลังจะลงเขา ครับ และใช้ ระเบิดข้วางแสวงเครื่อง ( ระเบิดปลากระป๋อง) ด้วย 
การซุ่มวางตัวรูปตัวsตามถนนซึ่งเป็นเนินครับเส้นทางเข้าช่วยเหลือ ทั้ง 2 ทาง คือ สุวารี อ.รือเสาะ และ บาลูกาสนอ อ.ยี่งอ มีการขัดขวาง ด้วย ตะปูเรือใบ และระเบิดแสวงเครื่อง ถังแก๊สปิกนิค
130

3สาวทรมานฆ่าลูกหมาคนฟิลิปินส์ถูกตี.จับนานแล้ว

3 สาวฟิลิปฯกระทืบลูกหมา แท้จริงถูกจับนานแล้ว??

หลังจากมีกระแสสามสาวโหดกระทืบลูกหมาจนเสียชีวิต  พบว่าแท้จริงแล้วพวกเธอได้ถูกจับกุมตัวไปตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และหากถูกตัดสินว่าผิดจริงจะถูกจำคุกเป็นเวลา 7 ปี หรือปรับเงิน 3 แสนเปโซ หรือทั้งจับทั้งปรับ

                วันนี้(3ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีกระแสข่าวคลิปสามสาวต่างด้าวสุดโหดที่รุมเตะ กระทืบลูกหมาตัวน้อยจนกระทั่งเสียชีวิตคาเท้า ที่กำลังได้รับความสนใจอยู่ในขณะนี้  พบว่าแท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยทางองค์กรสิทธิสัตว์และกลุ่มต่อต้านการทารุณสัตว์ (PETA)ในเอเชีย รวมทั้งสำนักงานสืบสวนแห่งชาติได้พบหลักฐานและจับกุมตัว 2 ผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุโพสต์คลิป ทรมาณสัตว์โดยการกระทืบจนเสียชีวิต ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

            โดยเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งผู้ต้องสงสัยก่อเหตุ 2 รายถูกตำรวจจับกุมด้วยข้อหาทารุณกรรมสัตว์และข้อหาอื่นๆอีกหลายข้อหา  ส่วนคนบันทึกภาพวีดีโอการทำร้ายนั้นถูกตั้งข้อหาทารุณสัตว์เช่นเดียวกัน ทั้งนี้หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ผู้ก่อเหตุอาจถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 7 ปี หรือปรับเงินเป็นจำนวน 3 แสนเปโซ หรือทั้งจับทั้งปรับ

ขอบคุณที่มาจาก allvoices.com/