PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงการณ์ยันเคารพคำพิพากษาศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 แต่ไม่เห็นพ้อง ระบะคำพิพากษาคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง และขัดแย้งต่อคำวินิจฉัยของศาลปกครอง
       -กรรมการสิทธิมนุษยชนฯ จ่อให้ “วีระ” ยื่น ป.ป.ช.ชงอุทธรณ์จันทร์นี้ พร้อมตั้งคณะทำงานติดตามคดี 

       
       

       
       วันนี้ (4 ส.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 11.15 น. ที่บ้านพระอาทิตย์ เขตพระนคร นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสุริยะใส กตศิลา อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรฯ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์หลังการประชุมอดีตแกนนำ และผู้เสียหายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 โดยนายปานเทพได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 1/2560 แสดงจุดยืนต่อกรณีศาลฎีกาแผนกคกีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพวกรวม 4 คน กรณีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 มีใจความสรุปว่า
       
       1. อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ผู้เสียหาย และผู้เกี่ยวข้อง เคารพคำพิพากษาของศาลฯ แต่ไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นว่าคำพิพากษามีความคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงหลายประการ ควรต้องมีการยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา รวมทั้งเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวยังขัดแย้งต่อคำพิพากษาศาลปกครองกลาง มติ ป.ป.ช. คณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่มีคำวินจฉัยแล้วว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การสลายการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล มีการใช้อาวุธ ไม่ดำเนินการจากเบาไปหาหนัก ไม่เป็นไปตามหลักสากล มีการใช้ความรุนแรงตั้งแต่เช้าจดค่ำ แม้การประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว สมาชิกออกจากรัฐสภาแล้ว ซึ่งทั้งสามองค์กรดังกล่าวได้ชี้ว่าจำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ จงใจกระทำต่อผู้ชุมนุมด้วยการละเมิดต่อผู้ชุมนุม
       
       2. เห็นควรตั้งคณะทำงานติดตามการดำเนินคดีของ ป.ป.ช. สภาทนายความ และทนายความ เพื่อให้การดำเนินการยื่นอุทธรณ์ได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ถูกต้องสมบูรณ์ โดยมอบหมายให้นายวีระ สมความคิด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นายประพันธ์ คูณมี และนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นคณะทำงาน
       
       3. หากการดำเนินการตามข้อ 1 และ 2 ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแก่พี่น้องประชาชน ผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ พันธมิตรฯ จะทำทุกช่องทางกฎหมาย ทุกวิถีทาง เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนถึงที่สุด
       
       4. มีมติมอบหมายให้นายวีระ สมความคิด และคณะ ในฐานะผู้ยื่นคำร้องเดิมต่อ ป.ป.ช. ได้เดินทางร่วมกับผู้เสียหาย และพี่น้องประชาชนผู้ห่วงใยต่อการดำเนินคดีนี้ ไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ในวันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 เวลา 11.00 น.
       
       นายปานเทพ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้ ทนายพันธมิตรฯ ไม่มีโอกาสได้ซักค้านในคดีความนี้เลย เพราะเป็นคดีที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องโดยผ่านสภาทนายความ ซึ่งก็ได้มอบหมายทนายความที่ไม่ได้มีความคุ้นเคยหรือใกล้ชิดกับทางพันธมิตรฯ โดยตรง ดังนั้นการที่จะมีโอกาสซักค้าน หรือประเด็นข้อสงสัย จึงมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งความผูกพัน ความเข้าใจ พยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือของทนายพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะสู้ตามขั้นตอนปกติที่ควรจะต้องเป็น เพราะว่าโจทก์ฟ้องคือ ป.ป.ช.เพราะฉะนั้น ข้อสงสัยต่างๆ ที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันกับคำพิพากษาศาลปกครองกลางก็ดี หรือศาลต่างๆ ที่พิพากษาในพฤติการณ์ของพันธมิตรฯ รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) คำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ความขัดแย้งเหล่านี้เพียงเพราะว่าเราไม่ได้มีโอกาสต่อสู้โต้แย้งในชั้นศาลตามขั้นตอนปกติ จึงต้องไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ในขณะเดียวกันก็ตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินการของทุกองค์กรที่ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ว่าทำด้วยขั้นตอนอย่างไร และมีจุดที่ต้องท้วงติงอย่างไร
       
       ด้านนายประพันธ์ คูณมี อดีตแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า ตนเคยเป็นทนายในคดีที่อัยการฟ้องแกนนำและผู้ชุมนุมในข้อหาก่อการจราจลวุ่นวายหน้ารัฐสภารวม 21 คน โดยโจทก์ได้นำ ส.ส.ในสภาเป็นพยานมา ซึ่งนายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เป็นพยานปากเดียวที่เบิกความในทำนองผู้ชุมนุมตะโกนว่าฆ่ามัน แต่ไม่มีปรากฏในเทปบันทึกเสียงระหว่างการชุมนุม จึงเห็นว่าไม่มีเหตุอะไรที่จะนำมาวินิจฉัยในศาลได้เลยสำหรับคดีนี้ และข้อเท็จจริงก็ไม่มีอยู่ในสำนวน แต่ได้ยินเสียงมาจากตำรวจ เอามันให้ตายอยู่ได้อยู่ไป
       
       นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการตั้งคณะทำงานขึ้่นมานั้น เพราะไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้นำเสนอศาลครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงค่อนข้างจะมีรายละเอียดหลักฐานที่สมบูรณ์ที่สุดในทางคดีอาญา ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว จำนวนอาวุธ และวัตถุระเบิดที่เจ้าหน้าที่ได้นำมาใช้ และความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัตถุระเบิด ค่อนข้างสมบูรณ์ จึงต้องติดตามว่าจะมีการอุทธรณ์หรือไม่ และถ้าอุทธรณ์จะเขียนอย่างไร ข้อเสนอข้อเท็จจริงโดยครบถ้วนเพียงพอให้ศาลวินิจฉัยหรือไม่ หรือมีพฤติกรรมในลักษณะไม่นำเสนอข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน เป็นเหตุให้ศาลวินิจฉัยในลักษณะที่ไม่ได้พยานหลักฐานเพียงพอต่อการพิจารณาคดี
       
       ส่วนความกังวลต่อการดำเนินการของ ป.ป.ช.นั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ยังด่วนเกินไปที่จะคาดการณ์ล่วงหน้า เพราะยังอยู่ในกรอบเวลา และ ป.ป.ช.ก็บอกว่ารอคำพิพากษาฉบับเต็มก่อน ขั้นตอนการทำงานก็ต้องให้โอกาสเขา แต่ว่าช่องทางมันไม่ได้จบแค่นี้ คณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาก็จะไปวางแนวทางว่ามีช่องทางอื่นหรือไม่ กระบวนการยังอีกยาว พร้อมฝากถึงพันธมิตรฯ อย่าเพิ่งหมดหวัง ประตูยังไม่ได้ปิด ความยุติธรรมยังต้องเรียกร้องกันต่อ ยังมีช่องทางอื่น ทั้งนี้ก็ต้องคำดูคำพิพากษาของศาลฎีกาก่อน
       
       เมื่อถามว่า คำพิพากษาศาลฎีกา จะส่งผลถึงการวินิจฉัยคดีของศาลปกครองหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า อันนี้เป็นโจทย์ของคนไทย ทั้งในเรื่องเขตอำนาจศาล คำพิพากษาที่ย้อนแย้งกันขององค์กรอิสระ ศาลตามรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาศาลปกครองกลางเขียนละเอียดมากเรื่องการปฏิบัติไม่เป็นไม่ตามหลักสากล ตนถึงบอกว่า อย่าอ่านเฉพาะคำพิพากษาวันที่ 2 สิงหา
       
       นายประพันธ์ กล่าวเสริมว่า ทั้ง 2 ศาลต่างมีความเป็นอิสระ ข้อเท็จจริงในศาลฎีกาอาจจะรับฟังได้ในศาลปกครองแต่ไม่ต้องปฏิบัติตาม ไม่เหมือนศาลยุติธรรมที่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงในคดีอาญาจะต้องไปรับฟังในคดีแพ่งได้
       
       ด้านนายพิภพ กล่าวถึงความเป็นเอกภาพของพันธมิตรฯ ว่า ไม่มีปัญหาเพราะเรามีคดีร่วมกันเยอะแยะ เรามีความรับผิดชอบต่อประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมา ความมีเอกภาพยังมีอยู่ยืนยันได้
       

       

พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้
        รายละเอียดแถลงการณ์ ฉบับที่ ๑/๒๕๖๐
       อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
       เรื่อง
       จุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่างทางการเมือง เกี่ยวกับคดีการสลายการชุมนุมวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑
       
       จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันสลายการชุมนุมและไม่ดำเนินการระงับยับยั้งเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗, ๘๓
       
       ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยสรุปว่าผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมโดยสงบที่จะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และจำเลยทั้ง ๔ ไม่ได้มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต จำเลยทั้ง ๔ จึงไม่มีความผิดฐานะเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น
       
       อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้เสียหาย และประจักษ์พยานผู้เกี่ยวข้อง จึงได้มาประชุมกันและมีมติดังต่อไปนี้
       
       ๑. อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้เสียหาย และผู้เกี่ยวข้อง เคารพต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นว่ามีความคาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงหลายประการ จึงมีความเห็นว่าคดีนี้สมควรต้องอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาต่อไป เพราะเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าว ขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง, มติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ได้มีคำวินิจฉัยในกรณีดังกล่าวแล้วว่า การชุมนุมของประชาชนเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มิได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง ในขณะที่การสลายการชุมนุมไม่ได้ปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากล เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการนำอาวุธและวัตถุระเบิดมาใช้ในการสลายการชุมนุมเป็นจำนวนมาก มิได้ปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก มิได้ปฏิบัติตามแผนกรกฎ/๔๘ แต่อย่างใด อีกทั้งการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงได้เกิดขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจดค่ำ แม้ว่าจะมีการประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว หรือแม้แต่สมาชิกรัฐสภาได้เดินทางออกจากรัฐสภาแล้ว ซึ่งขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างว่าต้องสลายการชุมนุมด้วยวิธีการดังกล่าวเพราะผู้ชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทั้ง ๓ องค์กรดังกล่าวได้ชี้ว่าจำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จงใจกระทำละเมิดต่อผู้ชุมนุม
       
       ๒. เห็นควรตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินคดีนี้ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สภาทนายความ และทนายความ เพื่อให้การดำเนินการอุทธรณ์ได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อความเป็นธรรมของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและล้มตาย จากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมอบหมายให้นายวีระ สมความคิด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นายประพันธุ์ คูณมี, นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นคณะทำงานในกรณีนี้
       
       ๓. หากการดำเนินการดังกล่าวตามข้อ ๑ และ ๒ มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแก่พี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะดำเนินการในทุกช่องทางทางกฎหมายทุกวิถีทางเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แก่พี่น้องประชาชนจนถึงที่สุด
       
       ๔. มีมติมอบหมายให้นายวีระ สมความคิด และคณะในฐานะผู้ยื่นคำร้องเดิมต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เดินทางร่วมกับผู้เสียหายและพี่น้องประชาชนที่มีความห่วงใยในคดีดังกล่าวนี้ ไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในวันจันทร์ที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๐๐ น.
       
       ด้วยจิตคารวะ
       
       พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
       วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐
       ณ บ้านพระอาทิตย์ 
พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้
        
พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้
        
พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้
        
พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้
        
พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้
        
พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้
        
พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้
        
พันธมิตรฯ จ่อยื่นหนังสือ ป.ป.ช.บี้อุทธรณ์ศาลฎีกาคดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้

สมชายรอดคดี เพิ่มแรงเหวี่ยง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์



- +
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

กระแสของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังมาแรงจนถูกจับตาว่าเป็นอีกหนึ่งใน “แคนดิเดต” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ท่ามกลางเสียงเชียร์ให้เป็นคนนำทัพลงสนามเลือกตั้ง 2561

ทันทีที่หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกฟ้อง จากกรณีสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เพื่อเปิดทางให้ สมชาย นำคณะรัฐมนตรีเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

จากคำพิพากษาระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิใช่การชุมนุมโดยสงบ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในรัฐสภา มีการปฏิบัติตามขั้นตอน จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สนำตาช่วยเหลือแม้ผลออกมาจะปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิต แต่จำเลยก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เกิดการบาดเจ็บเสียชีวิต

​ดังนั้น สมชาย และจำเลยอีก 3 คนได้แก่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ​อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. จึงไม่ได้มีการกระทำความผิดตามฟ้อง ​ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ​

ปลดล็อกให้ สมชาย กลายเป็นคนปลอดคดี พร้อมที่จะหวนคืนสนามการเมืองได้อีกรอบ

อีกด้านจึงเป็นการสั่นคลอนสถานะของ  คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ​แคนดิเดตคนแรกซึ่งได้รับไฟเขียวจากคนต่างแดนเป็นที่เรียบร้อย

แม้ที่ผ่านมาเสียงภายในพรรคเพื่อไทย สนับสนุน คุณหญิงสุดารัตน์ ไปทั้งหมด

ดังจะเห็นว่าพลันที่คำพิพากษาออกมาบรรดากองเชียร์ฝั่ง “ชินวัตร” รวมไปถึงกลุ่มที่ไม่สนับสนุน คุณหญิงสุดารัตน์ จึงประสานกำลังปลุกกระแสดัน สมชาย มารับไม้ต่อคุมทัพเพื่อไทยรอบใหม่

แต่ในความเป็นจริงเส้นทางของ สมชาย  อาจไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ อย่างที่คาดการณ์  เริ่มตั้งแต่กระแสคัดค้านทั้งจากภายในและภายนอกพรรค

เมื่อภายในพรรคเพื่อไทย​เคยมีความคิดที่จะปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ แยกพรรคเพื่อไทย ออกจากตระกูลชินวัตร ด้วยเหตุผลเพื่อทำให้พรรคการเมืองก้าวไปสู่ความเป็นสถาบัน ลบภาพลักษณ์และข้อครหาเดิมๆ เรื่องความเป็นพรรคของครอบครัวที่รวมศูนย์การตัดสินใจไว้ที่คนกลุ่มเดียว

หลังการเปลี่ยนผ่านจาก ​ไทยรักไทย พลังประชาชน มาจนถึง เพื่อไทย คนที่มาขัดตาทัพ หลัง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คือ สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ​จากนั้นยังวนเวียนอยู่ที่คนในครอบครัว ไล่มาตั้งแต่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะ น้องเขย และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ที่เป็นโคลนนิ่ง ทักษิณ แบบตัวจริงเสียงจริง

ยังไม่รวมกับพี่ๆ น้องๆ ชินวัตร ที่คอยทำงานอยู่เบื้องหลังเป็นทีมสนับสนุนในส่วนต่างๆ

กระแสเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแยกความเป็น “ชินวัตร” ออกจาก “เพื่อไทย” มีมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ

ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้ปรับภาพลักษณ์ใหม่ อย่างจริงจัง สอดรับกับความเป็นห่วงกลัวการถูกเพ่งเล็งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  ​

อีกด้านหนึ่ง ​การวางตัวน้องเขย ซึ่งมีประสบการณ์การทำงาน และยังได้อาศัยบารมีอดีตนายกฯ ทักษิณ มาเรียกคะแนนฐานเสียงที่เริ่มเสื่อมคลายไม่เหนียวแน่นเหมือนช่วงหลายปีก่อน อาจเป็นทางเลือกที่ดี ความคิดที่ดี

แต่บางฝ่ายเห็นว่าการแปะป้ายเป็นคนของชินวัตร อาจ​ยิ่งปลุกกระแสต่อต้าน มากกว่าจะสนับสนุนในบางพื้นที่ อันจะกระทบต่อคะแนนเสียงโดยรวม

อย่าลืมว่าบาดแผลเรื่องสลายการชุมนุมแม้ศาลจะยกฟ้องแต่ก็ยังเป็นเป้าให้ถูกหยิบยกไปโจมตีในอนาคต เมื่อการสลายการชุมนุมครั้งนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้บาดเจ็บ 471 ราย 

การยกฟ้อง​ สมชาย ด้านหนึ่งย่อมเป็นผลดี ​แต่อีกด้านย่อมนำไปสู่แรงเหวี่ยงสะท้อนกลับ ​ยิ่งหากยังพยายามผลักดัน สมชาย กลับมาลงสนามเลือกตั้งอันจะสะท้อนให้เห็นถึงการส่งสัญญาณสู้รอบใหม่ของตระกูลชินวัตร

หลังจากก่อนหน้าคนในตระกูลไล่มาตั้งแต่ ทักษิณ จะใช้ยุทธวิธีเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ออกมาเคลื่อนไหวท้าตี ท้าต่อย ​แต่เลือกที่จะอยู่เงียบๆ ออกมาแสดงความคิดความเห็นเพียงบางครั้งบางคราว

อันจะยิ่งนำไปสู่การเพ่งเล็งมากขึ้น แถมอาจจะไม่เป็นผลดีต่อ ยิ่งลักษ์ ชินวัตร ที่มีคดีรุมเร้า และมี​กำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.นี้  รวมไปถึงการติดตามยึดทรัพย์เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย จากโครงการรับจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท

ที่สำคัญ ความพยายามผลักดัน สมชาย มาเป็นแคนดิเดตคนใหม่ แข่งกับ สุดารัตน์ ย่อมสุ่มเสี่ยงจะขยายรอยร้าวภายในพรรคเพื่อไทยให้กลับมาลุกลามบานปลาย​

สร้างความอ่อนแอที่มีทั้งเสียงสนับสนุนทั้งสองฝ่าย จนน่าเป็นห่วงว่าจะเสียแชมป์เลือกตั้ง ในภาวะที่ระบบกลไกเลือกตั้งใหม่ถูกมองว่าไม่เอื้อกับพรรคการเมืองเก่า 

ท่ามกลางกระแสข่าวความพยายามจับมือฟอร์มทีมตั้งพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็กของหลายกลุ่ม ​รวมไปถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคทหาร ​ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทย

"ระบอบไทยๆ" ที่ไทยมองไม่เห็น

มานั่งนึกๆ ดู.........
ว่าประเทศไทยจะขึ้นจากหล่มได้ซักเมื่อไหร่?
มองย้อนหน้า-ย้อนหลัง ไม่ใช่มองแค่ปี-สองปี หากแต่เป็นสิบปีมาแล้ว บอกได้คำเดียว ว่า
ยาก!
ยิ่งนับวัน เรื่องราวประเภท "ดรามาประเทศไทย" ซึ่งเสพง่าย ถูกจริตคนไทย ถูกจุดเป็นกระแสแบ่งรัก-แบ่งชังคนในชาติขึ้นเรื่อยๆ
จะเหมือน "ตามด" ในตัวเขื่อน ที่กักน้ำเกิน!
อย่างตอนนี้ หัวข้อ "ประเทศเฮงซวย" กำลังจุดติด-ลุกพรึ่บ!
เรื่องอย่างนี้...........
สังคมที่ใช้ "สัญชาตญาณ" จะไวต่อการแสดงปฏิกิริยาเชิงรับ-เชิงต้านฉับพลัน
นั่นจะเป็นตัว "ขันชะเนาะ" ทัศนคติต่างขั้ว ที่ "ยอมหัก" ดีกว่า "ยอมกัน" สู่จุด "แตกสะบั้น" ในที่สุด!
แท้จริงแล้ว "คนไทย-สังคมไทย" คือคนแบบไหน อย่างไร?
ถามง่าย ตอบยากนะ
เพราะเรามัก "มองนอก" มากกว่า "มองใน"
หมายถึง "คาดหมาย-เพ่งเล็ง" เอาจากคนอื่น มากกว่า "คาดหมาย-เพ่งเล็ง" เอาจากตัวเราก่อน
เพราะอย่างนั้น ปัญหาบ้านเมืองไทยเรา ทั้งที่ผิวเผินเกินกว่าต้องใช้คำว่า "แค้นฝังราก"
แต่ก็แก้ไขอะไรได้ยาก ในป่า "ไม้เลื้อย-รากลอย" มากกว่าสักและซุง!
ยากเพราะ แต่ละคนไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรผิดที่ต้องแก้ ในขณะที่ เห็นผิดในคนอื่น และเพ่งแก้ที่คนอื่น
สรุปแล้ว ปัญหาคนไทย เหมือน "ลูกตา" ที่ไม่เคยมองเห็น "ขนตา" ตัวเอง!
วานซืน "หนังสือพิมพ์ชี้ชัด เจาะลึก" นำเรื่องที่ "อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์" เขียน โดยยกข้อเขียน Thomas tarn เป็นประธาน มาโพสต์ fb
จำได้ว่า เคยอ่านจากโซเชียลมีเดียครั้งหนึ่ง แต่นานแล้ว อ่านทีไร เหมือนเป็นฝีเรื้อรังที่ก้น ถูกตีนฟาดเปรี้ยง ปวดปานจะขาดใจ
ไม่มีอะไร "ตรงจุด-ตรงปัญหา" คนไทย เท่าเรื่องที่อาจารย์เฉลิมชัยเขียนและยกมาอีกแล้ว ขออนุญาตยกมาอีกต่อเพื่อสำนึก-สำเหนียก
หนังสือพิมพ์ "ชี้ชัด เจาะลึก" นำเรื่องว่า...........
"อาจารย์เฉลิมชัย เขียนด่า...ได้เยี่ยมมาก"
จากนั้น ยกข้อเขียนของอาจารย์ทั้งหมดโพสต์ดังนี้
มันไม่ใช่ระบอบทักษิณ ระบอบประชาธิปัตย์ หรือ ระบอบเผด็จการทหาร!!
แต่มันคือ! ระบอบแบบไทยๆ คนไทยๆ นี่แหละ ที่ทำให้มันเป็นสังคมแบบนี้!
"ผมไม่ชอบการเมือง แต่ในฐานะคนไทย ผมก็มี ๑ เสียง เท่ากับนายกรัฐมนตรี เท่ากับชาวสวน เท่ากับชาวนาคนหนึ่ง
ผมไม่ใช่คนของอดีตนายกฯ ทักษิณ เขาไม่เคยให้อะไรผม! ผมก็ไม่เคยขออะไรจากเขา!
แต่รู้ว่าไม่ชอบระบบการเล่นการเมืองแบบฉวยโอกาส ไม่รักษากฎอย่าง ปชป. ทั้งที่เมื่อก่อน เคยชอบ
ผมไม่รู้ว่า Thomas tarn เป็นใคร คนไทยรึเปล่า?
อ่านเจอ พอเปิดใจ รับเลย
รู้สึกว่า มีส่วนจริงอยู่มาก!
เพราะผมเองก็คนหนึ่งล่ะ..ที่เคยทำเลวๆ..ยัดเงินเจ้าหน้าที่ธุรการ เพื่อแลกกับความรวดเร็ว
ยอมเสีย ๑๐๐ บาทเพื่อแลกกับการเสียเวลา และอื่นๆ
เพื่อความอยู่รอดของหน่วยในระบบราชการไทยๆ เจอตรงนี้..เลยเอามาให้อ่านกัน...
"การเมืองแบบไทยๆ"
โดย Thomas Tarn
ถ้าเราล้มระบอบทักษิณได้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อ?
ระบอบทักษิณคืออะไร?
ถ้าตระกูลชินวัตรตาย หมดไปจากโลก ประเทศไทยจะดีขึ้นจริงๆ หรือ?
ทุกคนทุกฝ่าย นักวิชาการ ทนาย ผู้เชี่ยวชาญ สารพัด ช่วยคิด หาเหตุ หาผล....
ก็ยังหาทางลงไม่ได้........
เพราะระบอบ ที่ทำให้บ้านเมืองยิ้มอยู่ได้ทุกวันนี้ มันคือระบอบ ที่มีมาก่อนทักษิณจะเกิดซะอีก!!
ขอเรียกว่า "ระบอบไทยๆ"
ระบอบไทยๆ นี้ เป็นระบอบที่เกิดขึ้นมาจาก...นิสัย สันดาน สภาพแวดล้อม แนวคิด พฤติกรรม และสังคมแบบไทยๆ
ที่ส่วนใหญ่รักสบาย มักง่าย เล่นพรรคเล่นพวก มือถือสากปากถือศีล ไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีอุดมการณ์
และที่สำคัญ ในช่วงหลังๆ คือวัดค่าของคนจากเงิน ของใช้ รถยนต์ สิ่งที่มองเห็นจากข้างนอก ภายนอก ฯลฯ
ในเมื่อการวัดค่าของคนไม่ได้อยู่ที่จิตใจ ความดีงาม ความสามารถ อีกต่อไป
คนส่วนใหญ่จึงมีเป้าหมายใหม่ เป็นการทำอย่างไรก็ได้! ให้มีเงินมากที่สุด
เมื่อความต้องการเงินมากๆ โดยไม่เลือกวิธีการ ไปรวมกับนิสัยแบบไทยๆ ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ จึงนำไปสู่การคอร์รัปชัน ทั้งใน นอก ลับ และเปิดเผย
การคอร์รัปชันมีขึ้นแทบทุกหน่วยงานราชการ รวมไปถึงทุกคนในเอกชน และภาคครัวเรือน ที่เป็น...หนึ่งในตัวการส่งเสริมการคอร์รัปชัน (ยอมให้ชาติเสียประโยชน์เพื่อตัวเอง..ได้ประโยชน์)
ถ้าเกิดและโตมาจนอ่านหนังสือออก เล่นเฟซบุ๊กได้ คงไม่มีใครไม่เคยเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน
ฝากลูกเข้าโรงเรียน ยัดเงินตำรวจ โกงภาษีเงินได้ สารพัดการคอร์รัปชันในชีวิตประจำวัน (ไม่ต้องพูดถึงการคอร์รัปชันระดับนักการเมืองที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว)
ที่น่าแปลกใจ คือคนไทยรับได้ แถมอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขอีกด้วย?
ด่านักการเมือง ว่าเลวทุกคน ถึงเวลา ขอให้ช่วยฝากลูกเข้าโรงเรียน ฯลฯ
ด่าตำรวจไม่มีดี ถึงเวลา ช่วยหนูหน่อยนะพี่ ขี้เกียจไปโรงพัก
สิ่งเหล่านี้คือระบอบไทยๆ มีมานาน ก่อนทักษิณจะมีอำนาจ
พูดให้ถูกคือ..ทักษิณมีอำนาจ เติบโตจนสั่นคลอนประเทศวุ่นวายได้ขนาดนี้ ก็เพราะรู้จักใช้ประโยชน์จากระบอบนี้นั่นแหละ ที่ทุกวันนี้มันกลายเป็นระบอบทักษิณไปแล้ว
เพราะทักษิณได้กระจายอำนาจ และบริวาร ครอบคลุมหน่วยงานต่างๆ ไว้ เป็นจำนวนมาก สมัยอยู่ในอำนาจ
จึงทำให้ทักษิณเหมือนกลายเป็นผู้รับประโยชน์สูงสุด
ถามอีกรอบ สมมุติพรุ่งนี้ ตระกูลทักษิณหายไปจากโลก
คิดว่าไอ้ระบอบไทยๆ ที่หยั่งรากลึกมาก่อนทักษิณจะมาเล่นการเมืองเสียอีก มันจะหายไปหรือเปล่า?
ข้าราชการ ตำรวจ ประชาชน นักการเมืองทุกคน จะพร้อมใจกัน เป็นคนดีขึ้นมากกว่าเดิมทันทีรึ?
......โลกช่างสวยงาม
คิดแบบนั้นกันจริงๆ หรือ?
เชื่อว่าทุกคนก็รู้อยู่ว่า "ไม่ใช่"
ต่อให้ทักษิณตายไป ไอ้ระบอบไทยๆ ที่ว่า มันก็แค่ไปหาหัวโขนอื่นมาใส่ แล้วก็คอร์รัปชันกันต่อไป อย่างเมามันส์อยู่ดี
การโยนความเลวทรามชั่วช้าทั้งหมดบนโลกใบนี้ไปให้ทักษิณ มันง่ายดี!
มันสะดวกกว่าการโทษตัวเอง
แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหา และไม่เป็นธรรมกับทักษิณนัก
การปลุกระดมม็อบ ไปปิดสถานที่ราชการ ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหา
เพราะนักการเมืองทุกฝ่ายมีเงินทุนและมวลชน ของตัวเองมากพอ พอที่จะปลุกม็อบมากี่ครั้งก็ได้ เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้เป็นรัฐบาล กลายเป็นวังวนอัปยศ ที่หาทางออกไม่ได้ของประเทศไทย
ทางแก้ของปัญหาการเมืองในประเทศ ผมเชื่อว่า ไม่มี
ทางออกจากวงจรอุบาทว์ ไม่ว่าจะก่อม็อบไปเปลี่ยนรัฐบาลไปซักกี่รัฐบาล
ถ้า! คนไทยยังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง
"ปฏิวัติตัวเอง" จากข้างใน!
เลิก >เห็นแก่ความสบาย
เลิก >ร้องขอสิทธิพิเศษ
เลิก >มองคนที่ภายนอก
เลิก >คิดมักง่าย
เลิก >ขับรถผิดกฎจราจร
>หันมามองความสามารถภายใน ความดี ความมีคุณธรรม ลดความเห็นแก่ตัว เคารพสิทธิของผู้อื่น เคารพกฎหมาย ให้มากกว่านี้
ครับ.......ท่านว่า เขาพูดถูกมั้ย?
ถูก
แล้วเราจะแก้ "ระบอบไทยๆ" กันมั้ย?
ก็ให้ "เรา" เขาแก้ซี
ไม่ใช่ "ผม" นี่!?.

พ้นพงหนามสู่วิบากกรรมใหม่

พ้นพงหนามสู่วิบากกรรมใหม่

มาตรฐานใหม่ คำสั่งสลายม็อบ

เป็นอันว่า 2 อดีตนายกฯ 2 อดีตนายตำรวจใหญ่พ้นวิบากกรรม หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำสั่งพิจารณายกฟ้องคดีสลายม็อบกลุ่มพันธมิตร

เหตุเกิดที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551

จำเลยในคดีนี้มีอยู่ 3 คน คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯในสมัยนั้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯในรัฐบาลเดียวกัน

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.

ที่ศาลสั่งยกฟ้องก็เพราะเห็นว่าจำนวนทั้ง 4 คนนั้นปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย มีอำนาจที่จะดำเนินการในฐานะข้าราชการของแผ่นดิน แม้ในฐานะนายกฯ จะยังไม่ได้แถลงนโยบาย แต่ก็มีอำนาจที่ชอบธรรม
การใช้แก๊สนํ้าตาเพื่อให้เหตุการณ์สงบและเป็นการรับคำสั่งมาจากที่ประชุม ครม. ด้วยการมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิตนำไปปฏิบัติ ซึ่ง พล.อ.ชวลิตก็สั่งการไปยัง ผบ.ตร. และ ผบช.น.ตามลำดับชั้น

อีกทั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้นไม่ได้เป็นไปด้วยความสงบและไม่มีอาวุธ แต่มีการตรวจทำเนียบรัฐบาลพบว่ามีหนังสติ๊ก ลูกหินและระเบิด

นั่นจึงเป็นความชอบธรรมที่จะต้องมีการป้องกันและปราบปราม

เท่าที่สรุปออกมาก็คงไม่ต่างไปจากประเด็นเหล่านี้

จากนี้ไปหากชุมนุมทางการเมืองก็ต้องใช้มาตรฐานจากคดีนี้ไปปฏิบัติเป็นพื้นฐานและเจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถดำเนินการด้วยมาตรการต่างๆได้

ผลการตัดสินใจที่ออกมาทุกฝ่ายจึงต้องยอมรับ ไม่ว่าฝ่ายที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ตามซึ่งก็คงไม่ต่างไปจากคดีอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า

เพราะถ้าไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล บ้านเมืองก็จะไร้ขื่อแป

กรณีนี้อย่าง พล.ต.อ.พัชรวาทและ พล.ต.ท.สุชาติก็จะมีชีวิตอยู่ตามปกติได้ต่อไป เพราะคงไม่ได้คิดเล่นการเมือง

ก็ดีแล้วอย่าได้คิดเข้าไปยุ่งน่าจะดีกว่า แม้ พล.ต.อ.พัชรวาทซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในรัฐบาล คสช.

อย่างที่มีข่าวเรื่องตำรวจออกมาที่ไม่ค่อยจะดีนัก ก็อย่าไปข้องแวะจะดีที่สุด เพราะหากเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา

ลองคิดดูก็แล้วกันว่ามันเป็นอย่างไร เพราะคดีสลายม็อบก็แทบไม่เป็นสุขอยู่แล้ว ดีที่ว่าผลคดีมันออกมาบวกจึงรอดตัวไป

อีก 2 ท่าน คือ พล.อ.ชวลิต อดีตนายกฯที่ผ่านชีวิตทหารด้วยภาพความเป็น “ขงเบ้งกองทัพ” ทำผลงานเพื่อชาติบ้านเมืองไม่น้อย กระโดดลงมาเล่นการเมืองเป็นถึงนายกฯมาแล้ว

อายุก็ปูนนี้สุขภาพก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าใดนัก พ้นจากคดีนี้แล้ว การคิดอ่านเพื่อวางมือทางการเมืองน่าจะเกิดประโยชน์ทั้งปวง

ไม่ต้องไปห่วงประเทศนี้มากไปหน่อยเลย คนรุ่นลูกรุ่นหลานคงจะนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้

คนนี้สิ...“สมชาย วงศ์สวัสดิ์” น่าเป็นห่วงที่สุดด้วยความเป็นน้องเขยเจ้าของพรรคเพื่อไทย แม้จะเคยเป็นนายกฯมาแล้ว แต่ชีวิตก็รันทดสิ้นดีคือไม่ได้เข้าทำงานในทำเนียบแม้แต่ครั้งเดียว

หลังหลุดพ้นพงหนามคนที่ดีใจที่สุดน่าจะเป็น “เยาวภาวงศ์สวัสดิ์” ศรีภรรยา เพราะจะทำให้ชีวิตทางการเมืองได้โลดแล่นอีกครั้ง โดยหวังว่าสามีคงมีโอกาสนำทัพเพื่อไทยสู่สนามการเมือง

เพราะเวลานี้เพื่อไทยกำลังหาคนเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ มีทั้งกองเชียร์จากคนในพรรคและที่สำคัญก็คือคนในบ้านเดียวกัน

แต่จำเอาไว้ให้ดีเถอะ...กำลังจะก้าวเข้าไปสู่ “วิบากกรรม” อีกครั้งหนึ่ง.

“สายล่อฟ้า”

ดาวยก

ดาวยก

วันนี้ (4 สิงหาคม) เวลา 5 ทุ่ม 5 นาที ดาวพระราหู จะยกออกจากราศีสิงห์ย้าย เข้าราศีกรกฎ ทำมุมฉากกับดาวมฤตยูที่ทับลัคนาดวงเมืองเต็มเปา

จะเกิดแรงเหวี่ยงเอียงไปด้านร้ายหรือด้านดี...สาธุชนโปรดติดตามต่อไป

เอาเป็นว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...“วอทเอฟเวอร์วิลบี...วิลบี” ก็แล้วกัน

แต่ที่ยกไปก่อนดาวพระราหูยก 2 วัน คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองพิพากษายกฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. ซึ่งถูก ป.ป.ช.ฟ้องเป็นจำเลยคดีสลายม็อบพันธมิตร เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่าสามร้อยคนและเสียชีวิตอีก 2 ราย

“แม่ลูกจันทร์” สรุปย่อๆว่า ศาลฎีกาแยกข้อกล่าวหาเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเช้า และช่วงเย็น

ศาลพิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ในช่วงเช้าของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันสั่งการให้เปิดทางเข้ารัฐสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภาอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ

การที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรปิดล้อมประตูเข้าออกรัฐสภาไว้ทุกด้าน ถือเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนกรกฎ 48 โดยใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ขณะนั้นแล้ว

ศาลฎีกาพิเคราะห์ต่อไปว่า เหตุการณ์ในช่วงบ่ายซึ่งยืดเยื้อไปถึงช่วงคํ่าเนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้กลับมาปิดล้อมรัฐสภา เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา และเจ้าหน้าที่รัฐสภา ไม่สามารถออกจากรัฐสภาได้ และมีการปลุกระดมผู้ชุมนุมจะบุกเข้าไปข้างในรัฐสภา จึงไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบสันติ ตามที่รัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง

เป็นเหตุจำเป็นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องเปิดทางช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างอยู่ในรัฐสภา

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า ประเด็นสำคัญคือ การใช้ “แก๊สนํ้าตา” ในการสลายการชุมนุม

ประเด็นนี้ พยานฝ่ายโจทก์และพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแก๊สนํ้าตา ยังมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับผลจากการใช้แก๊สนํ้าตาเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่

ศาลพิเคราะห์ว่า ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากที่เจ้าหน้าที่จะประเมินว่าแก๊สนํ้าตาเป็นเหตุให้เกิดบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ จึงยังฟังไม่ขึ้นว่าจำเลยทั้ง 4 มีเจตนาจงใจให้เจ้าหน้าที่ทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายและเสียชีวิต

ทีนี้มาถึงประเด็นสุดท้าย...

เหตุใดตำรวจจึงไม่ใช้รถดับเพลิงฉีดนํ้าผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมก่อนใช้แก๊สนํ้าตา??

ฝ่ายจำเลยมีพยานยืนยันว่าได้ใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักแล้วเท่าที่จะทำได้ใน
สถานการณ์ขณะนั้น

แต่เหตุที่ไม่สามารถใช้รถดับเพลิงฉีดนํ้าผลักดันผู้ชุมนุม เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก กทม.
โดยได้ติดต่อประสานผู้ว่าฯ กทม. ขอสนับสนุนรถดับเพลิงแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้หาตัวไม่เจอ

ข้อกล่าวหาของโจทก์ จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 4 ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 คน

“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่า แม้คดีนี้จะจบแล้ว แต่ยังไม่จบบริบูรณ์

เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เปิดช่องให้โจทก์คือ ป.ป.ช.สามารถใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์คดีต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน

“แม่ลูกจันทร์” ไม่อยากเดาล่วงหน้าว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.คนปัจจุบัน (ซึ่งเคยเป็นลูกน้องมือขวาของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.) ท่านจะตัดสินใจอย่างไร??
เพราะมีทางเลือกได้ 2 ประตู

1,ขอใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คดีนี้ให้ถึงไหนถึงกัน

2,ขอไม่ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คดีนี้ให้มากเรื่องมากความ

ปล.เหตุที่ไม่อยากเดา...เพราะกลัวจะเดาถูกน่ะซีโยม.

"แม่ลูกจันทร์"

ยังเสี่ยงกับคิว 'ท้าทาย'

ยังเสี่ยงกับคิว 'ท้าทาย'

จากคิวศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำตัดสินยกฟ้อง จำเลยในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ปี 2551

อดีตนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมทั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.

พ้นชนัก ปลดบ่วง

โฟกัสช่วงนี้ ไม่ใช่แค่ “วงษ์สุวรรณ” โล่ง แต่ “วงศ์สวัสดิ์” ก็เข้าทาง

หลังจากพ้นคดีสลายม็อบ คนเพื่อไทยก็ออกมาประสานเสียงเชียร์ “อดีตนายกฯ สมชาย” ไร้มลทินแล้ว

จัดว่า “คลีน” ทางการเมือง มีสิทธิคัมแบ็กหัวหน้าค่ายเพื่อไทย

ที่สำคัญ คดีสลายม็อบเป็นรายการพิเศษนำร่องคิวใหญ่ ทั้งคดี “จำนำข้าว” ของ “อดีต นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคดีระบายข้าวแบบจีทูจีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก ศาลนัดพิพากษา 25 ส.ค.

รวมทั้งศาลอาญาคดีทุจริตฯนัดพิพากษาคดีที่ดินธรณีสงฆ์ ชี้ชะตา ยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีต มท.1 วันที่ 29 ส.ค.นี้

คิวเคลียร์บ่วง “สมชาย” เพิ่มดีกรีลุ้น เปิดรูระบายแรงกดดัน

โดยเฉพาะ “อดีตนายกฯปู” ถึงแม้ว่าจะมีอีก 11 คดีที่ค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. อาทิ คดีจ่ายเงินเยียวยา คดีละเว้นไม่ลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปราศรัยรุนแรง คดีโครงการก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำ ฯลฯ

ห้วงเวลาแห่งวิบากกรรม ไม่รู้จะโดนเชือดซ้ำหรือเปล่า

แต่ที่เฮดังๆก็คงไม่ใช่ใครอื่น “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ “เจ้าแม่วังบัวบาน” ภรรยานายสมชาย ที่เสียงดังพลังแรงจัดในเครือข่ายพรรคเพื่อไทย และบอร์ดตระกูลชินฯ

เรียกว่าพอจะมีข่าวดีบ้างแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้า นายเกษม นิมมลรัตน์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ คนสนิท โดนศาลฎีกาฯพิพากษาร่ำรวยผิดปกติครั้งเป็นนายก อบจ.เชียงใหม่ โดนจำคุก และยึดทรัพย์ 168 ล้านบาท

วันนี้ถึงจุดที่ถูกจับตากับกระแสข่าวที่ว่า “เจ๊แดง” เป็นอีกหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก

กองกำลังต้าน “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่ กทม. ที่โชว์ตั๋วนายห้าง–บ้านจันทร์ส่องหล้า ให้ขึ้นกุมบังเหียนพรรค

จากที่มีชื่อ “เจ๊แป๋ว” มณฑาทิพย์ โกวิทย์เจริญกุล น้องสาว นายห้างที่ถูกโยนออกมาเป็นแคนดิเดต
ตอนนี้มี “สมชาย” ดีกรีอดีตผู้นำ มาช่วยเบียด “เจ้าแม่ กทม.” อีกราย

ที่ผ่านมาประลองกำลังภายใน ช่วงที่ยังขยับไม่ถนัด “สมชาย-เจ๊แดง” ยังนิ่ง แต่ถึงตอนนี้ เอาแค่ที่นั่งในวงประชุมไม่เป็นทางการในค่าย “หัวโต๊ะ” ที่เคยมี “เจ้าแม่ กทม.” ครอบครอง

“สมชาย”กับ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค ได้แค่นั่งขนาบสังเกตการณ์
อาจต้องขอปรับบทเปลี่ยนที่นั่งกันบ้างแล้ว

ถึงแม้จะมีกระแสข่าว เวลานี้ “เจ้าแม่วังบัวบาน” ยังไม่รีบกระโตกกระตากดันสามีขึ้นแท่น รอซาวเสียงในค่ายเพื่อไทย โดยเฉพาะในปีก กทม.ที่อีกฝั่งยังทรงอิทธิพลอยู่ ส่วนเสียงทางภาคเหนือ-ภาคอีสาน “วังบัวบานกรุ๊ป” เอาอยู่

ที่สำคัญแท็กทีมกับ “อดีตนายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว

ที่เรียกเช็กชื่อตรวจความภักดีบรรดาอดีตนักการเมือง กทม.กันถี่ยิบ ระดมกำลังพลให้แน่นหนา

ศึกเจ๊ๆ เกม“เจ๊ชนเจ๊” รอเวลาประจัญบาน

กระนั้นก็ดี ดีกรี “เจ้าแม่ กทม.” อย่าง “เจ๊หน่อย” ก็ใช่จะไร้แต้มต่อ ถ้าไม่มีลุ้นก็คงไม่เสี่ยง

เพราะประเมินล่วงหน้าได้เหมือนกัน “นายใหญ่ดูไบ-นายหญิง จันทร์ส่องหล้า” ต้องคิดหนักแน่ ถ้าเลือกล็อกเป้าแม่ทัพเพื่อไทยคนใหม่ ที่ชื่อโคลนนิ่งจากคนตระกูลชินฯ-วงศ์สวัสดิ์ หรือสายจันทร์ส่องหล้า
นั่นก็จะท้าทาย “อำนาจพิเศษ” กันเกินไปหรือไม่

ในจังหวะที่ยังไม่เคาะ “ลุย” หรือ “คุย” หากสรุปที่โหมดเจรจาต่อรอง ต้องพึ่งพาดีลเมกเกอร์

คิวประสานสีเขียว ชั่วโมงนี้ “เจ๊หน่อย” ก็ไม่เป็นรองใคร.

ทีมข่าวการเมือง

ผู้การกรม ทั่วประเทศ สอบภาษาอังกฤษ

ผู้การกรม 4.0
ผู้การกรม ทั่วประเทศ สอบภาษาอังกฤษ ทั้ง Comprehensive, Vocaburary , Listening, Grammar รวม80 ข้อ 1 ชม. 100 คะแนน ถ้า71 คะแนนขึ้นไป ถือว่าเกณฑ์ดี

ผู้บังคับการกรมเข้ารับการทดสอบจำนวน 69 หน่วย

พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า การทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษ ที่ ถือเป็นการทดสอบครั้งแรก ถ้ามิสอบผ่าน หรือ สอบตก ก็จะทำให้เสียกำลังใจ แต่ก็อยากให้เป็นแนวทางที่ต่อเนื่องไป เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ และกระตุ้นให้มีความสนใจในการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับการสื่อสารและใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงาน

พล.อ.เฉลิมชัย ระบุว่า ต่อไปจะมีขยายทดสอบภาษาอังกฤษ ในระดับผู้บังคับกองพันด้วย โดยต้องการเน้นให้สามารถนำภาษาอังกฤษไปใช้ในการสนทนา อาจจะต้องเริ่มที่หลักสูตรของ รร.จปร. ที่ต้องในการกรมยุทธศึกษา ทบ.(ยศ.ทบ.)เข้าไปร่วม และ ในระดับหน่วยจะต้องมีการจัดทีมเข้าไปเสริมทักษะให้สามารถนำไปใช้งานจริงได้
พ.อ.อดิชศร แย้มวงศ์ ผอ.ศูนย์ภาษา กรมยุทธศึกษา ทบ. กล่าวว่า การทดสอบภาษาอังกฤษระดับ "ผู้การกรม" ข้อสอบจะเน้นให้ผู้การกรมมีทักษะการเจรจามิตรประเทศ ขอบเขตการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัต ภาษาทางทหาร การส่งแผนร่วมการพัฒนา ความสัมพันธ์แนวชายแดน โดยทดสอบ อ่าน ฟัง คำศัพท์ ไวยกรณ์ Comprehensive, Vocaburary , Listening, Grammar รวม 80 ข้อ 100 คนแนน 1 ชั่วโมง ยังไม่มีทดสอบเขียนและพูด
ทั้งนี้มีเกณฑ์การวัดผล คือ 91% ดีเลิศ 71-90% ดี 51-70% ปานกลาง ต่ำกว่า 50% ต้องปรับปรุง ทั้งนี้ ไม่ได้ดูว่า ใครจบ ตปท. เพราะภาษาอังกฤษ ทุกคนพัฒนาได้หมด อยู่ที่โอกาสจะได้ใช้หรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีแผนสอนภาษาเพื่อนบ้านให้กับผู้บังคับหน่วยที่ทำงานในพื้นที่ชายแดนในแต่ละด้านด้วย

"บิ๊กป้อม"เตรียมเรียก ผบ.เหล่าทัพ คุย โผโยกย้ายทหาร เร็วๆนี้

"บิ๊กป้อม" เผย เตรียมเรียก ผบ.เหล่าทัพ คุย โผโยกย้ายทหาร เร็วๆนี้ ยังไม่มีอะไรน่าห่วง ยันให้ "บิ๊กณะ" เลือกผบ.ทร.ใหม่/ บิ๊กป้อม ส่งโผ ให้ บิ๊กช้าง ทำตามขั้นตอน ก่อน ประชุม7 เสือ กห.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า ยังไม่มีการนัดคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นนายพล แต่คาดว่าจะหารือกันในเร็วๆนี้ แต่ยังไม่ระบุวัน เพราะต้องรอความพร้อมของทุกฝ่าย เชื่อ การจัดทำโผปีนี้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เหล่าทัพ ดำเนินการไปตามความเหมาะสม
สำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือคนใหม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ถือเป็นหน้าที่ของพลเรือเอก ณะ อารีนิจ ผบ.ทร.คนปัจจุบัน ที่จะเสนอมา
ส่วนจะเป็นไปตามที่เสนอหรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า อยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการปรับย้ายฯว่าจะเห็นชอบหรือไม่
ขณะที่มี รายงานว่าบัญชีรายชื่อโยกย้ายทหารได้ส่งถึง พลเอกประวิตร ตั่งแต่ 31 กค.แล้วโดย พลเอกประวิตร ส่งให้ บิํกช้าง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม นำไปรวมกับในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และทำขั้นตอนของทางธุรการ ก่อน จะเรียกประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลของกระทรวงกลาโหม