PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

“กรมบังคับคดี” ยึดทรัพย์ “บุญทรง” กับพวกแล้ว 2 หมื่นล้าน - “ยิ่งลักษณ์” คิวต่อไป

“กรมบังคับคดี” ยึดทรัพย์ “บุญทรง” กับพวกแล้ว 2 หมื่นล้าน - “ยิ่งลักษณ์” คิวต่อไป
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ (ภาพจากแฟ้ม)
        “กรมบังคับคดี” ยึดทรัพย์ “บุญทรง” กับพวกแล้ว มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท กรณีทุจริตขายข้าวแบบจีทูจี เตรียมขายทอดตลาดต่อไป ด้าน “ยิ่งลักษณ์” จ่อโดนคิวต่อไป หลังศาลปกครองยกคำขอทุเลา
       
       วันนี้ (10 เม.ย.) น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า หลังจากกรมการค้าต่างประเทศ ได้ส่งหนังสือตั้งเรื่องมาให้กรมบังคับคดี เพื่อขอให้อายัดทรัพย์กรณีทางแพ่งกรณีทุจริตการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มูลค่า 20,000 ล้านบาท จาก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ และ พ.ต.ท.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ซึ่งทางกรมบังคับคดีได้ทำการยึดทรัพย์บุคคลดังกล่าว ตามที่กรมการค้าต่างประเทศ แจ้งรายการทรัพย์มาแล้วมูลค่า 20,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากเป็นการยึดทรัพย์ในคดีทางแพ่ง ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อของทรัพย์สินว่าเป็นทรัพย์สินอะไรบ้าง เพราะเป็นเรื่องของคู่ความ จากนี้ คงเป็นการใช้สิทธิของคู่ความตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพราะเขาอาจจะไปร้องขอต่อศาลปกครอง ตามใดที่ศาลยังไม่มีคำสั่งคุ้มครองหรือสั่งทุเลาการบังคับคดี ดังนั้น การบังคับคดีก็ยังดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม หลังจาก กรมบังคับคดี ดำเนินการมาแล้วก็จะประกาศขายทอดตลาดต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ประกาศขายทอดตลาด เพราะต้องตรวจสอบก่อนว่าทำขั้นตอนกระบวนการยึดแล้วแจ้งหมายครบถ้วนแล้วหรือไม่
       
       “ส่วนกรณีศาลปกครองยกคำร้องขอทุเลาการบังคับใช้คำสั่งในคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เป็นผู้ถูกฟ้องคดี กับพวกรวม 4 ราย โดยขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาบังคับการอายัดทรัพย์สินกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกเรียกรับผิดความเสียหายทางละเมิด ฐานไม่ระงับยับยั้งในความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว และจงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว วงเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท สำหรับกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวก ก็เหมือนกับคดีของนายบุญทรงกับพวก หลังจากศาลมีคำสั่งทุเลาแล้วก็ต้องรอให้ทางกระทรวงการคลังทำหนังสือตั้งเรื่องมาให้กรมบังคับคดี เพื่อขอให้อายัดทรัพย์กรณีทางแพ่งกรณีไม่ระงับยับยั้งในความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว และจงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว วงเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท หากกระทรวงการคลังทำหนังสือมาให้กรมบังคับคดีเมื่อใดก็พร้อมจะดำเนินการยึดทรัพย์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามขั้นตอนต่อไป” 

97:27 มติสปท.ผ่าน เปเปอร์ลดวาระกำนัน-ผญบ. สปท.อดีตผู้ว่าฯแห่ลุกค้าน

เมื่อเวลา 13.15 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสปท.ที่มีน.ส.วลัยลักษณ์ ศรีอรุณ รองประธานสปท.คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงานของคณะกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง เรื่อง “ข้อเสนอประเด็นสำคัญเพื่อประกอบการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2557 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ตำแหน่งกำนันวาระการดำรงตำแหน่งกำนัน และการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน และร่าง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่…) พ.ศ…..” มีสาระสำคัญคือ การลดวาระการดำรงตำแหน่งของกำนันจากเดิมให้อยู่ในตำแหน่งจนถึงอายุ 60 ปี เหลือให้ดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี โดยให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนที่เลือกจากผู้ใหญ่บ้านในตำบลนั้นๆที่ลงสมัครรับเลือกเป็นกำนัน ให้อยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 5 ปี ไม่จำกัดวาระ เพื่อให้กำนันที่ได้รับเลือกจากประชาชนได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่ ไม่เกิดการผูกขาดอำนาจและสั่งสมอิทธิพลในพื้นที่ รวมทั้งการให้ประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ใหญ่บ้านทุก 3 ปี จากเดิม 5 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกสปท.ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสปท.อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด อาทิ นายปรีชา บุตรศรี นายศานิตย์ นาคสุขศรี นายธงชัย ลืออดุลย์ นายธวัชชัย ฟักอังกูร ต่างอภิปรายแสดงความไม่เห็นด้วยกับรายงานของกมธ.การเมืองที่เสนอให้กำนันอยู่ในตำแหน่งคราวละ 5ปี เพราะจะสร้างความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายประชาชนในพื้นที่เป็นกลุ่มๆ จึงไม่อยากให้นำเรื่องการเมืองระดับชาติมาเชื่อมโยงกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน โดยวาระการทำงาน 5ปี เป็นการทำงานที่สั้นเกินไป ทำให้ไม่มีความต่อเนื่องในการทำงาน ควรให้อยู่ในตำแหน่งถึงอายุ 60ปีตามเดิม ยิ่งให้เลือกตั้งบ่อยๆจะยิ่งสิ้นเปลืองงบประมาณ
ด้าน นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานสปท.การเมือง กล่าวยืนยันว่า ข้อเสนอสปท.การเมืองกลั่นกรองอย่างรอบคอบ ขอให้สมาชิกถอดหัวโขนเดิมออก เพราะหากไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงยึดติดแนวคิดเดิม การปฏิรูปจะเกิดไม่ได้ หากปล่อยให้กำนันอยู่ในอำนาจแบบผูกขาดถึงอายุ 60 ปี ถ้าได้คนไม่ดีจะทำอย่างไร แต่ถ้าให้อยู่ในวาระ 5 ปี จะทำให้กำนันมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ถ้าเลือกแล้วยอมรับกติกา การเลือกตั้งก็จะไม่ทำให้เกิดแตกแยก ขณะที่ นายวิทยา แก้วภราดัย สปท.การเมือง กล่าวว่า ตนเป็นคนเสนอเรื่องนี้เอง ซึ่งที่ผ่านมาข้อเสนอใดที่ไปกระทบกับกระทรวงมหาดไทยมักมีปัญหาทุกครั้ง แต่แนวทางที่กมธ.เสนอเป็นวิธีที่ประนีประนอมแล้ว ถ้ากำนันทำงานดี จะได้รับการเลือกตั้งต่อไป และแก้ปัญหาการเข้าสู่ตำแหน่งกำนันที่แลกด้วยผลประโยชน์ จึงขอให้สปท.กล้าปฏิรูป เพราะแม้แต่คนที่ออกมาคัดค้านบางคนเคยพูดกับตนว่า เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านที่สมุย หมดไป 7 ล้านบาท
กระทั่งเวลา 17.15 น.ภานหลังจากที่ประชุมใช้เวลาพิจารณานาน 4 ชั่วโมง ที่สุดประชุมลงมติเห็นชอบรายงานฉบับดังกล่าวด้วยคะแนน 91 ต่อ 27 งดออกเสียง 32 โดยให้ส่งรายงานความเห็นให้ครม.รับไปดำเนินการต่อไป

ล้างบางกระทรวงเกษตรฯ..



“การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายธีรภัทร ไม่สามารถทำงานหรือสั่งการลูกน้อง ข้าราชการใต้บังคับบัญชาได้ และงานหลายอย่างที่ รมว.เกษตรฯ สั่งการและมอบหมายให้ นายธีรภัทร ดำเนินการและรับผิดชอบไม่มีความคืบหน้า ทำให้รัฐมนตรีค่อนข้างไม่พอใจผลการทำงานของ นายธีรภัทร ค่อนข้างมาก”
(แนวหน้าออนไลน์)วันที่ 10 เมษายน มีรายงานข่าวถึงกรณีมีกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแผนปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทีมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่มาจากสายทหาร พร้อมกับให้มีการปรับย้ายผู้บริหารในกระทรวงต่างๆ ที่มีผลงานไม่คืบหน้าว่า นอกจากการเตรียมปรับ ครม.เศรษฐกิจแล้ว ในส่วนของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาจมีการปรับโยกย้ายผู้บริหารระดับสูง โดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เตรียมโยก นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ให้ไปดำรงตำแหน่งในสำนักนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีตำแหน่งที่เหมาะสมรองรับ พร้อมกับให้ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน เนื่องจากมีผลงานที่นายกรัฐมนตรีหยิบยกไปพูดถึงบ่อยครั้ง เช่น เรื่องแผนการทำเกษตรเหมาะสมกับสภาพดินและน้ำ (Agri Map) ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปภาคการเกษตรที่ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม
“การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายธีรภัทร ไม่สามารถทำงานหรือสั่งการลูกน้อง ข้าราชการใต้บังคับบัญชาได้ และงานหลายอย่างที่ รมว.เกษตรฯ สั่งการและมอบหมายให้ นายธีรภัทร ดำเนินการและรับผิดชอบไม่มีความคืบหน้า ทำให้รัฐมนตรีค่อนข้างไม่พอใจผลการทำงานของ นายธีรภัทร ค่อนข้างมาก”
รายงานข่าวระบุอีกว่า นอกจากตำแหล่งปลัดกระทรวงเกษตรฯแล้ว พล.อ.ฉัตรชัย ยังจะพิจารณาปรับย้ายตำแหน่งอธิบดีที่ไม่ผ่านการประเมินผลงานอีกหลายกรม เพื่อให้การทำงานลงสู่เกษตรกรได้รวดเร็ว และสนองนโยบายให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไรก็ตาม การปรับย้ายทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากผ่านพ้นงานพระราชพิธีวันพืชมงคลไปแล้ว