PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

นายกฯ สั่ง กองทัพ ส่งทหารช่างสำรวจ ถนนเชื่อมหมู่บ้านที่ชำรุดจากน้ำท่วม โดยด่วน

นายกฯ สั่ง กองทัพ ส่งทหารช่างสำรวจ ถนนเชื่อมหมู่บ้านที่ชำรุดจากน้ำท่วม โดยด่วน เร่งรายงาน ในกค. นี้ /คสช.เดินหน้าช่วยแจงโครงการรัฐ เตรียมเปิดเวทีสาธารณะ4 กองทัพภาคชี้แจงสัญญาประชาคมสร้างสามัคคีปรองดอง ย้ำ กกล.รส.คงระดับดูแลความปลอดภัย
พลเอก พิสิทธิ์ สิทธิสาร รอง ผบทบ./รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธาน
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช . กล่าวว่า ยังคงให้ความสำคัญกับการใช้กลไก กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยและฝ่ายปกครอง ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับความคืบหน้าในงานบริหารราชการแผ่นดิน
โครงการและมาตรการต่างๆที่ภาครัฐกำลังดำเนินการเพื่อส่วนรวม รวมทั้งเรื่องที่ประชาชนได้รับประโยชน์
และประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคม เช่น ความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมการคมนาคมขนส่ง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประชาชน กลไกราคาพืชผลทางการเกษตร
การจัดทำผังเมืองในระดับประเทศและผังเมืองในทุกจังหวัดที่ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นกรอบในการพัฒนาพื้นที่ให้เหมาะสม
และการใช้มาตรา 44 ในการขับเคลื่อนวาระเร่งด่วนและคลี่คลายปัญหาสำคัญของประเทศ เช่น การใช้ที่ดิน ส.ป.ก.ในกิจการพลังงาน
ความร่วมมือรถไฟไทย-จีน เป็นต้น โดยมอบให้ กกล.รส. เดินหน้าช่วยเผยแพร่ความคืบหน้าในเรื่องที่เป็นประโยชน์ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ และช่วยเสริมสร้างความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี/หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีความห่วงใยในด้านการสัญจรของประชาชน ที่เดือดร้อนจากการชำรุดของ ถนน และเส้นทาง หลังเกิดอทกภัยใช่วงที่ผ่านมา
นายกฯได้มีบัญชาให้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยกระทรวงกลาโหม ส่งหน่วยทหารช่างของกองทัพบก และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เข้าสำรวจเส้นทางที่เสียหายจากอุทกภัยทั่วประเทศ
โดยเฉพาะถนนหรือเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้าน และเตรียมเข้าดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซมโดยด่วน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สัญจร และขนส่งพืชผลทางการเกษตรได้โดยสะดวกและปลอดภัย
โดย พลเอกพิสิทธิ์ รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้เร่งรัดให้หน่วยทหารช่าง ร่วมกับทางจังหวัด เข้าตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลความเสียหายให้เรียบร้อยภายในต้นเดือนกรกฎาคมนี้
ส่วนการดูแลความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยนั้น รองเลขาธิการ คสช.ระบุว่า การทำงานของ กกล.รส. ในเรื่องนี้ ยังต้องคงระดับความเข้มงวดในมาตรการรักษาความปลอดภัย ป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หรือการก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ ทั้งนี้ได้เร่งรัดให้ดำเนินการติดตั้งและจัดระบบกล้องวงจรปิดให้เรียบร้อยในทุกพื้นที่ในเดือนนี้ตามนโยบายของ หน. คสช.
รวมทั้งการสร้างเครือข่ายและให้ความรู้ ประชาชนอย่างต่อเนื่องในการเฝ้าระวังเหตุและการแจ้งข้อมูล สิ่งผิดปกติ เสริมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในทุกพื้นที่ด้วย
การประชุมในวันนี้ พลเอกพิสิทธิ์ รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาค ร่วมกับส่วนราชการ จัดเตรียมพื้นที่และความพร้อมในการเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อชี้แจงสาระสำคัญของร่างสัญญาประชาคมให้ประชาชนได้รับทราบ อันเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยมีกำหนดดำเนินการใน ๑-๒ สัปดาห์นี้ ต่อจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนของการประกาศเป็นสัญญาประชาคมฉบับสมบูรณ์ต่อไป

ทำใจให้เชื่อลำบาก!

ทำใจให้เชื่อลำบาก!

กลับมาออกหน้าสื่อถี่ยิบอีกรอบ
ตามจังหวะที่แรงเสียดทานหลายช็อตกระแทกใส่รัฐบาลพร้อมๆกัน
กลายเป็นไฟต์บังคับให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ต้องเลิกปิดปาก หันหน้าคืนไมค์ กลับเข้าสไตล์ธรรมชาติของตัวเอง ตอบคำถามสื่อเป็นชุดๆไม่หยุดหย่อน
หลังจากเจอสารพัดปมร้อนแฉลบเข้าเนื้อเล่นงานจนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องไล่เคลียร์ให้เกิดความกระจ่าง ไม่ให้ถูกปั่นกระแส ขยายผลสร้างความเข้าใจผิดมากยิ่งขึ้น
อย่างที่เห็นๆกัน จากปรากฏการณ์วุ่นไม่เลิก อารมณ์เดือดของกลุ่มเอ็นจีโอไล่ล้มเวทีประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติในหลายจังหวัด
ขัดขวางไม่ให้แก้กฎหมายโครงการบัตรทอง
หรือประเด็นการใช้มาตรา 44 เร่งเครื่องโครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-นครราชสีมา ก็ถูกท้วงติงจากฝั่งนักการเมือง นักวิชาการ กลุ่มวิศวกร และสถาปนิก ส่งเสียงคัดค้านในทำนองเอื้อประโยชน์ให้จีนมากเกินเหตุ
เรียกร้องให้ “บิ๊กตู่” ทบทวนโครงการรถไฟไทย-จีนใหม่
แม้แต่อดีต รมว.คลัง ที่เคยร่วมทีมเรือแป๊ะอย่าง “สมหมาย ภาษี” ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดต้องใช้ช่องทางอำนาจพิเศษมาขับเคลื่อนโครงการแทนการใช้ช่องทางปกติ
ไล่เรียงไปถึงปัญหาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ อาทิ ยางพารา กดดันให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาอยู่ในเวลานี้
และสดๆร้อนๆ กับฉากดราม่าของ “อดีตนายกฯปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โชว์ซีนน้ำตานองหน้ารับวันเกิดกลางวัดสระเกศ ระบายความอัดอั้นตันใจที่ถูกกดดันจากการต่อสู้คดีโครงการรับจำนำข้าว
ออกอาการขาสั่น เมื่อใกล้ถึงวันชี้ชะตาตัดสินคดีจำนำข้าวในปลายปี 2560
แต่อีกทางก็เป็นเหลี่ยมบิ๊วต์อารมณ์แฟนคลับให้ฮึกเหิมตั้งแต่เนิ่นๆ ตามปฏิกิริยาของกลุ่มแม่ยกที่รีบยกพลไปให้กำลังใจ ตะโกนปลุกใจให้ “อดีตนายกฯปู” ถึงบ้านพักซอยโยธินพัฒนา 3
ได้เช็กเรตติ้ง รู้ยอดกองหนุน ส่งสัญญาณเตือนว่า ยังมีไพร่พลอยู่ในหน้าตัก
แต่ละเรื่องถูกเขี่ยหัวเชื้อ รอการขยายผลให้พร้อมลุกโชนได้ทุกขณะ
ปมอันตรายยังอยู่รายล้อมรอบตัว “บิ๊กตู่” ที่ต้องเร่งเครื่องสร้างความเข้าใจ
ยังไม่รวมกับบรรยากาศร่างกฎหมายลูกสำคัญ 2 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ยังมีปัญหาไม่สะเด็ดน้ำ
เผยให้เห็นอาการไม่ลงรอยกันระหว่าง กกต. สนช. และ กรธ.
หันมาเป็นคู่ขัดแย้งให้ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด
ปมงัดข้อทั้งเรื่อง “เซ็ตซีโร่” และ “ไพรมารีโหวต” ยังฝุ่นตลบ ส่อเค้าได้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ทบทวนหาข้อยุติกันให้ลงตัว
ขั้นตอนคลอดกฎหมายลูก ถูกทอดเวลายืดเยื้อจนถึงที่สุด แนวโน้มยื้อเลือกตั้งเริ่มเด่นชัดขึ้น
มันก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายการเมืองต้องออกลูกตีโพยตีพาย กรณี
สนช.สอดไส้เพิ่มเติมกติกาในร่างกฎหมายลูกให้มีขั้นตอนสลับซับซ้อนมากกว่าร่างเดิมที่ กรธ.เสนอมา
ตีความขัดแย้งข้อกฎหมายลูกในทำนองแบ่งบทกันเล่น มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ หวังเลื่อนโปรแกรมกาบัตรเลือกตั้ง ต่อโปรโมชั่นคุมเกมอำนาจกันยาวๆ
พอดิบพอดีกับบริบทที่ นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุกันตรงๆ การกุมอำนาจของชนชั้นนำภาครัฐจะรักษาพื้นที่อำนาจต่อไปอีก 10 ปี
เป็นข้อเท็จจริงที่ขั้วอำนาจพิเศษแก้ตัวไม่ได้เต็มปาก ถ้าดูตามกติการัฐธรรมนูญปี 2560 นอกจากสร้างกลไกระบบเลือกตั้งใหม่ สกัดไม่ให้มีพรรคใดได้ครองเสียงข้างมากในสภาฯแบบเด็ดขาดแล้ว
ยังมีออปชั่นพิเศษในบทเฉพาะกาล เปิดช่องให้ ส.ว.สรรหา 250 คน โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรก
แปลความตรงๆคือ ส.ว.สรรหา 250 คน มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯคนนอกได้ 2 สมัย หรือ 8 ปีของรัฐบาลเลือกตั้ง
วางกลไกคุมเกมอำนาจต่อกันยาวๆ ไม่มีที่ว่างให้พรรคการเมืองในห้วงเวลาร่วม 10 ปีหลังจากนี้
ดูตัวเลขช่วงเวลาแล้วก็ไม่ต่างจากที่นายเสกสรรค์คาดการณ์ไว้
ในสถานการณ์ที่ท็อปบูตอ่านเกมขาดว่า โอกาสที่ฝ่ายการเมืองขั้วใหญ่ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” จะจับมือร่วมกันสกัดท็อปบูตไม่ให้ผงาดกลับมาครองอำนาจย่อมเป็นไปได้ยาก
แม้ “บิ๊กตู่” และทีมงานจะออกมาโต้แย้งคลายแรงกดดัน ไม่เคยคิดผูกขาดอำนาจระยะยาว
แต่ดูจากรูปการณ์จะชี้แจงยังไง ก็ทำใจเชื่อลำบาก.
ทีมข่าวการเมือง

โจทย์ "เสกสรรค์" ชี้เป้าแผน "ทหาร" ฮุบ10ปี : การเมืองปฏิรูป ทวงคืนอำนาจ

โจทย์ "เสกสรรค์" ชี้เป้าแผน "ทหาร" ฮุบ10ปี : การเมืองปฏิรูป ทวงคืนอำนาจ

ปฏิทินเข้าสู่ปลายเดือนมิถุนายน กำลังผ่านพ้นครึ่งปีแรก
วันคืนหมุนผ่านไปไว แปรผันตรงกับเงื่อนไขสถานการณ์ที่กระชั้นเข้ามาของคดีสำคัญที่ลุ้นเดิมพันพลิกคว่ำพลิกหงาย ใกล้เวลาชี้เป็นชี้ตายเข้ามาทุกขณะ
ตามฉากบีบคั้นหัวใจกองเชียร์ ยั่วต่อมหมั่นไส้กองแช่ง
กับช็อตที่ “น้องปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลั่งน้ำตานองหน้า ในระหว่างการทำบุญเนื่องในวันเกิดครบรอบ 50 ปี พร้อมตัดพ้อเป็นเชิงน้อยใจ
คนอื่นรอสิ่งดีๆในวันเกิด แต่ตัวเองต้องรอความหวังว่าจะรอดอุปสรรค
โดยอารมณ์บีบคั้น สะท้อนเบื้องลึกในจิตใจ อดีตผู้นำหญิงเริ่มหวั่นไหวกับชะตากรรมตัวเองที่ผูกอยู่กับคดี ปล่อยปละ ละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
ที่กำลังคืบเข้าใกล้จุดไคลแมกซ์ น่าจะรู้ผลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
บท “หญิงแกร่ง” ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าหลั่งน้ำตาปลอบขวัญตัวเอง
แน่นอนปรากฏการณ์ของ “ยิ่งลักษณ์” พูดได้ว่านี่คือเหยื่อของวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดจากการแก่งแย่งอำนาจ ช่วงชิงผลประโยชน์ของนักเลือกตั้งอาชีพ
เล่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่มีใครยอมใคร
มุ่งแต่เอาชนะกัน ไม่สนการเมืองพิกลพิการ การเลือกตั้งพิลึกกึกกือ ได้สภาผู้แทนราษฎรที่ไร้คุณภาพ รัฐบาลที่ขาดประสบการณ์ในเชิงบริหาร ทำให้ประเทศชาติฉิบหายวายป่วง
สุดท้ายก็ต้องรับชะตากรรมกันไป
แต่ในห้วงกระแสน้ำตา “นารีพิฆาต” กระตุกฉากการต่อสู้ทางการเมืองให้กลับมาคุกรุ่น
โดยจังหวะก็พอดีเวียนมาถึงวันที่ 24 มิถุนายน วันเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อ ปี พ.ศ.2475
ครบรอบ 85 ปีเต็มพอดิบพอดี
และก็อย่างที่เห็นๆ แนวโน้มการพัฒนาทางการเมืองของประเทศไทยยังห่างไกลประเทศศิวิไลซ์ ระดับคุณภาพของ “ประชาธิปไตย” ไม่ได้คืบหน้าไปถึงไหน
ยังหลงอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์
ตามสถานการณ์วนซ้ำไปซ้ำมา เดี๋ยวเลือกตั้ง เดี๋ยวปฏิวัติรัฐประหาร เดี๋ยวร่างรัฐธรรมนูญ เดี๋ยวฉีกรัฐธรรมนูญ ผ่าน 20 ฉบับไปแล้ว ทำสถิติประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุดในโลก
เกมอำนาจประเทศไทยกลายเป็นสมบัติผลัดกันชม
สลับฉากกันไปสลับฉากกันมาระหว่างนักการเมืองกับทหาร
แน่นอน ณ วันนี้ ทุกอย่างตกอยู่ในกำมือของฝ่ายท็อปบูต นักการเมืองโดนไล่ไปอยู่ข้างสนาม
โดยเงื่อนสถานการณ์แบบที่ล่าสุด นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และอดีตแกนนำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ถ่ายทอดปรากฏการณ์ทางการเมืองของไทยได้อย่างแจ่มแจ้ง
แสดงมุมมองอย่างตรงไปตรงมาในเหลี่ยมเชิงทางวิชาการ
ฟันธงกันเลยว่า ด้วยเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเรื่องการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วน และบทเฉพาะกาลที่ให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง รวมทั้ง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ
จะทำให้การกุมอำนาจของชนชั้นนำภาครัฐคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 9–10 ปี
และสังเกตว่า งานนี้มีเสียงตอบโต้จาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ปฏิเสธกันแบบเถียงหัวชนฝา
นั่นก็เพราะนายเสกสรรค์ไม่ใช่พวกขาประจำ ไม่มีเหลี่ยมแฝงผลประโยชน์ทางการเมือง
ที่สำคัญด้วยเครดิตของอดีตแกนนำคนเดือนตุลาฯที่ยังรักษาสถานภาพของนักคิดเพื่อมวลมหาประชาชน โดยไม่สนจะเข้ามาเกลือกกลั้วทางการเมือง
การพูดจา บทวิเคราะห์จึงมีน้ำหนัก ทรงพลังให้สังคมเงี่ยหูฟัง
อีกทั้งตามท้องเรื่องที่นายเสกสรรค์ฟันธงว่าชนชั้นนำ โดยทีมงานทหารจะกุมอำนาจยาวอีก 10 ปี ก็ไม่ใช่การใช้อำนาจปลายกระบอกปืนมาบีบบังคับตามฟอร์มเหมือนในอดีต
แต่เป็นการใช้กลไกของรัฐธรรมนูญและแผนยุทธศาสตร์ชาติ
ประกอบกับการพยายามยกระดับระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ผ่านนโยบายสำคัญ 2 ประการ คือ 1.การยกระดับประเทศไทยไปสู่ประเทศรายได้สูง หรือไทยแลนด์ 4.0 และ 2.นโยบายขับเคลื่อนจุดหมายทางเศรษฐกิจด้วยกลไกประชารัฐ
นี่จะเป็นจุดตัดสินสถานการณ์ต้านหรือหนุนรัฐบาลชนชั้นนำ
ซึ่งตามจังหวะที่สอดคล้องกับการสะท้อนปรากฏการณ์ของนายเสกสรรค์ มันก็ล้อต่อเนื่องกันเลยกับจังหวะที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์
เห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ และร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ได้รับการประกาศใช้เป็นกฎหมาย
แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใกล้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
โดยการกำหนดให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน จำนวน 11 ด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านการเมือง 2.ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน 3.ด้านกฎหมาย 4.ด้านกระบวนการยุติธรรม
5.ด้านการศึกษา 6.ด้านเศรษฐกิจ 7.ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 8.ด้านสาธารณสุข 9.ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ 10.ด้านสังคม และ 11.ด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ล็อกเส้นทางปฏิรูปประเทศไทย ไม่มีผลแม้จะเปลี่ยนรัฐบาล
ขณะที่อีกด้านก็เป็นจังหวะการเดินหน้าเสริมฐานความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจ ตามฉากล่าสุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นเวที Thailand’s Big Strategic Move กวักมือเรียกนักลงทุนทั่วโลก
โรดโชว์ทิศทางยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกองทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทย ตามเงื่อนไขจูงใจจากแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ที่จะเป็นแนวทางพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน สร้างฐานในการพัฒนาโดยใช้โมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อก้าวไปสู่อนาคต
แสดงให้เห็นความเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ขายฝันกันลอยๆ
ต่อเนื่องจากการใช้อำนาจมาตรา 44 ผ่าทางตันให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ เดินหน้าเมกะโปรเจกต์รถไฟไทย–จีน รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าอีก 2–3 สาย โครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) หรือการแก้ปมกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก.ในเชิงเศรษฐกิจ
ยังไม่นับสารพัดมาตรการอัดฉีดงบประมาณส่งตรงถึงประชาชนฐานราก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย กระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายใน
ตามยุทธศาสตร์ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ทำให้ประเทศไทยพ้นกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ด้วยการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างคนเมืองกับคนต่างจังหวัด
แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น
อันนำมาซึ่งวิกฤติความแตกแยก
รัฐบาลทหาร คสช.ได้แสดงความจริงใจที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการปฏิรูปอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันก็ยังมีการเตรียมฟื้นโครงการประชุม ครม.สัญจรในต่างจังหวัดที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลทหาร
คสช.กำลังเดินยุทธศาสตร์การตลาดในการชิงมวลชน
สู้กับนักการเมืองที่จ้องแต่ปั่นกระแสเลือกตั้งอยู่ในพื้นที่
เป็นการประคองเวลายื้อสู้กับนักการเมือง เพราะรู้อยู่แก่ใจ ปล่อยเลือกตั้งไปก็เสี่ยง “เสียของ” ซ้ำ
เรื่องของเรื่อง ถึงนาทีนี้ แม้จะยื้อการเลือกตั้งออกไป แต่กระแสก็ยังเลือกอิงอยู่กับทหาร สังคมวางใจ คสช.มากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ทำให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบ ไม่มีม็อบป่วนเมือง
เพราะพฤติกรรมของนักเลือกตั้งที่ทำให้เกิดวิกฤติ เปิดช่องให้ทหารเข้ามา
ว่ากันตามเงื่อนสถานการณ์ตรงหน้าที่ล้อกับมุมมองของนายเสกสรรค์ โอกาสที่ชนชั้นนำจะคุมเกมอำนาจประเทศไทยไปอีก 10 ปี จึงเป็นเรื่องมีที่มาที่ไป และโอกาสความเป็นไปได้สูงมาก
นี่คือโจทย์ยากๆของนักการเมืองจะต้องขบคิดกัน
อันดับแรก ทางเดียวที่ยังพอเห็นโอกาสในการทวงคืนอำนาจ นั่นคือต้องรีบปฏิรูปตัวเองก่อนอื่นใด
นักการเมืองต้องทำให้สังคมเห็นว่า พอฝากผีฝากไข้ได้มากกว่าทหาร
แต่ถ้ายังเป็นประเภทที่แสดงตัวแสดงตนตั้งแต่ไก่โห่ เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างออกนอกหน้า เคลื่อนไหวตั้งพรรคเพื่อเกาะเอวทหารเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หวังแค่เสวยอำนาจและผลประโยชน์
ยอมเป็นแค่ “หางเครื่อง” ตัวประกอบทหาร
ก็ชอบแล้วที่จะโดนดองยาว จน “สูญพันธุ์” ไปตามกาลเวลา.
“ทีมการเมือง”

พรรค คสช"พรรคคืนความสุข"...พรรคทางเลือกที่3!!

"พรรค คสช"พรรคคืนความสุข"...พรรคทางเลือกที่3!!
"‪บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร ยันไม่คิดตั้งพรรคการเมือง แม้ผลโพลล์หนุน คสช.ตั้งพรรค ก็ตาม.. แต่ไม่รู้นายกฯบิ๊กตู่ ว่าไง ให้นักข่าวไปถามเอง ปัดตอบ "น้องตู่"เหมาะเล่นการเมืองมั้ย ชี้เป็นถึงนายกฯคิดเองได้ แต่ไม่ตอบ ข้อดีข้อเสีย การตั้งพรรค หรือ คสช.จะเป็น "พรรคทางเลือกที่3" ของคนไทย....ยันคสช.ยึดโรดแมพ‬ นำไปสู่การเลือกตั้ง

เร่งทำแผนความต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้เสร็จในมิย.นี้

ช๊อปปิ้ง ลิสต์....
"‪โฆษก กห."เผย บิ๊กป้อม สั่งผบ.เหล่าทัพ ในที่ประชุมสภากลาโหม เร่งทำแผนความต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้เสร็จในมิย.นี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้นายกฯไปเยือน USA และพบปธน. Trump กค.นี้ 
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม สั่งการในที่ประชุม ผบ.เหล่าทัพ ให้ จัดทำแผนความต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนากองทัพ โดยเฉพาะ ยุทโธปกรณ์ของสหรัฐอเมริกา ว่า ตัองการอะไร เพื่อที่ นายกฯ ไปเป็นข้อมูล ในการเดินทางไปพบ หารือ กับ ประธานาธิบดี Donald Trump ที่สหรัฐฯ ปลาย กค.นี้ ตามคำเชิญ.
เผื่อว่ามีการหารือเริ่องความร่วมมือเรื่องความร่วมมือทางการทหาร และความช่วยเหลือ ทางการทหาร
พล.ต.คงชีพ เผยว่า ในที่ประชุม พลเอกประวิตร ได้กล่าวถึงการปฏิรูปกองทัพให้มีความทันสมัยโดยพล.อ.ประวิตร ได้ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ เร่งดำเนินการสรุปจำนวนชนิด ยุทโธปกรณ์ ของกองทัพที่มีอยู่
รวมทั้งความต้องการตามที่จำเป็นในการเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพ โดยพิจารณาถึงขีดความสามารถของกองทัพประเทศเพื่อนบ้าน และภัยคุกคามในห้วงระยะเวลาต่างๆในการประกอบการพิจารณา และให้ดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้
โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและกองบัญชาการกองทัพไทย ประสานการปฏิบัติร่วมกัน ในการจัดทำข้อมูล
ทั้งนี้ พล.ต.ประวิตร ได้ระบุว่า การปรับโครงสร้างของกองทัพกำหนดให้เป็นนโยบายของกระทรวงกลาโหม ให้กองทัพปฏิรูปทั้งโครงสร้าง รวมถึงการจัดหน่วยการบริหารจัดการและพัฒนากำลังพลยุทโธปกรณ์ให้มีความคล่องตัวเหมาะสมกับการปฏิบัติภารกิจที่หลากหลาย
โดยมีความคืบหน้า คือได้มีการทบทวน สภาพแวดล้อมของความมั่นคงและจัดทำยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหมเสร็จสิ้นแล้วและมีการกำหนดวิสัยทัศน์ การเป็นกองทัพชั้นนำ มีบทบาทด้านความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งส่งเสริมความมั่นคงของภูมิภาค พร้อมทั้งกำหนดการเตรียมกำลังและใช้กำลัง

นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมข้อมูลส่งไปให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ตามคำเชิญของ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระทรวงกลาโหม โดยเหล่าทัพจะสำรวจข้อมูลยุทโธปกรณ์ว่าทางสหรัฐฯ สนับสนุนช่วยเหลืออะไรเรามาในอดีต และเราต้องการอะไรที่สนับสนุนช่วยเหลือเพิ่มเติมเข้าไป ซึ่งจะดำเนินการไปในคราวเดียวกัน ทั้งยุทโธปกรณ์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ ความจริงประสิทธิภาพของอาวุธสหรัฐฯ ดีมาก
แต่บางอย่างก็ไม่ขาย บางอย่างให้เปล่า เช่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะให้มาในโครงการความร่วมมือ ความช่วยเหลือทางทหาร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็อยู่ในแผนพัฒนาขีดความสามารถกองทัพอยู่แล้ว
แต่ที่ นายกฯ จะไปสหรัฐฯ เราก็จะแยกว่าส่วนที่มีอยู่คืออะไร และ ส่วนที่จะได้คืออะไร อย่างกองทัพบก มีทั้ง เฮลิคอปเตอร์ ชีนุก ฮ.โจมตีCobra และ ฮ.Black hawk ก็ต้องคุยทั้งในเรื่องส่งกำลังบำรุงและ อะไหล่ เพราะยุทโธปกรณ์บางประเภทไม่มีอะไหล่ ก็ไม่สามารถใช้ได้ ทั้งที่ราคาแพง ทำให้ความมั่นคงไม่ค่อยมี เพราะสหรัฐฯ ก็มีเงื่อนไขค่อนข้างมาก

“ตอนนี้เราเลยต้องถ่วงดุลย์ และไปซื้ออาวุธจากจีน เราก็นำปัญหาที่คุยกับสหรัฐฯ มาคุยกับจีน ว่าต่อไปการซ่อมบำรุงจะมี อะไหล่ให้เรามากน้อยแค่ไหน จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เราหรือไม่ เราคุยผ่านทูตสหรัฐฯไปแล้วว่าเราอยากได้อาวุธของเขา เราก็จะดูความร่วมมือในการจัดหาร่วมกัน เพราะสหรัฐฯ กับไทย เป็นพันธมิตรร่วมกันมาช้านาน โครงสร้างการจัดหน่วยของไทย หลักนิยม ก็เป็นของสหรัฐฯ