PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

โจทย์ "เสกสรรค์" ชี้เป้าแผน "ทหาร" ฮุบ10ปี : การเมืองปฏิรูป ทวงคืนอำนาจ

โจทย์ "เสกสรรค์" ชี้เป้าแผน "ทหาร" ฮุบ10ปี : การเมืองปฏิรูป ทวงคืนอำนาจ

ปฏิทินเข้าสู่ปลายเดือนมิถุนายน กำลังผ่านพ้นครึ่งปีแรก
วันคืนหมุนผ่านไปไว แปรผันตรงกับเงื่อนไขสถานการณ์ที่กระชั้นเข้ามาของคดีสำคัญที่ลุ้นเดิมพันพลิกคว่ำพลิกหงาย ใกล้เวลาชี้เป็นชี้ตายเข้ามาทุกขณะ
ตามฉากบีบคั้นหัวใจกองเชียร์ ยั่วต่อมหมั่นไส้กองแช่ง
กับช็อตที่ “น้องปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลั่งน้ำตานองหน้า ในระหว่างการทำบุญเนื่องในวันเกิดครบรอบ 50 ปี พร้อมตัดพ้อเป็นเชิงน้อยใจ
คนอื่นรอสิ่งดีๆในวันเกิด แต่ตัวเองต้องรอความหวังว่าจะรอดอุปสรรค
โดยอารมณ์บีบคั้น สะท้อนเบื้องลึกในจิตใจ อดีตผู้นำหญิงเริ่มหวั่นไหวกับชะตากรรมตัวเองที่ผูกอยู่กับคดี ปล่อยปละ ละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
ที่กำลังคืบเข้าใกล้จุดไคลแมกซ์ น่าจะรู้ผลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
บท “หญิงแกร่ง” ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าหลั่งน้ำตาปลอบขวัญตัวเอง
แน่นอนปรากฏการณ์ของ “ยิ่งลักษณ์” พูดได้ว่านี่คือเหยื่อของวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดจากการแก่งแย่งอำนาจ ช่วงชิงผลประโยชน์ของนักเลือกตั้งอาชีพ
เล่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่มีใครยอมใคร
มุ่งแต่เอาชนะกัน ไม่สนการเมืองพิกลพิการ การเลือกตั้งพิลึกกึกกือ ได้สภาผู้แทนราษฎรที่ไร้คุณภาพ รัฐบาลที่ขาดประสบการณ์ในเชิงบริหาร ทำให้ประเทศชาติฉิบหายวายป่วง
สุดท้ายก็ต้องรับชะตากรรมกันไป
แต่ในห้วงกระแสน้ำตา “นารีพิฆาต” กระตุกฉากการต่อสู้ทางการเมืองให้กลับมาคุกรุ่น
โดยจังหวะก็พอดีเวียนมาถึงวันที่ 24 มิถุนายน วันเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อ ปี พ.ศ.2475
ครบรอบ 85 ปีเต็มพอดิบพอดี
และก็อย่างที่เห็นๆ แนวโน้มการพัฒนาทางการเมืองของประเทศไทยยังห่างไกลประเทศศิวิไลซ์ ระดับคุณภาพของ “ประชาธิปไตย” ไม่ได้คืบหน้าไปถึงไหน
ยังหลงอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์
ตามสถานการณ์วนซ้ำไปซ้ำมา เดี๋ยวเลือกตั้ง เดี๋ยวปฏิวัติรัฐประหาร เดี๋ยวร่างรัฐธรรมนูญ เดี๋ยวฉีกรัฐธรรมนูญ ผ่าน 20 ฉบับไปแล้ว ทำสถิติประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุดในโลก
เกมอำนาจประเทศไทยกลายเป็นสมบัติผลัดกันชม
สลับฉากกันไปสลับฉากกันมาระหว่างนักการเมืองกับทหาร
แน่นอน ณ วันนี้ ทุกอย่างตกอยู่ในกำมือของฝ่ายท็อปบูต นักการเมืองโดนไล่ไปอยู่ข้างสนาม
โดยเงื่อนสถานการณ์แบบที่ล่าสุด นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และอดีตแกนนำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ถ่ายทอดปรากฏการณ์ทางการเมืองของไทยได้อย่างแจ่มแจ้ง
แสดงมุมมองอย่างตรงไปตรงมาในเหลี่ยมเชิงทางวิชาการ
ฟันธงกันเลยว่า ด้วยเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเรื่องการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วน และบทเฉพาะกาลที่ให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง รวมทั้ง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ
จะทำให้การกุมอำนาจของชนชั้นนำภาครัฐคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 9–10 ปี
และสังเกตว่า งานนี้มีเสียงตอบโต้จาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ปฏิเสธกันแบบเถียงหัวชนฝา
นั่นก็เพราะนายเสกสรรค์ไม่ใช่พวกขาประจำ ไม่มีเหลี่ยมแฝงผลประโยชน์ทางการเมือง
ที่สำคัญด้วยเครดิตของอดีตแกนนำคนเดือนตุลาฯที่ยังรักษาสถานภาพของนักคิดเพื่อมวลมหาประชาชน โดยไม่สนจะเข้ามาเกลือกกลั้วทางการเมือง
การพูดจา บทวิเคราะห์จึงมีน้ำหนัก ทรงพลังให้สังคมเงี่ยหูฟัง
อีกทั้งตามท้องเรื่องที่นายเสกสรรค์ฟันธงว่าชนชั้นนำ โดยทีมงานทหารจะกุมอำนาจยาวอีก 10 ปี ก็ไม่ใช่การใช้อำนาจปลายกระบอกปืนมาบีบบังคับตามฟอร์มเหมือนในอดีต
แต่เป็นการใช้กลไกของรัฐธรรมนูญและแผนยุทธศาสตร์ชาติ
ประกอบกับการพยายามยกระดับระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ผ่านนโยบายสำคัญ 2 ประการ คือ 1.การยกระดับประเทศไทยไปสู่ประเทศรายได้สูง หรือไทยแลนด์ 4.0 และ 2.นโยบายขับเคลื่อนจุดหมายทางเศรษฐกิจด้วยกลไกประชารัฐ
นี่จะเป็นจุดตัดสินสถานการณ์ต้านหรือหนุนรัฐบาลชนชั้นนำ
ซึ่งตามจังหวะที่สอดคล้องกับการสะท้อนปรากฏการณ์ของนายเสกสรรค์ มันก็ล้อต่อเนื่องกันเลยกับจังหวะที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์
เห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ และร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ได้รับการประกาศใช้เป็นกฎหมาย
แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใกล้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
โดยการกำหนดให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน จำนวน 11 ด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านการเมือง 2.ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน 3.ด้านกฎหมาย 4.ด้านกระบวนการยุติธรรม
5.ด้านการศึกษา 6.ด้านเศรษฐกิจ 7.ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 8.ด้านสาธารณสุข 9.ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ 10.ด้านสังคม และ 11.ด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ล็อกเส้นทางปฏิรูปประเทศไทย ไม่มีผลแม้จะเปลี่ยนรัฐบาล
ขณะที่อีกด้านก็เป็นจังหวะการเดินหน้าเสริมฐานความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจ ตามฉากล่าสุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นเวที Thailand’s Big Strategic Move กวักมือเรียกนักลงทุนทั่วโลก
โรดโชว์ทิศทางยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกองทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทย ตามเงื่อนไขจูงใจจากแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ที่จะเป็นแนวทางพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน สร้างฐานในการพัฒนาโดยใช้โมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อก้าวไปสู่อนาคต
แสดงให้เห็นความเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ขายฝันกันลอยๆ
ต่อเนื่องจากการใช้อำนาจมาตรา 44 ผ่าทางตันให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ เดินหน้าเมกะโปรเจกต์รถไฟไทย–จีน รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าอีก 2–3 สาย โครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) หรือการแก้ปมกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก.ในเชิงเศรษฐกิจ
ยังไม่นับสารพัดมาตรการอัดฉีดงบประมาณส่งตรงถึงประชาชนฐานราก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย กระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายใน
ตามยุทธศาสตร์ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ทำให้ประเทศไทยพ้นกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ด้วยการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างคนเมืองกับคนต่างจังหวัด
แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น
อันนำมาซึ่งวิกฤติความแตกแยก
รัฐบาลทหาร คสช.ได้แสดงความจริงใจที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการปฏิรูปอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันก็ยังมีการเตรียมฟื้นโครงการประชุม ครม.สัญจรในต่างจังหวัดที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลทหาร
คสช.กำลังเดินยุทธศาสตร์การตลาดในการชิงมวลชน
สู้กับนักการเมืองที่จ้องแต่ปั่นกระแสเลือกตั้งอยู่ในพื้นที่
เป็นการประคองเวลายื้อสู้กับนักการเมือง เพราะรู้อยู่แก่ใจ ปล่อยเลือกตั้งไปก็เสี่ยง “เสียของ” ซ้ำ
เรื่องของเรื่อง ถึงนาทีนี้ แม้จะยื้อการเลือกตั้งออกไป แต่กระแสก็ยังเลือกอิงอยู่กับทหาร สังคมวางใจ คสช.มากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ทำให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบ ไม่มีม็อบป่วนเมือง
เพราะพฤติกรรมของนักเลือกตั้งที่ทำให้เกิดวิกฤติ เปิดช่องให้ทหารเข้ามา
ว่ากันตามเงื่อนสถานการณ์ตรงหน้าที่ล้อกับมุมมองของนายเสกสรรค์ โอกาสที่ชนชั้นนำจะคุมเกมอำนาจประเทศไทยไปอีก 10 ปี จึงเป็นเรื่องมีที่มาที่ไป และโอกาสความเป็นไปได้สูงมาก
นี่คือโจทย์ยากๆของนักการเมืองจะต้องขบคิดกัน
อันดับแรก ทางเดียวที่ยังพอเห็นโอกาสในการทวงคืนอำนาจ นั่นคือต้องรีบปฏิรูปตัวเองก่อนอื่นใด
นักการเมืองต้องทำให้สังคมเห็นว่า พอฝากผีฝากไข้ได้มากกว่าทหาร
แต่ถ้ายังเป็นประเภทที่แสดงตัวแสดงตนตั้งแต่ไก่โห่ เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างออกนอกหน้า เคลื่อนไหวตั้งพรรคเพื่อเกาะเอวทหารเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หวังแค่เสวยอำนาจและผลประโยชน์
ยอมเป็นแค่ “หางเครื่อง” ตัวประกอบทหาร
ก็ชอบแล้วที่จะโดนดองยาว จน “สูญพันธุ์” ไปตามกาลเวลา.
“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: