PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ด้วยรักและห่วงใยจาก′พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล′ถึง′บิ๊กตู่′เตือนอันตรายลองดีกับสิ่งที่ไม่รู้ซึ้ง


http://www.matichon.co.th/online/2015/05/14314815501431481729l.jpg


นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล วันที่ 12 พฤษภาคมว่า

(1) ทนายวันชัย(วันชัย สอนศิริ) ยกเหตุผล 5 ข้อ เชียร์บิ๊กตู่อยู่ต่อ 2 ปี
 
(2) บิ๊กตู่(พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ลั่น ขายสลาก 80 บาท งวด16 มิ.ย.ลั่นทำไม่ได้เลิก

ลำพังนายวันชัยพูดอะไรไม่มีความสำคัญอะไรนักเพราะรู้ดีว่าเขามีปัญญาคิดได้เพียงแค่นี้เพื่อให้ตัวเองได้ยืดการอยู่ในตำแหน่งลากตั้งออกไปได้2ปีด้วย

แต่สำหรับคำประกาศบิ๊กตู่เนื่องจากอาจกระทบงปม.รายได้ของรัฐเป็นส่วนรวมจึงช่วยคำนวณให้ดังนี้

สลากฯทั้งสิ้น74,000,000ล้านฉบับ ราคาฉบับละ40บาท หรือ37,000,000 ล้านคู่ ราคาคู่ละ80บาท (40บาทเรียกเล่มเล็ก 80บาทเรียกเล่มใหญ่) ทุกงวดสนง.สลากจะตัดขายทั้งหมด ไม่รับคืน เป็นมูลค่าตามหน้าสลากทั้งหมดงวดละ  2,960,000,000 ล้านบาท

แบ่งเป็นเงินรางวัล 60% ค่าบริหารและจัดจำหน่าย 12% รายได้แก่รัฐ 28% คิดเป็นรายได้แก่รัฐ งวดละ 828,800,000 บาท เดือนละ 1,657,600.000 บาท ปีละ 19,891,200,000 บาท

หากงวดวันที่ 16 มิถุนายน ไม่สามาถคุมราคา คู่ละ 80 บาทได้ อาจหยุดออกสลากชั่วคราว จะหยุดเป็นเดือน หรือเป็นปี หรือตลอดไปไม่ระบุ

โดยอำนาจในมือ ท่านอาจทำได้ และต้องขอภาวนาให้ท่านทำได้ มิฉะนั้น นอกจากความเดือดร้อนของผู้ค้าสลาก รายย่อยทั่วประเทศประมาณ 5 แสนคนแล้ว

ความเสียหายในเชิงรายได้ของรัฐ งวดละ 828,800,000 บาท เดือนละ 1,657,600,000 บาท ปีละ 19,891,200,000 บาท รวมทั้งสลากการกุศลที่จะต้องออกให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่ค้างอยู่หลายหมื่นล้านบาท จะทำอย่างไร

การลองดีกับสิ่งที่ยังไม่รู้ซึ้ง เป็นอันตรายจริงๆครับ

ด้วยความรักและห่วงใยต่อท่านผู้นำจริงๆ

พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล

12 พ.ค. 2558

สงครามกำลังมา ?

1. สงครามกำลังมา
หนังสือพิมพ์The Wall Street Journal ฉบับวันที่12 พฤษภาคม 2015พาดหัวข่าวว่า สหรัฐอาจจะใช้กำลังทางทหารเพื่อเผชิญหน้ากับจีนในหมู่เกาะแสปรตลี่ย์ในทะเลจีนใต้
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดนี้จนได้
ประธานาธิบดีโอบามา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพได้หงายไพ่ออกมาแล้วว่า จะใช้กำลังทางทหารเพื่อสกัดจีนไม่ให้มาเป็นคู่แข่งความเป็นมหาอำนาจ
สหรัฐยอมไม่ได้ที่จะเห็นจีนลอยค่าเงินหยวนในปลายปีนี้เพื่อเทียบบารมีเงินดอลล่าร์ อันเห็นได้จากความสำเร็จของจีนในการเปิดตัวธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย (Asia Infrastructure Investment Bank) โดยสามารถดึงดูดเอาชาติต่างๆเข้าร่วมถึง57ประเทศ ทำให้สหรัฐรู้ตัวดีว่าอำนาจทางทางเงินของสหรัฐกำลังเสื่อมลง
ในเมื่อแพ้เกมเศรษฐกิจและการเงินแล้ว สหรัฐหันมาใช้เกมสงครามเพื่อสกัดจีนไม่ให้มาเทียบบารมีได้
คล้อยหลังจากเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการของนายซินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Wall Street Journalรายงานว่านายAsh Carter รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐได้ระดมสมองและวางแผนทางยุทธศาสตร์กับฝ่ายเสนาธิการของเพนตากอนเพื่อส่งเครื่องบินรบและกองทัพเรือไปยังทะเลจีนใต้เพื่อสกัดไม่ให้จีนสามารถอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ได้
บริเวณหมู่เกาะแสปรตลีย์ในทะเลจีนใต้กำลังจะมีความตรึงเครียดทางทหารมากยิ่งขึ้น เพราะว่าทั้งจีน เวียดนามและฟิลิปปินส์ต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเหล่านี้มาเป็นเวลาช้านานแล้ว สหรัฐได้ทีที่ภูมิภาคนี้มีความขัดแย้งกันจึงเข้ามาเสี้ยม โดยคอยหนุนเวียดนามและฟิลิปปินส์ให้เผชิญหน้ากับจีนมาตลอด
แต่มาถึงจุดนี้แล้ว สหรัฐแบไต๋ออกมาแล้วมา จะไม่อยู่ข้างหลังเวียดนามและฟิลิปปินส์อีกต่อไป แต่จะมาเอง
นายขี้เถ้า คาร์เตอร์ได้ให้เสนาธิการของเพนตากอนพิจารณาทางเลือกที่สะส่งเครื่องบินรบและเรือรบของสหรัฐได้เผชิญหน้ากับจีนเลยที่หมู่เกาะแสปตลี่ย์ โดยที่เครื่องบินรบของสหรัฐจะบินลาดตระเวณเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์และเรือรบสหรัฐจะจอดหรือป้วนเปี้ยนบริิเวณ12ไมล์ทะเลห่างจากแนวหะการังของหมู่เกาะ
จีนได้ดำเนินการสร้างสิ่งปลูกสร้างบนเกาะสแปรตลี่ย์ เพื่ออ้างความเป็นเจ้าของ ทั้งเวียดนามและฟิลิปิินส์ได้ทักท้วงอย่างหนัก และมีการเผชิญหน้ากันระหว่างกองทัพเรือของฟิลิปปินส์และจีนเป็นระยะๆ แต่ข่าวไม่ได้เปิดเปยอย่างเป็นทางการ
หลังจากสรุปแผนการส่งทหารไปทะเลจีนใต้แล้ว นายขี้เถ้า คาร์เตอร์จะขออนุมัติจากทำเนียบขาวเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อที่จะส่งสัญญานให้จีนได้รู้ว่า สหรัฐจะไม่ยอมให้จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ได้ โดยที่สหรัฐจะถือว่าหมู่เกาะในทะเลจีนใต้เป็นเขตน่านน้ำและเขตอากาศสากล ใครจะไปมาอย่างไรก็ได้
สหรัฐกำลังจะบอกว่าที่จีนกำลังสร้างสิ่งปลูกสร้างบนเกาะแสปรตลีย์เป็นเรื่องผิดกฎหมายสากล
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทั้งเครื่องบินรบและเรือรบของสหรัฐได้มาลาดตระเวณบริเวณหมู่เกาะทะเลจีนใต้แล้ว โดยยังไม่ล่วงล้ำเข้าไปในเขต12ไมล์ทะเล และทุกครั้งทางทหารจีนจะส่งสัญญานวิทยุเตือนว่า อย่าได้รุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของจีนเป็นอันขาด แต่ทางทหารสหรัฐโต้ตอบว่ากำลังปฏิบัติการเหนือน่านน้ำสากล หรือน่านอากาศสากล
ขณะนี้เรือรบสหรัฐ USS Fort Worthกำลังปฏิบัติการในทะเลใกล้หมู่เกาะสแปรตลีย์
thanong
13/5/2015

อนุ ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อหา"บิ๊กตุลาการศาล ปค.สูงสุด" คดีเปลี่ยนองค์คณะปราสาทพระวิหาร

อนุ ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อหา"บิ๊กตุลาการศาล ปค.สูงสุด" คดีเปลี่ยนองค์คณะปราสาทพระวิหาร

หลังสอบสวนนานกว่า 4 ปี อนุกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเรียก อดีตตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดแจ้ง-ชี้แจงข้อกล่าวหา กรณีเปลี่ยนองค์คณะพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย"อักขราทร จุฬารัตน"รอด
EyWwB5WU57MYnKOvYhK81vSg0HopFTCn18eeCtZUeGDQUwoWs7zW50
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เปิดเผย สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงความคืบหน้าในการไต่สวนกรณีมีการกล่าวหา นายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุดและและนายจรัญ หัตถกรรม อดีตหัวหน้าคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดว่า ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดในการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร  ว่า อนุกรรมการไต่สวนคดีดังกล่าวซึ่งมีนายวิชัย วิวิตเสวี เป็นประธาน มีมติให้เรียกนายจรัญ หัตถกรรม มีรับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหาเพียงคนเดียว หลังจากที่ใช้เวลาในการไต่สวนนานกว่า 4 ปี นับแต่ ป.ป.ช.มีมติรับเรื่องร้องเรียนเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ส่วนนายอักขราทร จุฬารัตน ยังไม่มีพยานหลักฐานว่า มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาเพราะเป็นเพียงผู้รับสำนวนคืนจากนายจรัญ หลังจากที่นายจรัญสละสำนวนการพิจารณาคดีดังกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่า คำชี้แจงของนายจรัญพาดพิงถึงใครว่า มีส่วนร่วมหรือสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนองค์คณะในการพิจารณาคดีดังกล่าวด้วยหรือไม่ และการเปลี่ยนองค์คณะดังกล่าวเป็นไปโดยชอบตามระเบียบหรือกฎหมายหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีดังกล่าว คณะผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมในศาลปกครองทำหนังสือร้องเรียนประธาน ป.ป.ช.ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2553 ว่ามีการเปลี่ยนองค์คณะพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารโดยมิชอบด้วยกฎหมายจากคณะที่ 2 ซึ่งมีนายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะ มาเป็นคณะพิเศษ(คณะที่ 1)ที่มีนายอัขราทร เป็นหัวหน้าคณะ โดยคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของประเทศกัมพูชา
แต่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ยื่นฟ้อง ครม.นายสมัครและกระทรวงการต่างประเทศต่อศาลปกครองกลางเพื่อให้เพิกถอนมติ ครม.ที่สนับสนุนให้มีการออกแถลงการณ์สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมิให้นำมติ ครม.ไปดำเนินการใดๆ
ครม.นายสมัคร จึงอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งครั้งแรก(วันที่ 1 สิงหาคม 2551) นายอัขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด(ขณะนั้น)ได้สั่งให้จ่ายสำนวนให้แก่องค์คณะศาลปกครองสูงสุดคณะที่ 2 ซึ่งที่มีนายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะและเป็นเจ้าของสำนวน องค์คณะอีก 4 คนประกอบด้วย นายชาญชัย แสวงศักดิ์, นายเกษม คมสัตย์ธรรม, นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์
แต่ ในวันที 13 สิงหาคม 2551 นายจรัญได้ทำบันทึกส่งคืนสำนวน(สละสำนวน)ให้แก่นายอักขราทรโดยอ้างว่า ตนมีคดีค้างพิจารณาเป็นจำนวนมาก อาจทำให้การพิจารณาล่าช้า ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง มาตรา 56(3) ทั้งๆที่องค์คณะที่มีนายจรัญ เป็นหัวหน้าคณะได้มีมติไม่รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ดังนั้นการสละสำนวนของนายจรัญ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จากนั้น นายอักขราทรได้สั่งให้จ่ายสำนวนให้แก่คณะที่ 1 (มีตุลการจำนวน 7 คนประกอบด้วย มี ประธานศาลปกครองสูงสุด และตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด เป็นองค์คณะ)มีนายอักขราทรเป็นหัวหน้าคณะ ปรากฏว่า องค์คณะที่ 1 มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผลของการพิจารณาคดีแตกต่างไปจากคณะของนายจรัญ
ผู้สื่อข่าวรายงาน จากการไต่สวนของอนุกรรมการไต่สวน มีพยานหลักฐานว่า หลังจากที่นายอัขราทรสั่งจ่ายสำนวนคดีปราสาทพระวิหารครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ให้แก่องค์คณะที่ 2 ซึ่งมี่นายจรัญ เป็นหัวหน้าคณะแล้ว นายจรัญได้มอบหมายให้นายชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลการศาลปกครองสูงสุด พิจารณาความเห็นเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหารประกอบการพิจารณาขององค์คณะที่ 2 จนกระทั่งองค์คณะมีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้กลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง ไม่รับคดีไว้พิจารณา โดยฝ่ายเสียงข้างมากได้แก่ นายชาญชัย แสวงศักดิ์ นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์
ขณะที่ยังไม่ลงนามในคำสั่งครบทั้งองค์คณะ ก็มีคำสั่งเปลี่ยนมาใช้องค์คณะฯที่ 1 ซึ่งมีนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดขณะนั้น เป็นหัวหน้าคณะเป็นผู้พิจารณาแทน และมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2551 ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง
ประเด็นที่ อนุกรรมการไต่สวนพิจารณาคือ การสละหรือการคืนสำนวนของนายจรัญทั้งๆที่มีการลงมติแล้ว น่าจะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะองค์คณะมีการพิจารณาคดีนี้ไปแล้ว การสละสำนวนจึงไม่สามารถทำได้น่าจะเป้นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มาตรา 56 ที่ระบุว่า ต้องจ่ายสำนวนตามความเชี่ยวชาญขององค์คณะ และ/หรือแบ่งตามพื้นที่ความรับผิดชอบขององค์คณะ และ/หรือ จ่ายสำนวนโดยไม่อาจคาดหมายได้ล่วงหน้า เมื่อจ่ายสำนวนแล้ว ห้ามเรียกคืนหรือโอนสำนวน เว้นแต่ทำตาม
1.ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เช่น เมื่อปรากฏเหตุใดๆ ที่กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม
2.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะถูกคัดค้าน
3.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะ มีคดีค้างจำนวนมาก อาจทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า

"อมรินทร์"กระอัก! ขาดทุนไตรมาสแรก 117 ล้าน คิดเป็น 2,902% เหตุทีวีดิจิตอลถ่วง "โมโน"กอดคอ ติดลบ257%

"อมรินทร์"กระอัก! ขาดทุนไตรมาสแรก 117 ล้าน คิดเป็น 2,902% เหตุทีวีดิจิตอลถ่วง "โมโน"กอดคอ ติดลบ257%

http://www.matichon.co.th/online/2015/05/14315207501431521179l.jpg

นางระริน อุทกะพันธ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พลับลิซซิ่ง จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2558 ต่อกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ว่า ไตรมาสที่ 1/2557 บริษัทขาดทุนสุทธิ 117.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 121.22 ล้านบาท หรือขาดทุนเพิ่มขึ้น 2,902.19% เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายธุรกิจทีวีดิจิตอลของบริษัทย่อยที่เพิ่มขึ้น จากการเริ่มดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2557 ในขณะที่ไตรมาสที่ 1/2557 ไม่มีการดำเนินการในส่วนของธุรกิจทีวีดิจิตอลของบริษัทย่อย จึงทำให้งบการเงินบริษัทมีผลขาดทุน
นอกจากนี้ บริษัทมีต้นทุนการขายและบริการเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 155.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 53.78% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 20.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.79% มาจากดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายในธุรกิจทีวีในระบบดิจิตอลที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 1/2558 บริษัทมีรายได้รวม 402.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 20.57 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.39% จากงานรายได้รับจ้างพิมพ์เพิ่มขึ้น 14.27% รายได้จากการรับจ้างทำเว็บไซต์ลดลง 60.09%ดอกเบี้ยรับลดลง 39.91% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ด้านนายซัง โด ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) แจ้งผลการดำเนินงานต่อกรรมการและผุ้จัดการ ตลท. ว่า ในไตรมาสที่ 1/2558 บริษัทขาดทุนสุทธิ 68.05 ล้านบาท จากไตรมาสที่ 1/2557 มีกำไร 43.19 ล้านบาท หรือมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน 111.24 ล้านบาท คิดเป็น 257.56% ซึ่งมีสาเหตุจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และค่าใช้จ่ายในการซื้อเนื้อหาเพิ่มขึ้นจากการลงทุนและขยายตัวของธุรกิจทีวีดิจิตอล ซึ่งในไตรมาสที่ 1/2557 บริษัทยังไม่ได้ประกอบธุรกิจดังกล่าว

ทั้งนี้  รายได้จากการให้บริการสื่อโฆษณาในไตรมาสที่ 1/2558 ทำได้ 147.87 ล้านบาทเมื่อเทียบกับรายได้จากการให้บริการสื่อโฆษณาในไตรมาสที่ 1/2557 ที่มีรายได้เพียง 36.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 111.78 ล้านบาท คิดเป็น 309.73 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4/2557 22.90 ล้านบาท คิดเป็น 18.32% เนื่องจากการเติบโจของธุรกิจทีวีดิจิตอลของสถานีโทรทัศน์ช่อง Mono 29 เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้น

ด้านนายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ประเมินกำไรของกลุ่มสื่อธุรกิจทีวีดิจิตอล แต่ภาพรวมมองว่าในไตรมาสที่ 1/2558 กำไรสุทธิของกลุ่มจะออกมาไม่ดีเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพราะเม็ดเงินโฆษณายังลดลงต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ผู้ประกอบการจะดึงเม็ดเงินโฆษณาเข้าช่องได้อย่างไร  

อย่างไรก็ตาม จากการเข้าพบผู้บริหารทราบว่าทุกรายประเมินว่าในปี 2558 จะเริ่มมีกำไรบนพื้นฐานว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และต้องติดตามการเลื่อนจ่ายค่าประมูลทีวีดิจิตอล หากเลื่อนออกไปจะทำให้ทุกบริษัทมีกระแสเงินสดเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้หน่วยงานรัฐอาจไม่คุ้มค่า


สำหรับหุ้นกลุ่มสื่อสารที่เด่นที่สุดยังแนะนำบริษัทเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) แม้ว่าในไตรมาสที่ 1 คาดว่าอาจทำกำไรเพียง 8.20 ล้านบาท ดีกว่าไตรมาสที่ 1/2557 ที่ขาดทุน1 ล้านบาท และไตรมาสที่ 4/2557 ที่ขาดทุน 17.70 ล้านบาท

แต่เพราะเรทติ้งที่ดีแซงช่อง 5 และ9 รวมทั้งปรับขึ้นอัตราโฆษณาจาก1.3 หมื่นบาทต่อนาที เป็นกว่า 3 หมื่นบาทต่อนาที จึงคาดว่าในไตรมาสที่ 2/2558 กำไรจะกลับมาโตก้าวกระโดดส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง

รำลึกเสธแดงถูกปลิดชีพ5ปี

วันนี้(13พ.ค.2558) ยังคงมีการจัดพิธีรำลึกการเสียชีวิตของ"พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล"หรือเสธแดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่บริเวณแยกศาลาแดงช่วงค่ำที่ผ่านมา นำโดย ลูกสาวของเสธแดง เดียร์ ขัตติยา สวัสดิผล

โอกาสนี้ เลยนำบทความที่ไทยรัฐเคยรายงานไว้เมื่อปีก่อนมาแปะไว้ประกอบ
////////////

ย้อนรอย กระสุนสั่งตายปลิดชีพ ‘เสธ.แดง’ ใครคือผู้บงการ?

โดย พลิกแฟ้มอาชญากรรม 15 พ.ค. 2557 05:30

ผ่านมาแล้ว 4 ปีเต็ม ที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ถูกมือปืนลอบสังหารขณะอยู่ใจกลางฐานที่มั่นของกลุ่มคนเสื้อแดง ภายหลัง “ศอฉ.” ประกาศใช้มาตรการปิดล้อมพื้นที่การชุมนุม แต่จนบัดนี้เจ้าหน้าที่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนา กับข้อสงสัยที่ว่า มือปืนเป็นใคร? วางแผนมานานแค่ไหน? และคำถามสำคัญที่สุด...
ใครคือคนสั่งฆ่า"เสธ.แดง" ?
เป็นที่รู้กันว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก จัดเป็นแกนนำฝั่งฮาร์ดคอของกลุ่มคนเสื้อแดง ผู้ซึ่งสร้างศัตรูไว้ทุกหนแห่ง ไม่ยกเว้นกระทั่งกับกองทัพและกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเอง และด้วยความที่ "เสธ.แดง" ไม่เคยกลัวใครอย่างนี้ เหตุจูงใจในการสังหารหรือผู้ที่อาจเกี่ยวข้องกับแผนการจึงเป็นไปได้หลายแนวทาง ….
หากย้อนกลับไปดูรายละเอียดของนาทีสังหาร เริ่มต้นจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ประกาศใช้มาตรการปิดล้อมพื้นที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 โดยการตัดน้ำตัดไฟฟ้า งดบริการขนส่งสาธารณะ และห้ามผู้ชุมนุมเข้าไปในพื้นที่โดยเด็ดขาด
แน่นอนว่า "เสธ.แดง" ซึ่งเป็นแกนนำที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยก็ต้องวางแผนแนวตั้งรับให้รัดกุม และออกเดินตรวจความเรียบร้อยของแนวบังเกอร์ร่วมกับการ์ด เพื่อป้องกันการบุกยึดพื้นที่ชุมนุมจากรัฐบาล โดยไม่ล่วงรู้ว่ากำลังเดินหน้าเข้าหามัจจุราชที่จะปลิดชีวิตตนในไม่กี่นาทีข้างหน้า
เสธ.แดง เมื่อครั้งยังมีชีวิต
วินาทีระทึก กระสุนปลิดชีพ"เสธ.แดง"
หลังจากเดินตรวจพื้นที่ได้ไม่นาน เสธ.คนดัง ก็ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มสื่อมวลชนที่ฮือเข้าสัมภาษณ์ และแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปก็เปรียบเสมือนเป้าชั้นดีให้มือปืนที่ซุ่มรอคอยโอกาสอยู่ก่อนแล้ว เมื่อ พล.ต.ขัตติยะ เดินมาถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสีลม บริเวณแยกศาลาแดง และเดินข้ามรั้วเหล็กซึ่งเป็นจุดสูงเด่นที่สุด นั่นคือวินาทีที่มือปืนตัดสินใจลั่นไก
กระสุนมัจจุราชที่หมายมาดปลิดชีพในนัดเดียว พุ่งตรงราวกับจับวางไปที่นายทหารนักรบ เจาะเข้าหน้าผากขวาทะลุออกท้ายทอยด้านซ้ายทันที ร่างของแกนนำฮาร์ดคอร์ผู้นี้ก็ทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมกับเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากบาดแผล ทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายขณะตอบคำถามนักข่าวว่า “กองกำลังทหารไม่สามารถเข้ามาในนี้ได้…”  
นาทีชีวิตขณะ เสธ.แดง โดนยิง
และจากนั้นก็เป็นเหมือนฝันร้ายของผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน
เสียงปืนและระเบิดดังระงมทั่วทุกสารทิศ ผู้คนต่างสับสนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ขณะที่ร่างของนายทหารถูกการ์ดหามขึ้นรถฉุกเฉิน แต่กลับข้ามเลยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุไปยังโรงพยาบาลหัวเฉียวที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรแทน และย้ายไปโรงพยาบาลวชิรพยาบาลในที่สุด แต่อาการ พล.ต.ขัตติยะ ก็ทรุดลงเรื่อยๆ กระทั่ง 4 วันหลังจากนั้น ก็เสียชีวิตด้วยอาการไตวายเฉียบพลัน ปิดตำนานหัวหน้ากองกำลังการ์ดเสื้อแดง เพียงเท่านี้
การ์ดเร่งนำตัวเสธ.แดง ไปส่งโรงพยาบาล
ศัตรูสำคัญ หมายปิดบัญชี เสธ.แดง
การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ หัวหน้ากองกำลังการ์ดเสื้อแดง เป็นหัวข้อถกเถียงว่าใครเป็นผู้ลงมือ และใครที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการลงมือครั้งนี้ แม้จะยังไม่สามารถหาตัวการได้แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมั่นใจคือ การลอบยิงครั้งนี้ ถูกวางแผนมาอย่างดี และ มือปืนเป็นทีมสังหารอาชีพที่ฝึกการใช้อาวุธสงครามมาอย่างช่ำชอง ดังนั้น ผู้อยู่เบื้องหลังต้องเป็นผู้มีอิทธิพลมากบารมีในบ้านเมือง
ประการแรก อาจเป็นฝีมือของรัฐบาลในสมัยนั้น เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า เสธ.แดง คือหัวหน้ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่เคลื่อนไหวคู่ขนานกับการชุมนุมเพื่อโค่นล้มรัฐบาล โดยรับคำสั่งจาก นายทักษิณ ชินวัตร จึงมีความเป็นไปได้ที่ทางการอาจหมายหัวไว้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลออกมายืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการสังหารครั้งนี้
ประการที่สอง ฝีมือของแกนนำกลุ่มเสื้อแดงด้วยกันเอง เพราะ เสธ.แดง มีความเห็นไม่ตรงกับแกนนำหลายคน และเคยมีเรื่องกันบ่อยครั้ง อีกทั้งการจบชีวิต เสธ.แดง จะช่วยกระพือความเคียดแค้นของผู้ชุมนุม นำไปสู่สถานการณ์ความรุนแรง
ประการที่สาม ผู้มีอำนาจในกองทัพที่ไม่พอใจ เสธ.แดง ในหลายเรื่องหลายปม ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่หยามศักดิ์ศรีความเป็นทหาร ประกาศความเป็นศัตรูกับผู้นำกองทัพอย่างเด่นชัด และทำให้กองทัพเสื่อมเสียอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จนถูกสั่งพักราชการตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2553 
ประการที่สี่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับกลุ่มเสื้อแดงมาโดยตลอด โดย แกนนำพันธมิตรฯ เชื่อว่า เสธ.แดง อยู่เบื้องหลังการยิงเอ็ม 79 เข้าใส่คนเสื้อเหลืองหลายครั้ง จนนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตาย

 
ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ อาจมีตัวการที่ออกคำสั่งปิดบัญชี เสธ.แดง แฝงอยู่ หรืออาจไม่ใช่ทุกข้อที่กล่าวมาเลยก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายไหนก็ตาม สิ่งที่ “คนผู้นั้น” ก่อไว้คือ ความแตกแยกที่ยากจะสมานให้เหมือนเดิมในสังคมไทย
สุดท้ายแล้ว นายทหารประจำการที่เลือกจะแสดงออกทางการเมืองอย่างชัดเจน ก็เป็นเพียงหมากหนึ่งตัวในเกมการเมือง ที่เดิมพันด้วยอำนาจแลกกับความพินาศของบ้านเมือง และคมกระสุนที่จบชีวิต ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ช่วยโหมกระพือไฟสงครามกลางเมืองให้ลุกโชนขึ้นระยะหนึ่งเท่านั้น ก่อนจะหายไปตามกาลเวลา ตราบใดที่การต่อสู้ของผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการเมืองไทยยังหาผู้ชนะไม่ได้ หรือยังไม่ยอมจับมือสมานฉันท์กัน เกมที่ใช้ประชาชนเป็นหมากก็ยังดำเนินต่อไป
แล้วหมากตัวต่อไปจะเป็นใคร !?

อย่าโทษแต่บริษัทใหญ่! บิ๊กตู่ สอน เกษตรกรต้องเข้มแข็งด้วยตนเองยึดพอเพียง

บิ๊กตู่ สอน เกษตรกรต้องเข้มแข็งด้วยตนเองยึดพอเพียง อย่าโทษแต่บริษัทใหญ่ - บ่นปวดหัว แก้ค้ามนุษย์-ใบเหลืองอียู บอก หากรู้ว่าปัญหาจะเยอะขนาดนี้คงไม่เข้ามา - ดีใจ พระโค กินหญ้า คาด น้ำท่าพืช-พรรณจะดี
http://www.matichon.co.th/online/2015/05/14315164981431516520l.jpg

เวลา16.00 น. วันที่ 13 พ.ค.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เดินทางไปเปิดงาน "เตรียมความพร้อมเกษตรกรไทยเริ่มต้นใหม่ฤดูกาลผลิต" พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “เกษตรกรก้าวหน้า พัฒนาการเกษตรไทย” เนื่องในวันเกษตรกร" ณ อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี

โดยพลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ดีใจที่ได้มาพบเกษตรกร เพราะหากไปพูดในรายการคืนความสุข คนก็ไม่ชอบ เพราะตนคงได้รับความนิยมสู้พระเอกทีวี(ณเดช คุกิมิยะ) ไม่ได้ โดยตนเองเคยดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำในพื้นที่เกษตรทางภาคตะวันออก รวมถึงครอบครัวก็มีที่นาและเคยทำการเกษตร จึงคุ้นชินกับเกษตรกรเป็นอย่างดี วันนี้พระโคกินหญ้าแสดงว่า น้ำท่าจะดี พืชพรรณธัญญาหารจะดี แต่ถึงอย่างไรคนต้องทำให้น่าเชื่อถือกว่าพระโค ทั้งนี้น่าเสียดายว่าชาวนาในไทยไม่มีคนไหนร่ำรวย เพราะปัญหาเรื่องโครงสร้างชลประทานไม่ดี จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงระบบน้ำให้เพียงพอ รวมถึงต้องส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่นๆ รวมถึงต้องสร้างความเข้มแข็งเกษตรกรเช่น ระบบสหกรณ์ เป็นต้น ไม่อยากให้ติดกับดักไปโทษแต่พ่อค้าคนกลาง หรือบริษัทใหญ่ๆอย่างเดียว ยืนยันรัฐบาลพยายามใช้งบประมาณอย่างมีคุณค่าสูงสุด โดยไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเป็นการเมืองที่ทำให้คนลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงประชาชนจำเป็นต้องรู้จักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและมีคุณธรรมอีกด้วย ก็จะส่งผลให้ตำบล หมู่บ้านทั่วประเทศเป็นหมู่บ้านคุณธรรม จึงถือเป็นการกระจายอำนาจอย่างเเท้จริง ไม่ใช่การของบประมาณที่ท้องถิ่นเก็บได้ให้ตกอยู่กับท้องถิ่นอย่างเดียว ทำไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร ทั้งนี้สิ่งที่รัฐบาลทำคือการวางรากฐานให้กับประชาชนในอนาคต ทุกคนทำเพื่อชาติอย่างเต็มที่ ข้าราชการทุกคนต้องโปร่งใส หากใครพบเห็นให้แจ้งมาพร้อมหลักฐาน ตนพร้อมปลดและเข้าจัดการทันที

อย่างไรก็ตามขณะนี้รัฐบาลยอมรับว่าเงินที่ใช้ในการลงทุนในอนาคตมีเหลืออยู่น้อยจึงจำเป็นต้องตั้งงบประมาณขาดดุล เป็นความผิดที่โทษใคนไม่ได้เพราะรัฐบาลเข้ามาในจังหวะที่โลกมีปัญหา มีการเปลี่ยนแปลง ทรัพยากรลงลง แต่ไทยโชคดีที่มีป่าที่ดี คนไทยจึงจำเป็นต้องช่วยกันดูแลป่าแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โดยรัฐมีบทบาทในการช่วยเหลือขณะที่เอกชนก็ต้องช่วยเหลือรัฐส่วนการบริหารตนสั่งเเล้วว่าผู้บังคับบัญชาต้องลงไปหาชาวบ้าน ไม่ใช่ใช่ให้ชาวบ้านมาหา ข้าราชการต้องสร้างความยอมรับ ต้องทำงานให้ได้ ทุกวันนี้มีปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ โรฮิงบา เรื่องการประมง และอื่นๆอีกมากมาย ก็ทำให้ปวดหัวมาก หากตนรู้ว่าจะมีปัญหาเยอะขนาดนี้คงไม่เข้ามาหรอก ทั้งนี้กฏหมายของรัฐบาลมีขึ้นเพื่อแก้ปัญหาให้คนมีความสุข หากคนไม่กระทำผิดกฏหมายก็ทำอะไรไม่ได้ กฏหมายไม่ได้มีให้คนเกิดความขัดเเย้งกัน ยืนยันการใช้มาตรา 44 เป็นเเค่ตัวเร่งการแก้ปัญหา ไม่ใช่จะสำเร็จทุกเรื่อง ส่วนเรื่องหวยก็พยายามที่จะทำให้ได้ราคา 80 บาท

ทั้งนี้ตนเห็นใจเกษตรกรไทย ที่ยังยากจนอยู่ ทั้งยังมีภาระอย่างมากโดยเฉพาะจะต้องดูแลครอบครัวอีกด้วย รัฐบาลจึงต้องสร้างให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น โดยก่อนรัฐบาลเข้ามานโยบายก็มีอยู่หลายอย่างแต่ไม่มีความชัดเจน วันนี้รัฐบาลได้เดินหน้าหลายโครงการแล้ว เช่นรถไฟทางคู่และ รถไฟความเร็วสูง แล้ว ยืนยันว่าขณะนี้ประเทศกำลังเดินหน้า ทุกประเทศอยากคบค้ากับไทยเช่นเดิมแล้ว แต่อาจมีปัญหาเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำแพง ทำให้หลายบริษัทย้ายไปประเทศอื่น นอกจากนี้คนไทยมักจะต้องการมีสวัสดิการที่ดี แต่กลับไม่ชอบการเสียภาษี ก็เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะตอบสนองได้ทุกเรื่อง. ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ เป็นหน้าที่ของแม่น้ำสี่สายไปคิดมา ว่าจะแก้หรือไม่แก้ หรือจะทำใหม่ หากมีการเลือกตั้งก็ช่วยกันออกมาแต่อย่าให้มีการชี้นำ

สถานการณ์ข่าว13พ.ค.58

data13May15สถานการณ์

@พระโคกิน'งา-หญ้า'น้ำบริบูรณ์พอควรธัญญาหารผลาหารภักษาหารมังสาหารสมบูรณ์
@รวบอีก3คดีโรฮีนจาจ่อยึดทรัพย์โกโต้งเพิ่มระนองค้นบ้านค้ามนุษย์-ผบ.ตร.คุยมาเลย์ขอส่งตัวผู้ร้าย
@มติกมธ.ยกร่างฯต้องทำประชามติรธน.หลังสปช.เห็นชอบ-วิษณุไม่กดดันย้ำทำลต.ช้า-บวรศักดิ์ลาออกคปก.กลัวถูกโจมตี
@ปานเทพส่งสำนวนคดี250สส.แก้รธน.โดยมิชอบให้สนช.ถอดถอนศุกร์นี้
///////////////

โรฮีนจา

ตำรวจไทย-มาเลเชีย จัดประชุมทวิภาคี จับตาข้อหารือแก้ปัญหาค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา 

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เตรียมเดินทางไปจังหวัดภูเก็ต เข้าร่วมการประชุมทวิภาคีระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ภายใต้การนำของ ตันศรี ดาโต๊ะ ศรี กาลิด บิน อาบู บาการ์ (Tan Sri Dato Sri Khalid bin Abu Bakar) ผบ.ตร.มาเลเซีย เพื่อหารือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจสองประเทศในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และอาชญากรรมที่กระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ

สำหรับการประชุมของตำรวจสองประเทศครั้งนี้ จะร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ 8 ประเภทด้วยกัน โดยเฉพาะปัญหาการก่อการร้าย การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในน่านน้ำและโจรสลัด รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรร่วมกันของตำรวจทั้งสองประเทศ

โดยหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลง (Agreed Minute) เพื่อแสดงถึงเจตจำนงในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมร่วมกัน ซึ่งข้อตกลงนี้นอกจากจะใช้เป็นแนวทางความร่วมมือระหว่างตำรวจทั้งสองประเทศที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไปแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและยาวนานระหว่างตำรวจทั้งสองประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมยศ จะเป็นประธานพิธีส่งคืนยานพาหนะที่ถูกโจรกรรมมาจากประเทศมาเลเซีย จำนวน 25 คัน กลับคืนสู่ประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ การประชุมทวิภาคีระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซียถือว่าเป็นการประชุมที่มีความสำคัญมากอีกการประชุมหนึ่งในการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยและมาเลเซีย ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยทั้งสองประเทศจะสลับกันเป็นเจ้าภาพ
---------------
โฆษก สตช.ระบุยังไม่มีคำสั่งย้าย 5 นายตำรวจในพื้นที่เกิดคดีโรฮีนจา-เตรียมประชุมร่วมตำรวจมาเลเซีย ที่ ภูเก็ต หารือป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับเครือข่ายค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา ว่า เมื่อวานที่ผ่านมาได้มีการออกจับหมายเพิ่มอีก 10 หมาย รวมผู้ต้องหาขณะนี้ กว่า 60 ราย จับกุมได้แล้ว 19 ราย ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะย้ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในพื้นที่ที่อาจมีความเกี่ยวโยงกับคดีโรฮีนจานั้น โฆษก สตช.ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งย้ายนายตำรวจคนใดเพิ่มเติม

ซึ่งวันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย เพื่อหารือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจทั้งสองประเทศในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมที่กระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ที่ จ.ภูเก็ต โดยจะมีการพูดคุยกันใน 9 หัวข้อ และหนึ่งในนั้นจะมีประเด็นร้อน ๆ อย่างปัญหาของชาวโรฮีนจาด้วย

จะมีการพูดคุยถึงแนวทางการร่วมกันแก้ปัญหา รวมถึงเรื่องของการจัดตั้งศูนย์อพยพของชาวโรฮีนจาว่าจะมีแนวทางอย่างไร

ทั้งนี้ การพูดคุยระหว่างตำรวจไทยและมาเลเซียได้มีการหารือกันมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมา ตำรวจไทยได้มีการส่งมอบรถยนต์ที่ ถูกขโมยมาจากประเทศมาเลเซียคืนให้กับทางการมาเลเซียด้วย
-------------------
ผบ.ตร.นำคณะนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ประชุมร่วมตำรวจมาเลเซีย ที่ จ.ภูเก็ต เพื่อหารือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญ

บัญชา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผบก.ตท.(ตำรวจสากล) เดินทางไปยัง โรงแรมเวสทิน รีสอร์ท จ.ภูเก็ต เพื่อเข้าร่วมการประชุมทวิภาคีระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย

ภายใต้การนำของ ตันศรี ดาโต๊ะ ศรี กาลิด บิน อาบู บาการ์ (Tan Sri Dato Sri Khalid bin Abu Bakar) ผบ.ตร.ตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เพื่อหารือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจสองประเทศ

ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และอาชญากรรมที่กระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ

โดยการประชุมของตำรวจสองประเทศครั้งนี้ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ซึ่งมี 8 ประเภทด้วยกันได้แก่ การก่อการร้าย

การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบค้าอาวุธ อาชญากรรมที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองสองประเทศที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน การโจรกรรมยานพาหนะข้ามประเทศ

อาชญากรรมทางเศรษฐกิจและคอมพิวเตอร์ และอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในน่านน้ำและโจรสลัด รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรร่วมกันของตำรวจทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง (Agreed Minute) เพื่อแสดงถึงเจตจำนงในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมร่วมกัน ซึ่งข้อตกลงนี้นอกจากจะ

ใช้เป็นแนวทางความร่วมมือระหว่างตำรวจทั้งสองประเทศที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไปแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและยาวนานระหว่างตำรวจทั้งสองประเทศอีกด้วย
-------------------------
โฆษก สตช.เผย ตำรวจเตรียมประสานโกโต้ง ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีโรฮีนจาให้มอบตัว พร้อมระบุการโยกย้าย ตร.นอกวาระอยู่ระหว่างการรออนุมัติคำสั่ง

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ว่า ในส่วนของ นายปัจจุบัน หรือ โกโต้ง อังโชติพันธุ์ หนึ่งในผู้ต้องหารายสำคัญของคดีที่

หลบหนีออกจากพื้นที่นั้น ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการติดต่อให้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็ววันนี้ แต่หากไม่มาพบหรือแสดงความบริสุทธิ์ใจ ก็จะดำเนินการติดตามจับ

กุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

ส่วนกระแสข่าวที่ว่า นายปัจจุบันหลบหนีไปที่เกาะลังกาวีนั้น ยังไม่สามารถระบุหรือยืนยันรายละเอียดดังกล่าวได้

ขณะที่ กรณีกระแสข่าวล่าสุด ที่มีรายชื่อข้าราชการตำรวจ จำนวน 50 นาย มีความเกี่ยวข้องกับคดีการค้ามนุษย์โรฮีนจานั้น พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า กระแสข่าวดังกล่าวไม่เป็นเรื่องจริง ส่วนการ

โยกย้ายนายตำรวจนอกวาระก็อยู่ระหว่างขั้นตอนรออนุมัติคำสั่ง ซึ่งหากมีความชัดเจนจะแจ้งให้ทราบทันที

อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีนี้มีผู้ต้องหาตามหมายจับแล้ว 61 คน จับกุมได้ 19 คน และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาสามารถจับกุมตัวได้เพิ่มเติมอีก 3 คน (รวม 22 คน) ซึ่ง 1 ใน 3 คนที่ถูกจับกุมตัวล่าสุด เป็นผู้

ต้องหารายสำคัญที่ทำหน้าที่ขนส่งชาวโรฮีนจาเข้ามาในประเทศไทย ส่วนอีก 39 คนที่ยังหลบหนีอยู่นั้น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเร่งติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

////////////
กมธ.ยกร่างฯ

มติ กมธ.ยกร่างฯ ยันต้องทำประชามติรัฐธรรมนูญ หลัง สปช.เห็นชอบ-จ่อชงคณะรัฐมนตรี

การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด ยังประชุมต่อเนื่อง เพื่อปรับแนวทางการทำงานร่วมกันของกรรมาธิการ รวมถึง

ความชัดเจนในการทำงานของคณะอนุกรรมาธิการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ภายหลังสภาปฏิรูปแห่งชาติมีข้อท้วงติงว่าควรให้รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ก่อน จึงค่อยดำเนินการ

จัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และการเตรียมความพร้อมพิจารณาญัตติคำขอแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ

ขณะเดียวกัน นายแพทยท์กระแส ชนะวงศ์ รองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า มติกรรมาธิการทั้ง 36 คน ยืนยันต้องทำประชามติ ภายหลังสภาปฏิรูปแห่งชาติให้ความเห็นชอบ

ร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะส่งหนังสือไปยังคณะรัฐมนตรีพิจารณาประเด็นการทำประชามติ
------------------
กมธ.ยกร่างฯ มติเอกฉันท์ให้ทำประชามติร่าง รธน. เตรียมเสนอ ครม.-คสช.พิจารณา ชี้ เป็นกฎหมายสูงสุด ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช และ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ส่งหนังสือเสนอความเห็นของคณะ

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่เห็นตรงกันว่าควรให้มีการทำประชามติในร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินการอยู่ไปยังนายกรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายในวันนี้ ส่วนจะมี

การดำเนินการตามข้อเสนอหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจของทั้ง 2 ฝ่าย

ทั้งนี้ ทางกรรมาธิการเห็นว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ จึงควรให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการให้ความเห็นชอบ และเพื่อให้สอดคล้องกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เป็นของทุก

คนและฉบับที่ผ่านมาก็เคยทำประชามติเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การทำประชามตินั้นจะต้องส่งเอกสารให้ประชาชนได้ศึกษาก่อนลงเสียงประชามติ ใน 90 วัน ส่วนเงื่อนไขที่ทุกฝ่ายจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้นมีหลายช่องทางที่จะสามารถ

ดำเนินการและใช้เป็นทางออกในการแก้ปัญหาได้ ดังนั้นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจึงไม่ควรที่จะเสนอเรื่องนี้
----------------
"ประชา" เผยหลังลงพื้นที่แจงเนื้อหาร่าง รธน.ได้ผลดีเกินคาด ประชาชน ร้อยละ 79 ชื่นชอบ 

นายประชา เตรัตน์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้ชี้แจงถึงผลการ

ดำเนินงานรับฟังความเห็นประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ โดยระบุว่า เวทีที่ผ่านมา 4-5 จังหวัด ถือว่าได้ผลเกินเป้าหมาย โดยมีประชาชนหลากหลายสาขาอาชีพเข้าร่วมแสดงความเห็น และหลังจากที่รับ

ฟังแล้ว ได้มีแบบสอบถามให้ประชาชนได้กรอกรายละเอียดถึงความพอใจ ซึ่งส่วนใหญ่ให้ความสนในเรื่องสิทธิพลเมือง โดย ร้อยละ 79 เห็นด้วยว่าประชาชนน่าจะเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้

และอีก ร้อยละ 21 ไม่แน่ใจว่าจะผ่านหรือไม่
-------------------
ประชา เผยประชาชนสนใจสิทธิพลเมืองในร่างรัฐธรรมนูญ ขณะ 14 พ.ค. เปิดเวทีนครราชสีมา

นายประชา เตรัตน์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านคณะ

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ข้อมูลการจัดเวทีรับฟังความเห็นผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งได้จัดให้มีการเชื่อมสัญญาณผ่านวิทยุชุมชน ซึ่งจากการรับฟังความเห็นประชาชนส่วนใหญ่

สนใจเรื่องสิทธิพลเมือง สิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และส่วนที่จะกระทบต่อตนเอง ซึ่งไม่ได้สนใจประเด็นการเมือง ขณะที่บางส่วนสนใจเรื่องการทำประชามติ

ทั้งนี้ นายประชา ยังระบุด้วยว่า ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะมีการจัดเวทีรับฟังความเห็นของประชาชนที่จังหวัดนครราชสีมา โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่า ประชาชนจะเดินทางมาเข้าร่วมประมาณ 3,000 คน

เพราะเป็นจังหวัดใหญ่
--------
"สมบัติ" ระบุการทำคำขอแก้ไขร่าง รธน.คืบหน้าไปมากแล้ว เตรียมฟัง ปชช.-พรรคการเมือง ก่อนสรุป แนะทำกฎหมายลูก ขั้นตอนต้องไม่ขัด รธน.ชั่วคราว

นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานกรรมาธิปการปฏิรูปการเมือง เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า การเสนอคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของกรรมาธิการ จะมี 2

ส่วน ประกอบด้วยความเห็นของสมาชิก ซึ่งมีความคืบหน้าไปมากแล้ว และอีกส่วนจะเป็นความเห็นของประชาชน พรรคการเมือง และ นักวิชาการ ซึ่งจะเชิญมาร่วมเสนอแนะในวันที่ 15 พ.ค. และ

18 พ.ค. นี้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ก่อนที่จะไปสรุปร่วมกับกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ตามกรอบเวลา

ส่วนประเด็นที่มีการเสนอให้ปรับลดร่าง รธน. จาก 315 มาตรา เหลือประมาณ 100 มาตรา นั้น สามารถทำได้ด้วยการตัดเนื้อหาย่อยไปใส่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแทน ซึ่งกรรมาธิการปฏิรูป

กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้มีการร่างไว้แล้ว

ทั้งนี้ นายสมบัติ ยังได้กล่าวถึงข้อเสนอต่าง ๆ เรื่องประชามติว่า สามารถทำได้ 2 แบบ จะก่อนบังคับใช้ หรือหลังบังคับใช้ รธน.ใหม่ก็ได้ แต่ทั้งหมดต้องแก้ รธน.ชั่วคราวให้สามารถดำเนินการได้ก่อน

ส่วนกรณีการเตรียมทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ก็ต้องศึกษารายละเอียดในข้อกฎหมาย ขั้นตอนการดำเนินการให้ชัดเจนก่อน โดยต้องไม่ขัดกับร่าง รธน.ชั่วคราวที่บังคับใช้อยู่ รวมถึงต้องไม่

ขัดแย้งกับเนื้อหาของ รธน.ฉบับใหม่ด้วย
--------------------
"วิษณุ" บอกยังรวบรวมข้อคิดเห็นเสนอแก้ รธน.ไม่เสร็จ รับบางความเห็นเป็นเรื่องดี ต้องนำมาจัดหมวดหมู่ใหม่

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายด้านกฎหมาย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำญัตติแก้ร่างรัฐธรรมนูญต่อคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ขณะนี้ยังจัดทำไม่เสร็จ ยังมีความคิดเห็นของ

แต่ละทรวงกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบ จากการตรวจสอบพบว่า มีความเห็นจากส่วนอื่น อาทิ องค์กรอิสระ นักวิชาการ พระ และประชาชนด้วย โดยยอมรับว่าบางความเห็นเป็นเรื่องที่ดี

ซึ่งหลังจากนี้จะต้องนำมาจัดหมวดหมู่ แยกประเภทที่ไม่จำเป็นต้องระบุไว้ในรัฐธรรมนุญ เพราะจะแก้ไขได้ยาก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเหมาะสมกับบ้านเมืองหรือไม่ เช่น การมีสมัชชาและสภาบางอย่างที่

สิ้นเปลืองงบประมาณ และเป็นภาระ ทั้งนี้ ในการเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างฯ หากไม่มีใครเป็นเจ้าภาพตนจะเป็นตัวแทนชี้แจงเอง

พร้อมกันนี้ นายวิษณุ ยังกล่าวว่า มีกรรมาธิการยกร่างฯ บางคนต้องการให้รัฐบาลเสนอแก้ไขในบางมาตรา เนื่องจากแพ้การลงมติในที่ประชุม อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างนี้จะไม่นำไปสู่ปัญหา

ความขัดแย้ง
-------------------
"วิษณุ" ระบุ ไม่กดดัน สนช.เตรียมพิจารณาควรทำประชามติหรือไม่ ชี้เป็นเรื่องดี แจง กมธ.ยกร่างฯ มีสิทธิ์นั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจ หลังพ้นตำแหน่ง

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายด้านกฎหมาย กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาว่าควรมีการทำประชามติร่างรัฐธรรมหรือไม่ ในวันที่ 14-15 พ.ค.

นี้ว่า ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เพราะเรื่องการทำประชามติเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้รับรอง หากใครต้องการก็สามารถเสนอเข้ามาได้ เพราะหากรัฐบาลเสนอให้ทำประชามติเอง จะถูกมองว่าหวังอยู่ในตำแหน่ง

ต่อ เพราะต้องใช้เวลาดำเนินการประมาณ 3-4 เดือน อีกทั้งยังต้องใช้งบประมาณในการจัดทำเอกสารชี้แจงและจัดทำคูหาลงคะแนนอีกกว่า 3 พันล้าน

ส่วนกรณี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ลงสมัครเป็นคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) นั้น ยืนยันตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ระบุห้ามไม่ให้

กรรมาธิการดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลังพ้นตำแหน่ง 2 ปี เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐวิสาหกิจหรือตำแหน่งอื่น ๆ แต่อย่างใด
------------------
กมธ.ยกร่าง แจง เสนอทำประชามติ ไม่ได้กดดัน นายกฯ ยันยังไม่หารือข้อเสนอ "ไพบูลย์" 

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการส่งหนังสือขอให้ทำประชามติจะเป็นการกดดันการทำงานของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ว่า ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ก็เคยพูดเรื่องการทำประชามติ แต่ขอให้รอเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น จึงไม่ได้กดดันการทำงานแต่อย่างใด ทั้งนี้ การพิจารณาว่าจะทำหรือไม่ทำประชามตินั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อยู่แล้ว ส่วนเวลาดำเนินการประชามติ จะต้องทำหลังวันที่ 6 ส.ค. จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.นี้

นอกจากนี้ พล.อ.เลิศรัตน์ ยืนยันว่า เรื่องการทำประชานมตินี้ ไม่จำเป็นต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมแม่น้ำ 5 สายอย่างไรก็ตาม ในที่ประชุม ไม่ได้มีการหารือข้อเสนอของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก 2 ปี เพื่อให้รอการปฏิรูปประเทศให้เสร็จสิ้น
ก่อน
---------------------
“บวรศักดิ์” ถอนใบสมัคร คปก.แล้ว ให้เหตุผลกระทบรัฐธรรมนูญ หวั่นถูกมองเอื้อประโยชน์

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยถึงกรณีการสมัครเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือ คปก. แทนชุดเดิมที่จะหมดวาระลง ซึ่งตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในมาตรา 282(3) ให้อำนาจหน้าที่ คปก. มีอำนาจเสนอให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ พิจารณายกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายแล้วแต่กรณี จนถูกมองว่าอาจเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญมาเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง ซึ่งล่าสุดได้ถอนใบสมัครแล้ว เพื่อไม่ให้กระทบกับรัฐธรรมนูญ และไม่ให้นักการเมืองวิพากษ์วิจารณ์ ขณะเดียวกัน อาจจะตัดมาตรานี้ในร่างรัฐธรรมนูญทิ้งด้วย ส่วนกรณีที่มีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติบางคนลงสมัครด้วยนั้น ก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะลงสมัครได้
----------------------
อลงกรณ์ เผยที่ประชุมเห็นด้วยออกเสียงทำประชามติ พร้อมให้ความรู้ ปชช.

นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฎิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. เปิดเผยว่า เป็นการประชุมวาระพิเศษในข้อนโยบายระหว่าง วิป สปช. กับคณะกรรมาธิการทั้ง 23 คณะ โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องลงประชามติทั้งฉบับ ทั้งนี้ การออกเสียงประชามติต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดย สปช. และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมที่จะให้ความรู้กับประชาชน และจะต้องมีการวางกติกาให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส

อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมไม่ได้มีการหารือถึงการจะส่งมติดังกล่าวนี้ให้กับคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
-----------------------
นายกฯรอดูแก้รธน.ทำประชามติลุยปฏิรูป ขออย่าขัดแย้ง-สลากต้อง80บาท

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช. กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง"เกษตกรก้าวหน้า พัฒนาการเกษตรไทย" ว่า รัฐบาลตั้งใจที่จะช่วยเหลือเกษตรกร  ทั้งนี้เกษตรกรต้องสร้างความเข้มแข็งร่วมกัน และร่วมกับรัฐบาลในการสร้างอนาคต โดยดำเนินการแบบวงจร ทั้งเรื่องการค้า การลงทุน การพัฒนาสินค้าต่างๆ เพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง ยกระดับการเกษตร ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก ทั้งนี้จะดำเนินการทางกฏหมายข้าราชการทุจริตโดยของให้ประชาชนช่วยกันส่งหลักฐานต่างๆมา

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและอยากให้ประชาชนติดตามศึกษาเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ โดยอยู่ในขั้นรวบรวมความคิดเห็นส่งไปยังกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องการทำประชามติต้องรอให้ผ่านตามขั้นตอนก่อน  ซึ่งหากจะมีการทำประชามติต้องแก้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ทั้งนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการในเรื่องการปฏิรูปทุกด้าน และขอประชาชนอย่าสร้างความขัดแย้งโดยต้องอยู่ภายใต้กฏหมาย

ส่วนเรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้นต้องดำเนินการให้ขายในราคา80บาท
/////////////////////
วันนี้  (13 พ.ค.)  เวลา  12.19 น.  รายงาน   นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  เปิดเผย ป.ป.ช.เตรียมส่งเรื่องชี้มูลความผิด 250

อดีต ส.ส. ปมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาส.ว. ไปยังงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในวันศุกร์ที่ 15 พ.ค.นี้ เพื่อให้ดำเนินการพิจารณาถอดถอนต่อไป
////////////////////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "เตรียมความพร้อมเกษตรกรไทยเริ่มต้นใหม่ฤดูกาลผลิต" พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "เกษตรกรก้าวหน้า พัฒนาการเกษตรไทย" เนื่องในวันเกษตรกรไทย 13 พฤษภาคม 2558 ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับ
สูง ข้าราชการตลอดจนประชาชนและผู้แทนเกษตรกรจากภูมิภาคต่าง ๆ ทุกสาขา เข้าร่วมภายในงานเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดรอบพื้นที่ โดยมีการตรวจสอบบุคคล และสิ่งของสัมภาระอย่างละเอียด

อย่างไรก็ตาม สำหรับวัตถุประสงค์การจัดงานดังกล่าว เพื่อให้เกษตรกรได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และได้รับทราบแนวทางมาตรการของรัฐบาลในการพัฒนาการเกษตร อีกทั้ง สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยมีกิจกรรมปาฐกถาพิเศษและการอภิปราย รวมทั้งนิทรรศการผลการดำเนินงานพัฒนาการเกษตรและเกษตรกร ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 14 พฤษภาคม นี้
///////////////////////
แผ่นดินไหว

เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.8 แมกนิจูด ที่ เกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ไร้เตือนสึนามิ

สำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า เมื่อเวลา 04.12 น. ตามเวลาในประเทศไทย ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวในทะเลขนาด 6.8 แมกนิจูด ความลึก 10 กิโลเมตร บริเวณฝั่งตะวันออก

ของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังไม่มีรายงานการแจ้งเตือนสึนามิและความเสียหาย อีกทั้งไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย
---------------------
แผ่นดินไหวเนปาลรอบ 2 ทางการเร่งหาพื้นที่ปลอดภัยช่วยชาวบ้าน หลังรายงานระบุเกิดอาฟเตอร์ช็อคทั้งเดือน หวั่นดินไหว น้ำท่วมซ้ำ

สื่อต่างประเทศรายงาน พื้นที่ในประเทศเนปาลยังคงมีความไม่แน่นอนนับตั้งแต่เกิดเหตุแผ่นดินไหว 7.9 ตามมาตราริกเตอร์ เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 8,000 คน โดยหลังเกิดแผ่นดินไหวซ้ำอีกครั้งเมื่อวานนี้ ความรุนแรงลดลงจากเดิมเล็กน้อย แรงสะเทือนส่งผลกระทบไปยังเขตประเทศอินเดียด้วย ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตราว 70 ราย บาดเจ็บกว่า 1,200 คน ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวระบุอาจเกิดอาเตอร์ช็อคตามมาเป็นเวลานับสัปดาห์หรืออาจจะถึงเดือน ในขณะเดียวกันใกล้จะเข้าฤดูฝน ที่กำลังจะมาถึงในเดือนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม การเข้าไปช่วยเหลือยังพื้นที่ประสบภัยโดยเจ้าหน้าที่ยังมีความเสี่ยงสูง นอกเหนือจากการช่วยเหลือด้านอื่น ๆ แล้ว สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือการอพยพมายังพื้นที่โล่งเพื่อความปลอดภัย ซึ่งยังไม่สามรถหาแหล่งพักพิงถาวรให้กับประชาชนได้ จึงต้อหาทำเลใหม่เพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัย ทั้งนี้ ยังหวั่นว่าอาจจะเกิดแผ่นดินสไลด์และน้ำท่วมฉับพลันตามมาด้วย

http://ibnlive.in.com/news/after-nepal-earthquakes-monsoon-poses-risk-of-more-landslides-floods/545274-2.html?
------------------------
ดินไหวเนปาลรอบ 2 ดับ 70 เจ็บกว่า 1,000 ผู้เชี่ยวชาญชี้มีอาฟเตอร์ช็อคทั้งเดือน 

สำนักข่าวของอินเดียรายงานเหตุแผ่นดินไหวซ้ำที่ประเทศเนปาลและบางส่วนของอินเดีย 7.4 แมกนิจูด แรงเขย่าสะเทือนทั่วรัศมี 83 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกของกรุงกาฐมาณฑุ ใกล้กับเทือกเขาเอเวอเรสต์ เมื่อวานนี้ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วอย่างน้อยราว 70 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 1,200 คน ขณะที่อาฟเตอร์ช็อคยังคงตามมาอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า จะมีตามมมาอีกหลายครั้งและอาจเกิดขึ้นตลอดทั้งเดือน

ด้านการดำเนินการการค้นหากู้ภัยสำหรับเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา ต้องหยุดชะงักลง แต่สิ่งของบรรเทาทุกข์ยังคงถุกส่งไปยังพื้นที่ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ทางสถานทูตไทยในกรุงกาฐมาณฑุ รายงานว่ายังไม่มีคนไทยบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการครั้งหลังสุด ทั้งนี้มีพลเมืองแจ้งความประสงค์ขอพักพิงในสถานทูตเพื่อความปลอดภัยแล้ว 14 คน

http://timesofindia.indiatimes.com/india/Aftershocks-may-continue-for-weeks-months-Experts/articleshow/47257968.cms
///////////////
14พ.ค.58

09:00น.รัฐสภา ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ-ปานเทพส่งสำนวนคดี250สส.แก้รธน.โดยมิชอบให้สนช.ถอดถอนศุกร์นี้
09:00น.ทำเนียบรัฐบาล นายกฯเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
10:00น. สมาคมนักข่าวนกหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมประชุมเวทีแสดงความคิดเห้นและรับฟังการชี้แจงเนื้อหาร่างรธน.
15:00น. ทำเนียบรัฐบาล มล.ปนัดดามอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล

เกมลึก-ศึกใน!! ตัดสิทธิบ้านเลขที่ 111,109 (ตอนที่ 2)

เกมลึก-ศึกใน!! ตัดสิทธิบ้านเลขที่ 111,109 (ตอนที่ 2)


CC 230
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ – มีข้อมูลลึกที่สุดระบุว่า ประเด็นการตัดสิทธินักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ไม่เคยอยู่ในความคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีมาก่อนเลย รวมทั้งบิ๊ก คสช.คนอื่น  โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
เหตุผลประการสำคัญเพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องการสร้างเงื่อนไขใหม่ของความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ดังนั้น อะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้เกิดความไม่ปรองดอง พล.อ.ประยุทธ์ จะหลีกเลี่ยง เว้นแต่เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ หรือเป็นเพราะอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมหยุด
วิธีคิดแบบนี้เป็นวิธีคิดแบบเดียวกับ พล.อ.ประวิตร ที่ไม่ต้องการไล่ล่าหรือต้อนฝ่ายตรงข้ามจนไม่มีที่ยืน ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง นอกจากนี้ นักการเมืองในบ้านเลขที่ 111 และ 109 มากมายหลายคน ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือสนิทสนมกับ พล.อ.ประวิตร มานาน ตามประสาคนเยอะคอนเน็คชั่นอย่าง พล.อ.ประวิตร ซึ่งคนรักพวกรักพ้องอย่าง พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่คนที่จะฆ่าเพื่อนฝูงได้
ประการที่สอง ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ไม่ให้ความสำคัญกับนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ว่าจะเป็นอุปสรรคหรือขัดขวางการทำงานของ คสช. ทั้งนี้เพราะมั่นใจว่าด้วยอำนาจเต็มเปี่ยมที่มีอยู่ในมือ นั้นสามารถควบคุมนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ไม่ให้สร้างความเสียหายต่อบ้านเมืองได้ นอกจากนี้ ยังเชื่อว่านักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ได้รับบทเรียนทางการเมืองมาแล้ว จึงน่าจะพูดคุยกันรู้เรื่องได้ไม่ยาก
สิ่งที่ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยมีความคิดที่จะตัดสิทธิทางการเมืองนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 แม้แต่น้อย คือ
ประการหนึ่งคือ ภายหลังการยึดอำนาจไม่กี่วัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น โทรศัพท์มาเชิญ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นหนึ่งในนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 ให้มาช่วยงาน คสช. เมื่อนายสมคิดตอบกลับ พล.อ.ฉัตรชัยไปว่า มีความยินดีช่วยงาน หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาที พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยกหูโทรศัพท์มาหานายสมคิดด้วยตนเอง เอ่ยปากเชิญร่วมงาน
นั่นแสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยคิดที่จะกีดกันนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 แต่อย่างใด โดยดูคนที่ความสามารถและดีหรือไม่ดี
ประการที่สอง ถัดมาหลังนั้น ระหว่างที่กำลังมีการฟอร์มทีม ครม.ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ วันหนึ่งในระหว่างการพูดคุยกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับนายสมคิด (ตอนนั้นนายสมคิดได้รับแต่งตั้งเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษา คสช. ที่มี พล.อ.ประวิตร เป็นประธานแล้ว) พล.อ.ประยุทธ์ ถามนายสมคิดตรงๆว่า “อาจารย์ต้องการเข้ามาช่วยงานตำแหน่งใดใน ครม.”
นายสมคิดตอบกลับไปว่า “ผมคงเข้าไปเป็น ครม.ไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนห้ามไว้” (รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2557 ที่ คสช.ร่างขึ้นเพื่อใช้ชั่วคราว)
ข่าวลึกบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตกตะลึง ถึงกับพูดไม่ออก เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่ารัฐธรรมนูญของ คสช.เขียนห้ามนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 ไว้
สิ่งนี้ยืนยันอีกครั้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้คิดที่จะกีดกันนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 แต่อย่างใด
ซึ่งผลจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถใช้งานนายสมคิดใน ครม.ได้ ทำให้หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้แต่งตั้งนายสมคิดเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิก คสช. 15 คน มีอำนาจคุมรัฐบาลอีกทีหนึ่ง นอกจากนั้น ยังเปิดช่องทางให้นายสมคิดเข้าไปมีส่วนร่วมในรัฐบาลได้โดยตรง โดยแต่งตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง
ทำไปทำมา นายสมคิดใหญ่กว่าเป็น ครม. เพราะมีอำนาจเหนือ ครม. และเป็นผู้ป้อนข้อมูลและแนวความคิดการทำงานด้านต่างๆเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การต่างประเทศ การศึกษา สาธารณสุข และแทบทุกเรื่องของรัฐบาล
กล่าวกันว่า นายสมคิดคือบุรุษหมายเลข 3 ของ คสช. และรัฐบาล รองจาก พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร เลยทีเดียว
เพราะนอกจากนายสมคิดจะมีสถานะเป็นโปลิตบูโร (คสช.) แล้ว นายสมคิดยังเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ สร้างอำนาจและบทบาทของ คสช.เข้ามาช่วยรัฐบาลทำงานอีกทางหนึ่ง ด้วยการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆของ คสช.ขึ้นมา โดยคณะกรรมการทุกชุดมีนายสมคิดเป็นรองประธานหรือไม่ก็เป็นกรรมการ
แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากนายสมคิดไม่สามารถเป็น ครม.ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบสิทธิให้นายสมคิดเสนอบุคคลเป็น ครม.ในตำแหน่งต่างๆเป็นการตอบแทน ซึ่งนายสมคิดได้วางตัวบุคคลเป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยว เป็นต้น รวมทั้งให้นายสมคิดเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญ ทั้งใน สนช. สปช. บอร์ดรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการชุดต่างๆ ทั้งชุดเก่าและคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นใหม่
อำนาจของนายสมคิดตอนนี้ จึงมากกว่าเป็นรองนายกฯสมัยทักษิณหลายเท่า แต่ข้อจำกัดคือ ออกหน้าทำงานด้วยตัวเองไม่ได้
ถามว่า แล้วเหตุใดรัฐธรรมนูญปี 57 จึงมีข้อความห้ามนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 มิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งๆที่ขัดกับแนวคิดของทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่รู้เรื่อง
คำตอบคือ ประการแรกสุด “เนติบริกร” บางคนที่ คสช.มอบหมายให้ร่างรัฐธรรมนูญปี 57 แอบสอดไส้ตัดสิทธิบ้านเลขที่ 111 และ 109 ไว้ในรัฐธรรมนูญ ด้วยการใช้ข้อความที่แยบยล จนแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. อ่านรัฐธรรมนูญกี่รอบ ก็ไม่พบประเด็นนี้ จึงปล่อยรัฐธรรมนูญออกไป จนเมื่อนายสมคิดบอก จึงรู้
ประการที่สอง เป้าหมายที่ใส่ข้อความดังกล่าวไว้ คือ ต้องการเตะสกัดนายสมคิดซึ่งกำลังย่างเท้าเข้าสู่ คสช. ไม่ให้เข้าไปเป็น ครม.(แต่ที่สุดการเตะสกัดก็ไม่ได้ผล เพราะกลายเป็นว่านายสมคิดใหญ่กว่า ครม.)
เนติบริกรบางคนที่ว่านั้น ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นคนรู้จักมักคุ้นและเคยร่วมงานกับนายสมคิดมาแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อการเข้ามาสู่ คสช.ของนายสมคิด ทำให้ใครบางคนไม่มีความสุข ซึ่งหากนายสมคิดสามารถเข้าเป็น ครม.ได้ อาจตัดโอกาสใครหลายคน
ทว่า นั่นอาจไม่เกี่ยวข้องกับคนที่กลัวถูกตัดโอกาสก็ได้ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าแรงต้านนายสมคิดอาจมาจาก “นายเก่า” ของนายสมคิดที่อาจไม่ต้องการให้นายสมคิดเข้าไปเป็นมือเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. เพราะด้วยชื่อชั้นและความสามารถของนายสมคิดอาจทำให้ประชาชนลืมความสำเร็จทางเศรษฐกิจของใครบางคนในอดีตไปได้ ใครบางคนที่ว่านั้น จึงใช้บริการเนติบริกรสกัดนายสมคิด
อย่างไรก็ดี ภายหลังการสอดไส้ครั้งนั้นแล้ว เนติบริกรได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่ออธิบายถึงเหตุผลการตัดสิทธินักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ว่า เพื่อไม่ให้นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 คนอื่นๆ (ที่ไม่ใช่นายสมคิด) เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของ คสช.
ซึ่งเหตุผลที่ว่านี้ ฟังเผินๆก็ดูดี แต่ที่จริงมันเป็นไปไม่ได้ เพราะภายใต้อำนาจพิเศษของ คสช. นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ไม่มีใครกล้าออกมาเป็นปฏิปักษ์กับ คสช.อยู่แล้ว และไม่มีโอกาสจะเป็น ครม.ในรัฐบาล คสช. ยกเว้นนายสมคิด
มาถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีการตัดสิทธินักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ไว้อีกครั้ง คราวนี้ตัดสิทธิไว้ในมาตรา 111 (15) ของร่างรัฐธรรมนูญด้วยข้อความแยบยลแบบเดิม คือ เคยถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลงสมัคร ส.ส. ส.ว. และเป็นรัฐมนตรีไม่ได้
ไม่รู้ว่าจงใจหรือเป็นเหตุบังเอิญ เขียนไว้ในมาตรา 111 เสียด้วย แทงใจนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 เต็มๆ
มีข่าวลึกระบุว่าในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีข้อตกลงภายในกันว่า จะไม่เขียนตัดสิทธินักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 เพื่อให้เป็นไปตามแนวคิดเดิมของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ที่ไม่ต้องการให้สร้างเงื่อนไขของความขัดแย้งเพิ่ม แต่ที่สุดก็มีการ “หักหลัง” เกิดขึ้น โดยแอบเขียนมาตรา 111 (15) ไว้ แน่นอนว่า จุดประสงค์เพื่อเตะสกัดนายสมคิดรอบสอง และสกัดนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ทุกคนไม่ให้กลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองอีก
เหตุผลเดิมๆที่ใช้อ้างกับ คสช.คือ ไม่ต้องการให้นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ออกมาเป็นอุปสรรคต่อ คสช. และรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง
ต้องจับตาดูว่า ที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะเอายังไงกับนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 และนายสมคิด

“บวรศักดิ์” ถอนใบสมัคร คปก.แล้ว ให้เหตุผลกระทบรัฐธรรมนูญ หวั่นถูกมองเอื้อประโยชน์

“บวรศักดิ์” ถอนใบสมัคร คปก.แล้ว ให้เหตุผลกระทบรัฐธรรมนูญ หวั่นถูกมองเอื้อประโยชน์

(13/5/58)นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยถึงกรณีการสมัครเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือ คปก. แทนชุดเดิมที่จะหมดวาระลง ซึ่งตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในมาตรา 282(3) ให้อำนาจหน้าที่ คปก. มีอำนาจเสนอให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ พิจารณายกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายแล้วแต่กรณี จนถูกมองว่าอาจเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญมาเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง ซึ่งล่าสุดได้ถอนใบสมัครแล้ว เพื่อไม่ให้กระทบกับรัฐธรรมนูญ และไม่ให้นักการเมืองวิพากษ์วิจารณ์ ขณะเดียวกัน อาจจะตัดมาตรานี้ในร่างรัฐธรรมนูญทิ้งด้วย ส่วนกรณีที่มีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติบางคนลงสมัครด้วยนั้น ก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะลงสมัครได้

------------
(ข่าวต้นทาง)

“บวรศักดิ์” ช่างกล้า สมัคร คปก.หลังเขียน รธน.เพิ่มอำนาจ แถมยังจะรับทรัพย์สองทาง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์  
13 พฤษภาคม 2558 04:17 น

ปธ. กมธ.ยกร่างฯ จับมือ สปช.สายสื่อฯ คนดังเพียบ สายตายาวไกลแห่สมัคร คปก. ชุด อ.คณิต หมดวาระ หลังร่าง รธน. 282 (3) เพิ่มอำนาจยกเลิก หรือแก้ไขกฎหมาย ที่เป็นอุปสรรคปฏิรูปประเทศ พร้อมรับทรัพย์อีกเด้งเดือนละแสนกว่าบาทตลอด 4 ปี “ศรีสุวรรณ” แปลกใจ “บวรศักดิ์” ช่างกล้า หวั่นถูกร้องเรียนและโยงผลประโยชน์ทับซ้อน
     
       (12/5/58)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) จำนวน 11 คน ที่มี ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานจะหมดวาระลงในวันที่ 22 พ.ค. 2558 หลังจากดำรงตำแหน่งมา 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. 2554 ตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ นั้น ขณะนี้ได้มีบุคคลที่น่าสนใจไปสมัครหลายคน ภายหลังหมดเขตการรับสมัครไปตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดยในตำแหน่งคณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา อาทิ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ และ รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ, นางสุนี ไชยรส ปัจจุบันรองประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายชุดปัจจุบัน และอดีตกรรมการสิทธิฯ, นายธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ, นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต., นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ สมาชิก สปช.ด้านสื่อมวลชน และอดีตนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เป็นต้น
     
       ทั้งนี้ ในตำแหน่งดังกล่าว ตาม พ.ร.ฎ.ค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. 2554 จะได้เงินเดือน 62,000 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท รวม
104,500 บาทต่อเดือน รวมทั้งได้สิทธิประโยชน์ ค่าเดินทาง ที่พัก และค่ารักษาพยาบาล
     
       ขณะที่คณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มเวลา โดยมีผู้สมัคร เช่น นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ กรรมการปฏิรูปกฎหมายปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มเวลาชุดปัจจุบัน และผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา
นายบุญเลิศ คชายุทธเดช สปช.ด้านสื่อมวชน นายคมสัน โพธิ์คง อ.นิติศาสตร์ สุโขทัยธรรมาธิราช นายจอน อึ๊งภากรณ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รศ.พิศวาท สุคนธพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เป็นต้น โดยจะได้รับเงินเดือนตาม พ.ร.ฎ. ค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. 2554 เดือนละ 42,500 บาท และสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกันกับคณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา
     
       สำหรับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายชุดที่สองนี้ต่อจากชุด ศ.ดร.คณิต ณ นคร ที่จะเข้ามาทำหน้าที่จะดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี และสามารถได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอีกแต่ไม่เกิน 2 วาระติดกัน โดยผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา โดยมีตัวแทนจาก ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งกรรมการสรรหาจากภาควิชาการ และเอกชน
     
       แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สาเหตุที่บุคลเหล่านี้เข้ามาสมัคร นอกจะมีอำนาจ ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. 2553 ในการเสนอแนะปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ยังมีอำนาจใหม่ในร่างรัฐธรรมนูญที่มีนายบวรศักดิ์เป็นประธาน กำลังยกร่างอยู่ในมาตรา 282 (3) ให้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายมีอำนาจเสนอให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ “พิจารณายกเลิก หรือปรับปรุงกฎหมายหรือกฎแล้วแต่กรณี” ที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระหรือขั้นตอนโดยไม่จำเป็น
     
       ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในกรณีที่นายบวรศักดิ์ ไปสมัครเป็น คปก. ในขณะที่ตัวเองเป็นประธาน กมธ.ยกร่างฯ จะเป็นการร่างรัฐธรรมนูญเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองหรือไม่ เนื่องจากคณะกรรมการชุดดังกล่าว มีอำนาจพิจารณายกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายหรือกฎได้ด้วย
     
       นอกจากนี้ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณี สปช.ที่มีเงินประจำตำแหน่ง 71,230 บาทต่อเดือน เงินเพิ่ม 42,330 บาทต่อเดือน รวมทั้งสิ้นประมาณ 113,560 บาทต่อเดือนอยู่แล้ว และมีการเสนอให้อยู่ในตำแหน่งไปอีก 2 ปี ขณะที่ กมธ.ยกร่างฯ ก็มีเบี้ยประชุมครั้งละ 9,000 บาท ยังจะได้รับเงินเดือนของ คปก.อีกจำนวน 104,500 บาทต่อเดือน เป็นเวลาอีก 4 ปี
     
       นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ผู้สมัครกรรมการปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา กล่าวว่า สาเหตุที่ตัวเองเข้าไปสมัครไม่ได้มองว่าร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 282 (3) ให้อำนาจมากมหาศาล แต่ต้องการเข้าไปเพื่อผลักดันกฎหมายต่างๆเพื่อช่วยเหลือและดูแลสิทธิของประชาชนที่คิดว่าจะสามารถทำได้ง่ายกว่าวิธีอื่น แต่ตนก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะมีคู่แข่งโดยเฉพาะกรรมการปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลามาสมัครถึง 40 คน
     
       “ผมแปลกใจมากว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน กมธ.ยกร่างฯ อยู่แล้วจะมาสมัครกรรมการชุดดังกล่าวทำไมหาก รวมทั้ง สปช.คนอื่นๆ ด้วย ดังนั้น หากนายบวรศักดิ์ และ สปช.ได้รับเลือกเป็น คปก.จะถูกมองว่าเขียนรัฐธรรมนูญมาเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและจะถูกร้องเรียนกันวุ่นวายแน่นอน” นายศรีสุวรรณระบุ