PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2562

จับตาภูมิใจไทย

เปรียบมวยให้ถูกคู่!
โดย สิริอัญญา 
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562

อีก 20 กว่าวันก็จะถึงวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว เป็นการเลือกตั้งที่เห็นภาพชัดเจนขึ้นทุกทีว่าการเมืองไทยกำลังออกแบ่งเป็นสามก๊กหรือสามขั้ว คือขั้วเพื่อไทย ขั้วพลังประชารัฐ และขั้วประชาธิปัตย์ 

โดยมีพรรคการเมืองอีกหลายพรรคที่มีท่าทีชัดเจนว่าจะสนับสนุนก๊กใดหรือขั้วใดซึ่งก็รู้ ๆ กันอยู่ ยกเว้นพรรคภูมิใจไทยซึ่งกำลังผงาดขึ้นและความนิยมกำลังพุ่งแรง โดยอาศัยกระแสรณรงค์เปิดเสรีกัญชา และอีกพรรคหนึ่งคือพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งพุ่งแรงเพราะกำหนดเป้าหมายในการรณรงค์ถูกเป้าเข้าจุด คือวางจุดหนักไว้ที่เยาวชนอายุ 18-25 ปี ซึ่งมีจำนวนกว่า 7 ล้านคน 

พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคชาติพัฒนาและพรรคชาติไทยพัฒนา ได้นำเสนอหัวหน้าพรรคของตนหรือบุคคลสำคัญระดับแกนนำพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค ดังนั้นการหาเสียงจึงมุ่งเป้าเข้าจุดทั้งระดับนายกรัฐมนตรีและระดับพรรค 

คงมีบางพรรคที่ไม่ได้เสนอชื่อหัวหน้าพรรคของตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี คือบางพรรคก็ไม่ได้เสนอผู้ใด บางพรรคก็ไปเสนอคนภายนอก ได้แก่พรรคพลังประชารัฐ ที่ไปเสนอพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี 

ดังนั้นในยามสถานการณ์ใกล้เลือกตั้งเต็มทีนี้ ก็พอจะคาดหมายได้ว่าอนาคตทางการเมืองของประเทศจะมีก๊กหลักที่ชิงกันจัดตั้งรัฐบาลก็คงหนีไม่พ้นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ โดยขณะนี้สุ้มเสียงเริ่มถูกสังคมกดดันให้พูดคล้ายกันแล้วว่าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรมีความชอบธรรมที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล 

ดังนั้นระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ ใครจะรวบรวมพันธมิตรให้เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ย่อมมีโอกาสที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล 

สำหรับพรรคพันธมิตรของแต่ละก๊กแต่ละก๊วนนั้นจำเป็นจะต้องเปรียบมวยให้ถูกคู่ ซึ่งเห็นว่ามีอยู่สองคู่ใหญ่ ซึ่งผลการเลือกตั้งจะส่งผลต่อก๊กหลักด้วย ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องเปรียบมวยจากกลุ่มพันธมิตรเพื่อให้เห็นภาพการเมืองไทยชัดเจนขึ้นในอีกภาพหนึ่ง  

มวยคู่แรก คือพรรครวมพลังประชาชาติไทยกับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งพรรครวมพลังประชาชาติไทยนั้นสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่ประกาศสนับสนุนหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ชัดเจนว่ายังคงเป็นพรรคพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยอย่างแนบแน่นด้วย 

ระหว่างสองพรรคนี้พรรคไหนจะได้ ส.ส. มากกว่ากัน มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบดังนี้ 

ประการแรก พรรครวมพลังประชาชาติไทยสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับอยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นผู้ที่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงย่อมสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐโดยตรงมากกว่าที่จะไปสนับสนุนทางอ้อม และที่สำคัญ พรรครวมพลังประชาชาติไทยไม่ได้นำเสนอนโยบายใด ๆ ที่เห็นว่าหลักแหลมหรือพอที่จะบริหารบ้านเมืองได้ คงหาเสียงอยู่ประการเดียวคือจะได้ร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ 

ประการที่สอง พรรคอนาคตใหม่สนับสนุนหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี มีเป้าทางการเมืองชัดเจน มุ่งที่คนรุ่นใหม่ 7 ล้านคน ทำให้กระแสพรรคขยายวงกว้างเป็นกระแสสูง และความนิยมของพรรคติดลำดับหนึ่งในโซเชียลมีเดียในหลายๆ เรื่อง 

ดังนั้นถ้าเปรียบคู่มวยระหว่างพรรครวมพลังประชาชาติไทย กับพรรคอนาคตใหม่แล้วก็ส่อว่าพรรคอนาคตใหม่น่าจะได้ ส.ส. มากกว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยในระดับน่าจะเกิน 10 คนขึ้นไป 

มวยคู่ที่สอง ได้แก่พรรคภูมิใจไทย กับพรรคชาติพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป ซึ่งความจริงทั้งสี่พรรคนี้มีข่าวคราวหลายกระแสว่าล้วนสนับสนุนและเป็นพันธมิตรของพรรคพลังประชารัฐด้วยกันทั้งสิ้น แต่ระยะหลังนี้ท่าทีของพรรคภูมิใจไทยมีความชัดเจนมากขึ้นโดยลำดับว่า มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นและกำลังจะเป็นอีกขั้วหนึ่งที่ไล่ตามติด ๆ กับพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ 

นายเนวิน ชิดชอบ เคยกล่าวด้วยความมั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้ ส.ส. ไม่น้อยกว่า 70 คน และมั่นใจถึงขนาดกล่าวกับคณะทำงานรณรงค์เสรีกัญชาว่าถ้าได้ต่ำกว่า 70 คน ก็ให้เอาตีนมาเหยียบหน้าได้เลย และถ้าหากพรรคภูมิใจไทยได้ ส.ส. 70 คน ก็จะมีฐานะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล อาจถึงขนาดที่ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองพลิกผัน แล้วผลักดันให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นนายกรัฐมนตรีชนิดเหนือความคาดหมายก็เป็นได้ 

หากจะเปรียบเชิงมวยระหว่างกลุ่มพรรคดังกล่าวก็พอจะประมาณสถานการณ์ได้ดังนี้ 

ประการแรก พรรคชาติพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป ค่อนข้างชัดเจนว่าสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ต้องการสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมไปเทคะแนนเสียงให้พรรคพลังประชารัฐโดยตรงมากกว่าที่จะลงคะแนนเสียงกระจัดกระจายให้เป็นเบี้ยหัวแตก 

ดังนั้นธงการเมืองของกลุ่มพรรคนี้จึงทำลายตัวเองอยู่ในที เพราะยิ่งรณรงค์มากเท่าใด ผู้คนก็จะไปลงคะแนนให้กับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งขณะนี้ก็เห็นชัดแล้วว่ากระแสเป็นประการใด 

ประการที่สอง สำหรับพรรคภูมิใจไทยนั้นได้ชูธงเสรีกัญชาและได้รับการขานรับอย่างเอิกเกริกกึกก้องพลิกความคาดหมายทั้งปวง เพราะภาคเกษตรหลายสิบล้านคนก็ดี ภาคผู้ป่วยมะเร็งและเครือญาติ และภาคประชาสังคมที่รณรงค์เรื่องเสรีกัญชาก็ดี รวมกันแล้วเกือบ 30 ล้านคน ที่สนับสนุนนโยบายเสรีกัญชา จึงทำให้คะแนนนิยมและกระแสนิยมของพรรคภูมิใจไทยพุ่งกระฉูด 

ดีไม่ดีพรรคภูมิใจไทยอาจจะได้ ส.ส. มากกว่า 3-4 พรรคดังกล่าวรวมกัน และนั่นหมายถึงการพลิกผันครั้งสำคัญของการเมืองไทยที่น่าจับตายิ่ง!

ไพศาลชี้บิ๊กตู่จนท.รัฐ

อย่าหลงประเด็น 
1 โดยรัฐธรรมนูญ,จำแนกข้าราชการเป็น 3ประเภท คือข้าราชการประจำข้าราชการการเมือง ข้าราชการส่วนท้องถิ่น 
ทุกประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 
2 ผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆที่กฎหมายบัญญัติหรือรองรับ ก็เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย 
3 ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นหรือดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการที่ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จะเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ  
4 ลุงตู่ท่านมีหมวก 3 ใบ คือนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ จึงเป็นทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐด้วย!

ประเด็นอันเป็นปัญหาคือได้รับยกเว้นตามบทบัญญัติในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญหรือไม่?
ถ้าได้รับยกเว้นก็ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้ถ้าไม่ได้รับยกเว้นก็ไม่ได้!
ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ ว่าได้รับยกเว้นหรือไม่และได้รับยกเว้น สำหรับเรื่องอะไรบ้าง ***
ซึ่งเป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป 
คนอื่นที่ไม่มีอำนาจหน้าที่นี้ออกความเห็นอะไรไปก็เหมือนเสียงลมพัดลมเพแหละครับ

อุ้มบิ๊กตู่อ้างรธน.ยกเว้น 'วิษณุ'พลิ้วเป็นจนท.รัฐตามม.98(12)แล้วไม่ดูมาตราอื่น


     “ประยุทธ์” คลอดผลงานเพลงชิ้นที่ 8 ชื่อ “วันใหม่” เผยเรื่องปราศรัยขอหารือก่อน “พปชร.” ตีปี๊บมาแน่ 10 มี.ค.ที่โคราชก่อนจบที่กรุงเทพฯ จับแต่งตัวใส่เสื้อเชิ้ตไร้โลโก้ขึ้นโพเดียมตลาดเซฟวัน เวลา 17.30 น. คาดมีประชาชนมาร่วม 5 หมื่น “วิษณุ” ร่ายยาวอธิบายสถานะบิ๊กตู่ ย้ำนายกฯ  เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ได้รับการยกเว้นในการขึ้นบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ส่วนหัวหน้า คสช.นั้นไม่ใช่ หากอยากหายข้องใจให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ “จตุพร” มองแง่ร้ายบอกทำเป็นติ่งห้อยหาก พปชร.แพ้เลือกตั้งก็ใช้จุดไฟเลือกตั้งโมฆะ!
    เมื่อวันจันทร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.) ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงอาการเจ็บตาที่ทำให้ต้องลาป่วยเป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 1 มี.ค.ว่าต้องดูแลอีกระยะหนึ่ง 
    และเมื่อสอบถามถึงการลงพื้นที่ช่วยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หาเสียง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า "กำลังดูอยู่นะ กำลังหารืออยู่" เมื่อถามย้ำว่าจะไปที่เวทีปราศรัย จ.นครราชสีมาด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ย้ำคำตอบเดิม 
    ในเวลา 16.20 น. พล.อ.ประยุทธ์ลงจากตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อเดินทางกลับ โดยก่อนขึ้นรถนายกฯ ได้โบกมือทักทายสื่อมวลชนที่มาดักรออยู่บริเวณสนามหญ้าทางขึ้นตึก และได้พยายามตะโกนถามอีกครั้งถึงอาการเจ็บตา โดย พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ตอบ เพียงชี้ไปตาข้างซ้ายเท่านั้น จากนั้นขึ้นรถเดินทางกลับ
โดยในช่วงเช้า เวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา “Thailand’s  Investment Year - What's New” ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี โดยกล่าวตอนหนึ่งว่าเราต้องเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ แผนยุทธศาสตร์ 20 ปีไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ เป็นสิ่งที่ทำแล้วเพื่อให้ต่อยอดในวันข้างหน้า ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือทหาร แต่จะเกิดการพัฒนากับคนทั้งชาติ 
“ตราบใดก็ตามที่รัฐบาลทำงานอยู่ก็จะสานต่อสิ่งเหล่านี้ต่อไป รัฐบาลต่อไปก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง  และขออย่าให้ใครมาบิดเบือนสิ่งที่เราทำเพื่อประเทศเรา สิ่งที่รัฐบาลทำในวันนี้ รัฐบาลต่อไปสามารถมาดำเนินการต่อได้เลย เพราะรัฐบาลนี้ได้วางไว้ทั้งกฎหมาย ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บท 5 ปี ไม่มีใครมาล้มได้ เว้นแต่คิดว่าจะทำให้ดีกว่าเดิม” นายกฯ ย้ำ 
    ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้สวมแว่นกันแดดตลอดเวลาก่อนเข้างาน แต่เมื่อถึงห้องจัดงานได้เปลี่ยนมาสวมแว่นตาเลนส์ออโต้แทน และขณะที่กล่าวเปิดงานบนเวที พล.อ.ประยุทธ์ได้ถอดแว่นออก นอกจากนี้บนเวทีภายในงานได้ปรับแสงไฟลดลงด้วย ซึ่งในงานได้เปิดเพลงใหม่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้แต่งขึ้น เป็นเพลงลำดับที่ 8 ชื่อว่าเพลงวันใหม่ ประพันธ์คำร้องโดย พล.อ.ประยุทธ์ ขับร้องโดย ร.ต.พงศธร พอจิต  และ จ.ส.ต.เชิดศักดิ์ ฤทธิกรกูล 
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์จะขึ้นเวทีปราศรัยในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร.ว่า ทุกอย่างทำตามระเบียบขั้นตอนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หลัง กกต.ได้ตอบมาแล้ว ส่วนจะต้องระมัดระวังในเรื่องหมิ่นเหม่หรือไม่นั้นก็ต้องระมัดระวัง 
    สำหรับทีมรักษาความปลอดภัย (รปภ.) และทีมอารักขาที่ดูแลนายกฯ นั้น พล.อ.ประวิตรระบุว่า ไม่ไปติดตาม ก็ทำตามระเบียบหมด ซึ่งส่วนตัวไม่ห่วงเรื่องปราศรัย
แนะข้อควรระวังปราศรัย
    ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวประเด็นนี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องระมัดระวังคือ ต้องไปช่วยนอกเวลาราชการ และต้องระวังเนื้อหาสาระในการพูด ไม่ให้หรือไม่สัญญาว่าจะให้ ไม่ขู่เข็ญ ไม่พาดพิง ไม่ใส่ร้ายพรรคอื่น นอกจากนี้ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับมาตรา 78 ซึ่งสำคัญที่บอกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องวางตัวเป็นกลาง ซึ่งนายกฯ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องระมัดระวังในความเป็นกลาง ต้องไม่ใช้ตำแหน่งในการทำให้ใครได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ ซึ่งต้องระวังเอาเอง ทั้งเรื่องการใช้เวลา การใช้ทรัพย์สิน การใช้คน และการใช้สถานที่
    เมื่อถามว่า หากนายกฯ จะอ้างว่าไปช่วยหาเสียงนอกเวลาราชการ แต่ความเป็นนายกฯ ยังคงอยู่  นายวิษณุยืนยันว่า กกต.เขาตอบมาว่าได้ จะให้ทำอย่างไร ก็ต้องระวังเอาเอง ส่วนการพูดถึงนโยบายนั้น ถ้าพูดให้เป็นก็ได้ อย่าไปแนะเขาเลย ส่วนเรื่องทีม รปภ.นั้น ในวิธีปฏิบัติที่ผ่านมาในอดีต เขาจะยอมให้กับ รปภ. แต่คนอื่นไม่ได้ เพราะ รปภ.ต้องคุ้มกันนายกฯ ตลอด 24 ชั่วโมงไม่ว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์  เพราะนอกเวลายังเป็นนายกฯ อยู่ ถือเป็นความจำเป็นที่ยังต้องติดตัวนายกฯ จะในเครื่องแบบหรือนอกเครื่องแบบอะไรก็ไปจัดการกันเอาเอง ส่วนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ถ้าต้องไปก็ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกับที่คนอื่นปราศรัย
    “ผมเห็นว่าทำได้ เพราะวิธีปฏิบัติกับนายกฯ หรือรัฐมนตรีในอดีตที่ผ่านมาเขาก็ใช้กัน เรื่องนี้ไม่มีกฎหมายระบุไว้ แต่หน้าที่ของ รปภ.ต้องดูแลนายกฯ ตลอดเวลา นายกฯ ลาป่วยอยู่โรงพยาบาลต้องไปเฝ้า” นายวิษณุกล่าวและตอบคำถามถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะไปร้อง กกต.ในประเด็นเหล่านี้ ว่าไม่เป็นไร ก็เมื่อรู้อยู่แล้วว่ามีคนจ้องจับผิดก็ต้องระวังเอาเองให้ดีก็แล้วกัน ส่วนรถประจำตำแหน่งใช้ไม่ได้อยู่แล้ว
รายงานข่าวจากคณะทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์แจ้งว่า ในการขึ้นปราศรัยที่ จ.นครราชสีมาครั้งแรกในวันที่ 10 มี.ค.นั้น ได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันการร้องเรียนที่อาจผิดกฎหมายเลือกตั้ง ทั้งในเรื่องของการใช้ รปภ. รถยนต์ประจำตำแหน่ง รวมถึงเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายแล้ว โดยเสื้อผ้าจะไม่มีโลโก้ที่เกี่ยวข้องกับราชการ รวมถึงไม่มีชื่อและโลโก้ของพรรค พปชร. โดย พล.อ.ประยุทธ์จะสวมเสื้อเชิ้ตธรรมดา ส่วน รปภ.นั้นยังเป็นปกติแต่จะแต่งชุดนอกเครื่องแบบและใช้รถยนต์ส่วนตัว
    ขณะเดียวกัน นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร.กล่าวถึงการเตรียมให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.นครราชสีมาในวันที่ 10 มี.ค.ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะขึ้นเวทีปราศรัยเริ่มที่นครราชสีมา ต่อด้วยภาคอื่นๆ ต่อไป โดยพรรคจะแจ้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับทราบเพื่อพิจารณาว่าเห็นตรงกันหรือไม่  นอกจากนี้พรรคจะดูรูปแบบการปราศรัยที่ลงตัวที่สุดสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อว่าการให้ พล.อ.ประยุทธ์มาช่วยปราศรัยหาเสียงจะไม่ขัดกับคุณสมบัติแต่อย่างใด
    “เราต้องหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะมีแนวทางสื่อสารอย่างไร เปิดใจอย่างไร โดยเราจะดูรายละเอียดให้เสร็จและพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ว่าสามารถพูดในเรื่องใดได้บ้าง พรรคได้วางกรอบการหาเสียงไว้แล้วว่าจะเป็นที่ใดบ้าง เช่นเดียวกับในพื้นที่ กทม. พล.อ.ประยุทธ์ก็จะไปปรากฏตัวแน่นอน วางแผนไว้เบื้องต้นเป็นเวทีปิดท้ายวันที่ 22 มี.ค.นี้ ในระหว่างนั้นก็อาจเดินทางไปลงพื้นที่ในเขตต่างๆ บ้าง ซึ่งจะดูวันเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง” นายอุตตมกล่าว
    เมื่อถามว่า มีบางกลุ่มระบุจะเดินทางไปฟังการปราศรัยและการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์เพื่อจับผิด พรรคระวังเรื่องนี้อย่างไร นายอุตตมกล่าวว่าไม่เป็นไร เราทำตามกรอบกฎหมาย ทำทุกอย่างอย่างโปร่งใส และที่ พล.อ.ประยุทธ์จะไปปราศรัยนั้น ก็เป็นไปตามที่ กกต.ได้ตอบคำถามของพรรคมาแล้วว่าทำอะไรได้บ้าง ฝ่ายกฎหมายเราได้ติดตามดูแลอย่างรอบคอบ ส่วนการที่มีผู้ร้องเรียนนั้นถือว่าเป็นสิทธิ์  เป็นเรื่องธรรมดาของการเมือง แต่เราจะเดินหน้าทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย 
    นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการ พปชร.กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างประสานงานกับทีมงานของนายกฯ ว่าจะสะดวกในวันที่ 10 มี.ค.นี้หรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ที่ท่านจะมาตามคำเชิญ โดยรูปแบบของ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นไปใน 2 ลักษณะ คือ พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่พร้อมกับผู้สมัคร ส.ส.เพื่อพบปะกับประชาชน และการขึ้นเวทีปราศรัยตามที่พรรควางกรอบไว้
ขึ้นเวทีโคราช 17.30 น.
    “พล.อ.ประยุทธ์เป็นที่รักของประชาชน การที่มาสื่อสารพบปะประชาชนโดยตรงในฐานะแคนดิเดตนายกฯ เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ และที่ผ่านมาพรรคไม่เคยมีโอกาสแบบนี้มาก่อน จึงเป็นสิ่งที่เข้ามาเพิ่มเติมในจุดที่ขาดไปของพรรค ย่อมเป็นประโยชน์กับพรรคและ พล.อ.ประยุทธ์” นายสนธิรัตน์กล่าว
    นายวิรัช รัตนเศรษฐ แกนนำพรรค พปชร.และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรับผิดชอบพื้นที่ 4  จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากพรรคให้เตรียมการจัดเวทีปราศรัยในวันที่ 10 มี.ค.นี้ ที่ตลาดเซฟวัน อ.เมืองนครราชสีมา เพื่อต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นปราศรัย  ขณะเดียวกันแกนนำของพรรคจะเดินทางมาร่วมด้วย เช่นเดียวกับผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมาทั้ง 14 เขต และผู้สมัครจากจังหวัดต่างๆ โดยคาดว่าจะมีประชาชนมาฟังปราศรัยไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคน ทั้งนี้กำหนดการจะเริ่มขึ้นในเวลา 16.00 น. ส่วนกำหนดการปราศรัยเบื้องต้นของ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นเวลา 17.30  น. แต่ต้องดูความเหมาะสมอีกครั้ง
    ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวเรื่องนี้ว่าไม่รู้สึกกังวล แต่ขอให้การดำเนินการทุกอย่างอยู่ในกรอบของกฎหมาย โดย กกต.ต้องดูให้เกิดความเป็นธรรมว่าการไปปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เวลาราชการหรือใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่หรือไม่ หากไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ส่วนที่มองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์ (ดีเบต) แต่กลับไปเวทีปราศรัยนั้นก็ถือเป็นสิทธิ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ 
    นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การปราศรัยพบปะพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งที่ควรกระทำรวมถึงการดีเบตด้วย แต่ไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นแต่เวทีปราศรัย แต่อยากให้ขึ้นเวทีดีเบตด้วย เพราะจะได้แสดงวิสัยทัศน์ว่า 4 ปีจากนี้ไปจะนำพาประเทศไปอย่างไร ปัญหาในประเทศที่เกิดขึ้นตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ทุกคนเห็นว่าเป็นปัญหา หากเห็นว่าไม่เป็นปัญหาก็ควรมาชี้แจงว่าเป็นอย่างไร
    นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีอำนาจจะไปห้ามได้ แต่อยากจะบอกว่าวันนี้ใส่หมวก 3 ใบ หมวกของหัวหน้า คสช. หมวกของหัวหน้ารัฐบาล และหมวกแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งหมวก 3 ใบนี้มีอำนาจหน้าที่ที่ขัดแย้งทางผลประโยชน์กันเอง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ควรลาออกจากการเป็นนายกฯ และหัวหน้า คสช.เพื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ เท่าเทียมคนอื่น
    ด้านนายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ขอต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์สู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว จากนี้ไปประชาชนคงได้เห็นลีลาการปราศรัยและการโชว์วิสัยทัศน์บนเวทีการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เชื่อว่าคงไม่มีอะไรน่าแปลกใจหรือแตกต่าง เพราะได้เห็น พล.อ.ประยุทธ์พูดคนเดียวบนหน้าจอทีวีมาเกือบ 5 ปีแล้ว พูดแบบไม่มีใครถาม ไม่มีใครโต้เถียง  อยากพูดอะไรก็พูด ไม่แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์เลือกไม่ร่วมเวทีดีเบต เพราะดูแล้วคงไม่ถนัดหากมีคนมาถามมีคนมาตอบโต้
    “ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมาพูดในสถานะใด ก็คงไม่มีความผิดอะไร เพราะเนติบริกรของรัฐบาลช่วยตีความให้ทุกการกระทำไม่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว”นายก่อแก้วกล่าว
    นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ (พ.ช.) กล่าวว่า เมื่อ กกต.ให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยได้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ก็ไม่อยากกินแรงสมาชิกพรรค ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่แปลก เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นด้วยซ้ำ 
    วันเดียวกัน นายวิษณุได้ชี้แจงถึงข้อโต้แย้งจากหลายฝ่ายเกี่ยวกับสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ว่า จะไม่ไปตอบโต้อะไร แต่จะอธิบายคำว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐมี 2 ความหมายที่ใช้ในรัฐธรรมนูญ คือ 1.เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นความหมายทั่วไป และ 2.เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นความหมายตามมาตรา 98 (15) สำหรับความหมายทั่วไปนั้นไม่ว่าเป็นตนเอง หรือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์  หรือนายกฯ ฯลฯ ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 
ยันนายกฯ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
    “ผมไม่เคยบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ท่านเป็นตามมาตรา 98 (12)  ดังนั้นเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่เคยพูดกลับไปกลับมา ไม่เคยตอบว่าวันหนึ่งนายกฯ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มาอีกวันหนึ่งบอกว่าไม่ได้เป็น เพราะถึงอย่างไรนายกฯ ก็เป็น ท่านเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ เพราะเป็นนายกฯ ถ้านายกฯ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วจะเป็นอะไร การที่มีคนบอกว่าถ้าอย่างนั้นนายกฯ ลงสมัครหรือรับการเสนอชื่อไม่ได้นั้น มันไม่ใช่ รัฐธรรมนูญเขายกเว้น เพราะท่านเป็นข้าราชการการเมือง ที่บอกว่านายกฯ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในความหมายของการเป็นนายกฯ  เพราะเป็นข้าราชการการเมือง ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ” นายวิษณุอธิบาย
    รองนายกฯ กล่าวต่อว่า บังเอิญรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (12) ระบุไว้ว่า คนที่จะสมัคร ส.ส.หรือ ส.ว. หรือผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ต้องไม่ขัดกับมาตรา 98 (12) ที่เขียนว่าต้องไม่เป็นข้าราชการ ยกเว้นข้าราชการการเมือง ซึ่งนายกฯ เป็นข้าราชการการเมือง เพราะฉะนั้นจึงได้รับการยกเว้นว่าสามารถเสนอชื่อนายกฯ คนปัจจุบันไปเป็นว่าที่นายกฯ ได้ แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรานี้ ปัญหาต่อไปคือ กรณีตามมาตรา 98 (15) เขียนว่าต้องไม่เป็นลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งนายกฯ เมื่อไปเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 98 (12) แล้ว ก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องตามมาตรา 98 (15) ปัญหาก็จะมีเกี่ยวกับตำแหน่งหัวหน้า คสช.อีก ว่าหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ ซึ่งได้ตอบไปแล้วว่าในความคิด มาตรา 98 (15) ระบุไว้แล้วว่าต้องไม่เป็นพนักงาน ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ซึ่งเรื่องนี้เคยมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2543 วินิจฉัยว่า คำว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในมาตรา 98 (15) นี้ไม่ได้หมายความถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วๆ  ไปทั้งหลาย เพราะเจ้าหน้าที่ทั่วไปนั้นไปอยู่ในวงเล็บอื่นหมดแล้ว
    “ตำแหน่งใน คสช.ไม่ใช่ข้าราชการการเมืองก็ไม่ได้รับการคุ้มครอง ก็อาจคิดกันว่าเมื่อไม่ได้เป็นข้าราชการก็ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ แต่จะมาติดตรงมาตรา 98 (15) ซึ่งต้องมาตีความกันในมาตรานี้ คราวนี้สุดแล้วแต่จะไปแปลหรือไม่ตีความกัน ถ้าใครสงสัยก็ส่งให้ กกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ผมจะตอบถูกหรือผิดไม่แปลก แต่ไม่สามารถถือเป็นคำวินิจฉัยได้” นายวิษณุกล่าว
    ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทษช.ได้เดินทางมายื่นเอกสารเพิ่มเติม กรณีที่เคยมาร้อง พล.อ.ประยุทธ์ว่าเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ไม่สามารถรับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ของพรรค พปชร.ได้ โดยได้นำเอกสารของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  ที่เคยตอบกลับกรณีขอให้หัวหน้า คสช.และ คสช.ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินเช่นเดียวกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แต่ ป.ป.ช.ตอบกลับมาว่าตำแหน่ง คสช.เทียบเคียงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ  (คมช.) สมัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน แต่ไม่ได้บอกว่าหัวหน้า คสช.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ดังนั้นใครที่จะเอาหนังสือ ป.ป.ช.มาบอกว่า ป.ป.ช.ตีความแล้วว่าหัวหน้า คสช.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐจึงไม่ถูกต้อง
    “เรื่องนี้เมื่อเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงอยากให้ กกต.ส่งศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่” นายเรืองไกรระบุ
    นายอภิสิทธิ์กล่าวเรื่องนี้ว่า นายกฯ เป็นข้าราชการการเมือง และในฐานะที่เคยศึกษากฎหมายมาพอสมควรก็เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นบุคคลที่มีเงินเดือนประจำและสามารถใช้อำนาจรัฐได้ แต่ไม่ชัดเจนว่าหัวหน้า คสช.เป็นตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่
ห้อยติ่งทำเลือกตั้งโมฆะ!
    ส่วนนายภูมิธรรมกล่าวว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์มั่นใจก็ออกมาอธิบายด้วยตัวเองเลยว่าเป็นหรือไม่เป็น ใช่หรือไม่ใช่ หากมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ก็ควรตัดสินใจทำให้ทุกอย่างแจ้งชัดขึ้นก็จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย และ กกต.ก็มีหน้าที่ทำให้ทุกอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้การเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้วมีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา กกต.อาจเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
    นายจตุพรกล่าวว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยเรื่องสถานะการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จะเป็นปัญหาผูกพันไปถึงวันเลือกตั้ง ถ้ามีการวินิจฉัยภายหลังว่าคู่แข่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐนั้นอาจนำพาไปสู่การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน ดังนั้นวันนี้ยังมีความเชื่อว่าประเด็นเรื่องคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์เหมือนต้องการทิ้งติ่งเอาไว้ และเมื่อพรรค พปชร.แพ้การเลือกตั้งอาจนำไปสู่แนวทางนั้นได้
    ส่วนการเรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นั้น นายวิษณุกล่าวว่ายังไม่เปิดรายชื่อวันนี้ แต่วันหนึ่งก็รู้เอง อีกไม่นานก็รู้ และไม่มีอะไรห้ามว่าจะเปิดหรือไม่เปิดเมื่อไหร่  ทั้งนี้คณะกรรมการสรรหา ส.ว.จะส่งรายชื่อบุคคลที่คัดเลือกแล้วทั้ง 400 คนให้ คสช.ในวันที่ 9 มี.ค.เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 194 คน 
    ขณะที่นายภูมิธรรมกล่าวว่า อยู่ระหว่างให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบเรื่องความเป็นกลางของคณะกรรมการที่จะมาทำหน้าที่สรรหา ส.ว.หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีการตั้ง พล.อ.ประวิตรที่เป็นประธาน เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรเองก็ทำให้หลายเรื่องอึมครึมมากพออยู่แล้ว อย่าทำเรื่องนี้ให้อึมครึมเพิ่มเลย ดังนั้นอยากให้ท่านชัดเจน ใครจะเป็นกรรมการก็ไม่อยากให้ท่านเก็บเป็นความลับ จะประชุมกันที่ไหนก็พยายามทำให้ชัด ให้ทุกคนได้เห็นว่าท่านกำลังทำหน้าที่เป็นกลางในการคัดเลือกบุคคลเข้ามาเป็น ส.ว.

เตือนนังไงก็ไม่ฟัง

เหลืออีก 19 วัน พี่น้องประชาชนชาวไทย 51 ล้านคนจะออกไปแสดงพลังใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ

เพื่อสร้างสถิติใหม่ เป็นการเลือกตั้ง ส.ส.ที่มีผู้ไปหย่อนบัตรเลือกตั้งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ช่วงวอร์มอัปก่อนเลือกตั้ง สำนักโพลต่างๆไปถามความเห็นประชาชนถึงเหตุผลในการตัดสินใจลงคะแนนเลือกผู้สมัครพรรคใด??

ปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ตอบตรงกันว่าจะพิจารณาจากนโยบายพรรคเป็นหลักสำคัญ

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าศึกเลือกตั้งครั้งนี้ พี่น้องประชาชนคงตัดสินใจลำบากแน่นอน

เพราะนโยบายหาเสียงทุกพรรคไม่แตกต่างกันเลย

ทุกพรรคก๊อบปี้ตำราเดียวกัน คือเน้นนโยบายประชานิยมรัฐสวัสดิการเป็นใบเบิกทาง

นโยบายหลักประกันสุขภาพ นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เริ่มมาจากยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย

วันนี้ทุกพรรคประกาศพร้อมเดินหน้าต่อไปและให้มากกว่าเดิม

นโยบายเรียนฟรี นโยบายเบี้ยยังชีพ คนชรา ซึ่งเริ่มจากยุครัฐบาลประชาธิปัตย์

วันนี้ทุกพรรคประกาศเดินหน้าต่อไป แต่จัดหนักยิ่งกว่าเดิม

นโยบายบัตรเครดิตคนจนของรัฐบาลนายกฯลุงตู่

ทุกพรรคยืนยันจะไม่ยกเลิกแน่นอน แต่จะทุ่มงบอัดฉีดแจกฟรีเพิ่มขึ้นอีกก้อนโต

นโยบายกัญชาเสรี ที่พรรคภูมิใจไทยริเริ่มเป็นเจ้าแรก วันนี้พรรคการเมืองอื่นๆ ต่างสมาทานนโยบายกัญชาเสรีส่งเสริมกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของไทย

ทุกพรรคชูนโยบายกัญชาเสรีกันอย่างพร้อมเพรียง

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำอีกครั้งว่าศึกเลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้ ทุกพรรคชูนโยบายประชานิยมสุดลิ่มทิ่มประตู

แข่งกันเสนอนโยบายประชานิยมว่าใครจะกล้าแจกฟรีมากกว่ากัน

โดยไม่คำนึงว่าจะหาเงินอัดฉีดจากไหนไปประเคนแจกฟรีได้ครบทุกโครงการ

ซึ่งต้องใช้งบอัดฉีดมากมโหฬารหลายแสนล้านบาทต่อปี

ไม่กี่วันก่อน นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาเตือนสติพรรคการเมือง ให้หยุดแข่งขันเสนอนโยบายรัฐสวัสดิการแจกฟรีไม่บันยะบันยัง

เพราะงบประมาณรายจ่ายประเทศแต่ละปีมีจำนวนจำกัด

มีงบสำหรับใช้ด้านรัฐสวัสดิการแจกฟรีไม่เกินปีละ 1 แสนล้านบาทโดยประมาณ

หากตะบี้ตะบันแจกฟรีไร้ขีดจำกัด อาจกระทบต่อรายได้ของรัฐบาล กระทบต่อวินัยการเงินการคลัง

“แม่ลูกจันทร์” ยํ้าว่าขณะนี้ยอดหนี้สาธารณะหรือหนี้รัฐบาลเมื่อสิ้นปี 2561 บานทะโร่ไปถึง 6.83 ล้านล้านบาท

ใกล้จะทะลุเพดาน 7 ล้านล้านบาทเข้าไปเต็มทน

คาดว่าหลังเลือกตั้งไม่ว่าพรรคไหนเป็นรัฐบาลจะต้องเดือดร้อนจากนโยบายแจกฟรีสารพัดโครงการที่หาเสียงไว้บานตะไท

เพราะรายได้จากภาษีจากประชาชนไม่เพียงพอกับรายจ่ายมหาศาลจากโครงการประชานิยมรัฐสวัสดิการอย่างแน่นอน

สุดท้าย...อาจต้องขึ้นภาษีแวตแก้ขัดหนักขัดเบา

ไม่เชื่อก็คอยดู.

“แม่ลูกจันทร์”

เป็นต่อในเชิงปฏิบัติ

“วันใหม่” ซิงเกิลล่าสุดเพลงที่ 8 โหมโรงโปรโมตคิวพระเอก “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. เตรียมกระโดดขึ้นเวทีปราศรัย “เชียร์แขก” ช่วยพรรคพลังประชารัฐ

ประเดิมเวทีแรก “เมืองย่าโม” โคราช บ้านเกิดของ “นายกฯลุงตู่”

บุกประตูอีสาน ฐานใหญ่ที่มีจำนวนผู้แทนราษฎรมากสุด

ทีเด็ด ทีมยุทธศาสตร์ “เซียนเลือกตั้งอาชีพ” พลังประชารัฐมั่นใจ “ลุงตู่” กวาดแบบม้วนเดียวจบ

ประเภทที่สบประมาท ขาใหญ่พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย เบิ้ลบลัฟกันไว้ในทำนอง ถ้า “ลุงตู่” ขึ้นเวทีเมื่อไหร่จะเป็น “ตัวช่วย” ทำคะแนนไหลกลับไปที่คู่แข่งขัน

ปากกล้า “ขาสั่น” เป็นแถวก็แล้วกัน

ในสถานการณ์ที่ทีมยุทธศาสตร์การเมืองพลังประชารัฐ ชัวร์เลยว่า “นายกฯลุงตู่” คนเดียวเอาอยู่

นั่นหมายถึงไม่จำเป็นต้องใช้ “ไพ่เด็ด” อีกใบตีลงมาวัดเดิมพัน โดยรูปการณ์ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ มือยุทธศาสตร์ตัวจริงเบื้องหลังทีมหนุน “ลุงตู่” คงไม่ถึงขั้นต้องไขก๊อกออกมาช่วย เสี่ยงต่อการทิ้งหน้าที่คุมหางเสือเศรษฐกิจที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

ณ วันนี้ความมั่นใจของนักลงทุนอยู่ที่ “สมคิด” คนเดียว

ถ้ากัปตันทีมเศรษฐกิจโดดมาลุยกับทีม 4 กุมาร เกมหน้าตักหนุน “ลุงตู่” แบบขาลอยจากรัฐบาลกันหมด เกิดเหตุพลิกผัน ปัจจัยแทรกซ้อนอะไรขึ้นมา เศรษฐกิจแกว่งเป็นลูกข่างแน่

เกมที่เลือกแล้ว “ลุงตู่” เดินสายเดี่ยวไมโครโฟน ไม่สนเวทีดีเบตตามเทรนด์ฮิต

ทั้งๆที่ว่าไป เกมดีเบตในมุมสากลก็เข้าใจได้ การแข่งโชว์วิสัยทัศน์ให้ประชาชนได้เปรียบเทียบก่อนเลือก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าสถานการณ์การเมืองแบบไทยๆมันอยู่วนเวียนอยู่ในภวังค์ความขัดแย้งแบบฝังรากลึก ความแตกแยกแฝงอยู่ในทุกอณู

เวทีดีเบต คู่ขัดแย้งด่ากันออกจอ มันยิ่งตอกลิ่มแค้นชิงชัง

โดยรูปแบบการดีเบตแบบไทยๆส่วนใหญ่ก็จับเอาคนพูดเก่งๆมาโต้วาทีกันไปโต้วาทีกันมา

แค่งัดกึ๋นกันไม่กี่นาที ใครลีลาโวหารดีก็ได้เปรียบไป

แต่โดยแก่นแท้จริงๆคำพูดหรูๆนโยบายดีๆ มันไม่เท่าความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติได้จริงสักแค่ไหน

ตัวอย่างพระเอกเวทีดีเบตที่ฮอตกว่าใคร “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ความใหม่ ความแปลก ตรงตามยุคสมัยเลือกตั้งในโลกออนไลน์กำลังบูม

ภาพหรู วิธีคิดโดนใจเกรียนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบโบราณ

แต่เทียบกับสถานการณ์โลกแห่งความเป็นจริง แนวคิดยกเลิกเกณฑ์ทหาร ตัดงบฯกองทัพมาพัฒนาการศึกษา ไปสร้างโรงพยาบาล มองความมั่นคงกองทัพไม่จำเป็นแล้วในโลกปัจจุบัน

ก็เพิ่ง 2–3 วันนี้ อินเดียกับปากีสถานเปิดฉากซัดกันสั่นไปทั่วโลก สะท้อนสถานการณ์หัวเชื้อสงครามเย็นที่โยงกับสงครามเศรษฐกิจ ดุลอำนาจทางทหารเป็นเงื่อนไขสำคัญในการต่อรองดุลอำนาจประเทศ

ความเป็นรัฐนั้นมีหลายมิติ มองแบบเด็กเอาแค่มันไม่ได้

ในเครื่องหมายคำถาม โดยลำพังวัยและวุฒิภาวะของธนาธรเสียงอนาคตใหม่เพียงพอหรือในการนำประเทศไทยท่ามกลางโลกแห่งความจริงที่อันตรายและโหดร้ายมากกว่าโลกสวยของเด็กรุ่นใหม่

ไม่ต้องอะไรมาก แค่ข้าราชการเขี้ยวๆก็ไม่ฟังเด็กอมมืออยู่แล้ว

หันมาที่เซียนบริหารยี่ห้อ “ทักษิณ” จุดขายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยและทีมงานดูไบ

รอบนี้พึ่ง “บุญเก่า” หมดมุกปล่อยของนโยบายใหม่ เพราะชนักปักหลังนโยบายจำนำข้าวที่เคยโกยคะแนนถล่มทลาย แต่ก่อความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินนับแสนล้านบาท

อาการแบบที่ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” แคนดิเดตนายกฯ แกร่งสุดในปฐพี รีบชิ่งจำนำข้าว ไม่เอาอีกแล้ว

และโลกแห่งความเป็นจริง “ทักษิณ” กลับมาบริหารเองไม่ได้

มือไม้สำคัญระดับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ วราเทพ รัตนากร สมศักดิ์ เทพสุทิน” ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในทีมแล้ว รวมถึงข้าราชการทหารแตงโม ตำรวจในคาถา บิ๊กข้าราชการกระทรวงต่างๆที่วางฐานฝังรากไว้ ก็โดนถอนรากถอนโคนหมด

ถ้าเป็นรัฐบาลนอมินีแกร่งสุดในปฐพี ก็ต้องโหลดโปรแกรมคำสั่งจากดูไบ

หนีไม่พ้นสังคมหวาดระแวง เจ๊ๆเฮียๆสอดมือเข้ามาล้วง

เทียบสถานการณ์กับ “ลุงตู่” อยู่มา 5–6 ปี วางฐานยุทธศาสตร์ชาติยาวไปอีก 20 ปี

โดยแผนการพัฒนาการทางเศรษฐกิจระยะยาว ได้ “สมคิด” เป็นคนปลุกปั้นเมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) รถไฟความเร็วสูงไทย–จีน รถไฟฟ้าสารพัดสีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปักหมุดลงเสาเข็มก่อสร้าง รอการใช้งานในอีกไม่กี่ปี

ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน ไร้ปมฉาวชักหัวคิวร้อยละ 30

ปลอดจากโกงกินเชิงนโยบายเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน กระทบจีดีพี

ที่สำคัญทหาร ตำรวจ ข้าราชการมหาดไทย กระทรวงทบวงกรมต่างๆ ที่ยึดโยงกับระบอบทักษิณ ถูกรื้อ จัดระเบียบใหม่หมด

“ลุงตู่” สามารถตีตั๋วไปต่อเลย ไม่ต้องเสียเวลาแวะเปลี่ยนขบวน.

ทีมข่าวการเมือง