PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2562

จับตาภูมิใจไทย

เปรียบมวยให้ถูกคู่!
โดย สิริอัญญา 
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562

อีก 20 กว่าวันก็จะถึงวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว เป็นการเลือกตั้งที่เห็นภาพชัดเจนขึ้นทุกทีว่าการเมืองไทยกำลังออกแบ่งเป็นสามก๊กหรือสามขั้ว คือขั้วเพื่อไทย ขั้วพลังประชารัฐ และขั้วประชาธิปัตย์ 

โดยมีพรรคการเมืองอีกหลายพรรคที่มีท่าทีชัดเจนว่าจะสนับสนุนก๊กใดหรือขั้วใดซึ่งก็รู้ ๆ กันอยู่ ยกเว้นพรรคภูมิใจไทยซึ่งกำลังผงาดขึ้นและความนิยมกำลังพุ่งแรง โดยอาศัยกระแสรณรงค์เปิดเสรีกัญชา และอีกพรรคหนึ่งคือพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งพุ่งแรงเพราะกำหนดเป้าหมายในการรณรงค์ถูกเป้าเข้าจุด คือวางจุดหนักไว้ที่เยาวชนอายุ 18-25 ปี ซึ่งมีจำนวนกว่า 7 ล้านคน 

พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคชาติพัฒนาและพรรคชาติไทยพัฒนา ได้นำเสนอหัวหน้าพรรคของตนหรือบุคคลสำคัญระดับแกนนำพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค ดังนั้นการหาเสียงจึงมุ่งเป้าเข้าจุดทั้งระดับนายกรัฐมนตรีและระดับพรรค 

คงมีบางพรรคที่ไม่ได้เสนอชื่อหัวหน้าพรรคของตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี คือบางพรรคก็ไม่ได้เสนอผู้ใด บางพรรคก็ไปเสนอคนภายนอก ได้แก่พรรคพลังประชารัฐ ที่ไปเสนอพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี 

ดังนั้นในยามสถานการณ์ใกล้เลือกตั้งเต็มทีนี้ ก็พอจะคาดหมายได้ว่าอนาคตทางการเมืองของประเทศจะมีก๊กหลักที่ชิงกันจัดตั้งรัฐบาลก็คงหนีไม่พ้นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ โดยขณะนี้สุ้มเสียงเริ่มถูกสังคมกดดันให้พูดคล้ายกันแล้วว่าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรมีความชอบธรรมที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล 

ดังนั้นระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ ใครจะรวบรวมพันธมิตรให้เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ย่อมมีโอกาสที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล 

สำหรับพรรคพันธมิตรของแต่ละก๊กแต่ละก๊วนนั้นจำเป็นจะต้องเปรียบมวยให้ถูกคู่ ซึ่งเห็นว่ามีอยู่สองคู่ใหญ่ ซึ่งผลการเลือกตั้งจะส่งผลต่อก๊กหลักด้วย ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องเปรียบมวยจากกลุ่มพันธมิตรเพื่อให้เห็นภาพการเมืองไทยชัดเจนขึ้นในอีกภาพหนึ่ง  

มวยคู่แรก คือพรรครวมพลังประชาชาติไทยกับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งพรรครวมพลังประชาชาติไทยนั้นสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่ประกาศสนับสนุนหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ชัดเจนว่ายังคงเป็นพรรคพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยอย่างแนบแน่นด้วย 

ระหว่างสองพรรคนี้พรรคไหนจะได้ ส.ส. มากกว่ากัน มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบดังนี้ 

ประการแรก พรรครวมพลังประชาชาติไทยสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับอยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นผู้ที่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงย่อมสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐโดยตรงมากกว่าที่จะไปสนับสนุนทางอ้อม และที่สำคัญ พรรครวมพลังประชาชาติไทยไม่ได้นำเสนอนโยบายใด ๆ ที่เห็นว่าหลักแหลมหรือพอที่จะบริหารบ้านเมืองได้ คงหาเสียงอยู่ประการเดียวคือจะได้ร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ 

ประการที่สอง พรรคอนาคตใหม่สนับสนุนหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี มีเป้าทางการเมืองชัดเจน มุ่งที่คนรุ่นใหม่ 7 ล้านคน ทำให้กระแสพรรคขยายวงกว้างเป็นกระแสสูง และความนิยมของพรรคติดลำดับหนึ่งในโซเชียลมีเดียในหลายๆ เรื่อง 

ดังนั้นถ้าเปรียบคู่มวยระหว่างพรรครวมพลังประชาชาติไทย กับพรรคอนาคตใหม่แล้วก็ส่อว่าพรรคอนาคตใหม่น่าจะได้ ส.ส. มากกว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยในระดับน่าจะเกิน 10 คนขึ้นไป 

มวยคู่ที่สอง ได้แก่พรรคภูมิใจไทย กับพรรคชาติพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป ซึ่งความจริงทั้งสี่พรรคนี้มีข่าวคราวหลายกระแสว่าล้วนสนับสนุนและเป็นพันธมิตรของพรรคพลังประชารัฐด้วยกันทั้งสิ้น แต่ระยะหลังนี้ท่าทีของพรรคภูมิใจไทยมีความชัดเจนมากขึ้นโดยลำดับว่า มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นและกำลังจะเป็นอีกขั้วหนึ่งที่ไล่ตามติด ๆ กับพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ 

นายเนวิน ชิดชอบ เคยกล่าวด้วยความมั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้ ส.ส. ไม่น้อยกว่า 70 คน และมั่นใจถึงขนาดกล่าวกับคณะทำงานรณรงค์เสรีกัญชาว่าถ้าได้ต่ำกว่า 70 คน ก็ให้เอาตีนมาเหยียบหน้าได้เลย และถ้าหากพรรคภูมิใจไทยได้ ส.ส. 70 คน ก็จะมีฐานะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล อาจถึงขนาดที่ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองพลิกผัน แล้วผลักดันให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นนายกรัฐมนตรีชนิดเหนือความคาดหมายก็เป็นได้ 

หากจะเปรียบเชิงมวยระหว่างกลุ่มพรรคดังกล่าวก็พอจะประมาณสถานการณ์ได้ดังนี้ 

ประการแรก พรรคชาติพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป ค่อนข้างชัดเจนว่าสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ต้องการสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมไปเทคะแนนเสียงให้พรรคพลังประชารัฐโดยตรงมากกว่าที่จะลงคะแนนเสียงกระจัดกระจายให้เป็นเบี้ยหัวแตก 

ดังนั้นธงการเมืองของกลุ่มพรรคนี้จึงทำลายตัวเองอยู่ในที เพราะยิ่งรณรงค์มากเท่าใด ผู้คนก็จะไปลงคะแนนให้กับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งขณะนี้ก็เห็นชัดแล้วว่ากระแสเป็นประการใด 

ประการที่สอง สำหรับพรรคภูมิใจไทยนั้นได้ชูธงเสรีกัญชาและได้รับการขานรับอย่างเอิกเกริกกึกก้องพลิกความคาดหมายทั้งปวง เพราะภาคเกษตรหลายสิบล้านคนก็ดี ภาคผู้ป่วยมะเร็งและเครือญาติ และภาคประชาสังคมที่รณรงค์เรื่องเสรีกัญชาก็ดี รวมกันแล้วเกือบ 30 ล้านคน ที่สนับสนุนนโยบายเสรีกัญชา จึงทำให้คะแนนนิยมและกระแสนิยมของพรรคภูมิใจไทยพุ่งกระฉูด 

ดีไม่ดีพรรคภูมิใจไทยอาจจะได้ ส.ส. มากกว่า 3-4 พรรคดังกล่าวรวมกัน และนั่นหมายถึงการพลิกผันครั้งสำคัญของการเมืองไทยที่น่าจับตายิ่ง!

ไม่มีความคิดเห็น: