PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

จว.ทหารบกให้หน.ศาลไปตั้งแถวรับ ผช.ผบ.ทบ.

หนังสือจากจังหวัดทหารบกเชียงราย ส่ง ถึง หัวหน้าศาลจังหวัดเชียงราย ให้นำ ขรก.ศาลในสังกัด มารับและส่ง ผช.ผบ.ทบ./ถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะ


สุริยะใส: รถไฟรางคู่ สหรัฐ จีน ไทย

อย่าให้รถไฟรางคู่ วิ่งชนคูหาเลือกตั้ง!
ไทยเรานั้นไม่ใช่แค่เป็น ศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน อินโดจีน และเมืองหลวง AEC เท่านั้น แต่ยังอยู่ ท่ามกลางสงครามทางยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจโลก โดยเฉพาะการปะทะสังสรรค์กันระหว่าางสหรัฐกับจีน ที่พักหลังๆปะทะกันมากกว่าสังสรรค์
ภาพเมื่อวานที่ บิ๊กตู่ กระชับสัมพันธ์กับจีนทำ MOU รถไฟรางคู่ในไทย บวกกับเตรียมทำ MOU กับบริษัทหัวเหว่ย ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมของรัฐบาลจีน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตัล
เมื่อวานเช่นเดียวกันก็พลันมีปฏิกิริยาจากโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐจวกรัฐบาล คสช.ว่า "โง่และไม่ฉลาด" ที่ยื้อเลือกตั้งไปปี 59 หลังจากทูตสหรัฐเข้าฟังการชี้แจงจากรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม
จริงๆ แล้วเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐ ปัญหาคือเขาสามารถคอนโทรลหรือครอบงำรัฐบาลนั้นๆ ได้หรือไม่ รัฐบาลในหลายประเทศที่สหรัฐครอบงำและมีอิทธิพลเบื้องหลังเป็นรัฐบาลเผด็จการไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็ยังมี
เอาหละ! ประเด็นสำคัญคือ MOU รถไฟรางคู่ ไทย-จีน และต่อไปคือแผนการปรับเป็นรถไฟความเร็วสูง ในทางยุทธศาสตร์จีนก็ได้เต็มๆ เพราะจีนต้องการระบายคนจีนและอารยะธรรมแบบจีนลงมาทางใต้ฝั่งอาเซียนใจจะขาด เพราะฝั่งตะวันตกของจีนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำมาหากินไม่ได้อยู่แล้ว
ผมไม่เห็นด้วยถ้าเราต้องเลือกและวางน้ำหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง และควรเลิกวิธีคิดแบบคบไปเรื่อย สหรัฐรุ่งเรืองเราก็วิ่งหาเขา พอสหรัฐรุ่งริ่ง จีนรุ่งโรจน์เราก็หันหลังให้สหรัฐไปคบจีน ไม่เป็นตัวของตัวเองเสียที
สถานการณ์โลกในขณะนี้โอกาสของไทยเรา ต้องบอกว่าเปิดกว้างขึ้น เมื่อดุลอำนาจโลกเริ่มเปลี่ยนในหลายมิติ จัดความสัมพันธ์ ดุลความเป็นมิตรให้ดี อย่าให้รถไฟความเร็วสูงวิ่งชนคูหาเลือกตั้ง สับรางให้เป็น
และด้วยความที่เราเป็นทั้ง "ศูนย์กลาง" และ "ท่ามกลาง" ของหลายอย่าง ต้องตั้งหลักเลือกเป็นไทย สร้างไทยให้มีที่ยืนในเวทีโลก โดยไม่เป็น "เมืองพึ่ง" ของใคร "พึ่งพาตัวเอง" เป็นหลัก ผมว่าสำคัญที่สุดครับ...


อานันท์ : หว่งเรื่องชนชั้นประเทศไทย

24 พ.ย.  2557   นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ  เสวนาในงานสัมมนาประจำปีของทีดีอาร์ไอ เรื่อง "ประเทศไทยในสามทศวรรษหน้า : สี่ความท้าทายเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ" ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์  ตอนหนึ่งมีใจความว่า  ประเทศไทยมีความขัดแย้งมากขึ้นช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต้องจับประเด็นให้ถูกก่อน ต้องมองว่าความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องชนชั้น คนกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด อุดมการณ์ทางศาสนา เพราะเหล่านี้คล้ายๆ กับหลายๆ ประเทศทั่วโลก แต่เห็นว่าเกิดจากความเหลื่อมล้ำในทุกๆ ด้าน ทั้งฐานะ อำนาจ โอกาส สิทธิ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกขณะนี้ ไม่ใช่เรื่องซ้ายขวา    แต่เป็นเรื่องของข้างบนกับข้างล่าง ไม่ได้เกี่ยวกับความร่ำรวยเลย เพราะทั้งสองฝั่งต่างมีทั้งคนรวยกับคนจน อย่างสเปนก็มีปัญหานี้เช่นกัน

ฝ่ายข้างบนจะรับฟังปัญหา ข้อเรียกร้องจากข้างล่างได้มากแค่ไหน ฝ่ายข้างบนต้องใจกว้างขึ้น เพราะหากไม่ปรับตัวให้ฝ่ายข้างล่างรู้สึกว่าเข้าใจ พร้อมที่จะฟัง หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่คิด ความขัดแย้งก็ยังคงมีอยู่ ต้องยอมให้ข้างล่าง เพราะฝ่ายข้างบนได้สิทธิพิเศษเหนือข้างล่างมานานแล้ว เห็นได้จากความร่ำรวย อำนาจ กระจุกอยู่ฝ่ายข้างบน และอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้กระจายไปสู่ต่างจังหวัด ดังนั้น รัฐต้องพิจารณาให้ต่างจังหวัดสามารถบริหารจัดการด้านต่างๆ กันเอง รัฐต้องเปิดใจกว้างให้มากกว่านี้ ฟังให้มากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความแบ่งปันกัน อยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ ต้องแบ่งปันอย่างเป็นธรรมทั่วประเทศ ต้องมองปฏิรูปเป็นกระบวนการ ไม่มีจบ  

ดังนั้นอย่าคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญ หรือเลือกตั้งแม้จะดีอย่างไร ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในเมืองไทยได้ทั้งหมด เพราะยังมีอีกหลายเรื่อง ทั้งความอิสระของสื่อ ความเที่ยงธรรมของศาลยุติธรรม สิทธิการแสดงความคิดเห็นต่างๆ รวมถึงปัจจัยความสำคัญเรื่องความเหลื่อมล้ำ และความไม่ยุติธรรม คงต้องแก้ไขควบคู่กันไปกับการปฏิรูป

ติ๋ม ทีวีพูล เจ้าแม่ธุรกิจบันเทิงผู้สร้างเม็ดเงิน 400 ล้านต่อปี!!

ที่มา : นิตยสารWho

เจ้าแม่ธุรกิจบันเทิงผู้สร้างเม็ดเงิน 400 ล้านต่อปี!!

- เปิดคอนโดหรูใจกลางเมืองของเจ้าแม่วงการบันเทิง “ติ๋ม ทีวีพูล”
- ครั้งแรกของการเยือนเรือนหอและเผยเรื่องราวชีวิตนอกจอกับสามี พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการ รมว.กลาโหม
- อีก 5 ปี รีไทร์ โอนถ่ายธุรกิจ 400 ล้านแก่ทายาท!!

เพราะประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมานานหลายสิบปี พรรทิภา สกุลชัย จึงถูกยกให้เป็น “เจ้าแม่” ของคนวงการบันเทิงไปโดยปริยาย จะด้วยนัยที่หมายถึงบุคคลซึ่งมีอิทธิพลและให้คุณให้โทษแก่ดาราหรือคนในวงการบันเทิงก็สุดแล้วแต่...ทว่าหากถามความรู้สึกของ “ติ๋ม ทีวีพูล” เจ้าของฉายาดังกล่าวแล้ว เธอไม่ยี่หระกับบทบาทเจ้าแม่สักเท่าไร

ทันทีที่ผละจากภารกิจอันยุ่งขิงในแต่ละวันได้ คุณติ๋มหรือพี่ติ๋มของน้องๆ ก็เตรียมพร้อมสำหรับการสนทนาเรื่องราวต่างๆ ควบคู่กับการพาชมเรือนหอหลังใหม่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมหรู
ย่านราชดำริ บนพื้นที่ใช้สอยกว่า 480 ตารางเมตร

เจ้าของอาณาจักรโน้ต พับลิชชิ่ง ผู้ผลิตนิตยสารและรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ ยิ้มต้อนรับพลางแนะนำสุภาพบุรุษที่เดินอยู่ข้างกาย

“บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คู่ชีวิตที่อยู่อาศัยด้วยกันมานานกว่า 5 ปี

“ปกติวันจันทร์-ศุกร์จะนอนที่บ้านซอยลาดพร้าว 101 เพราะสะดวกสบายเรื่องการเดินทาง ไม่ต้องผจญกับรถติด ทำงานดึกดื่นแค่ไหนขึ้นไปนอนได้ทันที จะมาอยู่คอนโดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น เพราะที่นี่สามีอยู่ หรือไม่งั้นก็จะไปคอนโดที่หัวหิน ซึ่งจะใหญ่กว่าที่นี่ ประมาณ 550 ตารางเมตรได้ ที่นั่นติดทะเลก็จะเน้นสีสันสดใสหน่อย สีแดง สีเขียว สีเหลือง ของตกแต่งตามฝาผนังหรือตามห้องต่างๆ พวกโคมไฟ โต๊ะ เก้าอี้ จะเป็นเปลือกหอย เป็นปู เป็นปลาดาว เต็มไปหมด ออกสไตล์ท้องทะเลไปเลย อีกที่คือคอนโดวังแก้ว จ.ระยอง อันนั้นซื้อไว้นานมากแล้ว” กล่าวน้ำเสียงสดใส พร้อมย้ำว่านี่เป็นครั้งแรกที่ยอมเปิดให้สื่อชมเรือนหอ

นอกจากนี้คุณติ๋มยังกระซิบบอกต่อว่า เหตุที่ไม่ได้อยู่บ้านนี้กับสามีทุกวันเนื่องจากวันทำงานจะมีเสียงโทรศัพท์เข้ามาตลอด จนทำให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนสามีจนเกินไป


“ซื้อที่นี่ร่วมกับสามีคนนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เหมือนเป็นเรือนหอของเรา ชอบเพราะอยู่ใจกลางเมือง ติดรถไฟฟ้า จะไปซื้อของอะไรก็ง่าย สะดวกสบายทุกอย่าง สมบูรณ์ พร้อมสรรพ โรงแรมก็รายล้อม การรักษาความปลอดภัยก็ดีเยี่ยม บรรยากาศก็สวยงาม โดยเฉพาะตอนกลางคืน อยู่ชั้นสูงๆ มองเห็นวิวได้ทั่ว แสงไฟระยิบระยับเต็มไปหมด ประทับใจอีกอย่างคือ ไม่มียุงหรือแมลงวันบินขึ้นมากวนใจ เพราะอยู่สูงเกิน รวมถึงหนูด้วย ขึ้นมาไม่ไหว”

ชีวิตคู่ครั้งใหม่ระหว่างเจ้าแม่วงการบันเทิงกับนายพลรุ่นใหญ่มาบรรจบกันได้อย่างไร หลายคนใคร่รู้ คุณติ๋มหัวเราะเสียงใสก่อนจะหันไปสบตาฝ่ายชาย จากนั้นจึงพาย้อนอดีตถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พานพบกับรักครั้งนี้ว่า แท้ที่จริงแล้วรู้จักและคบหาในฐานะเพื่อนมากว่า 20 ปี เหตุเพราะต่างฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทกับ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ท่านยศพันเอก ก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่งในปัจจุบันด้วยซ้ำ ด้วยนิสัยของบิ๊กกี่ที่ตรงไปตรงมา ทั้งเป็นคนที่มีระเบียบวินัยมาก และชอบดูแลเทกแคร์ ซึ่งต่างกับเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง เลยทำให้ค่อยๆ เปิดใจที่จะมีรักใหม่อีกครั้ง

ขณะที่ลูกๆ ของแต่ละฝ่ายต่างก็รับรู้เป็นอย่างดี โดยบิ๊กกี่มีลูกสาว 2 คน แต่งงาน แยกครอบครัวไปแล้ว ส่วนคุณติ๋มมีลูกชาย 3 คน คนโตชื่อ ตูม-โชกุล สกุลชัย ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ที่ University of the Arts London สาขา Arts Media & Cultural Studies(Media & Cultural Studies?????) คนรองชื่อ ตอง-นันทกุล สกุลชัย กำลังศึกษาเพิ่มเติมที่ New York Film Academy, Los Angeles สาขา Filmmaking และคนสุดท้องชื่อ เต้-โมเลกุล สกุลชัย กำลังศึกษาที่ Bellerbys College London

เมื่อทุกอย่างลงตัว ที่สุดทั้งสองจึงตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน กระทั่งทุกวันนี้การดูแลเอาใจใส่ไม่เคยเปลี่ยน ว่างเมื่อไหร่บิ๊กกี่เป็นได้ชวนภรรยาออกไปช็อปปิ้งตลอด ที่สำคัญอยากได้อะไรขอให้บอก บิ๊กกี่จัดให้ทุกอย่าง

แม้จะใช้เวลาอยู่ที่คอนโดใจกลางเมืองเพียง 2 วันต่อสัปดาห์ แต่ระดับเจ้าแม่วงการบันเทิงแล้ว เธอทุ่มทุนตกแต่งไว้อย่างหรูหราอลังการ ตลอดทางเดินประดับด้วยแสงไฟราวกับกำลังสาดส่องบนแคตวอล์ก ส่วนผนังรายรอบก็ติดกระจกช่วยให้ดูพื้นที่กว้างขวางขึ้นมากทีเดียว นอกเหนือไปจากนั้นยังมีเหตุผลสำคัญซ่อนอยู่

“เป็นคนชอบกระจก เพราะฉะนั้นทุกพื้นที่ภายในบ้านต้องติด เวลามองไปทางไหนจะได้เห็นหมด ที่สำคัญคือเวลามองตัวเองจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดๆ รู้ได้ทันทีว่ารูปร่างเราเปลี่ยนไปหรือเปล่า หากอ้วนไปจะได้บังคับตัวเองให้กินน้อยลง หรือไม่ก็ออกกำลังกายมากหน่อย สังเกตได้ว่าลู่วิ่งมีทุกมุม วิ่งไปด้วย ดูทีวีไปด้วย สบาย” เจ้าของบ้านกล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง

สำหรับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านนั้นล้วนแล้วแต่สั่งตรงมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะโมร็อกโก

“จริงๆ ของแต่งห้องไม่ได้เน้นยี่ห้ออะไรเป็นพิเศษ เห็นแล้วชอบก็ซื้อ เน้นดีไซน์ที่แปลก ไม่ซ้ำแบบใคร โทนสีเน้นขาวกับดำ หรือไม่ก็ทอง เพราะเป็นสีที่ชอบ เลยกลายเป็นว่าแบ่งโซนชัดเจน เฟอร์นิเจอร์ก็เหมือนกัน ไม่ชอบดีไซน์ที่วางขายทั่วไป จึงต้องสั่งซื้อจากเมืองนอกเสียส่วนใหญ่ อาทิ โต๊ะ เก้าอี้ รูปภาพ โคมไฟ แก้วน้ำ ถ้วยชามต่างๆ เกือบทั้งหมดในห้องจะมาจากโมร็อกโก เวลาที่สถานทูตจัดงานก็ไปเลือกซื้อหรือสั่งโดยตรง เพราะสไตล์นี้จะมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีคุณค่าความงามก็ยังอยู่ เหมือนเป็นอมตะ”

รวมถึงห้องนอนด้วยเช่นกันที่เน้นโทนสีธีมเดียวกันหมด โดยเฉพาะแบรนด์ดังอย่างเวอร์ซาเช ที่มีแบบครบเซต ไม่ว่าจะเตียง ที่นอน ผ้าห่ม ปลอกหมอน

“สามีพี่สนิทกับเจ้าของแบรนด์นี้ เลยซื้อได้ในราคาที่ถูกมาก ไม่ว่าจะของใช้ต่างๆ รวมถึงเสื้อผ้า จริงๆ รู้สึกชินตากับแบรนด์พวกนี้มากกว่าหลุยส์ฯ นะ สมัยเด็กๆ อาจจะคุ้นเคยกับมันมากไป จนรู้สึกเบื่อไปแล้ว
เป็นอะไรที่ไม่ชอบเลย    

ขณะที่ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ความที่ชอบโล่งๆ โปร่งสบาย ทำให้ก่อนเข้ามาอยู่ต้องปรับแต่งและทุบรื้อใหม่ จากเดิมที่แบ่งซอยเป็นห้องเล็กห้องน้อย ตอนนี้ทุกตารางเมตรสามารถใช้สอยได้เต็มพื้นที่และถึงกันหมด

“เวลาจัดปาร์ตี้จะได้สะดวกและทั่วถึง รับแขกได้เยอะๆ ทุกวันนี้เพื่อนๆ มาเลี้ยงสังสรรค์ไม่เคยขาด ทั้งวงการบันเทิง เพื่อน วปอ.และสถาบันพระปกเกล้า รองรับได้สบาย 30 กว่าคน อยากนั่งมุมไหนได้หมด จัดแบบบุฟเฟต์ก็ได้ มีมุมทำครัว มีบาร์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องกลัวว่าครัวจะปิดหรือต้องกลับก่อนเพราะเปิดเกินเวลา สามารถอยู่ได้ยันเช้า”

“หลายคนอาจมองว่าแพงและไร้สาระกับการซื้อโถสุขภัณฑ์ราคาแสนกว่าบาท แต่สำหรับเราถือว่าคุ้มค่ามากกว่า ไปเที่ยวเมืองนอกทริปหนึ่งเสียเงินหลายแสน ลงทุนซื้อโถแค่นี้สามารถใช้ได้หลายปีเลยนะ ถ้าคิดว่าแพงก็งดไปเที่ยวเมืองนอกปีละหลายๆ ครั้ง ก็เก็บเงินซื้อโถสุขภัณฑ์ดีๆ ได้เอง ห้องน้ำจะเน้นเลย ขอสวยๆ เพราะเราใช้เวลาอยู่กับมันมากกว่าที่อื่น มันเป็นโลกของเรา ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลายที่สุด”

ไม่เพียงเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกซื้อให้เหมาะกับบ้าน อุปกรณ์ในห้องครัวก็ยังเป็นเรื่องที่คุณติ๋มใส่ใจไม่แพ้กัน ด้วยเจ้าตัวขึ้นชื่อเรื่องเสน่ห์ปลายจวักและชอบทำอาหาร ทั้งยังเคยเปิดร้านอาหารมัคคนารี ใน

บริเวณบ้านซอยลาดพร้าว 101 มาก่อน

    “ชอบเข้าครัว ชอบทำอาหารมาก ทุกประเภทได้หมด ไม่ว่าจะผัดสปาเกตตี ทำสเต๊ก หรืออาหารเม็กซิกัน แต่ตอนนี้ไม่กินเองแล้วเพราะกลัวอ้วน ส่วนใหญ่ทำเลี้ยงแขกมากกว่า

น้ำกีวีหรือน้ำสลัดยังทำได้อยู่ หอมทอดและยำเห็ดโคนเป็นเมนูประจำที่ทำไม่เคยขาด เพราะจัดปาร์ตี้บ่อย พยายามสอนตลอด เวลาทำอาหารต้องใส่ใจ ใส่ความรักและใส่ความตั้งใจลงไปด้วย รสชาติ

ถึงจะอร่อยทุกจาน”

เรื่องอาหารไทยแม้ขั้นตอนการทำจะค่อนข้างละเอียดและยากกว่าอาหารต่างชาติสักหน่อย แต่ถึงกระนั้นรสมือและเสน่ห์ปลายจวักก็ไม่แพ้กันอยู่ดี งานนี้คุณติ๋มออกปากว่า เมนูอาหารไทยไม่ว่าต้ม
หรือแกงทำได้หมด

สาเหตุที่ไม่มีเวลาเข้าครัวคงมาจากธุรกิจสื่อครบวงจรที่เธอต้องดูแล อาทิ สื่อสิ่งพิมพ์ (ทีวีพูล และ Spicy) รายการทางเคเบิลทีวี ข่าวออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ตและทางโทรศัพท์มือถือ รวมถึงขาย

แพ็กเกจรายการทีวีที่น่าสนใจไปยังต่างประเทศด้วยการทำโรดโชว์ นอกจากนี้เธอยังมีโปรเจกต์ใหม่คือ เปิดแผนกผลิตภาพยนตร์

“ทำโรดโชว์ให้คนไทยที่อยู่ต่างประเทศรู้จัก แล้วก็ซื้อเมมเบอร์ โดยเอาฟรีทีวีไทยไปกว่า 40 ช่อง รวมทั้งเคเบิลที่คิดว่ามีศักยภาพพอมัดรวมกัน ฟีดจากที่นี่ไปอเมริกา แล้วขึ้นอัพลิงก์ผ่านดาวเทียมที่โน่น เพราะที่อเมริกาดูผ่านทางจานดาวเทียม แต่ทางฝั่งยุโรปจะดูทางอินเทอร์เน็ตผ่านทาง IPTV ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยที่ต้องตามให้ทัน จริงๆ แล้วเงินหล่นตามถนนทั่วไป ขอเพียงแค่หาช่องทางให้เจอเท่านั้นเอง”

ไม่เพียงเท่านั้นคุณติ๋มยังมีโปรเจกต์ใหม่ที่กำลังจะก่อร่างสร้างตัวในเร็ววันคือรีสอร์ตร้อยกว่ายูนิตที่ปากช่อง บนเนื้อที่กว่า 84 ไร่

“ทำรีสอร์ตแบบเซ็นเตอร์คลับ ไว้สำหรับทำกิจกรรมแฟนคลับของเราเอง มีครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกิฟต์ช็อป กิจกรรมกลางแจ้ง และฮอลล์สันทนาการต่างๆ เพราะธุรกิจในเครือเราแยะ

รีสอร์ตอยู่ตรงข้ามกับ PB วัลเลย์ ตอนนี้อยู่ในช่วงขุดบ่อ ปรับแลนด์สเคปอยู่ คาดว่าประมาณปลายปีหน้าเสร็จแน่นอน” เจ้าแม่วงการบันเทิงเผยถึงธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

อดีตเจ้าแม่วงการโฆษณาและเจ้าแม่สัมปทานคลื่นวิทยุ 36 คลื่น เมื่อหลายสิบปีก่อน (ก่อนขายให้กับวัฏจักร แล้วผันตัวเองมาทำธุรกิจสื่อแบบครบวงจร) บอกต่อว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ล้วนมาจากแนวทางการบริหารงานที่ชัดเจน มีระบบและแบบแผน ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ อยู่ตัวและมั่นคง เช่นนั้นจึงไม่แปลกหากผลประกอบการที่ทำได้ในปี 2552 จะมีรายได้โดยประมาณเฉลี่ยเดือนละ 35 ล้านบาท ซึ่งหากบวกลบคูณหารแล้วต่อปีย่อมมากกว่า 400 ล้านบาท 

เมื่อตัวเลขผลประกอบการขนาดนี้ คุณติ๋มจึงเผยถึงแผนรีไทร์ตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจะวางมือให้ลูกชายทั้ง 3 คนรับช่วงต่อตามแนวที่ถนัด ไม่ว่าจะการทำหนังสือ รายการทีวี เปิดแผนกผลิตภาพยนตร์ หรือทำบริษัทเรียลเอสเตต

"ติ๋ม ทีวีพูล"เปิด"บิ๊กกี่"นายพลคู่ชีวิต


"ติ๋ม ทีวีพูล"เปิด"บิ๊กกี่"นายพลคู่ชีวิต

17ธ.ค.2553

"'ติ๋ม ทีวีพูล" เปิดตัว"บิ๊กกี่" พล.อ.นพดล ผ่านสื่อครั้งแรก หลังใช้ชีวิตร่วม 5 ปี เผย รักที่สามีเป็นคนซื่อสัตย์ วางแผนอีก 5 ปี ล้างมือการทำสื่อพร้อมส่งช่วงต่อให้ทายาท

ได้ฉายาเป็น"เจ้าแม่แห่งวงการบันเทิง" ผู้ล่วงรู้ในทุกข่าว ทุกแง่มุม รวมถึงธุรกิจในมือ ทั้งนิตยสาร หรือรายการทั้งทางช่องฟรีทีวี และช่องดาวเทียม เคเบิลทีวี ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น สร้างรายได้ 400 ล้านต่อปี แต่นางพรรทิภา สกุลชัย หรือที่รู้จักกันดีในนาม"ติ๋ม ทีวีพูล" ไม่ค่อยเปิดเผยแง่มุมส่วนตัวให้ได้รับรู้มากนัก กระทั่งล่าสุดยอมเปิดตัวต่อสื่อนิตยสาร"ฮู" (WHO) ให้เห็นหน้าค่าตา พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สามีที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา 5 ปี เป็นครั้งแรก รวมถึงเปิดใจถึงชีวิตครอบครัวให้ "คม ชัด ลึก" ฟังว่า

 "จริงๆ ก็ไม่ได้ปิดตัวอะไร เราอยู่กินกันมา 4-5 ปีแล้ว แต่ถือว่าเป็นการออกสื่อด้วยกันครั้งแรกที่ผ่านมาก็ไปงานอื่นด้วยกันหลายที่ แต่ไม่เคยให้สัมภาษณ์ เพราะกลุ่มเพื่อนๆก็จะรู้กันอยู่แล้วกับพี่กี่ เรารู้จักกันมา 20 ปีแล้ว แต่ไม่เคยคบกันเป็นแฟน แล้ววันหนึ่ง เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนดีมาก คิดว่ามันก็ถึงวันที่เราควรจะมีคนดูแลได้แล้ว อีกอย่างพี่กี่เขาก็เป็นคนดีมาก เป็นคนซื่อสัตย์ มีชีวิตอยู่กับเหตุและผล มากกว่าใช้อารมณ์ เขาเป็นทหารที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ต่อประเทศชาติ เรื่องความซื่อสัตย์ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แล้วพี่กี่ก็เป็นคนที่ชอบช็อปปิ้งเหมือนกัน ก็มีความสุขเวลาที่คบกัน เราเข้ากันได้ดี เขาเองก็เข้ากับลูกเราได้ เป็นผู้ใหญ่ มีความสุขุม เรื่องเข้ากับลูกได้หรือไม่นี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ คนที่จะเข้าลูกติ๋มได้ ต้องใช้จิตวิทยาสูง เพราะลูกๆ ทั้ง 3 คน เขาอยู่กับติ๋มมาตลอด 10 กว่าปี อยู่กันมาแค่ 4 คนแม่ลูก แต่วันหนึ่งเมื่อมีใครเข้ามา ลูกๆก็กลัวจะแย่งความรักจากแม่ไปไหม จะมาเบียดบังทรัพย์สินอะไรหรือเปล่า เพราะเขาก็รู้ว่าเรามีตังค์ ซึ่งเขาพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้เข้ามาเบียดเบียนหรือแย่งความรักไป แต่กลับมาเติมเต็มด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ลูกติ๋มรักพี่กี่มาก มีอะไรก็เห็นเขาเป็นที่พึ่ง ไม่ค่อยโทรหาติ๋มหรอกเวลามีอะไรจะโทรหาพี่กี่ก่อน"  ติ๋ม ทีวีพูลกล่าว

 แม้อายุจะห่างกันถึง 10 ปี คือ ติ๋ม ทีวีพูล อายุ 55 ปี ส่วนสามีอายุ 65 ปี แต่กลับไร้ปัญหาเรื่องช่องว่าง เนื่องจาก พล.อ.นพดล หรือกี่ เป็นคนที่วัยรุ่นและกระตือรือร้นตลอดเวลา เวลาว่างก็ชวนกันไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศตามจังหวัดต่างๆ ที่ซื้อไว้ บางครั้งก็พากันไปเที่ยวต่างประเทศ

 นอกจากนี้ เจ้าแม่วงการบันเทิง กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ชีวิตครอบครัวลงตัวมาก แต่ในส่วนของธุรกิจด้านการบันเทิงนั้น สามีไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม เนื่องจากไม่ถนัดในด้านการทำธุรกิจ รวมถึงเธอยังเปิดเผยว่า อีก 5 ปีข้างหน้า จะวางมือจากการทำธุรกิจด้านสื่อ แล้วให้ลูกๆ มาสานต่อแทน

 "ตอนนี้ก็รอลูกๆเรียนจบกลับจากต่างประเทศก่อน แล้วคงวางมือ ตอนนี้ลูกคนแรกกับคนที่สามเรียนอยู่อังกฤษ คนที่สองอยู่อเมริกา ที่อยากวางมือเพราะเราทำตรงนี้มา 30 กว่าปีแล้ว เรามั่นใจว่าเรามีกินมีใช้ตลอดชีวิตสบายๆ แล้วเราก็ไม่ต้องการเป็นทาสของเงิน เราต้องรู้จักที่จะได้ใช้เงินบ้าง ไม่ใช่มีเงิน แต่ก็ให้เงินใช้เราทำงานไปตลอด ซึ่งเมื่อไหร่ที่ลูกๆ กลับมา ก็จะส่งต่อให้เขา ในส่วนธุรกิจเราไม่มีแค่หนังสืออย่างเดียว แต่เรามีธุรกิจนิวมีเดียด้วย ซึ่งมั่นใจว่าเราได้วางฐานไว้แน่นมาก สตาฟฟ์ของเราก็แข็งแรง และอยู่กันมานาน ไม่ต้องกลัว ไม่มีปัญหาแน่แม้กระทั่งเราตายไป" นางพรรทิภากล่าวสรุป

เปิดขั้นตอนไอซีที.จ้าง ไทยทีวีพูล ทำสติ๊กเกอร์ไลน์7.1ล้าน

เปิดหมดขั้นตอนไอซีทีจ้างวิธีพิเศษ "ไทยทีวีพูล" ทำสติกเกอร์ค่านิยมฯ 7.1ล.
เปิดหมดขั้นตอนกระบวนการ "ก.ไอซีที" ว่าจ้างวิธีพิเศษ "ไทยทีวีพูล" ทำไลน์สติกเกอร์ค่านิยม 12 ประการ วงเงิน 7.1 ล้าน ก่อนถูก สตง.สั่งสอบความคุ้มค่า- เผยใจดีลดราคาให้ 400 บาท
โครงการเผยแพร่ไลน์สติกเกอร์ค่านิยม 12 ประการ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้กับคนไทย ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และจะมีการปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรีวันที่ 30 ธันวาคม 2557
กำลังถูกจับตามองถึงความคุ้มค่าในดำเนินการงาน เนื่องจากตั้งวงเงินงบประมาณไว้สูงถึง 7,117,400 บาท และ ล่าสุดโครงการได้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลขั้นตอนกระบวนการว่าจ้างดำเนินงานโครงการนี้มากขึ้น
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก และนำมาไล่เลียงให้เห็นภาพดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
เมื่อวันที่ 7 พ.ย.57 ก.ไอซีที ได้อนุมัติให้จ้างดำเนินการโครงการจ้างเหมาจัดทำ Line Sticker เพื่อเผยแพร่ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ โดยวิธีพิเศษ ภายในวงเงิน 7,117,400 บาท
ขั้นตอนที่ 2
คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ ที่ได้รับการแต่งตั้ง เพื่อรับผิดชอบโครงการฯ นี้ มีการประชุมรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง
-ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.57 พิจารณาแผนการดำเนินการจัดจ้างฯ และเชิญหน่วยงานฯ เข้าร่วมยื่นข้อเสนอทางเทคนิค และข้อเสนอทางการเงิน ในการเข้าร่วมโครงการนี้ ภายในวันที่ 11 ธ.ค.57 ณ สำนักงานส่งเสริมและพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานปลัดกระทรวงไอซีที
โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า ให้เชิญ บริษัท ไลน์คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด เข้าร่วมยื่นเสนอโครงการเนื่องจากขอบเขตข้อกำหนดของงาน กำหนดว่าจะต้องจัดทำสติกเกอร์บนแอพพลิเคชั่น ไลน์ ซึ่งเป็นบริการของ บริษัท Line Company ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการของเกาหลี โดยมีบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ให้บริการในไทย
-ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2557 เพื่อรับซองข้อเสนอทางเทคนิค และข้อเสนอทางการเงิน ของผู้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ บริษัทไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) ได้มีหนังสือลงวันที่ 11 ธ.ค.57 แนะนำตัวแทนในการทำ Line Account และ Line sticker
โดยมีเนื้อความแจ้งว่า "บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงได้เรียนเชิญให้เข้าร่วมยื่นข้อเสนอดังกล่าว แต่เนื่องการดำเนินโครงการดังกล่าวต้องมีการทำสัญญาฉบับภาษาไทย ซึ่งทางบริษัทจะต้องส่งให้บริษัทไลน์ในเกาหลี ตรวจสอบสัญญาก่อน ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลานาน และจะทำให้การเผยแพร่ Line sticker ไม่สามารถเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และระยะเวลาที่กำหนดไว้ จึงขอแนะนำบริษัท ยีราฟ เอเจนซี่ จำกัด ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการจัดทำ Line sticker ให้กับหน่วยงานราชการ เป็นผู้ดำเนินการทำโครงการจัดทำ Line Sticker เพื่อเผยแพร่ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการต่อไป"
ทั้งนี้ เพื่อให้ราชการได้รับประโยชน์สูงสุด และสามารถดำเนินการให้ทันตามกำหนด คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ จึงมีความเห็นให้ สืบค้นข้อมูลบริษัทที่ให้บริการจัดทำ Line Sticker ที่มีประสบการณ์รายอื่น นอกเหนือจากบริษัทบริษัท ยีราฟ เอเจนซี่ จำกัด ที่ได้รับการแนะนำมาเพื่อเชิญมาให้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ ต่อไป
เบื้องต้น คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ ฯ ได้สืบค้นข้อมูลบริษัทที่รับดำเนินการจัดทำ Line Sticker จากเว็บไซต์ จำนวน 8 บริษัท ได้แก่
1. บริษัท ยีราฟ เอเจนซี่ จำกัด
2. บริษัท ออริจินัล แพน จำกัด
3. บริษัท สปา-ฮาคูโต จำกัด
4. บริษัท โมบายล์เอ็กซเพิร์ท จำกัด
5. บริษัท มีเดีย เอมไพร์กรุ๊ป จำกัด
6. บริษัท ทีบีดับบลิวเอ (ประเทศไทย) จำกัด
7.บริษัท วีแบงค๊อค จำกัด
8.บริษัท ไทยทีวีพูล จำกัด
โดยคณะกรรมการฯ ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ถึงบริษัทฯ ทุกแห่งให้ยื่นข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงิน ภายในวันที่ 15 ธ.ค.57
- ครั้งที่ 3 เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ปรากฎว่ามี บริษัท ไทย ทีวีพูล จำกัด มายื่นข้อเสนอเพียงรายเดียว
เบื้องต้นคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิค ของบริษัทไทยทีวีพูล จำกัด และมีความเห็นร่วมกันว่า ข้อเสนอทางเทคนิค เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้ว จึงได้เปิดซองข้อเสนอทางการเงิน
ส่วนข้อเสนอทางการเงิน คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาพร้อมทั้งเจรจาต่อรองราคากับบริษัท ไทยทีวีพูล ซึ่งบริษัทฯ ยินดีลดราคาจากที่เสนอไว้ คือ 7,117,400 บาท เหลือ 7,117,000 บาท พร้อมทั้งบริษัทฯ ยินดีจะสนับสนุนการจัดการแถลงข่าวเปิดใช้งาน Line Officiat และ Line Stcker เพื่อเผยแพร่ค่านิยมไทย 12 ประการ รวมทั้งจัดประชาสัมพันธ์ในสื่อในเครือของบริษัท อาทิเช่น ใน Fanpage ทีวีพูล , ไทยทีวี, โลก้าทีวี และในเว็บไซต์ ทีวีพูลออนไลน์ ฯลฯ
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้บริษัท ไทยทีวีพูล จำกัด จัดทำหนังสือยืนยันราคามายังสำนักงานปลัดกระทรวงไอซีทีต่อไป
-ครั้งที่ 4 วันที่ 16 ธ.ค. 57 ภายหลังจากที่บริษัท ไทยทีวีพูล จำกัด ได้ยืนยันราคาจ้างมาเป็นทางการ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาและเห็นควรเสนอขออนุมัติว่าจ้างบริษัท ไทยทีวีพูล จำกัด ในวงเงิน 7,117,000 บาท
เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของ สตง. ได้โทรศัพท์ประสานเข้ามาที่ ก.ไอซีที ว่า โครงการนี้ มีปัญหาข้อสังเกตในเรื่องราคากลางการจัดหาโครงการดังกล่าว ว่า ไม่คุ้มค่า และเป็นที่กล่าวถึงและเผยแพร่ในโลกออนไลน์ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ สตง.แจ้งว่าได้มีหนังสือสอบถามประเด็นนี้มาที่ ก. ไอซีทีด้วย
ก่อนที่ สตง. จะมีหนังสือ ที่ พ 3.3 /พ.30 /2558 ลงวันที่ 18 ธ.ค.57 ขอให้ก.ไอซีทีชี้แจ้งข้อเท็จจริงและจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ไปให้ สตง.รับทราบภายในวันที่ 24 ธ.ค.นี้
ขั้นตอนที่ 3
ล่าสุด ทางผู้รับผิดชอบของก.ไอซีที ได้ทำหนังสือแจ้งถึง สตง.แล้ว และอยู่ระหว่างรอหนังสือตอบกลับจาก สตง. หากไม่ติดขัดปัญหาอะไรก็จะดำเนินการลงนามในสัญญากับบริษัทเอกชนอย่างเป็นทางการต่อไป
แต่ปัจจุบัน สตง. ยังไม่ส่งหนังสือแจ้งผลการพิจารณาตอบกลับมาแต่อย่างใด
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท ไทย ทีวีพูล จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ทุนปัจจุบัน 100 ล้านบาท
ตั้งอยู่เลขที่ 197/3 ซอยลาดพร้าว 101(วัดบึงทองหลาง) ถนนลาดพร้าว แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์ เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจโรงพิมพ์ ผลิตหนังสือ และนิตยสาร - ผู้ผลิต
ปรากฎชื่อ นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย หรือ “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และผู้ถือหุ้นใหญ่
ทั้งหมดนี่ คือ ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการว่าจ้าง บริษัท ไทย ทีวีพูล จำกัด ผลิตไลน์สติกเกอร์เผยแพร่ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ วงเงิน 7,117,000 บาท
ที่ก.ไอซีที ไม่เคยนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา


นายกฯโยนเปลือกกล้วย ปลากระป๋อง ม่าม่า และลูกบาสใส่นักข่าวช่างภาพ

(24/12/57)

เฟซบุ๊ก วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารชื่อดัง เล่าให้แฟนคลับฟังว่า วันนี้ นักข่าว -ช่างภาพ ได้ของที่ระลึก จาก บิ๊กตู่ กันถ้วนหน้า บ้างเป็น มาม่า ปลากระป๋อง ลูกบาส และ กล้วย. แต่ได้มาแบบ ขว้างใส่ นะ....นี่ กล้วยหอม
http://www.matichon.co.th/online/2014/12/14194161381419416605l.jpg

นายกฯ วันนี้ ในงานสินค้าราคาถูก ที่ ทำเนียบฯ.บิ๊กตู่ อารมณ์ดี เดินชม ชิมทุกอย่าง เจอ มาม่า ก็ขว้างมาม่า ใส่ อันนั่น นับไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร มันเบา...

แต่ ต่อมา โยน ปลากระป๋อง...ต่อมา เป็น ลูกบาส ช่างภาพ ทั้งรับ ทั้งหลบกันวุ่น

ก่อนตบท้าย ด้วยการ ทานกล้วยหอม แล้ว ก็โยน ใส่ช่างภาพนักข่าว

พร้อมยิ้ม บอก "วันนี้อารมณ์ดี เพราะมาดูสินค้าไทย ของคนไทย อารมณ์ดี ได้แกล้งคน" 5555

บิ๊กตู่ ก็เดินไป....ดีนะ ที่ขว้างแบบ ให้รับได้ เพราะถ้าขว้าง แบบ เต็มแรง เอาจริง...งานนี้มี หัวโน

มติชนออนไลน์ เก็บภาพ ช็อตที่ท่านนายฯตู่ หยอกล้อ นักข่าวมาได้ ลองไปชมกันว่าจะคึกครื้นน่ารักขนาดไหน

มาม่า

http://www.matichon.co.th/online/2014/12/14194161381419416685l.jpg
1

http://www.matichon.co.th/online/2014/12/14194161381419416689l.jpg
2

http://www.matichon.co.th/online/2014/12/14194161381419416693l.jpg
3

เปลือกกล้วย

http://www.matichon.co.th/online/2014/12/14194161381419416699l.jpg
1

http://www.matichon.co.th/online/2014/12/14194161381419416704l.jpg
2

http://www.matichon.co.th/online/2014/12/14194161381419416708l.jpg
3

นายกฯแจงตั้ง"พล.อ.ประวิตร"จี้งาน รมต.ยันไม่ใช่จับผิด

นายกฯแจงตั้ง"พล.อ.ประวิตร"จี้งาน รมต.ยันไม่ใช่จับผิด ขม บื๊กป้อม เก่ง เป็นทหาร คิดเร็วเหมือนผม แต่ไม่เกี่ยวปรับครม.ยันไม่มีใครมาให้ผมปรับได้หรอก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ชี้แจงกรณีแต่งตั้งพล.อ.ประวิตร่ วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ติดตามการทำงานของคณะรัฐมนตรีว่า ตรงนี้เป็นเรื่องของการขับเคลื่อน ที่ไม่ใช่การจับผิด
"พล.อ.ประวิตรเป็นทหารจึงคิดเร็วเหมือนผม และเห็นว่าท่านเก่งมีความรู้ความสามารถตรงนี้ตามที่ตนต้องการ จึงให้ไปตามว่าติดขัดตรงไหน"
นายกฯ ยกตัวอย่าง เช่น วันนี้ให้ไปตามการจ่ายเงินสหกรณ์ยางพารา เพื่อไปซื้อยางพารา ก็พบว่ายังกู้ไม่ได้เพราะมีหนี้เก่าอยู่ ซึ่งตนก็เพิ่งรู้ ก็จะนำไปคุยในการประชุมครม.ว่าต้องทำอย่างไร เรื่องอย่างนี้เขาเรียกว่าการขับเคลื่อน
แต่ทั้งหมดนี่ทำหมดแล้ว แต่คนตามเรื่องไม่รู้ จึงต้องมีคนไปไล่ตาม ซึ่งพล.อ.ประวิตร คงไม่ได้ไปดูเองทั้งหมด อาจจะตั้งคณะกรรมการไปไล่ติดตาม หรืออาจให้คสช.เข้าไปช่วยติดขัดตรงไหน เจ้าหน้าที่ไม่พอหรือไม่ อาจจะจัดกำลังทหารเข้าไปช่วยเพื่อความรวดเร็ว
เมื่อถามว่า เกี่ยวกับการตรวจการบ้านเพื่อปรับครม.หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่เกี่ยว ไม่มีใครจะมาให้ผมปรับได้หรอก ผมปรับของผมเอง ผมไม่ถามใครอยู่แล้ว เพราะผมรู้ว่าผมสั่งอะไรใครไปแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง ถ้ามันไม่ได้กลับมาผมก็ปรับของผมเอง ไม่เห็นต้องไปถามใคร ผมไม่ใช่รัฐบาลปกติ ไม่ใช่พรรคการเมือง" นายกฯ กล่าว
— กับ Waswas Journalist


สหรัฐผิดหวังไทยเลื่อนเลือกตั้งไปกลางปี59

สหรัฐผิดหวังไทยเลื่อนลต.ไปปี 59 ชี้เป็นการกระทำที่ "ไม่ฉลาด"
Cr:ทีนิวส์
วันนี้(24ธ.ค.) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาออกมาแสดงทัศนคติต่อกรณีที่ประเทศไทยเลื่อนเวลาการเลือกตั้งออกไปจนถึงปี 2559 ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ฉลาดและไม่ยุติธรรม
รายงานระบุว่าจากการที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีของไทย ได้ชี้แจง ต่ออุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ว่า ขณะนี้ไทยกำลังเดินตามแผนโรดแมพของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และคาดว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแล้วเสร็จ ในเดือนก.ย. 2558 และถ้าหากต้องมีการทำประชามติ การเลือกตั้งก็จะล่าช้าออกไปอีก 3 เดือน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ทางด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐออกมาระบุว่าสหรัฐ เชื่อว่าชาวไทยควรจะได้รับอนุญาตให้เลือกรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย "โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" และกล่าวเสริมว่า "เราเชื่อว่าการเลื่อนเวลาออกไปจนถึง ปี 2559 จะเป็นสิ่งที่ไม่ฉลาดและไม่ยุติธรรม"


ตร.เรียกส.ศิวรักษ์ รายงานตัวคดี112พรุ่งนี้

ตร.เรียก'ส.ศิวรักษ์'สอบปากคำข้อหาหมิ่นอดีตกษัตริย์วันพรุ่งนี้
Cr:แนวหน้า
24 ธ.ค. 57 พ.ต.ท.วิรัช ปิยะชาติ พนง.สอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติราชการแทน ผกก.สน.ชนะสงคราม มีหนังสือคำสั่งที่ ตช 0015.(บก.น.1)10/7139 เรียกตัว นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส.ศิวรักษ์ เข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวน กรณีเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2557 ในงานเสวนาวิชาการประวัติศาสตร์ ว่าด้วยการชำระและการสร้าง ที่ห้องประกอบ หุตะสิงห์ ตึกอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์
โดยนายสุลักษณ์ ได้กล่าวถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.4 ที่มีเนื้อหาดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาตร้าย ต่อองค์พระมหากษัตริย์ มีเนื้อหาเข้าข่ายผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงขอให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำ ในวันพรุ่งนี้ 25 ธ.ค. 57 เวลา 10.00 น.


ย้อนดูคดีถุงขนม/

คุก 6 เดือนทนายแม้วไม่รออาญาคดีถุงขนม 2 ล้านฐานละเมิดศาล

ความคืบหน้ากรณีทนายอดีตนักการเมืองนำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา ล่าสุดคณะองค์พิพากษาไต่สวนข้อเท็จจริงได้อ่านผลไต่สวนกรณีดังกล่าวแล้ว



เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 25 มิถุนายน นายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา นายวีรพล ตั้งสุวรรณ และนายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา องค์คณะผู้พิพากษาไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่ง คดีดำ ลอ.1/2551หมายเลขแดงที่ 4599/2551 ความแพ่ง ระหว่างนายอนันต์ วงศ์ประภารัตน์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหา และนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-3 เรื่องละเมิดอำนาจศาล



คดีนี้สืบเนื่องจากนายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ทำหนังสือบันทึกลงวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ถึงนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนาน 2551 เวลา 09.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มารายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งวันดังกล่าวนายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ศาลฎีกาฯ หลังจากนั้น ม.ล.งฐิติพงศ์ ชมพูนุช นิติกรประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เข้ามาสอบถามเรื่องที่ทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิ่งของ ซึ่งเป็นถุงกระดาษสีขาวปิดสกอตเทปใสมิดชิด มาให้เจ้าหน้าที่ว่าจะรับไว้ได้หรือไม่ เมื่อเปิดถุงแล้วพบธนบัตร 1,000 บาท จำนวน 2 ตั้ง ตั้งละ 10 มัด รวมประมาณ 2 ล้านบาท นายอนันต์จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ส่งคืน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึงศาลเพื่อรายงานตัว



จากการไต่สวน ม.ล.ฐิติพงศ์ได้ความว่า ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึง นายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 สั่งให้ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แจ้งต่อ ม.ล.ฐิติพงศ์ ว่าให้ไปพบ เพื่อจะปรึกษาคดี ม.ล.ฐิติพงศ์ จึงไปพบที่ห้องพักทนายความ ซึ่งภายในห้องมีเพียง 2 คน โดย ม.ล.ฐิติพงศ์ นั่งโต๊ะตรงข้ามกับนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ซึ่งได้หยิบถุงกระดาษส่งให้ พร้อมบอกว่า"ระยะนี้ต้องมาติดต่อบ่อย เห็นใจเจ้าหน้าที่ เลยเอาของมาฝาก ให้ไปแบ่งกันจากนั้น ม.ล.ฐิติพงศ์ ได้เดินไปหานายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ แต่ไม่อยู่ เนื่องจากไปประชุมที่รัฐสภา จึงไปพบนายอนันต์ ที่ตรวจงานอยู่ นายอนันต์สั่งให้เปิดถุง เมื่อพบว่าเป็นเงินจึงสั่งให้คืนเจ้าของไป เพราะการรับถุงไว้น่าจะเป็นการไม่ชอบ อาจละเมิดอำนาจศาล และเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน โดยมีการถ่ายรูปธนบัตร และถุงไว้เป็นหลักฐาน



จากการไต่สวนนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 อ้างว่า เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน เวลา 21.00 น. นายบุญชาญ อักษรสุวรรณ ได้นำเงินจำนวน 2 ล้านบาท ที่ได้ซื้อบ้านผู้ถูกกล่าวหาในราคา 5.3 ล้านบาท มาให้ และเตรียมนำเงินดังกล่าวไปฝากธนาคารในวันรุ่งขึ้น โดยให้ภรรยาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน นำเงินบรรจุใส่ถุงกระดาษปิดผนึกมิดชิด หลังจากก่อนหน้านี้ให้ภรรยาไปซื้อช็อกโกแลต และห่อในลักษณะเดียวกัน เพื่อเตรียมมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลในวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องรายงานตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่างๆ ในคดี ขณะที่วันเกิดเหตุได้นำถุงขนมวางไว้ที่นั่งด้านหลังเบาะรถ ส่วนห่อเงินใส่ไว้ที่กระโปรงหลังท้ายรถ แต่ตนหยิบถุงผิดไป เมื่อทราบจึงแจ้งให้นายพิชิฏทราบ เพื่อทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ โดยนายพิชิฏ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้โทรศัพท์หา ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมกล่าวคำขอโทษ แต่ ม.ล.ฐิติพงศ์ แจ้งว่าได้ทำบันทึกถึงผู้บังคับบัญชาแล้ว



คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า นายธนารู้หรือควรรู้ว่าในถุงมีเงินอยู่หรือไม่ ซึ่งในการไต่สวน ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้การว่า นายธนาเป็นผู้หยิบถุงเงินที่ปิดมิดชิดมอบให้โดยไม่แจ้งว่าเป็นสิ่งใด ก่อนจะเปิดพบเป็นเงิน ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งให้ส่งคืนไป โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลนำถุงส่งคืนกับมือนายธนา พร้อมถามว่า รู้หรือไม่ว่าข้างในมีอะไร นายธนาตอบว่ารู้ และเดินกลับไป โดยไม่มีท่าทีอิดเอื้อนตอบกลับ ซึ่งเป็นพิรุธ เห็นว่า หากเป็นไปตามที่นายธนากล่าวอ้าง ว่าหยิบถุงผิดไป โดยคนขับรถเป็นผู้นำถุงผิดมาให้ตน โดยไม่มีการตรวจสอบก่อน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าของสองสิ่งลักษณะห่อเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติว่าจะมีการหยิบผิด และเมื่อเจ้าหน้าที่ทักท้วงก็ต้องเปิดดู และตรวจสอบสิ่งของ แต่กลับไม่ดำเนินการ อีกทั้งหากนายธนาจะนำช็อกโกแลตมามอบให้จริงก็ควรจะนำไปมอบให้ที่เคาน์เตอร์อย่างเปิดเผย เพื่อความบริสุทธิ์ใจ จึงเชื่อว่านายธนารู้อยู่แล้วว่าในถุงกระดาษดังกล่าวมีเงิน 2 ล้านบาท



คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อว่า นายพิชิฏ และ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และ 2 มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความร่วมมือในการกระทำของนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 หรือไม่ จากการไต่สวนพบว่าพฤติการณ์ของนายพิชิฏชัดแจ้งว่ามีส่วนร่วม ถือเป็นตัวการร่วม ส่วน น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แม้เป็นเสมียนทนายความ แต่ก็ร่วมรู้ในเหตุการณ์ โดยเป็นผู้เรียก ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้ไปพบนายธนา พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่า น.ส.ศุภศรี มีส่วนร่วมรู้เห็นกับนายธนา และแบ่งหน้าที่กันทำ จึงฟังได้ว่า ทั้งนายพิชิฏ และ น.ส.ศุภศรี เป็นตัวการร่วมกับนายธนา



ลงโทษสถานหนักไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่า ทั้งสามกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เห็นว่าการนำถุงกระดาษใส่เงิน 2 ล้านบาท ให้ ม.ล.ฐิติพงศ์ ถือว่าเป็นเหตุจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ กระทำการอันมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่อาจเชื่อมโยงเป็นประโยชน์ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม ซึ่งกระทำการร่วมกันจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพานิชย์ มาตรา 31 (1) มาตรา 33 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ



อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายย่อมตระหนักดีว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรม และจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการ จึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน ส่วนความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงานนั้น ให้นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหาคดีนี้ ไปดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป



ออกหมายจับ"ธนา"มาบังคับคดี

ส่วนนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำสั่งออกไปเป็นเวลา 7 วัน อ้างว่าปวดศีรษะ ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุเพียงพอ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้ออกหมายจับนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3มาบังคับคดีตามคำสั่งศาลต่อไป



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชิฏเดินทางมาศาลพร้อมกับ น.ส.ศุภศรี และทีมทนายความและผู้ติดตามประมาณ 10 คน โดยระหว่างรอฟังคำสั่ง นายพิชิฏมีสีหน้าท่าทางสดชื่น ไม่แสดงอาการเครียดหรือวิตกกังวลแต่อย่างใด ทั้งยังพูดคุยกับ น.ส.ศุภศรี พร้อมกับตบหลังให้กำลังใจ นอกจากนี้นายพิชิฏยังพูดคุยกับผู้สื่อข่าวอย่างเป็นกันเองว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่การกระทำนั้นเกิดจากนายธนาเป็นผู้ดำเนินการเองโดยตลอด นายธนานั้นเป็นญาติของคุณหญิงพจมาน นอกจากนี้นายพิชิฏยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงคดีที่ดินรัชดาภิเษกด้วยว่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทีมทนายความ มั่นใจว่าตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำครั้งนี้



ทนายสาวร่ำไห้ถูกส่งเรือนจำทันที

ภายหลังศาลมีคำสั่งจำคุก นายพิชิฏ และ น.ส.ศุภศรี มีสีหน้าท่าทางอาการเครียด นัยน์ตาแดง โดย น.ส.ศุภศรี ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวทั้งสอง พร้อมให้ถอดเครื่องประดับทรัพย์สินมีค่าและอุปกรณ์สื่อสารฝากญาติไว้ ขณะเดียวกันนายพิชิฏได้ให้ทีมทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัวพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดต่อศาลฎีกา โดยไม่ยอมเปิดเผยจำนวนเงิน แต่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เกิดขึ้นภายในบริเวณศาลฎีกา ดังนั้นคำสั่งของศาลฎีกาจึงเป็นที่สุด ให้ยกคำร้องประกันตัว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงสวมกุญแจมือนายพิชิฏ นำตัวขึ้นรถตู้ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ระหว่างทางนายพิชิฏตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงคดีที่ดินรัชดาภิเษกสั้นๆ ว่า คดีมีทีมทนายความคนอื่นรับผิดชอบอยู่แล้ว ส่วน น.ส.ศุภศรี ถูกนำตัวไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง บางเขน ในเวลา 18.00 น.



นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า เรือนจำจะปฏิบัติกับผู้ต้องขังในคดีนี้เหมือนกับผู้ต้องขังรายอื่นๆ ทั้งเรื่องสิทธิและหน้าที่ของผู้ต้องขัง โดยผู้ต้องขังชายจะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อผู้ต้องขังเข้าถึงเรือนจำเจ้าหน้าที่จะพิมพ์ลายนิ้วมือและสอบประวัติ จากนั้นจะส่งตัวเข้าสู่แดนแรกรับ เพื่อรอการจำแนกไปคุมขังในแดนที่ใช้คุมขังนักโทษต้องคดีที่มีโทษจำคุกเล็กน้อย ส่วนผู้ต้องขังหญิงจะส่งตัวเข้าทัณฑสถานหญิงกลาง อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวเป็นคดีละเมิดอำนาจศาล ไม่มีอุทธรณ์ฎีกา หลังจากเรือนจำได้รับตัวผู้ต้องหาจากศาลสามารถคุมขังได้ตามคำสั่งของศาล ส่วนคดีอื่นๆ อาจจะมีการดำเนินคดีเพิ่มเติม ต้องรอการพิจารณาในชั้นศาล



นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานกรรมการมารยาท สภาทนายความ กล่าวว่า หลังจากได้คำสั่งจากศาลฎีกาแล้ว ก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการมารยาทสภาทนายความ เพื่อพิจารณาโทษของทั้งสาม โดยโทษคดีละเมิดอำนาจศาลมีสถานเดียวคือ การลบชื่อออกจากการเป็นทนายความ