PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สถานการณ์ข่าว24ธ.ค.57

--
กมธ.ยกร่าง รธน.

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คาดได้ข้อสรุปที่มาคณะรัฐมนตรี วันนี้ หลังมีมติให้นายกรัฐมนตรี มาจากระบบรัฐสภา

ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา วันนี้ เวลา 09.30 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นัดกรรมาธิการประชุม เพื่อพิจารณารายงานข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมไปถึงข้อเสนอจากพรรคการเมือง คู่ขัดแย้ง และจากภาคประชาชน โดยวานนี้ ที่ประชุมได้หารืออย่างละเอียด ในประเด็นให้ประชาชนเลือกของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีโดยตรง และได้ข้อสรุปว่า ไม่สามารถรับข้อเสนอดังกล่าวได้ เห็นควรคงไว้ในรูปแบบการปกครองแบบรัฐสภา 2 สภา ที่นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฎร เพราะการแบ่งแยกการใช้อำนาจ ยังมีหลายประเด็นที่ยังเป็นปัญหาและมีความเสี่ยง ส่วนที่มาของคณะรัฐมนตรี ฝ่ายนิติบัญญัติการได้มาซึ่งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา จำนวน และอำนาจหน้าที่ ยังไม่ได้ข้อยุติ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในวันนี้
-----------------
พล.อ.เลิศรัตน์ มั่นใจ วันนี้ กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปทั้งหมด ในเรื่อง ที่มา ส.ส. - ส.ว., คุณสมบัติ และรูปแบบเลือกตั้ง 

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในวันนี้ จะมีการพิจารณาต่อเนื่อง ในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อย หลังจากมีข้อสรุปว่า จะยังคงที่มาของนายกรัฐมนตรี จากการโหวตเลือกของ ส.ส.ในสภา เช่น เรื่องจำนวน, ที่มา ส.ส. และ ส.ว. ที่จะต้องมีความเชื่อมโยงกัน รวมถึง วิธีการลงคะแนน และการนับคะแนนเป็นต้น ตลอดจนเรื่องของที่มา และจำนวนของคณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งคาดว่า อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันเพื่อหาข้อสรุปในประเด็นต่าง ๆ ให้ได้ทั้งหมด สำหรับการไปยกร่างในช่วงสิ้นเดือนนี้ ก่อนที่จะนำกลับมาพิจารณาในรายละเอียดทีละมาตรา หลังปีใหม่นี้

ทั้งนี้ พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวด้วยว่า ในประเด็นที่มา ส.ส. ยังมี 2 แนวคิด ที่จะต้องตัดสินใจ ระหว่าง มีปาร์ตี้ลิสต์ หรือ ไม่มีปาร์ตี้ลิสต์ที่หลายฝ่ายเสนอมา เพื่อกำจัดระบบนายทุนพรรคที่เข้ามาควบคุม ส.ส. และการทำงานของรัฐบาล ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญ และน่าจะต้องให้ได้ข้อสรุป ก่อนที่จะพิจารณาเนื้อหาในส่วนอื่น ๆ ต่อไป
--------------------
"บวรศักดิ์" -กมธ.ยกร่าง รธน. ทยอยถึงสภา เตรียมประชุมหาข้อสรุปประด็นที่มา ครม.-ฝ่ายนิติบัญญัติ

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยกรรมาธิการ เริ่มทยอยเข้าห้องประชุมงบประมาณ อาคารรัฐสภา3 แล้ว โดยจะเริ่มในเวลา09.30น. เพื่อพิจารณาหาข้อยุติต่อจากวานนี้ ในประเด็นที่มาของคณะรัฐมนตรี ฝ่ายนิติบัญญัติการได้มาซึ่งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา จำนวน และอำนาจหน้าที่ โดยจะได้ข้อสรุปภายในวันนี้ ขณะเดียวกัน ในช่วงบ่าย เวลา 13.30 น. มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ ทั้งนี้ คาดว่า เป็นการติดตามผลการดำเนินงานโครงการปฏิรูปเร็ว หรือ QUICK WIN ของสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ต้องการผลักดันให้สัมฤทธิ์ผลโดยไม่ต้องรอรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงการจัดเวทีรับฟังความเห็นประชาชนทั่วประเทศ เพื่อนำมาประกอบการปฏิรูปให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมว่า ประชาชนแต่ละภาคส่วนต้องการปฏิรูปอะไร
----------------
กมธ.ยกร่าง เริ่มประชุมแล้ว "พล.อ.เลิศรัตน์" ย้ำ วันนี้ต้องได้ข้อสรุปทั้งหมด ขณะช่วงบ่าย พิจารณาเรื่ององค์กรตรวจสอบ

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เริ่มประชุมแล้ว โดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยก่อนเข้าห้องประชุม ว่า ในช่วงเช้าจะมีการพิจารณาต่อในส่วนที่มาของนายกรัฐมนตรี จากการโหวตเลือกของ ส.ส.ในสภา เช่น เรื่องจำนวน, ที่มา ส.ส. และ ส.ว. ที่จะต้องมีความเชื่อมโยงกัน รวมถึง วิธีการลงคะแนน และการนับคะแนน ตลอดจนเรื่องของที่มา และจำนวนของคณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน เพื่อหาข้อสรุปในประเด็นต่าง ๆ ให้ได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในช่างบ่ายจะเป็นการพิจารณาในเรื่ององค์กรการตรวจสอบ และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะมีการแถลงถึงข้อสรุปในการประชุมด้วย
------------------
"บวรศักดิ์" บอกสื่อ วันนี้ จบแน่นอน ขณะการประชุม กมธ.ยกร่าง พิจารณาที่มา, จำนวน ส.ส. และ ส.ว. ผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง

บรรยากาศล่าสุดที่รัฐสภา ซึ่งผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง สำหรับการประชุมของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณา รายละเอียด เนื้อหาเรื่องที่มา,จำนวน ส.ส. และ ส.ว. รวมถึง วิธีการลงคะแนน และการนับคะแนน ตลอดจนเรื่องของที่มา และจำนวนของคณะรัฐมนตรี หลังจากเมื่อวานนี้ ได้ข้อสรุปเรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี ไปแล้วว่า จะยังคงยึดรูปแบบเดิมไปแล้ว โดยก่อนการประชุม นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า ในวันนี้ ที่ประชุมจะได้ข้อสรุปเรื่องสถาบันการเมืองทั้งหมด ย้ำว่าการให้ นายกรัฐมนตรีมาจากระบบรัฐสภา แต่จะเป็นปรับเปลี่ยนให้ สามารถป้องกันการทุจริต และถ่วงดุลอำนาจ ฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติได้อย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นไปเปลี่ยนระบบใหม่

ทั้งนี้ ตามกำหนดการในช่วงบ่าย จะเป็นการพิจารณาในเรื่ององค์กรการตรวจสอบ และกระบวนการยุติธรรม และแถลงถึงข้อสรุปในการประชุมต่อไป
---------------
"คณิต" นำแถลงข้อเสนอกรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ หลักการสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค

ที่อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ มีการจัดแถลงข่าวเรื่อง ข้อเสนอกรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ... โดย นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม พร้อมคณะกรรมาธิการฯ อาทิ นางสุนี ไชยรส นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ โดย นายคณิต กล่าวว่า ในการเสนอกรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญคณะกรรมาธิการได้เสนอในหลายประเด็น แต่ประเด็นสำคัญ คือ ยืนยันหลักการสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคจากรัฐธรรมนูญของบุคคล โดยเน้นเรื่องสิทธิบุคคลในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่มีในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เพราะเห็นว่าควรอยู่ในรัฐธรรมนูญ มากกว่ากฎหมายลูก

นอกจากนี้ นายคณิต กล่าวว่า ส่วนตัวต้องการผลักดันให้ปฏิรูปศาล โดยเห็นว่า ศาลสูงสุดของประเทศควรพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีตามหลักการกฎหมายเท่านั้น แต่ศาลไทยพิจารณาคดีตามหลักข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอยู่ ทำให้มีคดีค้างการพิจารณาจำนวนมาก พร้อมกันนี้ ยังกล่าวว่า กฎหมายไทย ไม่แพ้ประเทศอื่น เพียงแต่ผู้ใช้ยังไม่เข้าใจเท่าที่ควร ทำให้การนำมาปฏิบัติยังไม่ถูกต้องเท่าที่ควร
------------------
"พรเพชร" ไม่ห่วงขัดแยงปมที่มาของนายกรัฐมนตรี เชื่อ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ฟังเสียงประชาชน

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ระบุว่า การที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เห็นควรให้คงใช้แนวทางการเลือกนายกรัฐมนตรี ด้วยการเลือกจากสภาผู้แทนราษฏร ไม่
ถือเป็นความขัดแย้งระหว่างสภาปฏิรูปแห่งชาติ กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ถือเป็นสีสันทางความคิดที่เห็นต่างกัน และเป็นการสะท้อนว่าไม่มีบุคคลใดสามารถสั่งการให้ร่างรัฐธรรมนูญไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้ โดยเชื่อว่า คณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะต้องรับฟังเสียงของประชาชน ดูหลักของกฎหมายและหลักนิติธรรม อีกทั้ง จะมีการยกร่างให้เห็นเป็นรูปธรรม เพื่อหยั่งเสียงของประชาชนช่วงเดือนเมษายน 2558

อย่างไรก็ตาม แม้จะคงแนวทางการเลือกนากยกรัฐมนตรีแบบเดิม แต่ต้องปรับปรุงรูปแบบของฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่ออุดช่องโหว่ที่เป็นปัญหาในระบอบประชาธิปไตย และให้สภาผู้แทนราษฎร เป็นตัว
แทนของประชาชนอย่างแท้จริง
------------
สมชาย หอมลออ เผย คปก. เสนอปฏิรูปตำรวจ เหตุเน้นปราบปรามมากกว่าป้องกัน-กระจายหน้าที่ลดอำนาจการแทรกแซงจากการเมือง

นายสมชาย หอมลออ กรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) กล่าวถึงกรอบข้อเสนอการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ทาง คปก. เสนอให้ปฏิรูปตำรวจ เห็นว่า ปัจจุบันในทางหลักกฎหมายนั้น ตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือน แต่ไม่ทางปฏิบัติยังคงเป็นแบบทหารที่เน้นการปราบปรามมากกว่าการป้องกัน ดังนั้น จึงต้องทำให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบของเจ้าหน้าที่พลเรือนอย่างแท้จริง โดยระดับไม่มียศ

นอกจากนี้ ยังเห็นว่า ควรกระจายภาระหน้าที่ของตำรวจไปสู่ส่วนอื่น อาทิ กระทรวงมหาดไทย และส่วนท้องถิ่น เพื่อลดหน้าที่ให้เน้นเพียงภารกิจการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเท่านั้น ซึ่งจะเป็นการลดอำนาจของตำรวจและลดแรงจูงใจในการเข้ามาแทรกแซงของนักการเมือง
-------------------
คปก. เสนอปฏิรูปเลือกตั้ง ย้ำไม่จำกัดสิทธิ์ประชาชน แนะไม่ควรนิรโทษกรรมคดีทุจริต ปฏิเสธแสดงความเห็นยกเลิกกฎอัยการศึก

นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวถึงข้อเสนอรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... ว่า ทาง คปก. เสนอให้มีการปฏิรูปการเข้าสู่อำนาจรัฐ โดยกระบวนการให้ได้มาซึ่งสมาชิกรัฐสภาต้องเป็นไปอย่างสุจริตให้สมกับความตั้งใจของประชาชนผู้มาใช้สิทธิ์ โดยไม่ควรจำกัดสิทธิ์เลือกตั้งเฉพาะบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎรเท่านั้น นอกจากนี้ ควรปรับองค์กรตามรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการตรวจสอบการทำหน้าของรัฐ

ส่วนการปฏิรูปประเทศและการสร้างความปรองดองนั้นต้องเป็นไปเพื่อลดความเลื่อมล้ำทางสังคมและอยู่บนพื้นฐานของการนำไปใช้ได้จริง ส่วนการนิรโทษกรรมต้องกำหนดเงื่อนไขสำคัญที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง โดยไม่ควรโทษแก่คดีที่เกี่ยวข้องการทุจริตหรือความผิดต่อร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา

นอกจากนี้ ข้อเสนอเกี่ยวกับกฎอัยการศึกนั้น เห็นว่าในรัฐธรรมนูญควรระบุถึงการจะประกาศกฎอัยการศึกนั้นต้องมีสถานการณ์เป็นภัยคุกคามความอยู่รอดของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่าควรยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกที่ประกาศอยู่ในขณะนี้หรือไม่ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ
------------------
พรเพชร-เทียนฉาย เลี้ยงปีใหม่สื่อรัฐสภา ยืนยันปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ ไม่สนเสียงวิจารณ์

เนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ประจำปี 2557 สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ได้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ขึ้น โดยได้เชิญ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งขาติ (สนช.) พร้อมด้วยผู้บริหารของทั้ง 2 สภา ร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่ห้องสื่อมวลชน

โดยภายหลังการรับประทานอาหารร่วมกัน นายพรเพชร กล่าวอวยพรปีใหม่ว่า ขอปวารณาตัวต่อสื่อมวลชนและประชาชนว่าจะปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ไม่ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ก็พร้อมจะนำไปปรับปรุง ทั้งนี้ ได้ชมเชยสื่อที่มีบทบาทมากขึ้นในเชิงสร้างสรรค์สังคม และมีการตรวจสอบกันเอง

ขณะที่ นายเทียนฉาย กล่าวว่า ในนามของ สปช. ก็จะมีของขวัญปีใหม่อีกเรื่องที่จะมีการประชุมวิป สปช. ในช่วงบ่ายวันนี้
--------------------
มติกมธ.รธน.ให้สส.มาจากลต.250คนปาร์ตี้ลิสต์200คน

 ที่ประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีมติให้ สส. มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม คือจากเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 250 คน และจากระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ 200คน รวม 450 คน
ซึ่ง สส. ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง

ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องระบบการเลือกตั้งและผู้นำทางการเมืองที่ดี โดยเฉพาะประเด็นที่มาและจำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใช้เวลาการประชุม กว่า4 ชั่วโมง

จากนั้น พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุมมีมติให้ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม โดยให้สภาผู้แทนราษฏร มีผู้แทนมาจากการเลือกตั้งผสมทั้งแบบแบ่งเขตและแบบระบบสัดส่วนหรือปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อให้เหมาะสมกับสังคมไทย ที่ควรมีทั้งผู้แทนของประชาชนในเขตจังหวัด และเป็นผู้แทนของประชาชนที่ไม่มีฐานเสียงในเขตจังหวัด ทั้งนี้ ให้การเลือกตั้งแบ่งเป็น แบบแบ่งเขตจำนวน 250 คน และการเลือกตั้งแบบระบบสัดส่วน จำนวน  200 คน ที่ต้องคำนึงถึงเสียงสะท้อนของภาคประชาสังคม ส่วน ส.ส. แบบสัดส่วนที่เดิมเคยวัดจากจำนวนประชากร แต่ครั้งนี้จะให้ยึดในเรื่องภูมิศาสตร์เป็นหลัก โดยจะเปลี่ยนวิธีการคำนวนด้วย

สำหรับข้อดีของระบบนี้ เสียงของประชนทั้งหมดจะไม่สูญเปล่า พรรคขนาดเล็กสามารถเป็นตัวแทนเข้าสภา ทำให้มีบทบาทมากขึ้น อีกทั้งส่งเสริมให้พรรคเล็กได้รับการเลือกตั้ง พร้อมยืนยันว่า ระบบดังกล่าวจะไม่ทำให้การเมืองอ่อนแอ แต่จะทำให้การตรวจสอบเข้มข้นมากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นว่า จะให้มีการสมัคร สส.แบบอิสระ โดยไม่ต้องสังกัดพรรคการเมืองได้ เพื่อให้มีอิสระในการทำงาน

 ขณะเดียวกัน เนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ประจำปี2557 สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ได้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ขึ้น โดยได้เชิญนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งขาติ พร้อมด้วยผู้บริหารของทั้งสองสภา ร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่ห้องสื่อมวลชน
-----------------
มติ กมธ. ยกร่าง รธน. กำหนด ส.ส. มี 450 คน ไม่ต้องสังกัดพรรค เลือกตั้งแบบแบ่งเขต 250 สัดส่วน 200 

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมมีมติให้ใช้ "ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม" โดยให้สภาผู้แทนราษฎร มีผู้แทนมาจากการเลือกตั้งผสมทั้งแบบแบ่งเขตและแบบระบบสัดส่วน เพื่อให้เหมาะสมกับสังคมไทย และควรมีทั้งผู้แทนของประชาชนในเขตจังหวัดไม่มีฐานเสียงในเขต ทั้งนี้ ให้การเลือกตั้งแบ่งเป็นแบบแบ่งเขตจำนวน 250 คน และการเลือกตั้งแบบระบบสัดส่วนจำนวน 200 คน ต้องคำนึงถึงเสียงสะท้อนของภาคประชาสังคมส่วน ส.ส. แบบสัดส่วนที่เดิมเคยวัดจากจำนวนประชากร แต่ครั้งนี้จะให้ยึดในเรื่องภูมิศาสตร์เป็นหลัก

นอกจากนี้ ส.ส. ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง เพื่อให้ ส.ส. ใช้สิทธิ์ใช้เสียงอย่างเป็นอิสระ
//////////////
ปปช.ถอดถอนส.ส./สว.

ป.ป.ช. ยังไม่ชัดชี้มูลความผิด 268 อดีต ส.ส. กรณีแก้ รธน. สรุปสำนวนแล้ว แบ่งเป็น 2 กรณี - ส่งสำนวน 38 อดีต ส.ว. ให้ สนช. แล้ว

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการไต่สวนคดีถอดถอนในส่วน ส.ส. จำนวน 268 ราย กรณีมีส่วนร่วมในการแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของ ส.ว. ว่า ขณะนี้มีการสรุปสำนวนเสนอเข้ามาในที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว โดยได้ให้แยกสรุปเป็นกลุ่ม ๆ เช่นเดียวกับกรณี ส.ว. ที่ถูกชี้มูลความผิดไปก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ได้แจ้งข้อกล่าวหา ส.ส. เพิ่มเติมอีก 1 ราย ภายหลังจากต้องหยุดกระบวนการไต่สวนลง เพราะไม่ชัดเจนในอำนาจหน้าที่ แต่ตอนนี้มีอำนาจทำเพิ่มแล้ว โดยในการสรุปคดีแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่แก้ข้อกล่าวหาครบแล้ว ซึ่งจะดูว่า ส.ส. คนใดลงชื่อหรือไม่ลงชื่อ ยกมือเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ และกลุ่ม ส.ส. ที่กระทำความผิดทางอาญา เช่น เสียบบัตรแทนกัน เป็นต้น

ดังนั้น คิดว่าในส่วน ส.ส. ที่แก้ข้อกล่าวหาเรียบร้อยแล้ว และสามารถจัดกลุ่มได้แล้ว ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. คงจะได้วินิจฉัยเป็นกลุ่ม ๆ ว่า มีความผิดอะไร อย่างไร

ทั้งนี้ นายสรรเสริญ กล่าวว่า กรณีเสียบบัตรเป็นจุดปัญหา เพราะระบบของสภามันไม่สามารถที่จะไปพิสูจน์ได้ว่า ใครไปเสียบบัตรแทนใคร เนื่องจากมันเป็นระบบไว้ออกเสียงอย่างเดียว แต่จากการไต่สวนพบว่า มีผู้กระทำผิดโดยมีพยานยืนยันค่อนข้างชัดเจน เพียงแต่ว่าจะสาวไปถึงผู้ร่วมกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนคดีถอดถอน ส.ว. จำนวน 38 คน กรณีมีส่วนร่วมในการแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของ ส.ว. ให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว
/////////
นายกฯ

พล.อ.ประวิตร พร้อม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ เดินทางเยือนกัมพูชา 24-25 ธ.ค. ร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ศิริชัย
ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะ ได้เดินทางด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศ จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 เยือนราชอาณาจักรกัมพูชา อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 24-25 ธ.ค. 57 ในการนี้ พล.อ.ประวิตร และคณะ จะได้เข้าเยี่ยมคำนับ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา และเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา ซึ่งทางกัมพูชา เป็นเจ้าภาพในการประชุม
-----------------
นายกฯ เป็นประธานเปิดงานลดราคาสินค้าเป็นของขวัญปีใหม่ให้ ปชช. ผู้บริหาร กระทรวง และผู้บริหารเอกชน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานในพิธีเปิดงานการลดราคาจำหน่ายสินค้าเป็นของขวัญให้ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ภายใต้ชื่องาน เทใจ คืนสุข สู่ประชาชน ที่ตึกสันติไมตรี ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารส่วนราชการ ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชน เข้าร่วมภายในงานอย่างพร้อมเพรียง อย่างไรก็ตาม การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ กับภาคเอกชน จัดงานลดราคาจำหน่ายสินค้าครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกสาขาของห้างค้าปลีกค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นกว่า 12,800 สาขา ซึ่งสินค้าที่นำมาลดราคาในครั้งนี้ มีจำนวนมากกว่าการลดราคาปกติทั่วไปของห้างร้านต่าง ๆ ที่ผ่านมา โดยลดราคาสูงสุดถึงร้อยละ 70 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ในระหว่างวันที่ 24-30 ธันวาคม 2557 นี้ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 7 วัน
----------------------
รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกองทุนหมู่บ้าน-หวังเเต่งตั้งกรรมการกองทุนที่หมดวาระได้ภายในสิ้นเดือน

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เป็นประธานในการมอบนโยบายแนวทางการดำเนินงาน สถาบันการเรียนรู้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โดยกล่าวว่า ตนขอบคุณทุกคนที่ได้ให้โอกาสมาพูดคุยในวันนี้ และขอบคุณ 84 สถาบันการเรียนรู้ฯ ที่ได้ให้ข้อคิดเห็นและการดำเนินงาน ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับกองทุนหมู่บ้านฯ แต่ยังมีสิ่งที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เนื่องจาก คณะกรรมการของกองทุนฯหมดวาระลง และอยู่ระหว่างกระบวนการในการแต่งตั้ง ซึ่งตนได้เร่งรัดและคาดว่าการแต่งตั้งจะเสร็จสิ้น ในเดือนธันวาคม 2557 นี้ ขณะเดียวกัน จะมีการเริ่มประชุมในปีหน้า เพื่อให้ขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างเต็มรูปแบบ
--------------------
ประยุทธ์ อวยพรปีใหม่ประชาชน วอนอย่าสร้างความขัดเเย้ง-ปัดจัดตั้งองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวอวยพรปีใหม่ให้แก่ประชาชน โดยขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองประชาชน และขอให้ประชาชนมีความสุข พร้อมให้ช่วยกันเดินหน้าประเทศตามวิสัยทัศน์ที่ว่า ประเทศมั่นคง ประชาชนมีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ส่วนของขวัญที่ตนเองจะมอบให้ประชาชนนั้น มีแค่ชีวิตและหัวใจ ทั้งนี้ รัฐบาลเหลือเวลาอีกหนึ่งปีในการปฏิรูปประเทศ ขอประชาชนอย่าสร้างความขัดแย้ง ส่วนเรื่องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาและชาวสวนยางพารานั้น อยู่ระหว่างการติดตาม ซึ่งจะไล่ดูในแต่ละขั้นตอนว่าติดขัดอย่างไร เพื่อที่จะแก้ไขให้ถูกต้องและจะทำให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้ปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าทาง คสช. จะจัดตั้งองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ว่า ตนเองไม่รู้ ไม่เห็น และยังไม่ได้คิด
---------------------------
นายกฯ แถลงผลงานพรุ่งนี้ เน้นแก้ไขปัญหา ปชช. เป็นหลัก-เล็งแก้กฎหมายค้ามนุษย์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึง การแถลงผลงานของรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ ว่า สิ่งที่มีความพอใจในผลงานของรัฐบาลมากที่สุดนั้น ตนเองตอบไม่ได้ ต้องให้ประชาชนเป็นคนตอบว่าพอใจกับผลงานชิ้นใดของรัฐบาลบ้าง เพราะทุกวันนี้รัฐบาลแก้ไขปัญหาของประเทศโดยใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เน้นการรักษาความสงบเรียบร้อย และเศรษฐกิจ

ส่วนการประชุมปัญหาการค้ามนุษย์ในมิติไทย-สหรัฐฯ ในช่วงบ่ายวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นว่า การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการประชุมกันเพียงครั้งเดียว ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังดูในเรื่องของกฎหมายที่ไม่ทันสมัยและการกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่ที่ยังไม่จริงจังเพียงพอ พร้อมยอมรับว่าปัญหาดังกล่าวเป็นสิ่งที่สะสมมานาน ซึ่งที่ผ่านมา คสช. ได้แก้ไขให้เข้าสู่ระบบไปบ้างแล้ว ซึ่งทางผู้ประกอบการก็จะต้องให้ความร่วมมือในการดูแลแรงงาน หากไม่ดำเนินการจะต้องมีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง
------------------------
นายกฯ ร่วมงานเลี้ยงปีใหม่ สื่อทำเนียบ พูดคุยเป็นกันเอง แถมร่วมร้องเพลง "ขอใจเธอแลกเบอร์โทร"

บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงบ่ายนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานการประชุมปัญหาการค้ามนุษย์ในมิติไทย-สหรัฐฯ ที่ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีผู้บริหารส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินจากตึกไทยคู่ฟ้า มาร่วมงานเลี้ยงของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ที่หน้าห้องสื่อมวลชน บริเวณตึกนารีสโมสร โดย นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมรับประทานอาหารพร้อมพูดคุยกับสื่อมวลชนด้วยความเป็นกันเอง และยังได้ร่วมร้องเพลง "ขอใจเธอแลกเบอร์โทร" กับสื่อมวลชนด้วย ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก และชื่นมื่น ขณะเดียวกันยังได้มอบของขวัญเพื่อร่วมจับฉลากกับสื่อมวลชน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอวยพรให้สื่อมวลชนมีความสุข และให้อภัยซึ่งกันและกัน
--------------------------
"วินธัย" แจง ทบ. ไม่เคยมีคำสั่งให้หน่วยราชการมาต้อนรับ ผช.ทบ. ในการลงพื้นที่เชียงราย

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีในสื่อทางโซเชียลกล่าวถึง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ลงพื้นที่ปฏิบัติราชการที่ จ.เชียงราย แล้วหน่วยในพื้นที่สั่งเกณฑ์ ข้าราชการทั้งจังหวัดไปรับ-ส่ง ว่า เป็นการปฏิบัติของหน่วยในพื้นที่ที่มักจะมีการแจ้งบอกกล่าวหน่วยราชการที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ในฐานะที่เป็นเพื่อนข้าราชการที่อยู่ในพื้นที่ เมื่อมีเพื่อนข้าราชการระดับผู้บังคับบัญชาต่างถิ่นไปเยี่ยมเยือน เพื่อให้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยสร้างปฏิสัมพันธ์ทักทายกัน และในบางพื้นที่อาจถือเป็นธรรมเนียมมารยาทที่สมควรไปต้อนรับผู้มาจากต่างถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่การเชิญบอกกล่าวกัน ก็ให้เป็นไปตามความสะดวกของแต่ละบุคคล ไม่ใช่การเกณฑ์ หรือการสั่งบังคับอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการสั่งการให้หน่วยงานใดมาต้อนรับและโดยส่วนตัวแล้วผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ท่านมีนิสัยเรียบง่าย ไม่ชอบพิธีรีตองที่เอิกเกริก
--------------------
นายกฯ กำชับทุกภาคส่วนเร่งช่วยเหลือน้ำท่วม ยันมีโอกาสจะลงไปในพื้นที่ ย้ำไม่ละเลย ขณะ วิษณุ ระบุ เลือกตั้งเป็นไปตามขั้นตอน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ว่า ได้กำชับดูแลสถานการณ์ในทุกพื้นที่ โดยขอให้เจ้าหน้าที่จัดทำบันทึกข้อมูลแต่ละพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมด้วย เพราะเตรียมจัดระเบียบผังเมืองใหม่ในอนาคต หากมีโอกาสนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยด้วยตนเอง พร้อมระบุว่า ตนเองไม่ใช่นางแบบหรือนายแบบเดินโชว์ แต่เป็นผู้สั่งการและทำการบ้านในการขับเคลื่อนประเทศ ยืนยันจะไม่ละเลยการให้ความช่วยเหลือ จะช่วยประชาชนแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่

ส่วนกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายออกมาระบุว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้ ส่วนตัวคิดว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดขึ้นหลังจากมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร พร้อมย้ำว่าจะไม่ลงเล่นการเมืองอย่างแน่นอน
/////////////
คสช./ความมั่นคง

ศปป. เตรียมจัดมหกรรมเอกลักษณ์ไทยหัวใจ 4 ภาค เสริมสร้างค่านิยม จิตสำนึกให้ปรักหวงแหนศิลปวัฒนธรรมของชาติ 29- ธ.ค. - 2 ม.ค.นี้ 

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ได้ร่วมกับส่วนราชการ หน่วยงาน สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรภาคประชาสังคม กำหนดจัด “มหกรรมเอกลักษณ์ไทยหัวใจ 4 ภาค” พร้อมกันทั่วประเทศ จำนวน 4 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 กำหนดจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 57 - 2 ม.ค. 58 เพื่อเสริมสร้างค่านิยมและจิตสำนึกให้ประชาชนทุกภาคส่วนรักและหวงแหนศิลปวัฒนธรรมของชาติ แนวทางการจัดจะนำกิจกรรมสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ หรือ วัฒนธรรม

ประจำถิ่นของภูมิภาคต่าง ๆ มาจัดแสดงให้ประชาชนได้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิด 3 ประเภท คือ ประเภทการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูมิภาคทั้ง 4 ภาค ห้วงเวลา 19.00 - 23.00 น. ประเภทการจัดนิทรรศการเป็นกลุ่มตามภูมิภาคทั้ง 4 ภาค และประเภทอาหารที่เป็นสัญลักษณ์ประจำภาค หรือสินค้า OTOP สำหรับสถานที่จัดมหกรรมพร้อมกัน 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ภาคกลาง จัดที่สนามกีฬาโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย อ.เมือง จ.ลพบุรี พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดที่ลานหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา พื้นที่ภาคเหนือจัดที่ลานหลังศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และพื้นที่ภาคใต้ จัดที่สวนศรีธรรมาโศกราช อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
/////////////////
คดีสินบน

ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษาคดี อดีต ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว เสนอสินบน 30 ล้านบาท ให้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ช่วยเหลือคดียุบพรรค วันนี้ 09.00 น.

ศาลอาญา รัชดา นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่ พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อดีต ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นจำเลยในความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ จากเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2550 จำเลย ได้วิ่งเต้นเสนอสินบน จำนวน 30 ล้านบาท ให้แก่ตุลาการรัฐธรรมนูญ ในการตัดสินคดียุบพรรค แต่ตุลาการท่านดังกล่าวปฏิเสธ และทำบันทึกส่งให้ประธานศาลฎีกา โดยศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษา ในวันนี้ เวลา 09.00 น.

สำหรับ พ.ต.อ.ชาญชัย เป็นเพื่อนร่วมรุ่น กับ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี สามี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.อ.ชาญชัย เคยดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.โพธิ์ชัย จ.ร้อยเอ็ด ระหว่างปี 2543-2545 ก่อนถูกโยกย้ายมาดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม ตั้งแต่ ตุลาคม 2545 จนถึงปี 2548 จึงเกษียณอายุราชการ
---------------------
ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 3 ปี พ.ต.อ.ชาญชัย ให้สินบน 30 ล้าน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ล้มคดียุบพรรคไทยรักไทย 

ศาลอาญา รัชดา อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อดีต ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว เป็นจำเลยในความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ เพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ จากกรณีเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2549 จำเลย ได้วิ่งเต้นเสนอสินบนจำนวน 30 ล้านบาท ให้แก่ ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ช่วยเหลือในการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย

โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มี ม.ล.ไกรฤกษ์ ซึ่งเป็นตุลาการ รธน. ในขณะนั้น และเป็นผู้ที่ได้รับการนับถือ ในฐานะอาจารย์สอนกฎหมาย มาเบิกความ ว่า จำเลยมาขอพบเพื่อเสนอสินบนในครั้งแรก ที่สำนักงานศาลฎีกา จำนวน 15 ล้านบาท และครั้งที่ 2 เสนอให้ที่บ้านพัก จำนวน 30 ล้านบาท แต่ ม.ล.ไกรฤกษ์ ไม่รับ และทำบันทึกถึงประธานศาลฎีกา ซึ่ง ม.ล.ไกรฤกษ์ เบิกความได้
เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน และไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าเบิกความไปตามข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลย ถือว่าคิดเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ทำลายความถูกต้องของสถาบันหลัก ซึ่งเป็นพึ่งสุดท้ายของประชาชน คิดว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกอย่าง พิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามมาตรา 167 ลงโทษจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา
--------------------
ศาลให้ประกันตัว พ.ต.อ.ชาญชัย จำเลยคดีเสนอสินบน 30 ล้าน ตุลาการ รธน.แล้ว หลังญาติ ยื่นเงินสด 3 แสนบาท เพื่อขอปล่อยตัว

ศาลอาญา รัชดา มีคำสั่งปล่อยชั่วคราว พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อดีต ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว จำเลยในความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ เพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ที่ศาลชั้นต้น สั่งจำคุก 3 ปี ไม่รอการลงโทษ กรณีได้วิ่งเต้นเสนอสินบน จำนวน 30 ล้านบาท ให้แก่ ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ช่วยเหลือในการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย

ภายหลังจากญาติ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 3 แสนบาท เพื่อขอประกันตัวต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ศาลพิเคราะห์แล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวได้ ซึ่งขณะนี้ พ.ต.อ.ชาญชัย ได้เดินทางออกจากศาลอาญา รัชดา แล้ว
--------------------
ศาลฎีกา พิพากษากลับ สั่งจำคุก 10 ปี อดีตรอง สว.สส.สน.ห้วยขวาง ยิงปืนขู่แท็กซี่

ศาลอาญา รัชดา อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้อง ร.ต.อ.เจษฎา เจตภรณ์ อายุ 31 ปี อดีตรอง สว.สส.สน.ห้วยขวาง เป็นจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่า
ผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองฯ และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองฯ

จากกรณี เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2553 เวลากลางคืน จำเลยขับรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 1818 กรุงเทพมหานคร โดยมีอาวุธปืนพกออโตเมติก ยี่ห้อกล็อก ขนาด 9 มม. และกระสุนปืนขนาด 9 มม. ติดตัวไปด้วย ก่อนมีปากเสียงกับ นายมณเฑียร จิตตระกูล อายุ 46 ปี ผู้เสียหาย เป็นคนขับรถแท็กซี่ จากนั้นจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงข่มขู่โดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล เหตุเกิดที่ซอยจำเนียรเสริม เขตวังทองหลาง

คดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุก 10 ปี ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นตำรวจย่อมทราบดีว่า คดีพยายามฆ่านั้น มีอัตราโทษสูง หากไม่ได้ทำผิด ควรต้องส่งอาวุธปืนประจำกายเพื่อตรวจพิสูจน์ แต่จำเลยกลับไม่นำอาวุธปืนส่งตรวจพิสูจน์  ขณะที่พยานสามารถจดจำใบหน้าของจำเลย และชี้ตัวได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เชื่อว่า
จำเลยกระทำผิดจริง ศาลฎีกา เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นพิพากษากลับให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี
///////////
คดียักยอกพันล้านเทคโนลาดกระบัง

ตำรวจกองปราบฯ บุกธนาคาร ขอตรวจสอบเส้นทางการเงินคดี อดีต ผอ.เทคโนลาดกระบัง ร่วมกัน ผจก.ธนาคาร ยักยอกเงินพันล้าน 

พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รักษาราชการแทนผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าคดี ที่ นายทรงกลด ศรีประสงค์ ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา
ห้างบิ๊กซีศรีนครินทร์ และ นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนการคลังสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกันยักยอกเงินในบัญชีธนาคารของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เสียหายกว่า 1.6 พันล้านบาท ว่า วันนี้ พนักงานสอบสวน จะไปยังธนาคารเพื่อขอตรวจสอบบัญชีธนาคาร หาเส้นทางการเงิน เพื่อหาเบาะแสของผู้ที่เกี่ยวข้อง

ส่วน นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์จ ที่ตรวจสอบแคชเชียร์เช็ค พบว่ามีการนำเงินเข้าไปฝากในบัญชีนั้น ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร สำหรับ แนวทางการสืบสวนขณะนี้

เชื่อได้ว่าน่าจะมีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหลายคน ซึ่งต้องหาอาศัยพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการออกหมายจับเพิ่มเติมต่อไป
-----------------------
"พ.ต.อ.อัคราเดช" เผย ผจก.แบงก์ ให้การเป็นประโยชน์ พร้อมทำเรื่องอายัดตัว "นางอำพร" ผู้ต้องหาอีกคน มารักษาตัวต่อที่ ร.พ.ตำรวจแล้ว

พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม กล่าวถึงกรณีการดำเนินการภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาที่ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและทำการยักยอกทรัพย์มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท จากบัญชีของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง ว่า การจากสอบปากคำ นายทรงกรด ศรีประสงค์ ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยาสาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ ผู้ต้องหาได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ โดยมีการระบุถึงผู้เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าว 4 ราย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยักยอกโอนเงินเข้าบัญชีทั้ง 4 บัญชี โดย 1 ใน 4 เป็นบัญชีของ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ประสานสมาคมธนาคารเพื่ออายัดบัญชีและตรวจธุรกรรมทางการเงิน ทั้ง 4 บัญชี ซึ่งหากพบว่าบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชี มีส่วนรู้เห็นก็จะออกหมายจับทันที

ทั้งนี้ ได้ประสานไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ให้ช่วยตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดยเบื้องต้นยังไม่พบการกระทำผิดที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.การฟอกเงินแต่อย่างใด

ส่วนการดำเนินคดีกับ นางอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ซึ่งขณะนี้เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านบางนา และแพทย์ระบุว่า อาการยังไม่ดีขึ้น จึงยังไม่สามารถควบคุมตัวได้ แต่อย่างไรก็ตาม
เจ้าหน้าที่ได้ประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขออายัดมารักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจแล้ว
----------------------------
ตร.กองปราบปราม คุมตัว ผจก.แบงก์ ผู้ต้องหาร่วมกันลักทรัพย์ของสถาบันเทคโนโลยีรลาดกระบัง ฝากขัง พร้อมค้านประกัน ด้าน ผอ.คลัง อาการป่วยยังทรุด

เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม คุมตัว นายทรงกรด ศรีประสงค์ ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ ผู้ต้องหาคดีปลอมแปลงเอกสารและทำการลักทรัพย์ มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท จากบัญชีของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ฝากขังไว้ที่ สน.พหลโยธิน เข้ามาเปรียบเทียบลายเซ็นที่กองบังคับการกองปราบปราม โดย นายทรงกรด ได้เปิดเผยว่า ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของลูกค้าตามปกติเท่านั้น และไม่เคยรู้จักกับ นางอำพร เป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด เจอกันเฉพาะตอนที่มาทำธุรกรรมทางการเงิน เหตุผลที่ไม่ได้เอะใจกับการเบิกถอนเงินจำนวนมากนั้น เพราะคิดว่าทางสถาบัน น่าจะมีระบบการตรวจสอบที่ดีแล้ว ด้านการแจ้งให้กับทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ทราบนั้น มีการแจ้งทุกครั้งที่ลูกค้ามีการเบิกจ่ายเงินสดเกิน 2 ล้านบาท เพราะข้อมูลจะเข้าในระบบของธนาคารและแจ้งไปทาง ปปง. อัตโนมัติทุกครั้งอยู่แล้ว จึงไม่คิดว่า นางสาวอำพร จะสามารถยักยอกเงินได้ และหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้คุมตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลพระโขนง ในข้อหาสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐในการกระทำความผิด และคัดค้านการประกันตัว

ด้าน นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้ต้องหา อาการป่วยยังไม่ดีขึ้น ซึ่งการที่จะย้ายมารักษาตัวต่อที่ ร.พ.ตำรวจ นั้น ต้องตรวจสอบโรคที่ผู้ต้องหาเป็นก่อนเพราะอาจต้องรักษากับหมอที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน แต่ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่
//////////////
เครือข่ายพงศ์พัฒน์

ตำรวจพหลโยธิน ยืนยัน ยังไม่ออกหมายจับเพิ่มคดีบอลพนันออนไลน์ เครือข่าย "พงศ์พัฒน์"

พ.ต.อ.นิพนธ์ เจริญศิลป์ รักษาราชการแทนผู้กำกับการ สน.พหลโยธิน เปิดเผยกรณีกระแสข่าวตำรวจเตรียมขออนุมัติออกหมายจับเพิ่มเติมคดีการปราบปรามบอลพนันออนไลน์ เมื่อปี 2552 ซึ่งมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง โดยยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับใครเพิ่มเติม เพียงแต่เป็นการประสานงานศาลอาญา ในเรื่องการหาหลักฐานเพิ่มเติม รวมถึงทางพนักงานสอบสวน จะต้องใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนเนื่องจากเป็นคดีละเอียดอ่อน

ทั้งนี้ กรณี พ.ต.อ.วรพจน์ พืชผล ผู้กำกับกอง 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ที่ถูกออกหมายจับในคดีเดียวกันไปก่อนหน้านี้ จะเข้ามามอบตัวหรือไม่

ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามจับกุม ขณะที่ พนักงานสอบสวน ยังไม่ได้รับการประสานงานเข้ามอบแต่อย่างใด
//////////////
ศาลฎีกาพิพากษายืนให้ “สมคิด บาลไธสง” อดีต ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย จ่ายค่าสินไหมทดแทน 5 แสน กรณีอภิปรายหมิ่นนายทหารคุมม็อบเสื้อแดงปี 2552


ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมคิด บาลไธสง อดีต ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา สืบเนื่องจาก วันที่ 23 เมษายน 2552 จำเลยได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร พาดพิง พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิ์เดช ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่
12 รักษาพระองค์ ว่าใช้มือกระชากผมหญิงผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง

คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท รอการลงโทษ 2 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  500,000 บาทด้วย

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าการกระทำของจำเลย ทำให้ พ.ท.เกรียงศักดิ์ และครอบครัว ได้รับความเสียหาย เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 500,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
----------------------
ผบช.น. เผยเตรียมออกหมายจับนายตำรวจเอี่ยวส่วยบ่อนรัชดา "อาบูบาก้า" ยันมีหลักฐานชัดเจน

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้เตรียมออกหมายจับนายตำรวจที่มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์บ่อนพนันออนไลน์ "อาบูบาก้า" ย่านรัชดา ที่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังพบหลักฐานเชื่อมโยงชัดเจน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีกี่นายและอยู่ในสังกัดใดบ้าง เนื่องจากยังอยู่ในสำนวน แต่จะพยายามเร่งออกหมายจับให้ทันภายในวันนี้ และหากตรวจสอบพบว่ามีนายตำรวจนายใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีก หากมีการพาดพิงและมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงก็จะดำเนินคดีโดยไม่มีการละเว้นแต้อย่างใด

ในส่วนของการออกหมายจับในท้องที่ สภ.คลองหลวง นั้น พล.ต.ท.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า ในขณะนี้มีการประสานขอออกหมายจับไปแล้ว 3 ราย ในข้อหาร่วมกันแอบอ้างหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112

โดย 2 รายที่มีการออกหมายจับได้นำตัวไปฝากขังเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ระบุว่าฝากขังอยู่ที่ใด เนื่องจากยังอยู่ในสำนวน ส่วนอีก 1 รายขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามจับกุม เพื่อดำเนินคดีต่อไป
/////////////////////////
แบงต์สำรองเงินปีใหม่

สมาคมธนาคารไทย มอบความสุขปีใหม่ ฟรีค่าธรรมเนียม ATM และ CDM ข้ามเขต 31 ธ.ค. - 4 ม.ค. 58 พร้อมตุนเงินสด 230,000 ล้าน รับเบิกถอนที่เพิ่มขึ้น

นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกันของธนาคารสมาชิกชมรมธุรกิจบริการเอทีเอ็ม ได้มีความเห็นชอบร่วมกันในการมอบของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ด้วยการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายการถอนเงินสดข้ามเขตผ่านเครื่องถอนเงินสดอัตโนมัติ (ATM) ของธนาคารเจ้าของบัตร และยกเว้นค่าธรรมเนียมรายการฝากเงินสดข้ามเขตภายในธนาคารเดียวกัน ผ่านเครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติ (CDM) ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 57 จนถึงวันที่ 4 ม.ค. 58 เวลา 23:00 น. เพื่อร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ทั้งนี้ ยอดเบิกถอนผ่านตู้อัตโนมัติช่วงเดือน ธ.ค.ปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 160 ล้านรายการ การยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วง 5 วัน ดังกล่าวจะช่วยให้นักท่องเที่ยวประหยัดเงินได้ประมาณ 15-20 บาทต่อการถอนแต่ละครั้ง ดังนั้น เม็ดเงินที่ผู้บริโภคจะประหยัดไปได้จะอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาท

นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันธนาคารสมาชิกชมรมธุรกิจบริการเอทีเอ็ม จำนวน 22 แห่ง มีเครื่อง ATM และ CDM รวมกันประมาณ 56,000 เครื่อง ซึ่งธนาคารสมาชิกได้เตรียมสำรองเงินสดเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10-15% รองรับการเบิกถอนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเงินสดตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วประเทศให้เพียงพอ เนื่องจาก ปีใหม่ปีนี้มีวันหยุดยาวต่อเนื่องเช่นเดียวกับปีที่แล้ว โดยธนาคารจะสำรองเงินสดมากกว่าปีก่อน 220,000-230,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10-15%
-----------------
"หม่อมอุ๋ย" ชู 3 แนวทางช่วยเหลือชาวนา พร้อมดึงนักลงทุนจีนตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ในไทย คาด 2-3 ปี สร้างครบ 8 แห่ง 

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาว่า รัฐบาลมี 3 แนวทางในการช่วยเหลือชาวนา คือการสนับสนุนการปลูกอ้อยแทนข้าวในพื้นที่ใกล้โรงงานที่ขาดแคลน รวม 7 แสนไร่ สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่นแทนข้าวและการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีให้ปลูกในพื้นที่เหมาะสมโดยจะเริ่มในฤดูกาลผลิตนาปี ปี 2558 จำนวน 10 ล้านไร่ ขณะที่การแก้ไขปัญหาราคายางพารา จะสนับสนุนการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น โดยทางรัฐบาลได้เจรจากับกลุ่มนักธุรกิจผลิตยางรถยนต์จากประเทศจีนตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย 8 โรง ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการเสร็จไปแล้ว 1 โรง และคาดว่าในระยะเวลา 2-3 ปี ข้างหน้าจะสามารถดำเนินการได้ครบ และจะทำให้ความต้องการใช้ยางในประเทศเพิ่มสูงขึ้นถึง 1 ล้านตันต่อปี หรือประมาณร้อยละ 25 จากเดิมร้อยละ 14

นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนให้เกษตรสวนยางเปลี่ยนจากการปลูกยางเป็นพืชชนิดอื่นแทน โดยทางรัฐบาลจะจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้เกษตรกรรายย่อย รายละไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อเป็นการลดปริมาณยางอีกช่องทางหนึ่งด้วย
------------------------
"หม่อมอุ๋ย" ลั่น รัฐบาลพร้อมยกระดับเกษตรกร รับมือเศรษฐกิจในอนาคต ย้ำ อย่าให้การเมือ งเข้ามาครอบงำสภาเกษตรกรแห่งชาติ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย” สัมมนาเชิงวิชาการประจำปีครั้งที่ 2 ของสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยระบุว่า ภาครัฐ
พร้อมยกระดับเกษตรกรจากที่เป็นผู้ผลิตและขายผลผลิตในรูปวัตถุดิบทางการเกษตรแปรรูปไม่เป็น ทำการตลาดไม่เป็นให้เป็นเกษตรให้สามารถแปรรูปเป็น สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ด้วยตนเอง เพราะเศรษฐกิจการเกษตรได้เปลี่ยนไปมาก จากเกษตรเพื่อยังชีพเป็นการเกษตร เพื่อการค้า จึงจำเป็นต้องทำการเกษตรให้มีต้นทุนที่เหมาะสมสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ ซึ่งปัจจุบันปัญหาสินค้าเกษตรที่มีอยู่ขณะนี้ทางรัฐบาลได้พยายามแก้ไขโดยเปิดรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกภาคส่วนนำมาปรับใช้ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า อย่าให้การเมืองเข้ามาครอบงำการทำงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติ เนื่องจากเป็นหน่วยงานสำคัญที่จะสื่อสารข้อเสนอแนะนโยบายและแผนงาน ระหว่างเกษตรกรและหน่วยงานของรัฐ เพื่อพัฒนาการเกษตรของประเทศไทยให้ยั่งยืน
-------------------
สศค. เผยเบิกจ่ายงบประมาณปี 58 แล้ว 573,356 ล้าน ขณะ 2 เดือน รัฐส่งรายได้เข้าคลัง 31,2291 ล. ต่ำเป้า 6.1%

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม-พฤศจิกายน 2557) ว่า รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น 312,291 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 20,390 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.1 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการนำส่งรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนหนึ่งเหลื่อมไปในเดือนธันวาคม ประกอบกับอุปสงค์รถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว ในขณะที่ การเบิกจ่ายงบประมาณมีจํานวนทั้งสิ้น 573,356 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 59,281 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.5 ทําให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 261,065 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุล 17,632 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 278,697 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 25,820 ล้านบาท ทําให้ดุลเงินสดหลังกู้ขาดดุลทั้งสิ้น 252,877 ล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2557 มีจํานวนทั้งสิ้น 242,869 ล้านบาท

นายกฤษฎา สรุปว่า การเบิกจ่ายงบประมาณที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แสดงถึงความพยายามเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
-----------------------
ประธานสภาอุตสาหกรรม ชี้ รัฐต้องลดค่า Ft ลง 5-6% 20 สตางค์/หน่วย ผู้ประกอบการขนส่งหั่นค่าโดยสาร 15-20% หลังราคาน้ำมันลดลง 

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาครัฐจะต้องลดค่า Ft ประมาณ 5-6% หรือคิดเป็นขั้นต่ำ 20 สตางค์/หน่วย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ให้เกิดการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ราคาน้ำมันได้ปรับลง 40-50% แล้ว รัฐบาลจึงน่าจะสามารถคืนความสุขให้ประชาชนได้ รวมทั้งผู้ประกอบการภาคขนส่ง ควรจะเร่งปรับลดค่าโดยสารลงอีก 15-20% ด้วย

ขณะที่การดำเนินงานของภาครัฐ ในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่วนตัวมองว่ามีความตั้งใจดี แต่ภารกิจที่ควรทำโดยเร่งด่วน คือ การปฏิรูปภาษี และการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน รวมถึงเรื่องของราคาสินค้าเกษตร เพื่อช่วยให้ภาคเกษตรสามารถยกระดับรายได้เพิ่มขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น: