PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตัดสิทธิสมัครส.ส.ผู้ถูกถอดถอนคดีทุจริต"ตลอดไป"

ยกร่าง รธน. ตัดสิทธิผู้ถูกถอดถอนจากทุจริตสมัคร ส.ส.-ส.ว.ตลอดไป

ยกร่าง รธน. ยืนตัดสิทธิผู้ที่ถูกถอดถอนในคดีทุจริต หรือต้องคำพิพากษาฐานประพฤติมิชอบ หรือทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม ลงเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ตลอดไป ตั้งคณะกรรมการประเมินผลหลังใช้รัฐธรรมนูญ 5 ปี
 
 
ที่มาภาพ: สำนักข่าวไทย
 
17 ก.ค. 2558 พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงถึงการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา วันที่ 5 ว่าคณะกรรมาธิการได้พิจารณามาตราที่แขวนเอาไว้เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ว่าได้ข้อยุติแล้ว โดยยังคงมาตรา 111 (8)  ห้ามผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่าประพฤติมิชอบ หรือกระทำการให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ตลอดไป เช่นเดียวกับกรณีของผู้ที่เคยถูกถอดถอน จาก 4 ฐานความผิด คือมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อว่าทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ ส่อว่าทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และส่อว่ากระทำผิดต่อหน้าที่ในการยุติธรรม ห้ามลงสมัครส.ส.ตลอดไปเช่นกัน
 
“แต่หากถูกถอดถอนกรณียื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือหรือถูกถอดถอนอันเหตุมาจากการจงใจที่ใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง จะห้ามลงสมัครตามห้วงเวลาที่ศาลวินิจฉัย ซึ่งคุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) เป็นไปตามคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.เช่นกัน” พลงองเลิศรัตน์ กล่าว
 
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณามาตรา 33/1 โดยเพิ่มบทบัญญัติว่าเรื่องสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ย่อมมีเสรีภาพในการกระทำ แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระทำการในลักษณะดังกล่าวให้เลิกกระทำและศาลรัฐธรรมนูญอาจมีคำสั่งยุบพรรคได้ แต่ห้ามใช้กับกรณีที่ส.ส. ส.ว.หรือพรรคการเมืองดำเนินการตามหน้าที่
 
“ส่วนเรื่องจริยธรรมในหมวดว่าด้วยผุ้นำการเมืองที่ดี บัญญัติให้มีกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรม และเพิ่มมาตรา 71 วรรคหนึ่ง โดยให้ตรวจสอบแบบฟอร์มการยื่นภาษีย้อนหลัง 5 ปีผู้เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองและองค์กรตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ โดยให้มีคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบเฉพาะผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง
 
 
ตั้งคณะกรรมการประเมินผลหลังใช้รัฐธรรมนูญ 5 ปี
 
นอกจากนี้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้พิจาณาภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง โดยเห็นชอบร่วมกันว่าจะมีองค์ประกอบของคณะกรรมการที่จะทำหน้าที่ปฏิรูป และสร้างความปรองดอง เป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ซึ่งให้คณะกรรมาธิการฯพิจารณาและนำมาเสนอในสัปดาห์หน้า ว่าแนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ และสภาปฏิรูปและสร้างความปรองดอง รวมทั้งกรรมการด้านต่าง ๆ ควรจะมีโครงสร้างอย่างไร โดยยุบรวมเนื้อหาจาก 15 มาตราเหลือเพียง 4 มาตรา กำหนดเพียงหัวข้อและแนวทางที่อยากเห็นการปฏิรูปเดินหน้า แต่รายละเอียดจะกำหนดไว้ในกฎหมายลูก โดยให้อนุกรรมาธิการฯจัดทำให้แล้วเสร็จในวันที่ 22 ส.ค. ตั้งเป้าจะส่งร่างกฎหมายลูกเรื่องปฏิรูปและการสร้างความปองดองพร้อมร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายให้ สปช.ในวันเดียวกันหากคณะกรรมาธิการยกร่างขยายการทำงานไป 30 วัน
 
นอกจากนี้ยังได้พิจารณาในบทสุดท้ายเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยังยึดแนวทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญร่างแรก ในมาตรา 303 ที่จะกำหนดไว้ให้ชัดเจนว่าเมื่อครบรอบ 5 ปีให้มีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิอิสระประเมินผลในการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ โดยใช้เวลา 6 เดือน และให้ส่งรายงานพร้อมข้อเสนอการแก้ไขไปให้สภาและคณะรัฐมนตรี โดยที่อำนาจหน้าที่ในการแก้ไขหรือไม่ ยังเป็นหน้าที่ของรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอโดยใช้เสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของที่ประชุมรัฐสภาซึ่งในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญยังกำหนดเป็น 3 ส่วน คือส่วนที่แก้ไขไม่ได้ คือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐ แก้ไขได้โดยรัฐสภาใช้เสียง 2 ใน 3 และแก้ไขได้แต่ต้องนำไปทำประชามติ
 
สำหรับในวันนี้จะพิจารณามาตราที่แขวนไว้ซึ่งมีอยู่ประมาณ 6-7 เรื่องให้แล้วเสร็จ เช่น เรื่องเอกสิทธิของสมาชิกรัฐสภา เรื่องคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามบทบัญญัติในมาตรา 121 เรื่องการที่ ส.ส.มีคะแนนน้อยกว่าผู้ประสงค์ไม่ใช้สิทธิจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะใช้เกณฑ์อะไรในการพิจารณา และยังมีเรื่องบทเฉพาะกาลที่ต้องดำเนินการภายในวันถัดไป หากเสร็จก็จะทบทวนตั้งแต่มาตราแรกจนถึงมาตราสุดท้ายต่อไป

นายกฯ บอก เลิกตอบสื่อ ปรับครม.เศรษฐกิจ "เดี๋ยวผมจัดการของผมเองแหละ"

นายกฯ บอก เลิกตอบสื่อ ปรับครม.เศรษฐกิจ "เดี๋ยวผมจัดการของผมเองแหละ" ยังไม่มีข่าวผมเลย มีแต่ข่าวจากสื่อ เปรยฝนยังไม่ตกเลย เค้าฝนมาหรือยังล่ะ ปัด ไม่มีชื่อ"สมคิด-ประสาร" เปรยถ้ามีก็อยู่ในใจผม ทำไมต้องบอกล่ะ" แซวนักข่าว ให้มาสมัครเป็นรัฐมนตรี วอนอย่าตีความคำพูด ไม่รู้-ไม่ปรับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ถูกนักข่าวถามถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะตำแหน่งรมว.คลัง และรมว.เกษตรและสหกรณ์ ว่า "ไม่ตอบแล้ว ไม่เอา ไม่ขอตอบ กระแสข่าวที่ออกมาก็เป็นเพราะพวกสื่อเขียนกันเอง ผมอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ผมยังไม่ได้พูดสักคำ"
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าขณะนี้ยังไม่มีการปรับครม.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่รู้ ไม่แสดงอะไรทั้งสิ้น พูดอะไรไป เดี๋ยวพวกคุณก็บอกว่า ที่บอกว่า ไม่รู้ แสดงว่าแตกต่างจากคำว่า ไม่ปรับ คุณก็จะมาตีความกับผมอีก เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจัดการของผมเองแหละ"
เมื่อถามว่า มีชื่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช.และประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ และนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "พวกคุณจะสมัครหรือไม่เล่า พวกคุณเองก็มีความรู้ จบปริญญากันมาทั้งหมด"
เมื่อถามย้ำว่า มีชื่อนายสมคิดใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่มี ไม่มีหรอก ยังไม่มีข่าว เป็นข่าวของพวกคุณ ไม่ใช่ข่าวผม และไม่มีชื่อของคุณประสาร ด้วย ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ ยังไม่มี มีก็อยู่ในใจผม ทำไมต้องบอกล่ะ"
เมื่อถามว่า แสดงว่ามีเค้าลางที่จะปรับ ครม. ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า " ไม่มี ฝนยังไม่ตกเลย เค้าฝนมาหรือยังล่ะ เค้าลางยังไม่มา พอแล้ว"


คลี่จดหมาย "สะมะแอ ท่าน้ำ" กับข้อเสนอดับไฟใต้-ดูแลเยาวชน

คลี่จดหมาย "สะมะแอ ท่าน้ำ" กับข้อเสนอดับไฟใต้-ดูแลเยาวชน

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 01 ตุลาคม 2556 เวลา 08:56 น.
เขียนโดย
นาซือเราะ เจะฮะ, แวลีเมาะ ปูซู
คุณูปการหนึ่งของการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับบีอาร์เอ็นกลุ่มนายฮัสซัน ตอยิบ ที่บางฝ่ายปรามาสว่าเป็นเพียง "ละครหลังข่าว" ก็คือการเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
samaae
          ถือเป็นการทำงานอย่างแข็งขันของ ศอ.บต. หรือศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำข้อมูลจากพื้นที่ไปสังเคราะห์และเพิ่มน้ำหนักของฝ่ายรัฐบาลไทยบนโต๊ะพูดคุยกับแกนนำบีอาร์เอ็นที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาคมปาตานีทั้งหมด
          แม้หลายเวที ศอ.บต.จัดอย่างฉุกละหุกและขาดยุทธศาสตร์ไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นความตั้งใจที่ดี และได้ฟัง "เสียงจริง" จากประชาชนจำนวนไม่น้อย
          โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสส่งเสียงอย่างผู้ต้องขังในเรือนจำ!
          ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ เดือน มี.ค.2556 ศอ.บต.ได้ประสานกับกรมราชทัณฑ์เพื่อขอให้ย้ายนักโทษเด็ดขาด (ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว) ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับไปคุมขังยังเรือนจำบ้านเกิด ตามระเบียบการย้ายผู้ต้องขังหรือนักโทษคดีเด็ดขาดไปคุมขังยังเรือนจำตามภูมิลำเนาของนักโทษ ซึ่งเรื่องนี้แม้จะไม่ตรงนักตามข้อเรียกร้องข้อ 5 ของบีอาร์เอ็นกลุ่มนายฮัสซัน ตอยิบ ที่ให้ปล่อยตัวนักโทษและยกเลิกหมายจับนักรบปาตานีทั้งหมด แต่ก็นับเป็นสัญญาณหนึ่งของการอำนวยความยุติธรรมจากรัฐ
          และนักโทษเด็ดขาดชุดแรกเฉพาะคดีความมั่นคงจำนวน 2 คนที่ย้ายกลับเรือนจำตามภูมิลำเนาของตน คือเรือนจำจังหวัดยะลา ได้แก่ นักโทษชาย สะมะแอ สะอะ หรือ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ หรือ นายอิสมาแอล กัดดาฟี อายุ 61 ปี หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล กับ นักโทษชาย บาบอแมบือโด เบตง อายุ 74 ปี ประธานขบวนการพูโล ทั้งคู่ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตในคดีกบฏแบ่งแยกราชอาณาจักร ตั้งแต่ปลายปี 2554 และก่อนหน้านี้ทั้งคู่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางสงขลา
          หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ เป็นบุคคลที่ ศอ.บต.และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เข้าไปพบปะ เยี่ยมเยียน และขอรับฟังความคิดเห็นหลายครั้ง เพราะเขาคืออดีตนักต่อสู้และนักปฏิวัติที่มีอุดมการณ์สร้างสังคมใหม่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามแนวทางและความเชื่อของตน
          เมื่อเร็วๆ นี้ หะยีอิสมะแอ ท่าน้ำ เขียนจดหมายเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นเรื่องการพัฒนา ภายใต้การทำงานขององค์กรที่ใช้ชื่อว่า "คณะกรรมการสิริมงคลทั่วประเทศ"
          หะยีอิสมะแอ ท่าน้ำ บอกว่า การจะนำความสันติสุขและความมั่นคงกลับคืนมาได้ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชนให้เกิดขึ้นเสียก่อน เพราะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งและความรุนแรงอยู่ในปัจจุบัน พร้อมกันนั้นก็ต้องมียุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และดึงทุกฝ่ายมานั่งโต๊ะเจรจาเพื่อหาข้อยุติของความขัดแย้ง
          ประเด็นสำคัญที่ หะยีสะมะแอ เน้นย้ำหลายครั้งในจดหมายก็คือ ต้องมีนโยบายดูแลกลุ่มเยาวชนในพื้นที่อย่างจริงจัง
          สำหรับ "คณะกรรมการสิริมงคลทั่วประเทศ" เขาไม่ได้เสนอมาลอยๆ แต่มีการระบุโครงสร้างมาด้วย ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน มีผู้ช่วย 3 คน มีเลขานุการ มีเหรัญญิก และมีสมาชิกมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งจากทุกฝ่าย ทั้งผู้นำศาสนา นักการเมือง ข้าราชการ ทนายความ นักวิชาการ อดีตผู้นำขบวนการ กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี และตัวแทนผู้นำท้องถิ่น รวมแล้ว 9 คน
          องค์กรนี้ตั้งขึ้นเพื่อระดมสมองหาแนวทางแก้ปัญหาและการเยียวยาในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการเฉพาะ มีนโยบายสำคัญ 3 ด้าน ประกอบด้วย
          นโยบายที่ 1 สามัคคี สันติสุข คือ สวัสดิภาพ ยุติธรรม และความชอบธรรม
          นโยบายที่ 2 ส่งเสริมและสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจพอเพียง คือ เลี้ยงโค แพะ ทั้งเนื้อและนม ไก่เนื้อและไก่พันธุ์ เลี้ยงปลาน้ำจืด ปลาน้ำเค็ม ตัดเย็บ ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม ปลูกพืชผักและไม้ยืนต้น
          นโยบายที่ 3 การศึกษา ปลูกจิตสำนึกสร้างความเข้าใจ เน้นกิจกรรมกีฬา ศิลปะ วัฒนธรรม ทั้งอานาซีด ดิเกฮูลู อ่านกลอน แสดงละคร ยิงธนูวิ่งม้า แข่งเรือ ว่าว ฟุตบอล ชกมวย ปีนภูเขา ทำความสะอาดทะเล รวมทั้งแห่ขบวนช้างขบวนนก
          นอกจากนี้ หะยีสะมะแอ ยังบอกว่า เขาเคยให้ความเห็นกับตัวแทนกองทัพภาคที่ 4 ในเรื่องของคุณสมบัติผู้นำคนใหม่ของขบวนการ  โครงสร้างองค์การพูโล รวมทั้งรายชื่อคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำพูโล โดยได้เสนอแนะแนวทางการพูดคุยเจรจาอีกด้วย
          "สำคัญที่สุดคือรัฐต้องจริงใจและมุ่งมั่นกับการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่" เขาย้ำ และดูจะเป็นสิ่งที่อดีตแกนนำพูโลรายนี้ต้องการมาตลอดชีวิต
letter
เครือข่ายสตรียกร่างยุทธศาสตร์ผู้หญิงและเด็ก
          พูดถึงการแก้ปัญหาเยาวชน เมื่อเร็วๆ นี้ ศอ.บต.ร่วมกับมูลนิธิเพื่อนหญิง และองค์กรเครือข่ายสตรีที่ปฏิบัติงานด้านเด็ก เยาวชน และสตรีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์คชอป) เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนสร้างความเข้มแข็งให้กับเด็ก เยาวชน และสตรี นำเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ กพต.ต่อไป
          ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ที่ตกผลึกร่วมกันมี 8 ข้อ ได้แก่
          1.การสร้างเจตคติด้านความเสมอภาคทางเพศ เพื่อให้ชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยอมรับบทบาทสตรีให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และความหลากหลายของวัฒนธรรมท้องถิ่น
          2.การพัฒนาศักยภาพและเพิ่มโอกาสสิทธิทางสังคมของผู้หญิงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้สตรีทุกคน ทุกกลุ่มเข้าถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ การถือครองที่ดิน/ทรัพย์สิน ความมั่นคงทางอาหารและอาชีพ การเข้าถึงการศึกษาทุกระดับ รวมถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้หญิง
          3.การพัฒนาสุขภาวะ สิทธิ อนามัยเจริญพันธุ์ คุณภาพชีวิต และการเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิตของผู้หญิง เพื่อให้สตรีมีสุขภาพ สุขภาวะ เข้าถึงสิทธิ อนามัยเจริญพันธุ์ และคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคม
          4.การคุ้มครองสิทธิการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิง เพื่อสนับสนุนให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงความยุติธรรม และได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายบัญญัติ
          5.การพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อเพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมทางการเมือง การบริหาร และการตัดสินใจในทุกระดับ เพื่อให้ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโดยอาศัยประสบการณ์ของผู้หญิง รวมถึงศักยภาพในการมีส่วนร่วมทางการเมือง การบริหาร และการตัดสินใจในระดับต่างๆ
          6.ส่งเสริมสิทธิในการเข้าถึงการศึกษา การศึกษาศาสนา และการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้หญิง/เด็ก เพื่อให้ผู้หญิงสามารถพัฒนาทักษะความรู้ให้มีความก้าวหน้า เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถนำความรู้มาใช้ในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน และสังคม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับศีลธรรมอันดี
          7.การให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสันติภาพ
          8.การสนับสนุนกลไกการขับเคลื่อนแผนการทำงาน เพื่อทราบความก้าวหน้าในการปฏิบัติตามแผน รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ
          น.ส.ธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า ชายแดนภาคใต้วันนี้มีโอกาสมากมาย แต่ก็ยังมีสิ่งที่ปิดกั้นอยู่ โดยเฉพาะสิ่งที่ผู้หญิงถูกกระทำในชุมชน ไม่มีใครกล้าออกมาพูด การจัดทำแผนยุทธศาสตร์จึงคาดหวังว่าจะสามารถเป็นเครื่องมือไปสู่จุดมุ่งหมายคือผู้หญิงได้รับการคุ้มครอง มีการใช้สิทธิเสรีภาพมากยิ่งขึ้น และสุดท้ายคือทำให้สังคมสันติสุข
          รอซิดะห์ ปูซู ประธานเครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงแสวงสันติภาพ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ศอ.บต.ไม่มียุทธศาสตร์ด้านผู้หญิง ทั้งๆ ที่ปัจจุบันเราพบว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีจำนวนประชากรที่เป็นผู้หญิงและเด็กมากกว่าผู้ชาย ในขณะที่ผู้หญิงมีภาระมาก มีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเกิดเหตุความไม่สงบตลอด 9 ปีที่ผ่านมา และยังมีผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ ทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาตนเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 บือโด เบตง (ซ้าย) สะมะแอ ท่าน้ำ (ขวา)
2 ท้ายจดหมายของ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ
หมายเหตุ : ใช้เทคนิคพรางภาพเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้ต้องขัง โดยฝ่ายศิลป์ ทีมข่าวอิศรา

รัฐบาล ยุคคสช. อนุมัติ พักโทษ ปล่อยตัว อดีตแกนนำPulo "สะมะแอ ท่าน้ำ" ที่ยะลา แล้ว

รัฐบาล ยุคคสช. อนุมัติ พักโทษ ปล่อยตัว อดีตแกนนำPulo "สะมะแอ ท่าน้ำ" ที่ยะลา แล้ว รมว.ยุติธรรม อนุมัติ พบเป็นนักโทษชั้นดี ติดคุก17ปีแล้ว เหลืออีก10ปี ต้องมารายงานตัวทุกเดือน เชื่อส่งผลดี แก้ปัญหาใต้
พันเอกปราโมทย์ พรหมอืนทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า เผยว่า วันนี้ มีการปล่อยตัว "นาย หะยี สะมาแอ ท่าน้ำ" อดีตแกนนำPulo จากเรือนจำยะลาแล้ว เป็นกรณีของการพักโทษเป็นกรณีพิเศษ หลังรับโทษ17ปี และถือเป็นนักโทษชั้นดี โดย พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นผู้พิจารณาอนุมัติ โดยมีหลักเกณฑ์ว่า จะต้องรายงานตัวทุกเดือน ในระยะเวลาโทษที่เหลืออีก10ปี พรีอม เชื่อว่า การ พักโทษ นาย"สะมะแอ ท่าน้ำ" ครั้งนึ้ จะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ เพราะถือว่า เป็นการสร้างความรู่สึกที่ดี ต่อการอำนวยความยุติธรรมของรัฐ


รูปภาพของ Wassana Nanuam

อุทธรณ์พิพากษากลับคุก26ปี "หรั่ง"ลูกน้องเสธ.แดงค้าอาวุธสงคราม

เช้าวันนี้ (17 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1223/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 31 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ อดีตคนสนิทของของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เป็นจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำหน่ายวัตถุระเบิดและอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 55, 78, พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 5, 7, 15 และ 42
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องสรุปความผิดจำเลยว่า เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2553 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกได้มีและขายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด หรือลูกระเบิด ซึ่งเป็นอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 ต.ค.56 ให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ยังมีพิรุธข้อสงสัยหลายประการ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ทหาร 2 ปาก เป็นพยานเบิกความสอดคล้องกันว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยได้นั่งดื่มสุรากับพยานที่ร้านอาหาร ก่อนจะเสนอขายอาวุธสงครามให้ในราคา 1 แสนบาท จากนั้นพยานนำเรื่องมารายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและประสานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการล่อซื้อและต่อลองราคาจากจำเลยเหลือ 6 หมื่นบาท โดยจำเลยนัดดูของที่ห้องพักของจำเลย และจะนำของมาส่งมอบที่รีสอร์ทแห่งขึ้นใน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อพยานได้รับของแล้วจึงนำมาเก็บไว้ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ เพื่อรอเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษมาตรวจสอบ โดยนายณรัตน์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ขณะนั้น) ได้เบิกความสนับสนุนว่าได้ตรวจสอบและรับของกลางไปจริง พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลรับฟังได้ เพราะเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเป็นประจักษ์พยานรู้จักกับจำเลยมาแล้วหลายปี และดื่มเหล้าด้วยกันหลายครั้ง ที่จำเลยอ้างว่ามีความขัดแย้งกันเรื่องผู้หญิงนั้น เป็นเหตุเพียงเล็กน้อยไม่เชื่อว่าจะเป็นสาเหตุให้ปรับปรำจำเลย อีกทั้งจำเลยเป็นผู้เสนอขายอาวุธสงครามให้กับพยานเอง ไม่เช่นนั้นพยานคงไปดูของกลางที่ห้องพักของจำเลยไม่ได้'

ส่วนที่พยานเบิกความถึงจำนวนเงินที่ล่อซื้อไปตรงกันนั้น เห็นว่าจำนวนเงินต่างกันเล็กน้อยเพียง 3,000 บาท และเป็นเงินที่เบิกจากราชการลับซึ่งไม่ใช่ข้อพิรุธ ส่วนที่ไม่ได้ถ่ายเอกสารเลขธนบัตรก่อนทำการล่อซื้อเพื่อเป็นหลักฐาน รวมทั้งไม่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าร่วมวางแผนนั้น พยานเบิกความว่ากรณีนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นการหวังผลในการล่อซื้อขยายผลไปถึงรายใหญ่ นอกจากนี้ ที่พยานติดต่อล่อซื้ออาวุธปืนจากจำเลยอีกครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ก็ไม่ใช่ข้อพิรุธ และการที่ไม่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือเปรียบเทียบกับของกลางก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะอาวุธสงครามมีการจับผ่านมาหลายมือ หลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่งคงรับฟังได้

อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษา จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 55 และ 78 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และความผิดตามพ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และ 42 ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด จำคุกจำเลย 20 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 (กระทำผิดซ้ำ)คงจำคุกจำเลย 26 ปี 8 เดือน ยกคำขอให้นับโทษต่อจากคดีหมายเลขดำ 2542/2553 เนื่องจากคดีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษา

ภายหลัง นายจิระศักดิ์ บุณณะ ทนายความ เปิดเผยว่า เคารพคำพิพากษาของศาล แต่ยังมีข้อไม่เห็นด้วยหลายประการ ซึ่งจะปรึกษาญาติเพื่อยื่นประกันระหว่างฎีกาสู้คดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรชัย หรือ หรั่ง เทวรัตน์ ถูกเจ้าหน้าที่อายัติตัวไว้ดำเนินคดีดังกล่าว หลังจากเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุมนายสุรชัย ได้เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2553 โดยขณะนั้นรายงานข่าวจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ แจ้งว่า นายสุรชัย เป็นผู้ต้องสงสัยว่าใช้อาวุธสงคราม ก่อเหตุยิงใส่ทหารบริเวณพื้นที่ที่มีการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 และใช้เอ็ม 79 ยิงใส่สถานที่หลายแห่ง โดยก่อนก่อเหตุนั้นได้เปิดโรงแรมโกลเดนฮอส ถนนดำรงรักษ์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตพระนคร กทม.เพื่อพักรอก่อเหตุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง สำหรับอาวุธที่ยึดได้นั้น ได้แก่ เครื่องยิงเอ็ม 79 กระสุนปืนกลขนาด 60 มิลลิเมตร ระเบิดมือชนิดต่างๆ เครื่องยิงปืน พร้อมฐานที่ตั้งยิงลูกระเบิด กระสุนปืนเอ็ม 79 ปืนอาก้า พร้อมกระสุนอีกจำนวนมาก ระเบิดทีเอ็นที ระเบิดซีโฟร์.


ทหารเอาใจประชาชนทำอาหารจานเดียวราคาถูก10บาทขายหน้าค่าย

ทหาร รุก ทำอาหารจานเดียว ราคาถูก ขายประชาชน หน้าค่าย...แค่10-20บาท หลากเมนู
"บิ๊กโด่ง"สั่งหน่วยทหารจัด “อาหารจานด่วนราคาพิเศษ” หน้าค่ายทหาร เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนตามนโยบายรัฐบาล ทั้ง ข้าวกระเพรา ข้าวราดแกง ข้าวหมูทอด ข้าวไข่เจียว ก๋วยเตี๋ยว
พันเอกหญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. เผยว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยมอบให้ส่วนราชการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมสนับสนุนนโยบายนั้น
ในส่วนของกองทัพบก พลเอก อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้หน่วยทหารใช้ศักยภาพของหน่วย ทั้งกำลังคนและเครื่องมือ ดำเนินโครงการ “อาหารจานด่วนราคาพิเศษ” โดยจัดจำหน่ายอาหารปรุงสดบริเวณหน้าค่ายทหาร หรือชุมชนรอบค่าย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนได้ซื้ออาหารในราคาพิเศษ และถูกกว่าท้องตลาด ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินโครงการแล้วในหลายพื้นที่
การดำเนินการครั้งนี้กองทัพบกได้ใช้พื้นที่ของร้านค้าชุมชนภายในค่าย, ตั้งจุดจำหน่ายอาหารหน้าค่ายทหาร, บางพื้นที่ใช้รถครัวสนามเคลื่อนที่ปรุงอาหารสดออกจำหน่ายตามชุมชนต่างๆ
รวมทั้งการนำผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่มาจำหน่ายในราคาถูก
สำหรับอาหารจานด่วนมีหลายเมนู มีทั้ง ข้าวกระเพรา ข้าวราดแกง ข้าวหมูทอด ข้าวไข่เจียว ก๋วยเตี๋ยว ราคาจำหน่ายอยู่ระหว่าง ๑๐ – ๒๐ บาท เท่านั้น
ใครอยากทานอาหารฝีมือทหาร ถูกและอร่อย อ่านตัวอย่างหน่วยที่เปิดจำหน่ายอาหารแล้ว ดังนี้
- จ.นครราชสีมา กองพลทหารราบที่ ๓ บริเวณตลาดหนองไผ่ล้อม อ.เมือง
- จ.อุดรธานี มณฑลทหารบกที่ ๒๔ บริเวณหน้าค่ายประจักษ์ศิลปาคม, กรมทหารราบที่ ๑๓ นำรถครัวสนามจำหน่ายอาหารราคาถูก ที่สี่แยกโรงเรียนบ้านนากว้าง ต.นากว้าง อ.เมือง
- จ.อำนาจเจริญ กรมทหารราบที่ ๖ บริเวณเทศบาลตำบลโคกกลาง อ.ลืออำนาจ
- จ.เพชรบุรี มณฑลทหารบกที่ ๑๕ บริเวณหน้าค่ายรามราชนิเวศน์, กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ บริเวณชุมชนรอบค่าย อ.เมือง
- จ.ลพบุรี มณฑลทหารบกที่ ๑๓ บริเวณหน้ากองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๑๓ ถนนนเรศวร อ.เมือง
- จ.ชลบุรี มณฑลทหารบกที่ ๑๔ บริเวณประตูทางออก ด้าน ถ.สุขประยูร อ.เมืองชลบุรี
- จ.ปราจีนบุรี บริเวณชุมชนสามแสน อ.เมือง หน้ากองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์
- จ.สระแก้ว จังหวัดทหารบกสระแก้ว บริเวณชุมชนรอบค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ
ขณะนี้ ในทุกกองทัพภาคได้เร่งดำเนินโครงการนี้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ บางพื้นที่อาจจะมีการจัดจำหน่ายอาหารจานด่วนราคาพิเศษควบคู่ไปกับการสนับสนุนโครงการธงฟ้าเคลื่อนที่สู่ชุมชน ที่จำหน่ายสินค้าอุปโภค – บริโภค ราคาถูก ตามนโยบายของรัฐบาลด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารบก กำชับให้ทุกกองทัพภาคใช้ศักยภาพดำเนินโครงการอาหารจานด่วนอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องคุณภาพอาหาร ราคา และการกระจายสินค้าให้ทั่วถึง ไม่มีผลกำไร เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด รวมทั้งอาจพิจารณานำผลิตผลทางการเกษตรของเกษตรกรในพื้นที่ และผลผลิตจากศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร ซึ่งจะช่วยเกษตรกรได้อีกทางหนึ่งด้วย


สัญญาณมาแล้ว! ด่วน วันนี้ บ.ซัมซุงในโคราชปิดกิจการ ปลดพนักงานกว่า 1,400 คน


สัญญาณมาแล้ว! ด่วน วันนี้ บ.ซัมซุงในโคราชปิดกิจการ ปลดพนักงานกว่า 1,400 คน

พิษส่งออกทรุด! บ.ซัมซุง ในเขตอุสาหกรรมโคราชประกาศปิดกิจการ ปลดพนักงานออกกว่า 1,400 คน เริ่มทยอยลงทะเบียนว่างงานต่อเนื่อง

วันนี้ (17 ก.ค. 58) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานจัดหางาน จ.นครราชสีมา นายพงศวัฒน์ เพชรวิเชียร จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดเตรียมสถานที่ และเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง เพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่มายื่นแบบฟอร์มรายงานตัวเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน โดยเฉพาะพนักงานจาก บริษัทซัมซุงอิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ภายใน จ.นครราชสีมา ที่เดินทางมายื่นแบบฟอร์มดังกล่าว กว่า 300 คน หลังจากที่บริษัทฯ ได้มีการประกาศปิดกิจการ และเริ่มมีการทยอยเลิกจ้างพนักงาน ทั้งนี้ ได้มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่
โดยนายอาทิตย์ เรไร อายุ 28 ปี อดีตช่างเทคนิค ของบริษัท ซัมซุง อิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า โรงงานแห่งนี้ เป็นโรงงานผลิตมอเตอร์ฮาร์ดดิสก์ คอมพิวเตอร์ เพื่อป้อนส่งโรงงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา ยอดการสั่งผลิต มีจำนวนลดลงเกือบหมด ทำให้ทางผู้บริหารโรงงาน ประกาศปิดกิจการ และมีการลดจำนวนพนักงานลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนทำงานที่โรงงานแห่งนี้มานานกว่า 8 ปี เมื่อถูกเลิกจ้าง ก็ได้รับค่าชดเชยจากโรงงานตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้พนักงานส่วนใหญ่พอใจกับการชดเชยหลังถูกเลิกจ้าง ส่วนหลังจากนี้ ตนคงจะต้องหาสมัครงานกับบริษัทอื่นๆ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวต่อไป
ด้านนายพงศวัฒน์ เพชรวิเชียร จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้รับหนังสือชี้แจงจาก บริษัท ซัมซุง อิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ จำกัด ว่าจะมีการประกาศปิดกิจการ โดยช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ก็ได้มีการให้พนักงานสมัครใจลาออก ซึ่งมีจำนวนกว่า 600 คน โดยทั้ง 600 คนนั้น ได้มีการมายื่นแบบฟอร์มเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานไปจนเสร็จสิ้นแล้ว
ส่วนในรอบนี้ เป็นรอบที่ 2 ที่ทาง บริษัทฯ ประกาศเลิกจ้างไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 โดยมีจำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างประมาณ 1,400 คน จึงเริ่มมีพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทยอยมายื่นแบบฟอร์มเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานแล้วเกือบ 500 คน และคาดว่าจะเริ่มเดินทางมายื่นภายในสัปดาห์หน้า
ดังนั้น หากพนักงานที่ถูกเลิกจ้างแล้ว ขอให้มายื่นแบบฟอร์มเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ถูกเลิกจ้าง เพื่อขอรับสิทธิชดเชยตามกฎหมาย หรือจะสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานในประเทศ สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา โทร.044-355-266 ต่อ 104 ได้ในวันและเวลาราชการ

รอทักษิณกลับ?

หนังสือพิมพ์รายวัน

16 ก.ค. 2558 12:16

รอวันให้ระบอบทักษิณกลับมา

โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ไม่น่าเชื่อว่า ความฝันของคนกลุ่มหนึ่งที่จะใช้ 14 นักศึกษาที่ถูกจับกุมเป็นสปริงไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลทหารแบบ 14 ตุลาคม 2516 จบลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่เอาด้วย แม้บางคนจะไม่เอารัฐประหารแต่ส่วนใหญ่ที่แสดงตัวก็เป็นคนที่เห็นงามกับรัฐบาลของระบอบทักษิณทั้งนั้น

พูดง่ายๆ ที่พวกเขาหวังให้ประกายไฟที่ 14 นักศึกษาจุดขึ้นมาถูกจุดติดและลุกลามไปในสังคมเพื่อโค่นล้มรัฐบาลทหารให้ล้มลงในที่สุดนั้นกลายเป็นประกายไฟที่จุดไม่ติด เพราะคนในสังคมไม่เอาด้วยซึ่งหมายถึงประชาชนคนชั้นกลางซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนในเหตุการณ์ทางการเมืองทุกครั้งนั่นเอง

คนที่ออกมาสนับสนุนนักศึกษาหลายคนเป็นคนมีชื่อเสียงในสังคม เป็นนักเขียน นักวิชาการ ไม่รู้พวกเขาสรุปบทเรียนครั้งนี้ได้หรือไม่ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ทำไมมุกดันหลังนักศึกษาให้ออกมาเสี่ยงแทนจึงเป็นมุกแป้ก 

ต้องยอมรับนะครับว่า คนชั้นกลางขึ้นไปส่วนใหญ่นั้นไม่เอาระบอบทักษิณ แม้ว่าเมื่อเทียบกับชนชั้นล่างที่หนุนระบอบทักษิณคนชั้นกลางจะมีปริมาณน้อยกว่าก็ตาม แต่เสียงของคนชั้นกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีการศึกษาและอยู่ในเขตเมืองนั้นเป็นเสียงที่มีพลัง 

อีกปัจจัยสำคัญที่การดันหลังนักศึกษาไปติดคุกจุดไม่ติดก็คือ การไม่มีมวลชนออกมาสนับสนุนเพราะมวลชนของระบอบทักษิณนั้น เป็นมวลชนที่ต้องมีการจัดตั้งชักจูงด้วยผลตอบแทนมากพอที่จะทำให้พวกเขาสละเวลาทำมาหากินออกมาได้ ไม่เหมือนพลังของชนชั้นกลางที่ต่อต้านระบอบทักษิณที่ออกมาด้วยสำนึกของตัวเอง

คนที่ออกมาต่อต้านรัฐประหารจึงมีน้อยมาก แถมส่วนใหญ่ไม่กล้าออกมาแสดงตัว เมื่อเห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งออกมา คนกลุ่มหนึ่งจึงลิงโลดออกมาแอบอยู่ข้างหลังนักศึกษาแล้วผลักให้พวกเขาไปติดคุกอยู่ระยะเวลาหนึ่ง

น้องนักศึกษาก็น่าจะเฉลียวใจบ้างว่า ทำไมคนที่ออกมาเชียร์ให้ออกมาต่อต้านรัฐประหารแต่พวกเขาไม่ออกมายืนแถวหน้าด้วยกัน อย่างเก่งพอพวกน้องๆ ติดคุกแล้วพวกเขาก็ออกมาแถลงการณ์ลงชื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัว แต่เรื่องที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกลับไม่เอาด้วย

แต่ในทางกลับกันถึงวันนี้คนที่ไม่เอาระบอบทักษิณก็ไม่เห็นช่องทางที่จะก้าวเดินต่อไปถ้าวันเลือกตั้งมาถึง ต้องยอมรับนะครับว่า เราคงไม่สามารถอยู่กับระบอบทหารได้ตลอดไปในท่ามกลางกระแสต่อต้านเผด็จการของโลก เราจะบอกว่าไม่ต้องไปแคร์โลกช่างหัวมัน ใครอยากคบก็คบ ใครไม่อยากคบก็อย่าคบ อเมริกาไม่เอาเรา เราก็หันไปซบจีน พูดกันตามความเป็นจริงเลย เราอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไปไม่ได้นานหรอก

สักวันหนึ่งวันที่ต้องออกไปเลือกตั้งก็มาถึง อย่างเก่ง คสช.ก็คงยื้อออกไปได้อีกไม่เกิน 2 ปี แต่เอาเข้าจริงแล้วพวกที่ไม่เอาระบอบทักษิณนั้นยังมองไม่เห็นทางเลือกเลย แน่นอนว่ามวลชนไม่เอาทักษิณจำนวนหนึ่งที่ไปเป็นพวกสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้ากลับไปเลือกตั้งหนึ่งคนหนึ่งเสียงก็สู้พรรคของทักษิณไม่ได้อีก

พระสุเทพบอกว่า คสช.เป็นพวกเดียวกัน แต่ถึงตอนนี้ คสช.ก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่จะทำให้มวลชนของทักษิณหนีออกมาจากความภักดีพรรคของทักษิณเลย ที่มวลชนของทักษิณเงียบเพราะทักษิณสั่งให้ลิ่วล้อไม่เคลื่อนไหว ด้านหนึ่งอาจจะเห็นว่า เพราะ คสช.ใช้ปืนสะกดอยู่และควบคุมไม่ให้ระดับแกนนำเคลื่อนไหว แต่เอาเข้าจริงแล้วที่ทักษิณสะกดนั้นมีมนต์ขลังกว่า ไม่มีใครเขากลัว คสช.หรอก แต่เพราะพวกทักษิณคิดสะระตะแล้วเห็นว่านิ่งไว้ดีกว่า รอให้วันเลือกตั้งมาถึงพวกเขาก็กลับมาอีก

คนที่สนับสนุน คสช.ถึงวันนี้ก็คงไม่อยากไปเลือกตั้งไม่อยากให้มีการเลือกตั้งช่วยอธิบายหน่อยว่า เราจะอยู่ในภาวะแบบนี้ไปตลอดกาลได้อย่างไร แล้วถ้าวันเลือกตั้งมาถึงเราจะยอมรับความจริงได้ไหมถ้าพรรคของทักษิณกลับมาอีก แม้ยิ่งลักษณ์จะกลับมาลงเลือกตั้งไม่ได้แล้วเพราะข้อกำหนดต้องห้ามของรัฐธรรมนูญ แต่ทักษิณก็อาจเอาใครก็ได้มาปกครองเราอีก บางทีเราอาจได้คนที่แย่กว่ายิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ก็ได้

พวกที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยก็แปลกเหมือนกัน เขาให้อิสระเลือกคนที่ดีมาเป็นนายกฯ ปกครองบริหารบ้านเมือง แต่พวกนี้คิดเพียงว่า โง่ไม่เป็นไรขอแค่ให้มาจากการเลือกตั้งก็พอ

ผมคิดว่าถึงตอนนี้ คสช.ก็รู้ว่า ฝ่ายตรงข้ามนั้นกลายเป็นสามประสานที่จับมือกัน คือ พวกไม่เอาเจ้า พวกต่อต้านรัฐประหาร และพวกรักทักษิณ แต่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ก็เป็นทั้งสามพวกอยู่ในคนคนเดียวนั่นแหละ พวกไม่เอาเจ้านั้นไม่มีมวลชนซึ่งอาจเป็นเพราะไม่กล้าแสดงตัว พวกต่อต้านรัฐประหารบริสุทธิ์นั้นมีน้อยส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ก็เป็นพวกทักษิณนั่นแหละ ส่วนพวกรักทักษิณแน่นอนว่าเป็นมวลชนส่วนใหญ่ แต่คนเหล่านี้ก็ไม่เคลื่อนไหวถ้าไม่กะเกณฑ์กันมาเพียงแต่พวกนี้ภักดีพร้อมจะเข้าคูหาไปกาพรรคของทักษิณอีก

แม้ว่า ในกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารบางคนจะปากแข็งว่า เราต้องก้าวข้ามทักษิณไปให้ได้ แต่ก็รู้ตัวเองดีว่า ถ้าไม่มีมวลชนของทักษิณพวกเขาก็ไม่มีวันจะไปสู่ความฝันได้ พวกนี้ยังชอบแก้ตัวว่าไม่ใช่พวกทักษิณ แต่ไม่กล้าปฏิเสธหรอกว่าใช้กลไกและมวลชนของทักษิณเป็นเครื่องมือเพื่อไม่ให้ความฝันของพวกเขากลายเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน

แต่ต้องยอมรับว่าถึงตอนนี้พวกทักษิณเชื่อว่าพวกเขามีอนาคตมากกว่าพวกที่เชียร์ คสช.อยู่ และอย่างไรเสีย คสช.ก็ไม่แตะต้องมวลชนของทักษิณถ้ายังสงบนิ่งอยู่ในที่ตั้ง เวลานี้แกนนำเสื้อแดงจึงใช้ความอดทนซุ่มซ่อนและรอคอย เอาเวลาไปใช้เงินจากการที่สู้แล้วรวยไปเที่ยวไปพักผ่อน ดูเรื่องง่ายๆ แค่ถอดยศทักษิณกฎหมายเขาเขียนไว้ชัดอยู่แล้วว่า ถ้าต้องคำพิพากษาให้จำคุกก็ต้องถอดยศ แต่รัฐบาลของ คสช.ก็ยังไม่ทำ จะโทษสมยศก็คงไม่ได้ เพราะประยุทธ์แค่สั่งให้สมยศดำเนินการตามกฎหมายเรื่องก็จบ แค่นี้ก็รู้แล้วว่า เขาไม่เอาจริงกัน

พูดกันตามความเป็นจริงแล้วประชาชนที่สนับสนุนรัฐประหารตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นอนาคต ถ้าต้องกลับไปเลือกตั้งอีก พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นทางเลือกเดียวก็ยังมองไม่เห็นวี่แววที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ได้ โอกาสชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคเสียงข้างมากนั้นแทบจะไม่มีเลย อุปสรรคของพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ อภิสิทธิ์นั่นแหละ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครมาแทน

ตอนนี้ทางออกเดียวกันของฝ่ายไม่เอาทักษิณก็คือการเชียร์รัฐบาลทหารให้อยู่ไปนานๆ แต่อย่างที่บอกไว้แล้วว่า เราไม่สามารถอยู่ในภาวะแบบนี้ได้ตลอดไปหรอก ประยุทธ์และคณะ คสช.ก็รู้ว่าวันหนึ่งพวกเขาต้องคืนอำนาจกลับไปสู่การเลือกตั้ง

ดังนั้น ถ้าเราเชื่อว่า เราสนับสนุนรัฐบาลทหารเพราะพวกเขาออกมาจัดการกับระบอบทักษิณ เราต้องออกมาผลักดันให้การจัดการกับระบอบทักษิณต้องเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ทำอย่างไรจะช่วงชิงมวลชนจากทักษิณได้ ไม่ใช่ใครไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารก็รุมกันออกมาปกป้อง แต่มองไปในอนาคตไม่เห็นเลยว่าจะจัดการกับระบอบทักษิณอย่างไร

ตอนรัฐบาลทหารมาใหม่ก็บอกให้ดู ๆเขาไปก่อน ถึงวันนี้ยังต้องรอดูจนระบอบทักษิณกลับมาใช่ไหม