PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กองทัพพร้อมดูแลปลอดภัยปีใหม่

ไม่ประมาท...
บิ๊กปุย พลเอกสุรพงษ์ ผบ.สส.นำแผง ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร.แถลงยัน พร้อมดูแลสถานการณ์ปีใหม่ และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ปีหน้า สู่เลือกตั้ง ยันไม่ประมาท พอใจ ภาพรวม ประชาชนมีความเข้าใจ ความแตกแยก ความขัดแย้งลดลง มองในทางที่ดี ทุกอย่างจะดีขึ้น
....ขอให้มั่นใจในกองทัพว่ามีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติและประชาชน เพิ้อให้ประเทศก้าวหน้า สงบสุข ตามพระราชปณิธาน หวังประชาชนมีความรักสามัคคี ถือว่าประเทศเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้า ในภูมิภาค

Cyber เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง....

Cyber เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง....
"พล.อ.สุรพงษ์" ผบ.สส. ชี้ Cyber เป็นอาวุธชนิดหนึ่งในสงครามสมัยใหม่ ชี้กองทัพค่อยๆพัฒนาด้านcyber สร้างนักรบไซเบอร์ทำงานด้านนี้ให้มากขึ้น...ระบุ การพัฒนาที่รวดเร็วของคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องมีระบบมารองรับ โดยเฉพาะมาตรการ ด้านกฏหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน จากพวกอาชญากรไซเบอร์ ชี้ พรบ.คอมพิวเตอร์ ของไทย ก็เป็นมาตรการในการจัดการพวกละเมิดกฏหมาย....แนะนำหนังสือ "Thank you for being late"ของ Thomas L. Friedman ทำให้เข้าใจวิวัฒนาการสังคม computer,cyberและอนาคต
พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มคัดค้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เคลื่อนไหวโจมตีเว็บไซต์ของส่วนราชการว่า ที่ผ่านมาทางกองทัพดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาในปัจจุบัน ส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงไปแล้ว
ทั้งนี้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นั้นมีไว้เพื่ออะไร ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า เป็นการพัฒนากติกาต่างๆ เพื่อปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ จากอาชญากรหรือผู้ไม่หวังดี ทางคอมพิวเตอร์ ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งทั่วโลกก็ทำกัน
นอกจากนี้ พลเอกสุรพงษ์ ยังได้แนะนำให้อ่านหนังสือ "Thank you for being late"ของ Thomas L. Friedman ทำให้เข้าใจวิวัฒนาการสังคม computer,cyber และอนาคต คอมพิวเตอร์พัฒนาเร็วมาก จึงต้องมีมาตรการรองรับให้เท่าทัน
เพราะในยุคนี้ ยุคสงครามไซเบอร์ ไซเบอร์ก็ถือเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง. ที่กองทัพไทย จึงตัองพัฒนา ระบบ cyber security เพราะสหรัฐอเมริกา ทำมานานแล้ว มีคนที่คุมเรื่องนี้ ระดับ พลเอก ส่วนของ ไทยเรา เพิ่งเริ่มแค่ไม่กี่ปี เราก็พยายามพัฒนา ทั้งในแง่ของเทคโนโลยี่ และ บุคลากร สร้างนักรบไซเบอร์ มาทำงานในด้านนี้

กอ.รมน. ขอ ปชช.มีสติในการรับข่าวสารและส่งต่อข่าวสาร ไม่ตื่นตระหนก

กอ.รมน.คุมเข้ม การรักษาความปลอดภัย ตั้งแต่ชายแดนรอบด้าน-ใต้ ถึงกรุงเทพฯห้วงปีใหม่/โฆษกกอ.รมน. ขอ ปชช.มีสติในการรับข่าวสารและส่งต่อข่าวสาร ไม่ตื่นตระหนก
พ.อ.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. ได้เปิดเผยถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยในห้วงเทศกาลปีใหม่ 2560 นี้ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ในฐานะ รอง ผอ.รมน. ได้ให้ กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย
พร้อมทั้งรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างกุศลประโยชน์ให้แก่ตนเองและสังคม
สำหรับในด้านการรักษาความปลอดภัยนั้น รอง ผอ.รมน. ได้เน้นย้ำ การอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและการท่องเที่ยวของประชาชนในพื้นที่ , กวดขันวินัยจราจรในการใช้ยานพาหนะ
โดยเฉพาะในเส้นทางรองภายในจังหวัดเพื่อให้มีความปลอดภัยมากที่สุด , ดูแลอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมปีใหม่ ให้มีบรรยากาศส่งความสุขอย่างเหมาะสมกับการถวายความอาลัยฯ และขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันทำงานด้วยความเสียสละ มีพลังกายพลังใจที่ดี เพื่อประโยชน์และความสุขของพี่น้องประชาชน
ในสภาวะปัจจุบันมีข่าวสารอย่างหลากหลายในรูปแบบต่างๆกันด้วยการใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารหรือที่เรียกกันว่าสื่อสังคมออนไลน์
จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้มีสติในการรับข่าวสารและส่งต่อข่าวสาร ไม่ตื่นตระหนกหรือหลงเชื่อข่าวสารอย่างขาดการไตร่ตรอง ซึ่งหากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัยในข่าวสารใดๆ สามารถตรวจสอบได้กับหน่วยราชการต่างๆในพื้นที่ หรือผู้นำชุมชนใกล้บ้าน
นอกจากนี้เพื่อเป็นการช่วยกันสรรค์สร้างสังคมให้มีความเข้มแข็ง เมื่อพบข่าวสารใดที่มีข้อสงสัย ควรนำไปหารือในชุมชนตามสภาวะโอกาสต่างๆเช่น ประชาคมหมู่บ้าน เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกัน อันเป็นการสร้างเกราะความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนและเป็นสร้างสังคมคุณภาพบนพื้นฐานความรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งนำไปสู่สังคมที่เข้มแข็ง มั่นคง อย่างยั่งยืนอีกด้วย

นายกฯบิ๊กตู่ แบ่งงาน รองนายกฯ "บิ๊กป้อม"ยังได้คุม ตำรวจ ตามเดิม

นายกฯบิ๊กตู่ แบ่งงาน รองนายกฯ "บิ๊กป้อม"ยังได้คุม ตำรวจ ตามเดิม พร้อม คุม กตร. กอ.รมน.-คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน
พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ได้แบ่งงานให้ รองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในการประชุม ครม. เมื่อ 27 ธค. ที่ผ่านมา
โดยพบว่า บิ๊กป้อม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ใน 8 กระทรวง คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)
นอกจากนี้ พลเอก ประวิตร ยังได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย คือ
1. คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
2. คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
3. คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน
4. คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
5. คณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราช อิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์
6. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
7. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
8. คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
9. คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
10. คณะกรรมการกำลังพลสำรอง
นายกฯยังมมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย คือ
1. รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ 2. รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ
มอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1. คณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
2. คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ
3. คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
4. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ
5. คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า
6. คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
7. คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ 8. คณะกรรมการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลกิจการประปาแห่งชาติ
9. คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ
10. คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
11. คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอบรมอาชีพแห่งชาติ 12. คณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราช อิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย
13. คณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
14. คณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี

คสช."3ป"

คสช."3ป"
‪ตามคาด.....บิ๊กตู่ หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งตั้ง บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์ เป็นสมาชิกคสช.แทน บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่ไปเป็นองคมนตรี‬.... จึงทำให้ คสช. มีแกนนำตัวจริง พร้อมหน้า ทั้งพี่น้อง 3ป. "ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์" หรือที่เรียกว่า. พี่ใหญ่ พี่รอง และ น้องเล็ก แห่งขั้วอำนาจทหารเสือฯ และ บูรพาพยัคฆ์

นักวิชาการศาสนา ชี้ 84 สนช. ชงแก้กม.สงฆ์ ตอกย้ำปวศ.ขัดแย้ง “ธรรมยุติ-มหานิกาย”

“อจ.ศาสนา” ชี้ “สภาลากตั้ง” ชงแก้กม.สงฆ์ มุกเดิมช่วงยึดอำนาจ ตอกย้ำประวัติศาสตร์ขัดแย้ง “ธรรมยุติ-มหานิกาย”
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม นายทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านศาสนาและสังคม กล่าวถึง การผลักดันแก้ไข พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะสงฆ์ พ.ศ.2535 มาตารา 7 การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ว่า ตามฉบับ 2535 เป็นการใช้ระบบคิดแบบข้าราชการคือ สถาปนาพระสังฆราช ตามสมณศักดิ์สูง ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยมีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชตามฉบับนี้ การเสนอแก้ไขของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองฯ จึงกลับไปเหมือน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับ 2505 ในแง่ดีจะทำให้รัฐ โดยอำนาจของพระมหากษัตริย์ เข้ามาถ่วงดุลอำนาจของคณะสงฆ์ อันเป็นเคล็ดลับที่ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากว่า 2,000 ปี ที่อำนาจรัฐภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์ในช่วงนั้น คือผู้ทำนุบำรุงพุทธศาสนามาโดยตลอด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากพระที่สนับสนุน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ที่จะมองว่า การแก้ไขลักษณะนี้ คือ การกลั่นแกล้งตัวบุคคล
“แนวทางของสนช.จะช่วยแก้วิกฤติการตั้งสมเด็จพระสังฆราชในระยะสั้น แต่ระยะยาวปัญหาเดิมจะยังไม่จบ ถ้าจะให้ดีควรกลับไปใช้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2484 ที่มีการวางหลักการประชาธิปไตยเอาไว้ แบ่งโครงสร้างสงฆ์ วางหลักถ่วงดุลอำนาจไว้ชัดเจน และหากเราสังเกตจะพบว่า การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับสงฆ์ จะเกิดขึ้นในช่วงที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วมักอาศัยอำนาจช่วงนี้ ใช้สภาที่มาจากการแต่งตั้งแก้กฎหมายแบบสายฟ้าแลบ ไม่ว่าจะเป็นปี 2505 หรือ 2535 ต่างจากฉบับ 2484 ที่ผลักดันโดยแนวคิดของคณะราษฎร แม้จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม นายกฯในขณะนั้นจะเป็นทหาร แต่ก็ยังมาจากการเลือกตั้งตามกติกา” นักวิชาการศาสนากล่าว
ด้าน นายสุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการและคอลัมนิสต์ด้านศาสนา กล่าวว่า ตามที่มหาเถรสมาคม (มส.) เสนอชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ที่มีสมณศักดิ์สูงสุด ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 แต่ติดขัดเรื่องคดีความ จึงมองว่า สนช.เสนอแก้กฎหมายนี้ เพื่อต้องการแก้ปัญหาการตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ให้ได้ กรณีนี้ทำให้พระต้องเริ่มทบทวนตัวเองว่า ระบบที่เป็นอยู่ ไม่ได้ ทำให้มีอิสระในตัวเอง เพราะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ตั้งแต่มีกฎหมายคณะสงฆ์ฉบับแรก ส่งผลให้ความขัดแย้งภายใต้องค์กรสงฆ์ที่ผ่านมา ต้องไปตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายอนุรักษ์นิยม หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้คือ แยกศาสนาออกจากรัฐ โดยเริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ไม่ต้องสถาปนาศาสนาใดศาสหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ มีตัวอย่างคือ ประเทศอินเดีย


“ผลกระทบที่จะตามคือ พระส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกไม่พอใจ แต่คงจะเรียกร้องอะไรตอนนี้ไม่ได้มาก เพราะวัดพระธรรมกาย และศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ก็ติดอยู่หลายคดี คงไม่มีพลังต่อรอง และด้วยลักษณะของรัฐบาลคสช.ก็มักดำเนินการโดยไม่สนใจอะไร คิดว่าคุมได้ ก็จะใช้อำนาจมากขึ้น สำหรับกรณีนี้คงมีการประเมินแล้วว่าเอาอยู่ แต่เมื่อประเทศกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง ความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ จะปรากฎขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังสะท้อนความขัดแย้ง ระหว่างสายธรรมยุติ กับ มหานิกาย อีกครั้ง เมื่อสายมหานิกาย ซึ่งมีจำนวนมาก แล้วที่ผ่านมาก็มีสมเด็จพระสังฆราชน้อยกว่าธรรมยุติที่มีน้อยกว่า พอกำลังจะได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็ต้องเจอกับการแก้กฎหมาย” นายสุรพศ กล่าว
เพจ พลเมืองต่อต้านSingle Gateway โพส เมื่อเวลา 15:50น.วันนี้(28/12/59)
//
พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway
เพราะพวกเราเชื่อว่า สงครามไซเบอร์ครั้งนี้ นี่คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น !
ดังนั้น สงครามไซเบอร์ครั้งนี้ สำหรับพวกเรา(เหล่านักรบไซเบอร์) ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...
พวกเราได้พูดเรื่องนี้ และเตรียมความพร้อมสำหรับสงครามไซเบอร์แบบนี้มานานกว่า 1 ปี
- พวกเราเริ่มเปิดสอนหลักสูตรนักรบไซเบอร์มานานกว่า 1 ปี(เรียนฟรี) เปิดสอนมาแล้ว 19 รุ่น เปิดทุกเดือน บางเดือนเปิด 2 รุ่น
- พวกเรามีหลักสูตรนักรบไซเบอร์ 3 ระดับ แต่ละระดับเรียน 1 เดือน 3 รวม 3 เดือน
- พวกเรามีการซ้อมรบกับเป้าหมายจริงมามากกว่า 30 ครั้งในช่วงที่ผ่านมา นักเรียนหลักสูตรนักรบไซเบอร์ ในทุกรุ่นจะได้ซ้อมรบกับเป้าหมายจริงมากกว่า 3 ครั้งกว่าจะเรียนจบหลักสูตรและใช้ผลการประเมินการซ้อมรบในการซ้อมรบ
- พวกเรามีครูฝึกไซเบอร์(อดีตนักเรียนดีเด่น) มาร่วมกันสอน หลายสิบคน พวกเหล่านี้ สอนสัปดาห์ละ 3 วันๆละมากกว่า 3 ชั่วโมง
- คำว่า F5 เป็นเพียงสัญญลักษณ์ แต่อาวุธไซเบอร์ของพวกเรา มีตั้งแต่ แบบอาวุธเบา จนถึงอาวุธหนัก
ท่ามกลางคำสบประมาท ว่าเป็นแก็งส์เด็กเกรียน เป็นเด็กเล่นเกม แต่โดยเนื้อแท้ พวกเราประกอบด้วยผู้คนที่หลากหลาย มีตั้งแต่ อัฉริยะระดับมัธยม จนถึง แพทย์ หรือ แม้กระทั่ง ระดับปริญญาเอก พวกเรามารวมตัวกันเป็น Thailand F5 Cyber Army ร่วมกัน(จนมาเป็น #KamhaengTeam ในวันนี้) เพราะพวกเราเชื่อว่า มิติการต่อสู้ในสงครามไซเบอร์ จะเป็นมิติใหม่สำหรับการแสดงออกทางการเมืองสำหรับประชาชน และพวกเราเชื่อว่า "เสรีภาพและความยุติธรรม" เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนทีี่มีติดตัวมาและไม่มีใครมีสิทธิมาพรากไปได้
ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ในประเด็น เสรีภาพและความยุติธรรม ในเมื่อกลไกสื่อปกติไม่สามารถทำให้สังคมได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เท่าที่ควรจะเป็น พวกเราก็จะทำหน้าที่ ยามคอยเฝ้าบ้าน ตรวจตราความถูกต้อง ความเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น นักการเมือง ค่ายใด สีใด พวกเราก็จะทำหน้าที่ของพวกเราต่อไป
หากคิดว่า ใครคิดว่า พวกเรามาแปปเดียว แล้วก็ไป พวกเขาคิดผิด เพราะสำหรับสงครามไซเบอร์ครั้งนี้ พวกเราเตรียมความพร้อมมานานมาก สำหรับนักรบไซเบอร์ประชาชน พวกมีคติประจำตัว ตั้งแต่วันแรกว่า
" เก่งไม่กลัว กลัวไม่อึด"
Thialand F5 Cyber Army
#KamhaengTeam

อยากลองก็ออกมา!!! "พล.อ.ประยุทธ์" ส่งสัญญาณถึง "พระเมธีธรรมาจารย์" มาแล้ว

วันที่ 28 ธ.ค.2559 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค "พระเมธีธรรมาจารย์-เจ้าคุณประสาร" ระบุว่า
84 สนช.เข้าชื่อเสนอแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์
จากการที่ น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช. ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า บัดนี้ สนช.ได้เข้าชื่อกันแล้วจำนวน 84 ท่าน เพื่อเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 ในมาตราที่ 7 ว่าด้วยการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช นั้น โดยในเรื่องนี้จะมีการประชุมกันในวันที่ 29 ธันวาคม
ในรายละเอียด โฆษกวิป สนช.อธิบายพอสรุปความได้ ดังนี้
1. ให้เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ
2. เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชที่ผ่านมา
3. ตัดอำนาจของมหาเถรสมาคมออกไป
ในเรื่องดังกล่าว อาตมามีความเห็นแย้ง ดังนี้
1. พ.ร.บ. คณะสงฆ์ในปัจจุบัน ในมาตรา 7 เขียนไว้ว่า "พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง" ขอถาม ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สนช. โฆษกวิป สนช. และสมาชิก สนช.ที่ลงชื่อทั้ง 84 ท่าน ว่า ความหมายตามความใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ในปัจจุบันนี้ อำนาจการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชในปัจจุบันเป็นของพระองค์ท่านหรือไม่ เป็นหรือไม่เป็น ตามความหมายและเจตนารมณ์ในมาตรานี้ ท่านจะตอบว่าอย่างไร
2. เพื่อแก้ไขความขัดแย้งนั้น ถามท่านว่า ที่ผ่านมาใครขัดแย้งกับใคร ใครรูปไหนขัดแย้งกับใครในคณะสงฆ์หรือในฝ่ายบ้านเมือง ใครขัดแย้งกันในเรื่องนี้ บอกมาให้ชัดเจน ยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ อย่าพูดอะไรลอยๆ แล้วที่ทำแบบนี้มันจะลดความขัดแย้งได้จริงหรือไม่
ในข้อเท็จจริงความขัดแย้งเรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชนั้นไม่เคยมีปรากฎมาก่อน ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ไทย เพราะพระราชอำนาจนั้นเป็นของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ไม่มีใครก้าวล่วง แต่ขั้นตอนการเสนอตามกฎหมายนั้นให้เป็นของมหาเถรสมาคม (มส.) และรัฐบาล วันนี้ที่เห็นว่ามีความขัดแย้ง ก็เพราะมีกลุ่มคนบางกลุ่ม บางพวก และฝ่ายกุมอำนาจรัฐจับมือกันเข้ามาก้าวก่าย วุ่นวายในกิจการภายในของคณะสงฆ์จนทำให้เกิดมีความขัดแย้งกันขึ้น แล้วชี้มือให้สังคมเห็นว่า เป็นไงคณะสงฆ์มีความขัดแย้งกัน โดยเฉพาะปมการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ฉันจะเข้าไปแก้ปัญหาให้นะ ปัญหาทั้งปวงก็จะยุติ
จึงมีการเซ็ตเรื่อง เซ็ตคน เซ็ตปัญหาทั้งหลายทั้งปวงให้เกิดขึ้นแล้วก็โยนบาปมาให้คณะสงฆ์ตัวเองก็จะเป็นอัศวินม้าขาวเข้ามาแก้ปัญหา
ส่วนในเรื่องที่ว่า เพื่อลดความขัดแย้งที่ผ่านมานั้นท่านประธานคณะกรรมาธิการฯ โฆษกฯ และสมาชิก สนช.ที่ร่วมลงชื่อทั้งหลาย ท่านจะเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือ วันนี้ท่านทั้งหลายที่กล่าวมา ท่านจะซื่อหรือแกล้งซื่อกันแน่ เพราะวิธีที่ท่านกำลังคิดและร่วมกันทำอยู่ในขณะนี้มีแต่จะนำพาความขัดแย้งวุ่นวายสับสนมาสู่คณะสงฆ์และสังคมไทย
3. เพื่อตัดอำนาจมหาเถรสมาคมออกไป เรื่องนี้ไม่มีปัญหาใดๆ เพราะ มส. ท่านก็ไม่ได้หวงอำนาจใดๆ ของท่านอยู่แล้ว ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ ยุติธรรม เรียบร้อย ดีงาม ถูกต้องและชอบธรรม ในเรื่องนี้จึงขอให้ถามใจของท่านเองก็แล้วกัน ถามใจตัวเองให้ดีว่าที่ท่านทำอยู่นี้ ทำเพื่ออะไร บริสุทธิ์ใจจริงหรือไม่ ซึ่งถ้าท่าน สนช.จะอ้างกันแบบนี้ ในปัจจุบันนี้ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีก็มีสูงมากขึ้นทุกวันๆ ซึ่งการแก้ไขปัญหาก็ไม่เห็นมีใครเสนอให้ใช้วิธีการตัดอำนาจขั้นตอนการเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรีออกจากอำนาจของสภาฯ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง อย่างที่นำมาอ้างกันเลย
ท่านประธานคณะกรรมาธิการฯ โฆษกฯ และท่านสมาชิก สนช.ทั้ง 84 ท่าน ถ้าท่านคิดว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แก้ปัญหาได้ตรงจุด ท่านกำลังคิดผิดอย่างมหันต์ คิดผิดจริงๆ อาตมาจึงขอเตือนท่านด้วยความปรารถนาดี แต่ถ้าท่านคิดว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจอันชอบธรรมของท่าน ท่านจะเดินหน้าในเรื่องนี้แน่นอน ถ้าเช่นนั้น อาตมา องค์กรพุทธ และพระสงฆ์ทั่วประเทศก็จะเดินหน้าในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ไม่มีทางเลือกอื่น และขอฝากเรื่องนี้ไปถึงรัฐมนตรี ออมสิน ชีวะพฤกษ์และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลทุกท่านด้วย
#เจ้าคุณประสาร
28 ธันวาคม 2559


ซึ่งก่อนหน้านี้ พระเมธีธรรมาจารย์ ก็ได้โพสต์เมื่อ 11 ก.ค. ว่า
ในนามศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนาและภาคีเครือข่าย ขอแสดงความปรารถนาดีมายังรัฐบาลว่า บัดนี้มติมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 นั้นนับว่าถูกต้องดีงามแล้ว ทั้งตามหลักกฎหมายบ้านเมือง ชอบด้วยจารีตประเพณีอันดีงามของคณะสงฆ์ที่เคยปฏิบัติมายาวนานหลายยุคหลายสมัย
ในเมื่อมติดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายและจารีตประเพณีแล้ว มีเหตุผลอะไรที่นายกรัฐมนตรีจะไม่ปฏิบัติตาม มีเหตุผลอะไรที่นายกรัฐมนตรีจะไม่เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่ถูกเสนอชื่อโดยชอบแล้ว
นายกรัฐมนตรี ควรปฏิบัติตามกฎหมาย จารีตและครรลองอันดีงาม ช่วยกันให้ความเคารพบูชาต่อคณะสงฆ์ทั้งประเทศและมหาเถรสมาคมด้วยเถิด
อย่าประวิงเวลา อย่าเอาการเมืองมาเล่นในคณะสงฆ์ อย่าเดินตามกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อคณะสงฆ์เลย
เดินหน้าตามกระบวนการที่ถูกต้องเถิด ความสงบสุขจะกลับมาสู่คณะสงฆ์ดังเดิม
พระเมธีธรรมาจารย์
#เจ้าคุณประสาร
11 กรกฎาคม 2559


กระทั่งช่วงค่ำของวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นกรณีที่มีผู้ร้องเรียนให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตีความกฎหมายในมาตรา 7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ โดยให้เริ่มต้นจากมหาเถรสมาคม (มส.) ว่าไม่ได้ว่าอะไร อำนาจใครก็อำนาจใคร ตนมีหน้าที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วตนทูลเกล้าฯ ในสิ่งที่มีปัญหาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็จบ เมื่อถามว่าต้องรอคดีจบก่อนใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คิดไม่ออกหรือว่าต้องรอกระบวนการเรียบร้อยก่อน
      
แล้วไม่กลัวว่าจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันหรืออย่างไร วันนี้มีกี่พวก อย่ามองบ้านเมืองในแง่ดีแง่เดียว มันมีพร้อมทุกเรื่อง

และจากกรณีที่พระเมธีธรรมาจารย์ ออกมาแถลงว่าได้ให้เวลากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี1 สัปดาห์ ในการพิจารณาแต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ขึ้นขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบออกมาอย่างชัดเจนว่าจะยังไม่มีการแต่งตั้งและพูดถึงพระเมธีธรรมาจารย์ ว่าหากออกมาเคลื่อนไหวผิดกฏหมายก็จะถูกจับกุมอย่างแน่นอน
จนพระเมธีธรรมาจารย์ ออกมาแสดงท่าทีอีกครั้งโดยระบุว่า ยืนยันตามมติที่ได้หารือร่วมกันระหว่าง สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา และภาคีเครือข่ายในข้อ 5 ที่ระบุว่า ขอดูท่าทีทั้งหมดของผู้เกี่ยวข้องภายใน 1 สัปดาห์ก่อน
พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จันทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยังคงยืนยันตามมติที่ได้หารือร่วมกันระหว่างศพศ สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา และภาคีเครือข่ายในข้อ 5 ที่ระบุว่า ขอดูท่าทีทั้งหมดของผู้เกี่ยวข้องภายใน 1 สัปดาห์ก่อน หลังจากนั้นจะประชุมกำหนดท่าทีหรือทิศทางร่วมกันในการเคลื่อนไหว ซึ่งอาตมายืนยันว่าแนวทางในข้อ 5 ดังกล่าวไม่ใช่การยื่นคำขาดหรือข่มขู่ว่าต้องทูลเกล้าฯ ชื่อสมเด็จพระสังฆราชภายใน 7 วันแต่อย่างใด แต่เป็นการรอดูท่าทีของฝ่ายที่เกี่ยวข้องภายใน 1 สัปดาห์ก่อนที่จะมีการประชุมเพื่อกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหว ส่วนที่นายกฯ ระบุว่าถ้าออกมาเคลื่อนไหวแล้วจะจับหมดไม่ว่าจะเป็นใครนั้น ชี้แจงว่า ไม่ว่าที่ผ่านมาหรือนับจากนี้ต่อไป การเคลื่อนไหวใดๆ จะคำนึงถึงกฎหมายบ้านเมือง ธรรมวินัยและสมณสารูป




ขณะเดียวกันเมื่อย้อนกลับมาพิจารณาบทบาทของ  พระเมธีธรรมาจารย์  หรือ  เจ้าคุณประสาร ก็มีนัยที่ต้องพิจารณาเช่นเดียวกันว่ายังคงสถานะเป็นสงฆ์ผู้ประพฤติชอบในธรรมวินัย  ในระดับควรเคารพนับถือหรือไม่  อย่างไร    ถ้าพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมา เริ่มจากตัวตนของพระเมธีธรรมาจารย์     ถูกสืบค้นว่ามีนามเดิม   คือ     ประสาร  หนองพร้าว    เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม   พ.ศ. 2517 บ้านโคกก่อง  ตำบลโพนสูง อำเภอปทุมรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด แต่เพิ่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญยก มีราชทินนามตามสัญญาบัตรประกอบพัดยศสมณศักดิ์ว่า  "พระเมธีธรรมาจารย์"    เมื่อปี 2554 ขณะที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  พระเมธีธรรมาจารย์ถูกมองเป็นสงฆ์สายฮาร์ดคอร์   จากบทบาทการเป็นแกนนำปลุกองค์กรสงฆ์ทั่วประเทศ  ออกมาแสดงพลังในด้านต่างๆ    จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติการณ์ไม่ต่างอะไรกับการเป็นพระสายการเมือง  เพราะมีบทบาทการเคลื่อนไหวในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร  และรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  โดยเฉพาะเคยนำพระสงฆ์ในสหรัฐเข้าพบปะพูดคุย   ถ่ายรูปร่วมกับนายทักษิณ ที่โรงแรมแฟร์มอนต์   เมื่อวันที่  9 มิ.ย. 2556   ไม่นับรวมการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับคนเสื้อแดง นปช.  และพรรคเพื่อไทยในหลายวาระโอกาส และหลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร  22 พ.ค. 2557    พระเมธีธรรมาจารย์     ยังกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับทั้ง นายไพบูลย์  นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ  (สปช.)  และ หลวงปู่พุทธะอิสระ    จากประเด็นว่าด้วยแนวทางการปฏิรูปพระพุทธศาสนา  ซึ่ง  พระเมธีธรรมาจารย์ ต้องการให้บรรจุพุทธศาสนาเป็น ศาสนาประจำชาติในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ   และบานปลายมาถึงความขัดแย้งเรื่องการพิจารณาแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่   ผ่านการเคลื่อนไหวกดดันเป็นระยะ ๆ  ในนามของ   “ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย”กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ พระเมธีธรรมาจารย์ ก็ยังถือเป็นชนวนเริ่มต้นเหตุการณ์การขัดแย้งระหว่างทหารกับพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง   หลังจากพระสงฆ์เหล่านั้นถูกพระเมธีธรรมาจารย์  ปลุกระดมออกมาชุมนุมพร้อมกันที่พุทธมณฑล  จ.นครปฐม   ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งดำเนินการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่โดยเร็ว

"คสช." งัด "ม.44" แก้ปัญหาเดินรถไฟฟ้า 1 สถานี หลังคมนาคมไม่กล้าชงเรื่องเข้าครม.

"คสช." งัด "ม.44" แก้ปัญหาเดินรถไฟฟ้า 1 สถานี หลังคมนาคมไม่กล้าชงเรื่องเข้าครม. ด้าน "รฟม." เร่งรับลูกเตรียมชงบอร์ดจ้างบีอีเอ็มเดินรถ

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่ากรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งเรื่องการดำเนินการส่วนเชื่อมต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีบางใหญ่-เตาปูน ช่วง1กิโลเมตรว่าตนยังไม่เห็นคำสั่งดังกล่าวและไม่ได้หารือกับ คสช. เพราะ คสช. สามารถพิจารณาเหตุผลการใช้มาตร 44 ได้เองและขณะนี้คงอยู่ระหว่างการหารือก่อนประกาศใช้ โดยหากมีคำสั่งออกมา ทางกระทรวงคมนาคมก็พร้อมปฏิบัติตาม 

นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าคำสั่งดังกล่าวจะเป็นการปลดล็อกเพื่อเปิดทางให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สามารถลงนามในสัญญาว่าจ้างบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้เดินรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินและรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริหารการเดินรถ 1 สถานีได้ โดยไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) 

สำหรับข้อเสนอของบอร์ด รฟม. ที่เห็นชอบให้ว่าจ้าง BEM เดินรถช่วง 1 สถานีก่อนนั้น กระทรวงคมนาคมยังไม่ได้เสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณา เพราะมีการข้อสังเกตว่า ข้อเสนอดังกล่าวอาจขัดกับกฎหมาย PPP เพราะตามขั้นตอนจะต้องรอเสนอพร้อมกับการเจรจาว่าจ้างBEMเข้ามาเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินทั้งเส้นทาง 

ขณะนี้ รฟม. ได้สรุปผลการเจรจาว่าจ้างBEMเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินทั้งเส้นทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และสำนักอัยการสูงสุดแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาพิจารณา 30 วัน ก่อนส่งเรื่องกลับมายังกระทรวงคมนาคมและเสนอขออนุมัติจาก ครม. 

เตรียมเจรจาจ้าง BEM เดินรถ 

พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ รฟม. เตรียมแผนเจรจาจ้าง BEM เดินรถช่วง 1สถานี ช่วงเตาปูน-บางซื่อแล้ว เพราะBEMเป็นผู้เดินรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินและรถไฟฟ้าสายสีม่วง หากBEMเดินรถต่อในช่วงเตาปูน-บางซื่อก็จะครบเส้นทางพอดีและถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด 

ถ้าหาก รฟม. ใช้วิธีการเปิดประมูลหาผู้เดินรถรายใหม่ และผู้ที่ชนะการประมูลไม่ใช่BEMก็จะเกิดปัญหาขึ้น เพราะจะถือเป็นคู่สัญญารายใหม่ของ รฟม. และทำให้ผู้ใช้บริการช่วง1สถานีต้องจ่ายค่าแรกเข้าใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน 

“ขณะนี้นายกรัฐมนตรีเร่งให้เปิดเดิน1สถานีโดยเร็ว แต่ รฟม. ก็ต้องดูเรื่องกฎหมายให้รอบคอบด้วย เพราะขณะนี้มีผู้ร้องคัดค้าน ว่าการที่ รฟม.เจรจากับรายเดิมเป็นการเอื้อประโยชน์และผูกขาด ของเอกชนรายเดียว แต่ รฟม. ก็ยังมองไม่เห็นวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ พร้อมยืนยันว่าเป็นการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เอกชน”พล.อ.ยอดยุทธ กล่าว 

ทั้งนี้ได้จะเร่งเจรจาว่าจ้างBEMให้เร็วที่สุด โดยตอนนี้การลงทุนและค่าจ้างเดินรถจะเป็นวงเงินเดิมที่เคยศึกษาไว้ คือเงินลงทุนติดตั้งอาณัติสัญญาณ 693 ล้านบาท และค่ารับจ้างเดินรถปีละ52ล้านบาท ส่วน รฟม. จะจัดเก็บค่าโดยสารเอง 

คาดเสนอบอร์ดพิจารณาผลเจรจา11ม.ค. 

พล.อ.ยอดยุทธ คาดว่าจะเสนอผลการเจรจาให้บอร์ด รฟม. พิจารณาได้ในวันที่11ม.ค.นี้และจะเสนอให้ ครม. พิจารณาอนุมัติเห็นชอบเพื่อลงนามในสัญญาจ้างตามลำดับ หลังจากนั้นจะใช้เวลาวางระบบติดตั้งอาณัติสัญญาณ 6 เดือนและทดลองเดินรถอีก2เดือน คาดว่าจะเปิดเดินรถช่วง 1 สถานีได้ในเดือน ส.ค.-ก.ย. 2560 

รฟม.จะว่าจ้าง BEM เดินรถ 1 สถานีจนกว่าจะได้ตัวผู้เดินรถสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง -บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ โดยหากผลการคัดเลือกปรากฏว่า BEM เป็นผู้ชนะการเดินรถ ก็สามารถโอนงานเดินรถ1สถานีให้ BEM ได้เลย แต่หากเป็นรายอื่น รฟม. จะต้องโอนการเดินรถดังกล่าวให้รายใหม่ พร้อมเจรจาเรื่องการแบ่งหนี้และทรัพย์สินด้วย 

พล.อ.ยอดยุทธ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของการเจรจาเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินว่า การเจรจาระหว่าง รฟม. และ BEM ได้ข้อยุติในขั้นต้นแล้ว จากนี้จะต้องส่งไปยัง สคร. และกระทรวงคมนาคม ก่อนเสนอเข้า ครม. เพื่อชี้ขาดว่าจะรับผลเจรจาหรือไม่ 

เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอเข้า ครม.ได้ในช่วง ม.ค.-มี.ค.ปี2560โดยยังมั่นใจว่าจะเปิดเดินรถได้บางส่วนในปลายปี 2562ได้ และเดินครบทั้งเส้นในปี 2563 

คสช.ออกคำสั่ง‘ม.44’3ฉบับรวด 

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่าในช่วงเช้าที่เป็นการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนการประชุมครม. ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน มีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องออกคำสั่งคสช. มาตรา 44ทั้งหมด 3 เรื่อง 

เรื่องแรก การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มีความเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ปัจจุบันพบปัญหาผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศที่จะนำเข้า มีปัญหาในสินค้าที่ผลิตออกมา ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ยา เครื่องมือแพทย์ เป็นต้น พบความล่าช้าอย่างมาก ในกระบวนการพิจารณาอนุญาต เพื่อให้ได้ใบรับรองจาก อย. 

“เพราะฉะนั้นคำสั่ง ม.44 ครั้งนี้จะใช้ในกระบวนการพิจารณาให้เกิดความรวดเร็ว สามารถเก็บเงินค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดได้ เพื่อนำค่าธรรมเนียมเหล่านี้ไปจ้างผู้เชี่ยวชาญต่าง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้กระบวนการมันรวดเร็วขึ้น จากการตรวจสอบในปัจจุบันพบว่า มีรายการอาหารที่รออยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาอนุญาต 2,600 ราย เป็นประเภทของยา มีอยู่ 5,700 ราย ” 

เปิดทางเจรจรรายอื่น-ไม่ต้องเข้าทีพีพี 

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า เรื่องที่ 2 เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (เฉลิมรัชมงคล) จากหัวลำโพง-บางซื่อ และสายสีม่วง จากบางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งปัจจุบันสถานีเตาปูน ถึงสถานีบางซื่อรางรถไฟฟ้าพร้อมใช้งานแล้ว แต่ยังไม่มีคนเดินรถ จึงออกคำสั่งให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ (รฟม.) ไปจ้างบริษัทเดินรถใดก็ได้ให้เข้ามาดำเนินการในช่วงสถานีดังกล่าวที่ไม่มีผู้เดินรถ ซึ่งอาจจะเป็นบริษัทเจ้าเดิมก็ได้ เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกขึ้น คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนสูงสุด 

“นายกรัฐมนตรีเป็นห่วง ไม่อยากให้มองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการที่ลงทุน ในรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เดินรถอยู่แล้ว แต่ถ้าคำนึงถึงความเป็นจริง การต้องไปจ้างบริษัทเจ้าอื่นมาดำเนินการมันจะยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายกับประชาชนสูงขึ้น ดังนั้นคงจะเป็นเจ้าเดิมมาดำเนินการ และมีข้อตกลงแบ่งสันปันส่วนกัน ซึ่งนายกฯย้ำว่า จะต้องเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และไม่ทำให้รัฐเสียเปรียบ” 

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่ายังได้มีข้อกำหนดว่าหากใช้อำนาจมาตรา44ในเรื่องนี้แล้ว ไม่ต้องไปนำกฎหมายลงทุนร่วมรัฐเอกชน หรือทีพีพี มาใช้ เพื่อให้รวดเร็ว หากการเจรจากับบริษัทเดิมเพื่อให้ได้ในราคาที่ถูกแต่เจรจาไม่สำเร็จ รฟม.สามารถจ้างบริษัทอื่นได้แต่ต้องคำนึงถึงประชาชน และรัฐ 

ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ส่วนคำสั่งคสช.ฉบับท้ายสุดเป็นเรื่องการแต่งตั้งคณะทำงานปฏิรูปประเทศ ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามา ในประเด็นการปฏิรูป และยุทธศาสตร์ชาติ ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง ได้มีการสัญญากับประชาชน และภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศว่าจะเร่งขับเคลื่อนปฏิรูป และวางยุทธศาสตร์ชาติ แต่รายละเอียดในกฎหมายว่าด้วยวิธีการทำ และจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน 

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า นายกฯอยากให้สิ่งต่าง ๆ ที่สัญญาไว้กับประชาชน รวมถึงที่คสช.และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคิดมาเป็นรูปธรรม จึงออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ประกอบด้วย นายกฯเป็นประธาน รองนายกฯ เข้ามาร่วมเป็นกรรมการ ประธาน และรองประธานสนช. ประธานและรองประธานสปท. รัฐมนตรี 2 ราย 

"สุดท้ายนี้ท่านนายกฯขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล กับคำสั่งทั้ง 3 ฉบับนี้ เพราะเป็นเรื่องที่แก้ปัญหาทั้งสิ้น ไม่ได้ไปริดรอนใคร” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

ผบ.สส.ยกหนังสือฝรั่ง พยากรณ์สงครามไซเบอร์ ยัน พ.ร.บ.คอมพ์ ปกป้องคนดี จากคนชั่ว

“บิ๊กปุย” การันตี พรบ.คอมพ์ ปกป้องคนบริสุทธิ์ ยกหนังสือฝรั่งพยากรณ์โลกยุคสงครามไซเบอร์
เมื่อวันที่ 28 ธันยาคม ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงการป้องกันการแฮกข้อมูลทางไซเบอร์ ว่า ต้องเข้าใจว่าเรื่องไซเบอร์ ทางกองทัพดำเนินการมาหลายปี เพราะว่ากองทัพทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก จากสมัยก่อนเรารบด้วยปืนใหญ่ และรถถัง แต่ปัจจุบันไซเบอร์ถือเป็นการรบรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการรบระหว่างกองทัพที่เราพัฒนาควบคู่มาเรื่อยๆ แต่ที่เป็นปัญหาในสังคมไทยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยผู้เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับแล้วว่าพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2559 ที่กำบังบังคับใช้ ออกมาเพื่ออะไร และมีประโยชน์อย่างไร
พล.อ.สุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ในมุมมองตนจะขออ้างงานเขียนของโทมัส ฟรีดแมน เรื่อง Thank you for being late หรือชื่อภาษาไทยว่า ขอบคุณที่มาช้าไปหน่อย ซึ่งแต่ก่อนเปลี่ยนเทคโนโลยีแต่ละครั้งใช้เวลา7-15 ปี ซึ่งก็ต้องพัฒนากฎกติกาป้องกันและควบคุมรองรับไว้ ส่วนคอมพิวเตอร์นั้นพัฒนาไปรวดเร็วมาก ดังนั้นกฎกติกาก็ต้องพัฒนาตามไปให้ทันด้วย โดยกฎกติกาเหล่านี้มีเจตนาเพื่อปกป้องคนดี คนบริสุทธิ์ จากพวกอาชญากรรมที่พยายามแสวงหาประโยชน์ในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะฉะนั้นต้องหามาตรการมาคุ้มครองคนดีไม่ให้เดือดร้อน จึงต้องออกกฎหมายฉบับนี้มา ซึ่งทั่วโลกก็ทำกัน ถ้าไม่ทำผู้ไม่หวังดีจะขยายผล สุดท้ายกลไกในการลงโทษในสังคมก็จะตามไม่ทันในที่สุด
“กฎระเบียบต่างๆเหล่านี้ ก็มีการชี้แจงแล้วว่าสามารถแก้ไข หรือเพิ่มเติมได้ ถ้าเรารู้เจตนากฎหมายนี้จะทำให้ทุกคนมีความเข้าใจว่าออกมาเพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์จากพวกอาชญากรทางเทคโนโลยี” พล.อ.สุรพงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่าในส่วนกองทัพมีนักรบไซเบอร์ หรือไม่ ผบ.สส. กล่าวว่า ทุกกองทัพทั่วโลกมีนักรบไซเบอร์ทั้งนั้น อย่างเช่นในกองทัพสหรัฐอเมริกา ตั้งหน่วยบัญชาการไซเบอน์ขึ้นมา โดยมีนายทหารระดับพล.อ.เป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งตนคิดว่าเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่มีนักรบไซเบอร์เป็นหมื่นๆคน แต่ของเราเพิ่งเริ่มต้น เทคโนโลยีก็พัฒนาไม่มากนัก ดังนั้นงานพวกนี้ของเราก็ไม่เยอะ จึงจำเป็นต้องพัฒนาควบคู่กันไป อย่างไรก็ตามตนอยากให้แยกแยะมิติด้านความมั่นคงกับปัญหาในโซเชียลมิเดียนั้นแตกต่างกัน