PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ดร.รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีม.รามคำแหง ติดเชื้อในกระแสเลือดเสียชีวิต

ดร.รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีม.รามคำแหง ติดเชื้อในกระแสเลือดเสียชีวิต



แฟ้มภาพ
เมื่อเวลา 20.05 วันที่ 5 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เสียชีวิตแล้วจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ สิริอายุ 73 ปี โดยครอบครัวจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดนวลจันทร์ ศาลา 1 และจะมีพีธีรดน้ำศพ ในวันที่ 6 ธันวาคม เวลา 16:30-17.30 น.วันที่ 7 ธันวาคม สวดพระอภิธรรมศพ เวลา 19.00 น.และช่วงเวลาเดียวกันเป็นระยะเวลา 7 วัน คืนสุดท้ายวันที่ 12 ธันวาคม โดยทางครอบครัวของดรับดอกไม้

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงคนหนึ่งกล่าวว่า รู้สึกตกใจกับการสูญเสียดร.รังสรรค์ แสงสุข เพราะเพิ่งจะทราบข่าวในช่วงค่ำที่ผ่านมา

จาก "กรณีทุ่งใหญ่ฯ"ถึง "นาฬิกาหรู" บทเรียนความย่ามใจของเผด็จการ

กลายเป็นปมร้อนเขย่ารัฐบาลในช่วงต้นธันวาคมกับ "นาฬิกา-แหวนเพชร"พล.อ.ประวิตร เรื่องนี้สะท้อนอะไร?
กลายเป็นภาพแห่งปีทันทีเมื่องานถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีชุด "ประยุทธ์5"กับซีนที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรียกมือขึ้นมองแดด แต่แสงแดดกลับตกกระทบนาฬิกาข้อมือเรือนหรู-แหวนเพชรเม็ดเบ้อเร่อ ระยิบระยับ
เป็นประเด็นในทันทีเมื่อมีคนไปสืบค้นว่านาฬิกาหรูยี่ห้อ  ริชาร์ด มิลล์ จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่เจ้าของแบรนด์สร้างสรรค์นิยมชอบในความเร็วและสมรรถนะของรถฟอร์มูล่าวัน เที่ยงตรงแม่นยำ ทนทาน แถมยังโชว์นวัตกรรมให้เห็นระบบกลไกภายในของตัวเรือน และยังได้รับความนิยมจากคนดังระดับโลก ทั้งราฟาเอล นาดาล นักเทนนิสชื่อดังและ เฉินหลง ยอดนักบู๊เอเชีย

Thumb หลัก061260.jpg

ปมตั้งคำถามตรงไปทันทีว่านาฬิกาเรือนเกินล้านบาทนั้นพลเอกประวิตรได้มาได้อย่างไร เพราะไม่อยู่ในบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งไว้กับทางป.ป.ช. ซึ่งล่าสุดพลเอกประวิตรออกมาให้สัมภาษณ์ว่าขอชี้แจงกับ ป.ป.ช. พร้อมยืนยันว่าสามารถชี้แจงที่มาที่ไปของนาฬิกาได้ โดยไม่จำเป็นต้องตอบคำถามสื่อมวลชนว่าได้มาก่อนหรือหลังการเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาล และไม่กังวลหรือท้อที่ถูกสังคมจ้องจับผิด โดยยืนยันว่าการทำงานที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องทุจริต และไม่ต้องระมัดระวังตัวในการถูกจับผิด
บทเรียนนี้สะท้อนถึงความย่ามใจของพลเอกประวิตร เพราะปกติทรัพย์สินที่ไม่ได้ถูกแสดง หากจะนำไปใส่ก็คงต้องทำกันแบบแอบๆภายในงานส่วนตัว หรือระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ ในครั้งนี้พลเอกประวิตรไม่ได้สนใจสายตาของสื่อมวลชนจำนวนมากที่มารอถ่ายภาพหมู่ของคณะรัฐมนตรีใหม่ ที่เป็นงานสาธารณะ
บางคนอาจมองว่าปมเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่สั่นคลอนความเชื่อในช่วงกระแสรัฐบาลขาลง แต่บทเรียนของผู้นำเผด็จการในอดีตมีให้เห็นมาแล้ว อย่างเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกในปี 2516ที่จังหวัดนครปฐม หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์ "กรณีทุ่งใหญ่นเรศวร" ในยุคเผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร

Phone in- ชาญวิทย์ เกษตรศิริ 14 ตุลาฯ 16 ชัยชนะของประชาชน?

ครั้งนั้นคณะทหารตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใช้เฮลิคอปเตอร์กองทัพไปฉลองวันเกิดด้วยการล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร โดยมีพันเอกณรงค์ กิตติขจร ลูกชายจอมพลถนอม ควงคู่ไปกับดาราสาวฮอตแห่งยุคนั้นอย่างเมตตา รุ่งรัตน์ จนเกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งของกองทัพบกตรงลงที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
ถึงแม้จอมพลถนอม จะออกมาแก้ตัวว่าลูกชายบินไปเพื่อปฏิบัติภารกิจลับด้านความปลอดภัยให้กับนายพลเน วิน นายกรัฐมนตรีพม่า แต่ในเครื่องกับพบซากสัตว์ป่าจำนวนมากรวมไปถึงกระทิงด้วย ชนวนเล็กๆนี้เองกลายเป็นเหตุนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่าง 14 ตุลาคม 2516
เมื่อนักศึกษาศูนย์กลางนิสิตแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้ออกหนังสือ "บันทึกลับจากทุ่งใหญ่"ตีแผ่การใช้อำนาจไม่ชอบของคณะเผด็จการทหาร และนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงออกหนังสือ "มหาวิทยาลัยไม่มีคำตอบ" ที่นำไปสู่การคัดชื่อนักศึกษารามฯ9คนออกจากมหาวิทยาลัย นำไปสู่การประท้วงต่อเนื่องและเหตุการณ์ชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดในไทย จนเผด็จการจอมพลถนอมที่ปกครองประเทศร่วม 10 ปีไม่สามารถอยู่ได้
ความย่ามใจในกรณีทุ่งใหญ่ฯและความย่ามใจแบบที่ไม่แคร์สายตาของนักข่าวและประชาชนด้วยการสวมนาฬิกาหรู-แหวนเพชรระยับ มาถ่ายรูปคณะรัฐมนตรีสะท้อนถึงความมั่นใจว่าจะไม่มีใครเอาผิดตนได้ตราบที่ยังควบคุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ
ก็ต้องเป็นคำถามถึงป.ป.ช.ในยุคที่ประเมินผลงานตัวเองว่าเป็น "องค์กรอิสระที่โปร่งใสที่สุดในประเทศไทย" ว่าจะทำอย่างไรกับกรณีนี้ต่อไป หรือสุดท้ายก็ได้แต่กระแอมแก้เขินกันไปว่า "บกพร่องโดยสุจริต" เพราะประธานป.ป.ช.คนปัจจุบันพลตำรวจเอกวัชรพล ประสานราชกิจ หลังมีการรัฐประหารก็เคยได้รับการแต่งตั้งจากคสช.ให้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาแล้วก่อนที่จะได้แต่งตั้งเป็นสนช. และได้สรรหาเป็นประธานป.ป.ช.ในที่สุด
เรื่องแบบนี้ประชาชนก็ต้องการคำตอบเช่นกัน อย่าให้ความย่ามใจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวเลย
ที่มา: https://www.voicetv.co.th/read/r1mV9WHbG

คปค.ส่วนหน้า..เปลี่ยนแต่"หัว".."ตัว" ไม่เปลี่ยน

คปค.ส่วนหน้า..เปลี่ยนแต่"หัว".."ตัว" ไม่เปลี่ยน
"บิ๊กน้อย -บิ๊กช้าง" เดินหน้า "ยุทธศาสตร์ 9ข้อ" บิ๊กตู่"
บิ๊กช้าง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม คนใหม่ และสวมหมวก รองหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล
ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้(ผทพ.) พบปะพูดคุยกับ ทีมงาน ผทพ. หรือ คปต.ส่วนหน้า ทั้ง บิ๊กโบ้ พลเอกอักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ บิ๊กเมา พลเอก อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ และนาย จำนัล เหมือนดำ ที่มาประชุม งบประมาณ กับ บิ๊กป้อม ที่ทำเนียบฯ ช่วงเช้า. ....ตกบ่าย บิ๊กน้อย พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาฯ ที่เป็น หัวหน้า ผทพ. เชิญประชุม ครั้งแรก หลัง ครม. แต่งตั้ง ตำแหน่งต่างๆ ใน 13 ผทพ.ใหม่ โดย มี พลเอกชัยชาญ เป็นรอง หน.ผทพ. และ นายพรชาต บุนนาค เป็น เลขาฯ...เตรียม สานงานต่อ....เพราะเปลี่ยนแค่ "หัว" จาก บิ๊กโด่ง พลเอกอุดมเดช มาเป็น บิ๊กน้อย เท่านั้น....งานยังคงเดินหน้าต่อไป
หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ประชุมคณะกรรมการนัดแรกหลังจากมีการแต่งตั้งเพื่อทำงานสัมฤทธิ์ผลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลเป็นประธานการประชุมนัดแรกหลังจากที่เข้ามารับตำแหน่ง
โดยมี พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล
รมช. กลาโหมในฐานะรองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนพิเศษ 7 กลุ่มภารกิจงานเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4ส่วนหน้าและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมประชุม
ซึ่งเป็นการประชุมวาระพิเศษเพื่อมอบนโยบายในการปฏิบัติงานการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากมีการแต่งตั้งตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 229 / 2529 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2559 เรื่องการแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเน้นย้ำยุทธศาสตร์ 9 ข้อของนายกรัฐมนตรีรวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนตามแนวทางประชารัฐและใช้กลไกปกติที่มีอยู่เสริมด้วยการขับเคลื่อนงานโดยผู้แทนพิเศษในการประสานงานกับส่วนราชการและภาคประชาสังคม
พร้อมทั้งการรายงานปัญหาอุปสรรคและแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ
อีกทั้งมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่องในทุกกิจกรรมและปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์โดยยึดถือแนวทางการปฏิบัติงานตามศาสตร์พระราชาและยุทธศาสตร์พระราชทาน"เข้าใจ เข้าถึงพัฒนา"
และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนของภาคประชาชนซึ่งเป็นนโยบายของ รัฐบาลที่มุ่งผลสำเร็จให้ภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง

นาฬิกา มิกกี้เม้าส์

สนใจ ปะล่ะ ??!!นาฬิกา มิกกี้เม้าส์
"บิ๊กป้อม" ยิ้มได้ ...ไม่กังวล ปม แหวน-นาฬิกา RM ยัน แจง ปปช.ได้ แต่ไม่แจงนักข่าว....
ส่งรอยยิ้ม....แถม มีแหวนนะโม นิ้วกลางข้างซ้าย วงเดิมที่เคยใส่บ่อยๆ ให้เห็น ด้วย
วงนี้ ที่บิ๊กป้อม เคยบอกว่า หัวแหวนนะโม ซื้อมา15 บาท.... (แต่ไม่นับรวม ตัวแหวน)
วันนี้ ใส่นาฬิกา สีเขียว สไตล์ทหาร เรียบง่าย....แต่ไม่ยอมบอกว่า ยี่ห้ออะไร
นักข่าว เลย กระแซะว่า ให้ใส่ นาฬิกา ทหาร หรือ ใส่ มิกกี้เม้าส์ ไปเลย จะได้ไม่โดน 55555
บิ๊กป้อม ยิ้ม ...สงสัยจะสน 555

"บิ๊กป้อม" ลั่น ผมไม่เคย ทุจริต

"บิ๊กป้อม" ลั่น ผมไม่เคย ทุจริต
ยัน พร้อมชี้แจง ปปช. ไม่บอกว่า ได้มา ก่อนหรือหลัง รับตำแหน่ง เดี้ยวผมตอบ ปปช. เอง ไม่ตัองไม่ตอบสื่อ เพราะไม่รู้จะตอบไปทำไม เพราะเดี้ยวก็เอาไป ต่อไปหยอกไปเรื่อยๆ ยันจากนี้ ไม่ต้องระวังตัว "ว่ากันไปเลย" ไม่ตอบว่า เป็น RICHARD Mille หรือไม่
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า พร้อมชี้แจงกับ ปปช. เริ่อง แหวนเพชร และ นาฬิกา หรู ราคาหลักหลายล้านบาท
"ว่ากันไปเลย เดี๋ยวผมตอบ ปปช.เอง"
เมื่อถามว่า นาฬิกาที่ใส่ ใช่ Richard Mille ราคาหลายล้านบาท เช่นที่วิจารณ์หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ไม่ตอบ
ส่วน นาฬิกา นี้ ได้มาเมื้อใด ได้มา ก่อนหรือหลัง รับตำแหน่งเพราะในบัญขีทรัพย์สินที่ชี้แจบกับ ปปช. นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า
ไม่ตอบ เพราะไม่รู้จะตอบนักข่าว ไปทำไม เพราะเดี้ยวก็เอาไป ต่อไปหยอกไปเรื่อยๆ
เมื้อถามว่า ให้มั่นใจในตัวท่านได้ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ผมทำงานมา ผมไม่เคยทุจริต ไม่มี
เมื่อถามว่า จากนี้ไป ต้องระวังตัวหรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้อง

ไม่ปลดล้อค ไม่จัดฉาก

ไม่ปลดล้อค
ไม่จัดฉาก
"บิ๊กป้อม" ไม่รับลูก "บิ๊กป๊อก" ปลดล็อคเป็นของขวัญปีใหม่ นักการเมือง ถาม คิดดูเองว่า ควรปลดล้อคมั้ย/ ยัน เปล่า จัดฉากอาวุธสงคราม เพื่อยื้อปลดล้อค /ไม่รู้ ปี61 จะมีเลือกตั้ง มั้ย
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวถึงกรณีที่ พลเอก อนุพงษ์ รมว.มหาดไทย จะเสนอ หัวหน้าคสช. ให้ปลดล้อคพรรคการเมือง ช่วงปีใหม่ ให้เป็นของขวัญนั้นว่า ยังไม่รู้ ต้องดูสถานการณ์ก่อน ไม่ตัองห่วง เรื่องปลดล็อคพรรคการเมือง รัฐบาลจะจัดการให้ดำเนินการตามกฎหมายได้
ส่วนหากปลดล้อคช้า นั้น เชื่อว่าจะไม่ทำให้นักการเมืองหน้าใหม่ เสียโอกาส
ส่วนจะใช้คำสั่งพิเศษขยายเวลามั้ย นั้น ยังไม่รู้
เมื่อถามว่า ถ้าปลดล้อคช้า จะมีผลต่อโรดแมพ และจะเลือกตั้ง ใน ปี61 หรือไม่นั่น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ แต่เรายึดตามโรดแมพ เชื่อไม่กระทบโรดแมพ
เมื่อถามว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การพบ
อาวุธสงครามล็อตใหญ่ ที่ฉะเชิงเทรา อาจทำให้ยังปลดล็อค ไม่ได้หริอไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ๆ สื่อเองก็พิจารณาเองได้ เพราะมีการออกหมายจับแล้ว กี่คน
เมื่อถามว่า เป็นเป็นคดีเก่า ตั้งแต่ปี2557 แสดงว่า ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่หรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า พิจารณากันเอง ก็ดูเอง คุณก็รู้อยู่
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตุว่า จนท.จัดฉาก เริ่องพบอาวุธสงคราม เพื่อหาเหตุหรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า จะไปจัดฉากทำไม จนท.ทำอย่างตรงไป ตรงมา ทุกเรื่อง ่ไม่ได้จัดฉาก มีแค่นักข่าวที่บอกว่า จัดฉาก

การปฏิรูประบบการเลือกตั้งของไทยกับการคาดการณ์ที่ผิดพลาด : โดย เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ

การปฏิรูประบบการเลือกตั้งของไทยกับการคาดการณ์ที่ผิดพลาด : โดย เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ


ระบบการเลือกตั้งมีผลต่อระบบพรรคการเมือง เพราะทำให้เกิดการแพ้-ชนะกันในสภา และมีผลรวมต่อการเมืองการปกครองในภายหลังด้วย การปฏิรูปการเมืองจึงต้องปฏิรูปการเลือกตั้งด้วยเสมอ ทุกวันนี้พบว่าประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะปฏิรูปการเลือกตั้งทุกๆ สิบปี

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังปฏิรูประบบการเลือกตั้ง โดยใช้ระบบเลือกตั้งแบบผสม (mixed members electoral system) แต่เป็นแบบผสมแบบสัดส่วน (mixed member proportional system) หรือ MMP ซึ่งดัดแปลงมาจากเยอรมนี

หากนับเฉพาะระบบการเลือกตั้ง ส.ส.ปัจจุบันไทยเราแบ่ง ส.ส.ออกเป็น 2 ประเภท คือ ส.ส.เขต กับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ สำหรับ ส.ส.เขตมี 350 คน หรือ 70% ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อมี 150 คน หรือ 30% รวมทั้งหมด 500 คน ส่วนสมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว.มีอีก 250 คน

การปฏิรูปการเลือกตั้ง ส.ส.ดังกล่าวมี 3 ด้าน คือ (1) การควบคุมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.(election control) (2) โครงสร้างบัตรเลือกตั้ง ส.ส. (ballot structure) (3) สูตรการคิดที่นั่ง ส.ส. (electoral formula)

ด้านแรก การควบคุมดูแลการเลือกตั้ง ให้คณะ กกต.มีอำนาจให้ใบเหลือง (เลือกตั้งใหม่) ใบส้ม (ระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งชั่วคราวไม่เกิน 1 ปี) และใบแดง (คณะ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและหรือเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง โดยเฉพาะใบแดงครั้งใหม่นี้หนักที่สุด เพราะห้ามไม่ให้เล่นการเมืองตลอดชีวิต) นอกจากนั้นยังแก้ปัญหาที่เคยเป็นจุดอ่อนในการควบคุมการเลือกตั้ง เช่น ให้คณะ กกต.มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงาน ให้มีอำนาจสืบสวน สอบสวน ไต่สวนหรือดำเนินคดีได้เหมือนตำรวจ เช่น สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือขอหมายค้น หมายจับได้ และเมื่อดำเนินคดีอาญาหรือการพิจารณาของศาลให้ใช้สำนวนของเจ้าพนักงานของ กกต.เป็นสำนวนในคดีทั้งในชั้นพนักงานอัยการและชั้นศาล รวมทั้งให้รางวัลผู้ชี้เบาะแส หรือกันคนกระทำผิดไว้เป็นพยานได้

ด้านที่สอง โครงสร้างบัตรเลือกตั้ง เปลี่ยนไปใช้บัตรเลือกตั้งบัตรเดียว คือ บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต และใช้คะแนนของ ส.ส.เขตเป็นฐานในการคิด ส.ส.บัญชีรายชื่อ (เดิมมีบัตรเลือกตั้ง ส.ส. 2 ใบแยกกัน ได้แก่ บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต และบัตรเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ)

ด้านที่สาม สูตรการคิดที่นั่ง ส.ส.ด้านนี้ได้เปลี่ยนวิธีคิด ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ โดยนำคะแนน ส.ส.เขตมาเป็นตัวตั้ง และเอาเขตพื้นที่ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ วิธีการ คือ นับบัตรดีที่เลือก ส.ส.เขตทั้งหมดก่อน เช่น 29 ล้านเสียง เอาจำนวนนี้ตั้ง เสร็จแล้วหารด้วยจำนวนที่นั่ง ส.ส.ทั้งหมด คือ หารด้วย 500 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นคะแนนเสียงต่อ ส.ส.หนึ่งคนหรือหนึ่งเก้าอี้ จากนั้นก็ไปพิจารณาดูทีละพรรค เช่น พรรค ก. ได้คะแนน 10 ล้านเสียง จะได้กี่เก้าอี้ สมมุติคิดออกมาได้ 60 เก้าอี้ ต่อมาก็เอาจำนวน ส.ส.เขตมาหักออก สมมุติได้ ส.ส.เขต 48 เสียงเอาไปหักออก ที่เหลืออีก 12 เสียง ก็เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ

วิธีการเปลี่ยนโครงสร้างบัตรเลือกตั้งและสูตรการคิดที่นั่ง ส.ส.ดังกล่าว มีข้อดี คือ ทำให้เข้าใจง่าย ผู้เลือกตั้งลงคะแนนง่าย และผู้คิดคะแนนก็คิดง่าย (รวมทั้งมีจุดเด่นที่ไทยเราดัดแปลงมาใช้เองประเทศเดียว จึงมีเอกลักษณ์)


แต่ข้อเสีย คือ การเลือกด้วยบัตร 2 ใบ ได้แก่ การเลือก ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบที่เคยทำมาในรัฐธรรมนูญปี 2550 นั้น หายไป ทำให้หลักการที่ว่า “การเลือก ส.ส.เขตเป็นการเลือกคน” ส่วน “การเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นการเลือกพรรค” นั้น หายไป ความเป็นตัวแทนประชาชน กับความเป็นตัวแทนพรรคก็หายไปด้วย เหลือเพียงการเลือก ส.ส.เขตอย่างเดียว และคะแนนของ ส.ส.เขตมีความสำคัญมาก เพราะมีผลโดยตรงต่อคะแนนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ตามวิธีการเลือกใหม่นี้ สัดส่วนของคะแนน ส.ส.เขตกับคะแนนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะเป็นสัดส่วนเดียวกัน (proportional outcomes) เช่น พรรค ก. ได้คะแนน ส.ส.เขต 41% คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อก็ต้องคำนวณได้ 41% ด้วย ปรากฏการณ์ที่พรรค ก. ได้ ส.ส.เขตมาก แต่ได้คะแนนสัดส่วนน้อย อย่างเช่น กรณีของพรรครัฐบาลรัสเซียในปัจจุบันจะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ยิ่งเราให้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็จะตรงกับทฤษฎีการเลือกตั้ง ที่ว่า “ยิ่งเขตการเลือกตั้งใหญ่เท่าใด คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคที่ได้รับ จะยิ่งมีความเป็นสัดส่วนเดียวกันเท่านั้น”

เราจะเห็นได้ว่าการใช้คะแนน ส.ส.เขตเป็นฐานเช่นนี้ ยิ่งทำให้พรรคใหญ่ได้เปรียบ เพราะวิธีการลงคะแนนดังกล่าวจะทำให้พรรคที่ได้คะแนนที่หนึ่ง ทิ้งห่างพรรคที่สอง ที่สาม และที่สี่มากขึ้น เพราะจะไม่มี strategic vote หรือ ticket-splitting เกิดขึ้น หมายความว่าถ้ามีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โอกาสที่จะเลือกผู้สมัครพรรคหนึ่ง และเลือกพรรคอีกพรรคหนึ่งจะมีมาก เช่น การใช้บัตรเลือกตั้งในเยอรมนี แม้ใช้บัตรใบเดียว แต่แบ่งออกเป็น 2 ข้าง ข้างซ้ายเลือกคน ข้างขวาเลือกพรรค ผลปรากฏว่าการเลือกตั้งแต่ละครั้งคนเยอรมันจะเลือกคนพรรคหนึ่งและเลือกพรรคอีกพรรคหนึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ปัจจุบันสูงกว่า 20%) เพื่อให้พรรคได้คะแนนกระจายกันออกไป และจะได้เกิดรัฐบาลผสม รวมทั้งมีการลงคะแนนแบบนี้โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดว่าเขาสามารถลงคะแนนได้ทีละสองพรรคด้วย ฉะนั้น เมื่อคะแนนห่างกันมากโอกาสที่พรรคที่หนึ่งจะได้เสียงข้างมากก็ย่อมมีมากตามไปด้วย

เป้าหมายของการนำระบบผสมมาใช้ คือ การเพิ่มตัวเล่นในทางการเมือง ได้แก่ การเพิ่มพรรคที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้านั้น จึงเป็นไปได้ยาก รวมทั้งเป็นความเข้าใจผิดของผู้ออกแบบ ซึ่งนำเอาคะแนนการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ มาคำนวณแล้วพบว่าพรรคที่ได้ที่หนึ่งจะได้คะแนนลดลง ส่วนพรรคที่สองและที่สามจะได้คะแนนเพิ่มขึ้น เนื่องจากคะแนนครั้งก่อนๆ นั้น มีคะแนน strategic vote ปนอยู่จำนวนมาก ผู้เขียนเข้าใจว่าน่าจะถึง 40% (เพียงแต่ยังไม่มีใครศึกษาวิจัย) เพราะผู้เขียนสังเกตเห็นว่าคนไทยในเมืองส่วนใหญ่จะเลือกคนพรรคหนึ่ง และจะเลือกพรรคอีกพรรคหนึ่ง เพื่อต้องการให้ถ่วงดุลกัน ด้วยเหตุนี้การให้ความเห็นว่า “จะไม่มีใครได้เสียงข้างมาก” นั้น นอกจากเป็นการพูดเกินหน้าที่แล้วยังชักนำสังคมให้เข้าใจผิด รวมไปถึงการอธิบายผิดๆ ด้วยว่า “วิธีการคิดคะแนนเลือกตั้งแบบใหม่นี้ นำคะแนนมาคิดทุกคะแนน” เพราะหลักที่อ้างนั้นเป็นของระบบการถ่ายโอนคะแนน หรือ STV ของไอร์แลนด์เหนือและมอลตา ส่วนของไทยเราไม่ได้เอาคะแนนของพรรคที่ได้คะแนนไม่ถึงคะแนนขั้นต่ำต่อ ส.ส.หนึ่งคนมาคิด คะแนนของพรรคนั้นจะหายไปจากระบบ เช่น พรรค จ. (ซึ่งส่งผู้สมัครลงบัญชีรายชื่อด้วย) ได้คะแนน 999 คะแนน แต่คะแนนต่อ ส.ส.หนึ่งคน 1,000 คะแนน คะแนน 999 คะแนนของ พรรค จ. นั้นจะหายไป ไม่ได้นำไปถ่ายโอนให้กับพรรค ก. พรรค ข. แต่อย่างใด

ดังนั้น ระบบการเลือกตั้งใหม่นี้จึงน่าจะไม่มีผลในการเพิ่มพรรคการเมืองใหม่ๆ ตลอดจนยังมีปัญหาอื่นที่เป็นอุปสรรคต่อพรรคใหม่ เช่น การตั้งพรรคใหม่ยังกระทำไม่ได้ ข้อที่สำคัญกว่านั้น คือ การเลือกตั้งของไทยอาศัยฐานคะแนนเดิมเป็นหลัก พรรคใหม่สอดแทรกเข้าไปยาก รวมทั้งการซื้อเสียงของไทยเปลี่ยนไปเป็นการซื้อระยะยาวมาร่วมสิบปีแล้ว (หัวคะแนน ส.ส.ในปัจจุบันเป็นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดและตกทอดมาถึงรุ่นหลาน เหลน) มีน้อยคนที่จะไปซื้อตอนเลือกตั้ง และซื้อแล้วก็ไม่มีทางได้เป็น ส.ส.

มีข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือ การใช้กลไก “ปตท.” (ปกครอง ตำรวจ ทหาร) เข้าไปบล็อกเท่านั้น

เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ

“สดศรี”ชี้ กกต.ชุดใหม่ เจองานหนัก เสียดายไม่มีตัวแทนเอ็นจีโอ

“สดศรี”ชี้ กกต.ชุดใหม่ เจองานหนัก เสียดายไม่มีตัวแทนเอ็นจีโอ



แฟ้มภาพ
“สดศรี”ชี้ กกต.ชุดใหม่ เจองานหนัก ซ้อมฝีมือด้วยการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ต้องไม่ทำให้ลต.ใหญ่เป็นโมฆะ ถ้าทำไม่สำเร็จเชื่อปชช.จะหมดศรัทธา เสียดายไม่มีตัวแทนเอ็นจีโอ เชื่อ “ประชา”เข้าวิน เป็นผลดี ประสานมท.ได้

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมนางสดศรี สัตยธรรม อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวถึงรายชื่อว่าที่ กกต.ทั้ง 5 คน ที่ได้รับการสรรหาว่า เป็นตามที่กฎหมายกำหนดว่ามาจากหลากหลายอาชีพ เพียงแต่ไม่มีจากเอ็นจีโอ ซึ่งเคยมีทุกกกต.มาแล้ว ส่วนอดีตอธิการบดี 2 คนก็เป็นฝ่ายบริหารมา ก็คงสามารถทำงานแทนเอ็นจีโอได้ เพราะอยู่กับประชาชนในท้องถิ่นมา ก็สามารถทำงานด้านการมีส่วนร่วมได้ ส่วนคนที่มาจาก กทช. ก็เก่งด้านประชาสัมพันธ์ ซึ่งต้องยอมรับว่าท่านเก่ง คิดว่างานกกต.ด้านประชาสัมพันธ์คงไม่มีปัญหา เพราะท่านทำอยู่แล้วอาจจะดีกว่าเดิมก็ได้ ส่วนด้านกฎหมาย ทางศาลฎีกาก็ดูแลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามงานของกกต.ครั้งนี้เกี่ยวกับกระทรวงมหาดไทยโดยตรง คือการเลือกตั้งท้องถิ่น ดังนั้นเมื่อนายประชา เตรัตน์ อดีตรองปลัดมหาดไทย ได้รับการสรรหาเข้ามา ก็เป็นผลดี สามารถประสานกับกระทรวงหมาดไทยได้

นางสดศรี กล่าวต่อว่า ส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและมีองค์กรที่มีอำนาจซ้อนขึ้นมาคือผู้ตรวจการเลือกตั้งแทนกกต.จังหวัด จึงสำคัญว่ากกต.ทั้ง 7ท่านจะสามารถประสานงานกับผู้ตรวจการเลือกตั้งได้ดีหรือไม่ ถือเป็นปัญหาสำคัญ คงไม่ใช่ว่าจะข่มเขาได้เหมือนกกต.จังหวัดที่มีอยู่เดิม สิ่งเหล่านี้จึงอยู่ในมือของกกต.ทั้ง 7 ท่านว่าจะทำได้หรือไม่ และงานแรกที่ กกต.ชุดใหม่ต้องรับผิดชอบคือการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ซึ่งจะหมดวาระลงในปีหน้า คงเป็นการซ้อมฝีมือของท่านว่าทำได้สำเร็จหรือไม่ และการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นมาโรดแมป เดือน พฤษภาคม 61 ก็เป็นงานสำคัญ เพราะการเลือกตั้งเป็นแบบใหม่ ซึ่งจริงๆแล้วยากมาก ทั้งการคิดคำนวณตัวเลข การพิมพ์ บัตร กกต.ชุดนี้ต้องตัดสินใจและสะสางปัญหาต่างๆ

เมื่อถามว่า คิดว่าว่าที่กกต.ชุดใหม่จะทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า คิดว่าท่านคงทำได้ดี เพราะท่านทั้งหลายก็ผ่านประสบการณ์ในเรื่องงานบริหารมาแล้วทั้งมหาวิทยาลัย และในจังหวัด ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากการบริหารงานกกต. ที่สำคัญคือต้องแก้ปัญหาต่างๆให้ได้ ไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างกัน และกับหน่วยงาน เพราะแต่ละคนมาจากหลายหลาก ความเห็นอาจไม่ตรงกัน ก็ยากต่อการทำงาน บางครั้งต้องตัดสินด้วยกฎหมาย ดังนั้นสิ่งที่ต้องศึกษาคือ กฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมือง
“สิ่งที่อยากฝากคือจะต้องพยายามไม่ให้เกิดปัญหา การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องไม่เป็นโมฆะ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อกกต.ชุดใหม่ก็จะหมดไป ซึ่งเป็นงานหนักและเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ”นางสดศรี กล่าว

เมื่อถามว่า มองว่า การสรรหากกต.ครั้งนี้ มีเด็กใครเข้ามาหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า คงไม่ใช่ว่าเป็นเด็กของใคร เพราะกรรมการสรรหาต้องซึ่งมาจากหลากหลายก็ต้องพิจารณาตามคุณสมบัติ ส่วนคนดังๆหลายคน ที่คิดว่าจะได้กลับไม่ได้ เป็นเรื่องที่เชื่อว่ากรรมการสรรหาคงไม่ได้เอาตามกระแสหรือเอาตามว่าคนดังแล้วต้องเลือกไว้ก่อน และคนที่ได้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทหารเลย แม้ทหารสมัครมายังไม่ได้เลย เช่นอดีตหัวหน้าศาลทหารสูงสุด ส่วนที่ว่านายประชามีความใกล้ชิดกับรัฐบาลก็เห็นว่า กกต.ชุดนี้ต้องมีฝ่ายมหาดไทยด้วย ถ้าไม่มีเลยก็ลำบาก ซึ่งนายประชาก็รู้เรื่อง จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม ที่ควรจะได้รับการสรรหาเข้ามา ร่วมทั้งนายประชาก็รู้เรื่องงานทางภาคใต้ จึงคิดว่าการเลือกตั้งทางภาคใต้คงจะดำเนินการได้เรียบร้อย จึงคิดว่างานของกกต.ชุดใหม่ เป็นงานที่ท้าทายมาก คงจะสามารถทำงานสำเร็จ

‘บิ๊กป้อม’ลั่นพร้อมแจงนาฬิกาหรูต่อ’ป.ป.ช.’ ปัดตอบสื่อหวั่นถูกขยายความ-เผยไม่เคยทุจริต

‘บิ๊กป้อม’ลั่นพร้อมแจงนาฬิกาหรูต่อ’ป.ป.ช.’ ปัดตอบสื่อหวั่นถูกขยายความ-เผยไม่เคยทุจริต



เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวก่อนการประชุมคณะกรรมการพิจารณางบบูรณาการ จัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ 2562 ถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การครอบครองนาฬิกาหรู โดยไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ไม่ต้องชี้แจงอะไร เดี๋ยวจะชี้แจงต่อ ป.ป.ช.เอง ยืนยันว่ามีหลักฐานพร้อมที่จะชี้แจง ขอให้สื่อถามเรื่องอื่นจะดีกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า นาฬิกาเรือนดังกล่าวได้มาก่อนเข้ารับตำแหน่งหรือหลังเข้ารับตำแหน่ง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่รู้ ผมไม่ตอบ เพราะผมจะตอบกับทาง ป.ป.ช.เลย ผมไม่รู้จะตอบผู้สื่อข่าวไปทำไม ตอบไปก็จะเอาไปต่อความไปเรื่อยๆ ผมทำงานมาไม่เคยมีเรื่องทุจริต


เมื่อถามว่า จากนี้ต้องระวังตัวมากขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ต้องระวังตัว เพราะไม่เห็นว่ามีอะไร เมื่อถามว่า เสียกำลังใจหรือไม่หลังถูกหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ท้อ ให้ว่ากันไปเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร มีสีหน้ายิ้มหัวเราะอารมณ์ดี โดยพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามในประเด็นดังกล่าว และในช่วงท้าย พล.อ.ประวิตร ระบุว่า หากไม่มีอะไรถามก็ขอไปประชุมก่อน พร้อมทำท่าเบี่ยงตัวเดินออกจากวงสัมภาษณ์ จนผู้สื่อข่าวต้องถามคำถามในประเด็นอื่น ก่อนที่ พล.อ.ประวิตรจะหันหลังกลับมาคำถาม

กลุ่มต้านโรงไฟฟ้าปักหลักชุมนุมทำเนียบ-กลุ่มหนุนโผล่ ไม่รีบสร้าง ไฟไม่พอใช้

กลุ่มต้านโรงไฟฟ้าปักหลักชุมนุมทำเนียบ-กลุ่มหนุนโผล่ ไม่รีบสร้าง ไฟไม่พอใช้


กลุ่มต้านโรงไฟฟ้าลั่นปักหลักชุมนุมทำเนียบรอคำตอบ หลังยื่นหนังสือถึงนายกฯเสนอตั้งคณะทำงานร่างกม.สิ่งแวดล้อม ด้านกลุ่มสนับสนุนยันโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่ร้ายแรง ชี้หากล่าช้าอาจกระทบไฟฟ้าภาคใต้

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นำโดย นายเลิศศักดิ์ คำพงษ์ศักดิ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติ ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมพ.ศ… ฉบับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่คณะรัฐมนตรีส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เป็นร่างกฎหมายที่ไม่ผ่านการจัดทำตามมาตรา 77 และมาตรา 58 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ภาคประชาชนได้มีความพยายามยื่นข้อเสนอผู้ที่เกี่ยวข้องกับร่างกฎหมายแต่ไม่ได้รับการบรรจุในร่างกฎหมาย จึงมีข้อเสนอดังนี้ คือ การดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาและโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่จะต้องมีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อยกร่างกฏหมายใหม่ ที่มีตัวแทนภาครัฐและประชาชนในสัดส่วนที่เท่ากัน รวมถึงหลักการใดๆ จะต้องผ่านการเห็นชอบร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเครือข่ายฯ จะปักหลักชุมนุมค้างคืนที่ริมฟุตบาท หน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อรอคำตอบเป็นเวลา 7 วัน ตามที่ได้ยื่นขอชุมนุมสาธารณะกับ สน.ดุสิต ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่

ด้านพ.ต.อ.จักรกริศน์ โฉสูงเนิน ผู้กำกับสน.ดุสิต กล่าวว่า การขอปักหลักค้างคืนเป็นการยื่นตามสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่การขออนุญาต ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าการปักหลักชุมนุมดังกล่าว จะทำให้เกิดความวุ่นวายหรือไม่ หากมีปัญหา พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะประกาศเป็นเขตห้ามชุมนุมหรือให้ศาลออกคำสั่ง เนื่องจากมีกฏหมายห้ามชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาลในระยะ 50 เมตร

ขณะที่กลุ่มวิชาการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำโดยนายภิญโญ มีชำนะ ยื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จังหวัดสงขลาและเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาให้เดินหน้าต่อไป เพราะหากล่าช้าจะทำให้ไฟฟ้าในภาคใต้ไม่พอใช้จากการยุติสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ และมีหลักฐานทางวิชาการจากการดูงานทั่วโลกนั้น ไม่เคยมีข้อมูลเจ็บป่วยร้ายแรงหรือเสียชีวิตจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาด

เริ่มคึกคัก! กลุ่มกรีน จ่อตั้งพรรคการเมือง แต่รอความชัดเจน ปลดล็อกการเมืองจากคสช.

เริ่มคึกคัก! กลุ่มกรีน จ่อตั้งพรรคการเมือง แต่รอความชัดเจน ปลดล็อกการเมืองจากคสช.


“เลขาฯกลุ่มกรีน”แย้ม อาจรวมกลุ่มคนอุดมการณ์เดียวกัน จัดตั้งพรรคลงแข่งเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ เลขาธิการกลุ่มกรีน กล่าวว่า สถานการณ์ช่วงนี้เกิดความคึกคักทางการเมือง ภายหลัง พ.ร.ป.พรรคการเมืองประกาศใช้ กระแสข่าวบุคคลมีชื่อเสียงทางการเมืองหลายท่านเตรียมจัดตั้งพรรคการเมือง รอแค่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ปลดล็อกคงเห็น พรรคใหม่ๆเกิดขึ้นอีกเพียบ แต่จะเพียบขนาดไหน ตนทายเล่นๆ ว่า น่าจะเกิน 10 พรรคหรืออาจจะทะลุไปถึง 20 ทั้งพรรคตัวจริง และพรรคนอมินี ส่วนช่วงเวลาที่ ท่านผู้นำจะปลดล็อกนั้น ตนมองว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยได้คณะกรรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ชุดใหม่ 7 ท่าน โดยคาดว่า7 เสือกกต.ชุดใหม่จะพร้อมปฏิบัติหน้าที่นับหนึ่งพร้อมกับการรับจดจัดตั้งพรรคการเมืองหน้าใหม่สู่สนามการเลือกตั้งคงเดือนกุมภาพันธ์ 2562

นายจาตุรันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนกกต.ชุดใหม่ที่จะได้รับการคัดเลือกเข้ามาทำหน้าที่ ทั้ง7 ท่าน วันนี้เริ่มเห็นทิศทางรายชื่อผู้ที่ ผ่านหลักเกณฑ์คุณสมบัติจากที่ประชุมศาล 1 ชื่อ เหลืออีก 1ชื่อ และจากคณะกรรมการสรรหา จาก 41 ตอนนี้ได้ 5 รายชื่อเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องขอให้กำลังใจเสียแต่ ณ ตอนนี้ เพราะปีหน้าท่านจะต้องเจอศึกหนัก หนักขนาดที่จะต้องมารับผิดชอบกับการเลือกตั้งทุกระดับ ตั้งแต่ท้องถิ่นยันระดับชาติ อบจ.เทศบาล อบต. ผู้ว่าฯ กทม.พัทยา และ ส.ส.รวมถึง ส.ว.อีก 50 คน ซึ่งถือมีความสำคัญทุกสนามการเลือกตั้งเพราะทุกสนามล้วนเกี่ยวโยงและสามารถชี้ชะตามองเห็นอนาคตการเมืองไทยไปถึงในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งสำคัญของประเทศ ส่วนอีกตำแหน่งสำคัญที่น่าจับตาที่รอ กกต.ใหม่ทั้ง7 ท่านมาเป็นผู้คัดเลือก นั่นก็คือตำแหน่งเลขาธิการ กกต.ซึ่งวันนี้มีเพียงแค่รักษาการเลขาธิการ ซึ่ง เป็นอีก1คนที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า กกต.ทั้ง7 ท่านต้องมีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์พร้อมรับกับภารกิจใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนประชาชนที่อยากสมัครเป็นสมาชิกพรรคไหนก็เตรียมเก็บเงิน 100 บาทจ่ายค่าบำรุงรายปี หรือจะเหมาจ่ายครั้งเดียว 2,000 ได้สิทธิ์สมาชิกตลอดชีพ เลือกเอา ยังมีเวลาให้ได้ไตร่ตรอง

ถ้าคุ้มก็โอเค

ถ้าคุ้มก็โอเค


มหกรรมช็อปช่วยชาติปีที่ 3 ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล คสช. รูดม่านปิดฉากไปตั้งแต่เมื่อวานซืน

สร้างความปลาบปลื้มยินดีปรีดาแก่ห้างสรรพสินค้า และห้างค้าปลีกระดับบิ๊กๆทั่วหน้ากัน

กลุ่มบิ๊กซี ระบุว่า มหกรรมช็อปช่วยชาติทำให้ยอดขายกระเด้งขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์

กลุ่มเดอะมอลล์ ระบุว่า เทศกาลช็อปช่วยชาติ 23 วัน ทำให้ยอดขายโตขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์

กลุ่มเซ็นทรัล บอกว่า ยอดขายเพิ่มขึ้น 10-15 เปอร์เซ็นต์

ส่วน “กลุ่มโรบินสัน” ถ่อมตัวเล็กน้อย บอกว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์

สรุปภาพรวมมหกรรมช็อปช่วยชาติปีล่าสุด มีอัตราความคึกคักไม่แพ้ 2 ปีที่ผ่านมา

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าผลพลอยได้จากมหกรรมช็อปช่วยชาติยังทำให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

แสดงว่านโยบายช็อปช่วยชาติทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้บัตรเครดิตเพิ่ม อีกก้อนโต

ที่น่าสนใจคือ สินค้าเครื่องสำอางและ สินค้าแฟชั่น เป็นสินค้ายอดนิยมที่นักช็อปช่วยชาติกระหน่ำซื้อกันระเบิดเถิดเทิง

แสดงว่าสินค้าขายดีในโครงการช็อปช่วยชาติ...เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย

นโยบายช็อปช่วยชาติเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล จึงสวนทางกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงและนโยบายแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของรัฐบาลเองเต็มเปา

ไม่ได้คัดค้านนะเนี่ย...ฝากข้อสังเกตไว้เท่านั้นเอง

“แม่ลูกจันทร์” ยังไม่ทราบว่ายอดการใช้จ่ายที่ไหลออกจากกระเป๋าชาวบ้านฉลองเทศกาลช็อปช่วยชาติจริงๆจะมากน้อยเท่าใด?

มากกว่า? หรือน้อยกว่า? ปีที่ผ่านมา??

และยังไม่ทราบว่าการกระตุ้นกำลังซื้อรอบนี้จะดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นจริงๆกี่เปอร์เซ็นต์??

เพิ่มขึ้น? หรือลดลง? กว่าปีที่ผ่านมา??

สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินว่าโครงการช็อปช่วยชาติปีนี้จะมีเงินสะพัดราว 1.8 หมื่นล้านบาท และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 0.5 เปอร์เซ็นต์

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่าโอเค

ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาต่อไปคือประโยชน์ที่เกิดจากนโยบายช็อปช่วยชาติของรัฐบาลจะคุ้มกับการที่รัฐบาลต้องสูญรายได้จากภาษีไปถึง 2,000 ล้านบาทหรือไม่??

เพราะผู้ได้ประโยชน์จากนโยบายช็อปช่วยชาติคือกลุ่มมนุษย์เงินเดือน ซึ่งจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีจากรัฐบาล

ประชาชนส่วนใหญ่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ประโยชน์โดยตรง

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่ารัฐบาล คสช.จัดโครงการช็อปช่วยชาติต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี

ปีแรก...2558 รัฐบาลสูญรายได้จากภาษีไป 5,000 ล้านบาท

ปีถัดมา 2559 รัฐบาลสูญรายได้จากภาษีไปอีก 3,200 ล้านบาท

ปีนี้ 2560 รัฐบาลสูญรายได้จากภาษีอีกไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

รวมเบ็ดเสร็จ 3 ปี รัฐบาลสูญเสียรายได้จากภาษี (ที่ควรได้) ไปถึง 1.02 หมื่นล้านบาททีเดียว

เงินรายได้จากภาษีที่รัฐบาลสูญเสียไปกับโครงการช็อปช่วยชาติ 1.02 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่เล็กน้อยนะคุณ

ถ้ารัฐบาลเอาเงิน 1.02 หมื่นล้านบาท ไปลงทุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว

จะได้ประโยชน์อย่างยั่งยืนมากกว่าหลายเท่าตัว

ไม่ได้คัดค้านนะเนี่ย...แค่ฝากให้คิดเท่านั้นเอง.

“แม่ลูกจันทร์”

ระแวงแค่ ‘ทักษิณ’ ไม่พอ

ระแวงแค่ ‘ทักษิณ’ ไม่พอ


ต้องย้ำหัวตะปู ตอกหมุดซ้ำอีกรอบ

ตามปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. เบอร์หนึ่งที่คุมกำลังด้านความมั่นคง ยืนยันชัดถ้อยชัดคำ

สรุปโดยรวมช่วงนี้ยังไม่เหมาะที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองเพราะอาจมีปัญหาอื่นๆตามมา

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่ ผบ.ทบ.ย้ำด้วยว่า อาวุธสงครามที่จับได้ในจังหวัดฉะเชิงเทราไม่มั่ว และนั่นก็สอดรับกับ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.

ที่ยืนยันว่าอาวุธสงครามดังกล่าวมีหลักฐานโยงกับกลุ่มฮาร์ดคอร์ในเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปี 2557
ทหาร ตำรวจ พูดตรงกัน มีเหตุให้ต้องเฝ้าระแวง ยังละสายตาไม่ได้

ไม่ได้เป็นแบบที่ฝ่ายการเมืองพยายามปั่นกระแส ตีปี๊บดักคอ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม อ้างปมอาวุธสงครามที่แปดริ้วเป็นเงื่อนไขในการยื้อเกมปลดล็อกการเมือง

เรื่องของเรื่อง ฝ่ายความมั่นคงขยับไปในทิศทางเดียวกัน แถมงานนี้ยังมีการเปิดชื่อของตัวละครสำคัญอย่างนายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ กับอดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 เครือข่ายสายตรงคนแดนไกล อยู่ในข่ายเกี่ยวข้อง

ตามท้องเรื่องของ คสช. ฝ่ายฮาร์ดคอร์ของทีม “นายใหญ่” ยังซุ่มโป่งรอออกฤทธิ์

ในจังหวะสวนทางกับโหมด “ก้มหลบต่ำ” ตามรูปการณ์ที่ “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร โพสต์ในโซเชียลมีเดียเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด แบะท่าเป็นนัย คนในครอบครัวไม่อยากยุ่งกับการเมืองอีก

ส่งสัญญาณตระกูลชินวัตรกำลังถอยก้าวสำคัญ

พร้อมๆกับอีกด้านหนึ่งนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ก็ปฏิเสธกระแสข่าวทางการอังกฤษได้มอบหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตแก่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

เป็นข่าวที่โผล่ในห้วง “น้องปู” ไร้ความเคลื่อนไหว เพื่อผลในการขอลี้ภัยเมืองผู้ดี

โดยจังหวะสถานการณ์ มันก็มีอะไรที่เป็นเงื่อนไขเกี่ยวโยงเป็นเหตุเป็นผลกันอยู่

นั่นก็ไม่แปลก ถึงตรงนี้ คสช.ยังคุมเชิงยี่ห้อ “ทักษิณ” แบบไม่คลาดสายตา ตามสถานะของ “ขั้วอันตราย” หัวเชื้อไวไฟที่พร้อมกลับมาลุกโชนได้ตลอดเวลา

ยิ่งเป็นอะไรที่สะท้อนภาวะ “ถอยไม่สุด” หลัง “เสี่ยโอ๊ค” แบะท่าตระกูลชินฯ

จ่อวางมือทางการเมือง ก็เป็นทีมงานในพรรคเพื่อไทยที่รีบตีปี๊บชื่อของ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พร้อมรับไม้คุมทัพต่อ ในการดันหลังอดีตนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลงสู้ศึกเลือกตั้ง

ยังกั๊กแผนสองแผนสาม “แฝงเหลี่ยม” กับสิ่งที่สะท้อนท่าทีออกมา

ที่แน่ๆตามเงื่อนไขสถานการณ์มาถึงตรงนี้ มันก็เริ่มส่อเค้า แนวโน้มทิศทางการเลือกตั้งที่ต้องยืดเยื้อออกไปจากกำหนดที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.จะประกาศดีเดย์ในเดือนมิถุนายน 2561 และไปเข้าคูหากาบัตรกันในเดือนพฤศจิกายนปลายปี

ตามรูปการณ์เหมือน “กบปวดท้องเพราะกินข้าวดิบ” วนไป วนมาอยู่ที่ คสช.ไม่ยอมปลดล็อก เพราะการเมืองยังไม่น่าไว้วางใจ และนั่นก็ทำให้พรรคการเมืองเตรียมตัวเลือกตั้งไม่ทันตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ อาจทำให้การเลือกตั้งโมฆะ เพราะ คสช.ไม่ยอมปลดล็อกให้

อย่างไรเสีย ทหาร คสช.ก็ยังกุมดาบความมั่นคงไว้สะกด “นายใหญ่” เป็นเหตุผลหลัก

แต่มันชักมีปัจจัยแทรกเข้ามาเป็นตัวแปรเกมอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แบบที่กลุ่มซึ่งเคยเป็นแนวร่วมของ คสช. ทั้งในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่เล่นบทนักการเมืองอาชีพกระโดดไปร่วมวงกับพรรคเพื่อไทย ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกดดันให้ คสช.ปลดล็อกการเมือง ปล่อยเลือกตั้ง
ขณะที่ฝั่งของกลุ่มมวลชน เครือข่ายม็อบพันธมิตรฯก็อยู่ในอารมณ์ของคนที่โดน “หักหลัง” ร่วมออกแรงโค่นระบอบทักษิณ แต่ไม่ได้รับผลตอบแทนทั้งเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ เลยพลิกกลับมาเป็นโจทก์ของรัฐบาล คสช. ตั้งท่าขวางลำมันทุกช็อต

หรือกับปรากฏการณ์แปร่งๆที่นายบัณฑูร ล่ำซำ เจ้าสัวคนดัง ออกจากมุมข้างเวที เปิดฉากกระแทกรัฐบาลที่ทำให้รวยกระจุกอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่ ไม่ได้กระจายไปถึงปากท้องของชาวบ้านฐานราก
พวกอยากมีส่วนร่วมในเกมอำนาจประเทศไทยเริ่มเขย่า“บิ๊กตู่” แรงๆ

ลำพัง คสช.ระแวงแค่ “ทักษิณ” ไม่พอแล้ว.

ทีมข่าวการเมือง