PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

งบฯใต้



งบฯใต้
"บิ๊กโด่ง" นำทีม "คปต.ส่วนหน้า" ตรวจสอบกลั่นกรอง งบฯ ปี61 กว่า1.3หมื่นล้าน 54หน่วยงาน แก้ใต้ 78 โครงการ 85 กิจกรรม ให้ชัดเจน ประสานสอดคล้องกัน ไม่ซ้ำซ้อน. เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เผย กลาโหม ได้งบฯ 6,115 ล้านบาท ดูแลความปลอดภัยฯ
พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล (ผทพ.)ในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้. 
เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ
ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ 2561
ของคณะ ผทพ. ทั้ง13คน ที่ เซนทารา ศูนย์ราชชการ แจ้งวัฒนะ เพื่อสรุปผลการทำงาน ปี2560 และ อนุมัติแผนการทำงาน ปี2561 และรับทราบ งบประมาณ ปี2561 ของ หน้วยงานต่างๆ54 หน่วย ที่เกี่ยวข้อง รวม 13,255,744,700 บาท ที่ได้รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณ

ทั้งนี้ สํานักงบประมาณ ได้เห็นชอบให้สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะเป็นหน่วยงานเจ้าภาพ และ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง รวมท้ังส้ิน 54 หน่วยงาน ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบูรณาการ การขับเคลื่อนการแก้ไข ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ 2561 วงเงินงบประมาณ จํานวน 13,255,744,700 บําท เพื่อดําเนินการตาม แผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ประกาศใช้บังคับแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา
โดย จําแนกได้ดังน้ี
1. สํานักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานในกํากับ รวม 3,904,908,800 บาท 
2. กระทรวงกลาโหม รวม 2,260,233,900 บาท
3. กระทรวงการต่างประเทศ รวม 33,700,000 บาท 
4. กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา รวม 67,251,700 บาท 
5. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวม 179,382,000 บาท
6. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวม 218,535,800 บาท
7. กระทรวงคมนาคม รวม 353,657,800 บาท 
8. กระทรวงพาณิชย์ รวม 32,108,900 บาท
9. กระทรวงมหาดไทย รวม 1,508,349,800 บาท
10. กระทรวงยุติธรรม รวม 62,812,800 บาท 
11. กระทรวงแรงงาน รวม 17,443,400 บาท 
12. กระทรวงวัฒนธรรม รวม 111,812,100 บาท
13. หน่วยงานในกํากับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวม 23,000,000 บาท
14. กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานในกํากับ รวม 1,799,808,500 บาท
15. กระทรวงสาธารณสุขมรวม 117,106,000 บาท 
16. ส่วนราชการไม่สังกัดกระทรวง หรือทบวง (3 หน่วยงาน) รวม 2,560,496,300 บาท
17. หน่วยงานของศาล (1 หน่วยงาน) รวม 2,663,000 บาท
18. หน่วยงานอิสระของรัฐ (2 หน่วยงาน) รวม 2,473,900 บาท
รวมทั้งสิ้น 54 หน่วยงาน 78 โครงการ 85 กิจกรรม
แบ่งเป็น 7 กลุ่มงาน
กลุ่มภารกิจงานที่ 1 งานรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน -(กระทรวงกลาโหม) = 6,115.0048 ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 2 งานอํานวยความยุติธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระท-(กระทรวงยุติธรรม) = 907.1540 ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 3 งานสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศ/เรื่องสิทธิมนุษยชน-(กระทรวงการต่างประเทศ) = 428.2280 ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 4 งานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม-(กระทรวงศึกษาธิการ) = 2,570.5944 ล้านบําท
กลุ่มภารกิจงานที่ 5 งานพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพชีวิตประชาชน (กระทรวงมหาดไทย) = 2,028.4730 ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 6 งานเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและงานขับเคลื่อนนโยบาย-(สภาความมั่นคงแห่งชาติ)= 1,068.6690ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 7 งานแสวงหาคําคอบจากความขัดแย้งโดยสันติวิธ-(สภาความมั่นคงแห่งชาติ)= 137.6215ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล ต้องการตรวจสอบ -1.รายละเอียดแผนปฏิบัติการของหน่วยงาน ภายใต้แผนงานบูรณาการ เรื่องการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. เพื่อคัดเลือกโครงการ/กิจกรรมที่สําคัญ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ตามกรอบหลักเกณฑ์ที่กําหนด และใช้เป็นเป้าหมาย
ในการกํากับ ติดตาม ดูแล และประเมินผลการดําเนินงาน การแก้ไขปัญหาและะพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
3. เพื่อพิจารณาแนวทางจัดทําข้อเสนอเบื้องต้น (Pre-ceiling) ในการของบประมาณสนับสนุนแผนงานการขับเคลื่อนการแก้ไข
ปัญหา และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ 2562
4. เพื่อสร้างการรับรู้ และความเข้าใจของหน่วยงานเจ้าภาพหลักที่รับผิดชอบของ คปต./สล.คปต. และของ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/คปต.ส่วนหน้า/สํานักงาน คปต.ส่วนหน้า และเชื่อมประสานการปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวง กรม และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 54 หน่วยงาน
การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 3 วันคือในวันที่ 16, 18 และ 19 ตุลาคม 2560 ทุกหน่วยงานที่ทําหน้าที่ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้ร่วมกัน ทบทวน ตรวจสอบ แผนงานโครงการ และ งบประมาณของทุกโครงการ ให้มีความชัดเจน ประสานสอดคล้องกันในทุกมิติ ทั้งในด้านความมั่นคง ด้านการพัฒนา บนพื้นฐาน ของงานสร้างความเข้าใจ มีการตรวจสอบระบบการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดความคุ้มค่า โปร่งใส สนองตอบต่อความต้องกําร ของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นไปตามกรอบนโยบายของรัฐบาล
หลังจากนั้นสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจะได้เสนอ พลเอกประวิตร รองนายกรัฐมนตรี/ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไ้ขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พิจารณาอนุมัติให้นําแผนปฏิบัติการ และข้อเสนอแนะที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ไปขับเคลื่อนการบูรณาการ แผนปฏิบัติการ แก้ไขปัญหา และพัฒนําจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ในปีงบประมาณ 2561 ต่อไป

พอใจผลงาน !! ผทพ.-"ครม.ส่วนหน้า"



พอใจผลงาน !! ผทพ.-"ครม.ส่วนหน้า"
แต่ให้แค่ ปานกลาง งานรักษาความปลอดภัยใต้
"บิ๊กโด่ง" ประชุม เต็มคณะ "13 ครม.ส่วนหน้า" ประเมินผลการทำงาน 1 ปีผ่านมา การทำงาน "คณะผู้แทนพิเศษฯ" หรือ คปต.ส่วนหน้า ยันเป็นที่ พอใจ เพราะช่วยเร่งรัดการดำเนินการในการแก้ปัญหารวดเร็วขึ้น ขอบคุณทุกคน ที่มาทำงานร่วมกัน ถือเป็น "วันที่รอคอย"
....แต่ด้านการรักษาความปลอดภัย ได้คะแนนปานกลาง ชี้ต้องยอมรับ เพราะยังคงเกิดเหตุรุนแรงขึ้น. / กำชับ54หน่วยงาน ที่ได้งบประมาณ ปี2561 รวม 13,255,744,700 บาท ใช้ให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ที่สุด /เปิดตัวเลข งบฯในการดำเนินการ 78 โครงการ 85 กิจกรรม
ก่อนเตรียมทำสรุปผลงาน ปี2560 และแผนงานปี2561 ให้เสร็จ 19ตค. เพื่อนำเสนอต่อนายกฯและ พลเอกประวิตร ที่เป็น ประธาน คปต.
พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล (ผทพ.)ในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้. 
เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ
ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ 2561
ของคณะ ผทพ. ทั้ง13คน ที่ เซนทารา ศูนย์ราชชการ แจ้งวัฒนะ เพื่อสรุปผลการทำงาน ปี2560 และ อนุมัติแผนการทำงาน ปี2561 และรับทราบ งบประมาณ ปี2561 ของ หน้วยงานต่างๆ54 หน่วย ที่เกี่ยวข้อง รวม 13,255,744,700 บาท ที่ได้รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณ

ทั้งนี้ สํานักงบประมาณ ได้เห็นชอบให้สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะเป็นหน่วยงานเจ้าภาพ และ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง รวมท้ังส้ิน 54 หน่วยงาน ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณตํามแผนงานบูรณาการ การขับเคลื่อนการแก้ไข ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ 2561 วงเงินงบประมาณ จํานวน 13,255,744,700 บาท เพื่อดําเนินการตาม แผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ประกาศใช้บังคับแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา
โดย จําแนกได้ดังน้ี
1. สํานักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงํานในกํากับ รวม 3,904,908,800 บาท 
2. กระทรวงกลาโหม รวม 2,260,233,900 บาท
3. กระทรวงการต่างประเทศ รวม 33,700,000 บาท 
4. กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา รวม 67,251,700 บาท 
5. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวม 179,382,000 บาท
6. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวม 218,535,800 บาท
7. กระทรวงคมนาคม รวม 353,657,800 บาท 
8. กระทรวงพาณิชย์ รวม 32,108,900 บาท
9. กระทรวงมหาดไทย รวม 1,508,349,800 บาท
10. กระทรวงยุติธรรม รวม 62,812,800 บาท 
11. กระทรวงแรงงาน รวม 17,443,400 บาท 
12. กระทรวงวัฒนธรรม รวม 111,812,100 บาท
13. หน่วยงานในกํากับกระทรวงวิทยําศาสตร์และเทคโนโลยี รวม 23,000,000 บาท
14. กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานในกํากับ รวม 1,799,808,500 บาท
15. กระทรวงสาธารณสุขมรวม 117,106,000 บาท 
16. ส่วนราชการไม่สังกัดกระทรวง หรือทบวง (3 หน่วยงาน) รวม 2,560,496,300 บาท
17. หน่วยงานของศาล (1 หน่วยงาน) รวม 2,663,000 บาท
18. หน่วยงานอิสระของรัฐ (2 หน่วยงาน) รวม 2,473,900 บาท
รวมทั้งสิ้น 54 หน่วยงาน 78 โครงการ 85 กิจกรรม

แบ่งเป็น 7 กลุ่มงาน
กลุ่มภารกิจงานที่ 1 งานรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน -(กระทรวงกลาโหม) = 6,115.0048 ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 2 งานอํานวยความยุติธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระท-(กระทรวงยุติธรรม) = 907.1540 ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 3 งานสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศ/เรื่องสิทธิมนุษยชน-(กระทรวงการต่างประเทศ) = 428.2280 ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 4 งานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม-(กระทรวงศึกษาธิการ) = 2,570.5944 ล้านบําท
กลุ่มภารกิจงานที่ 5 งานพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพชีวิตประชาชน (กระทรวงมหาดไทย) = 2,028.4730 ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 6 งานเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและงานขับเคลื่อนนโยบาย-(สภาความมั่นคงแห่งชาติ)= 1,068.6690ล้านบาท
กลุ่มภารกิจงานที่ 7 งานแสวงหาคําคอบจากความขัดแย้งโดยสันติวิธ-(สภาความมั่นคงแห่งชาติ)= 137.6215ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล ต้องการตรวจสอบ -1.รายละเอียดแผนปฏิบัติการของหน่วยงาน ภายใต้แผนงานบูรณาการ เรื่องการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. เพื่อคัดเลือกโครงการ/กิจกรรมที่สําคัญ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ตามกรอบหลักเกณฑ์ที่กําหนด และใช้เป็นเป้าหมาย
ในการกํากับ ติดตาม ดูแล และประเมินผลการดําเนินงาน การแก้ไขปัญหาและะพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
3. เพื่อพิจารณาแนวทางจัดทําข้อเสนอเบื้องต้น (Pre-ceiling) ในการของบประมาณสนับสนุนแผนงานการขับเคลื่อนการแก้ไข
ปัญหา และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ 2562
4. เพื่อสร้างการรับรู้ และความเข้าใจของหน่วยงานเจ้าภาพหลักที่รับผิดชอบของ คปต./สล.คปต. และของ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/คปต.ส่วนหน้า/สํานักงาน คปต.ส่วนหน้า และเชื่อมประสานการปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวง กรม และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 54 หน่วยงาน
การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 3 วันคือในวันที่ 16, 18 และ 19 ตุลาคม 2560 ทุกหน่วยงานที่ทําหน้าที่ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้ร่วมกัน ทบทวน ตรวจสอบ แผนงานโครงการ และ งบประมาณของทุกโครงการ ให้มีความชัดเจน ประสานสอดคล้องกันในทุกมิติ ทั้งในด้านความมั่นคง ด้านการพัฒนา บนพื้นฐาน ของงานสร้างความเข้าใจ มีการตรวจสอบระบบการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดความคุ้มค่า โปร่งใส สนองตอบต่อความต้องกําร ของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นไปตามกรอบนโยบายของรัฐบาล
หลังจากนั้นสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจะได้เสนอ พลเอกประวิตร รองนายกรัฐมนตรี/ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแกไ้ขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พิจารณาอนุมัติให้นําแผนปฏิบัติการ และข้อเสนอแนะที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ไปขับเคลื่อนการบูรณาการ แผนปฏิบัติการ แก้ไขปัญหา และพัฒนําจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ในปีงบประมาณ 2561 ต่อไป

'ระเบียบปฏิบัติที่ราษฎร์ควรรู้'

๒๖ ตุลาคม...........
ประชาชนใน ๖ ภาค คือ เหนือ ๙ อีสาน ๒๐ กลาง ๒๑ ตะวันออก ๗ ตะวันตก ๕ ใต้ ๑๔
รวม ๗๗ จังหวัด
คงไม่สามารถเดินทางเข้ามาร่วมถวายพระเพลิงพระบรมศพ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ในกรุงเทพฯ ได้ทั้งหมด
เหตุนั้น
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" จึงพระราชทานพระราชานุญาต
ให้รัฐบาลจัดสร้าง "พระเมรุมาศจำลอง ๘๕ แห่ง" กระจายไปทั่วประเทศ
เพื่อให้คนไทยทุกคน ได้มีส่วนร่วมในการถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระเมรุมาศจำลองนั้น.............
โปรดเกล้าฯ ให้แผนกสถาปนิกในพระองค์ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมศิลปากร ร่วมกันออกแบบก่อสร้างจำลอง
ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยรูปทรงบุษบก ๗ ชั้น องค์พระเมรุมาศตั้งกึ่งกลาง
ขณะนี้ การก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยทุกแห่งแล้ว
สำหรับในกรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนเข้ามาร่วมเป็นแสน จึงจัดเตรียมพระเมรุมาศจำลองไว้ ๙ แห่ง
คือบริเวณ ๔ มุมเมืองชั้นใน
-บริเวณสำนักงานสลากฯ เดิม ถนนราชดำเนิน
-สวนนาคราภิรมย์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าช้าง
-ลานปฐมบรมราชานุสรณ์ รัชกาลที่ ๑ สะพานพุทธ
-ลานคนเมือง เสาชิงช้า
และ ๔ มุมเมืองรอบนอกกรุงเทพฯ
-ทิศเหนือ ที่สนามกีฬาธูปะเตมีย์ ดอนเมือง
-ทิศใต้ ที่ไบเทค บางนา
-ทิศตะวันตก ที่พุทธมณฑล
-ทิศตะวันออก ที่ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
อีกแห่ง จัดสร้างพิเศษสุด..........
คือพระเมรุมาศจำลอง ที่บริเวณ "พระลานพระราชวังดุสิต" ที่เรียกกันว่า "ลานพระบรมรูปทรงม้า" นั่นแหละ
เป็นพระเมรุมาศจำลององค์เดียว ทำจากไม้สักทองทั้งหลัง
ใช้สีแสดงความอาลัย "ขาว-เทา-ดำ" เป็นหลัก
และ "สีเหลืองทอง" ซึ่งเป็นสีแห่งวันพระบรมราชสมภพ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ"
เอาล่ะ............
เมื่อรู้จุด-รู้ที่กันแล้ว ก็ควรศึกษาถึงระเบียบและขั้นตอนถวายพระเพลิงพระบรมศพกันไว้ด้วย
ตามที่ทางการกำหนดและประกาศให้ทราบ จะเป็นประมาณนี้
อย่าแย่ง อย่าฮือ กันเข้าไป เหมือนที่เคยชิน
เบื้องหน้าเราคือ "พ่อ" ในพระบรมโกศ ฉะนั้น ต้องคำนึงถึงมรรยาทความเป็นระเบียบ-เรียบร้อย ไม่ส่งเสียงดัง โหวกเหวกโวยวาย
แต่ละแห่ง............
จะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก จะจัดแบ่งผู้มาถวายพระเพลิงพระบรมศพออกเป็น ๙ แถว แถวละ ๙ คน
ก็คอยดู และเชื่อฟังเขา เรื่องดอกไม้จันทน์ไม่ต้องห่วง เจ้าหน้าที่ประจำซุ้มจะคอยส่งให้เอง
รับดอกไม้จันทน์แล้วก็เดินไปประจำจุดถวาย
ก่อนถวาย ถวายคำนับ ๑ ครั้ง วางดอกไม้จันทน์ที่พาน ถวายคำนับอีก ๑ ครั้ง
จากนั้น เดินแยกออกไปทางซ้ายหรือทางขวา ไม่ต้องประหม่าหรือตื่นเต้นจนเกินไป คอยดูข้างหน้าเขาไว้ก็แล้วกัน
จะผิดพลาดบ้างทางกิริยาตามประสาชาวบ้าน ทุกคนเข้าใจในความบริสุทธิ์แห่งจิต ไม่มีใครคิดเห็นเป็นภัยหรอก
เมื่อรู้ขั้นตอนปฏิบัติแล้ว ก็มาดูว่า เราควรแต่งกายกันอย่างไรในการไปร่วมพิธีวันนั้น
แน่นอน ต้องสุภาพ เรียบร้อย และสีดำ เป็นการไว้ทุกข์
ผู้หญิง สวมเสื้อสีดำเรียบ ไม่มีลวดลาย ไม่รัดรูป ห้ามเป็นเสื้อแขนกุดหรือสายเดี่ยว สวมกระโปรงดำหรือผ้าถุงดำยาวคลุมเข่า
ประเภทกางเกง กระโปรงสั้น เสื้อผ้าแฟชั่น ไม่สุภาพ ต้องงด
ผู้ชาย สวมเสื้อสีดำเรียบ เสื้อเชิ้ต ถ้าเป็นแขนยาว ไม่พับแขนเสื้อ กางเกงดำขายาว รองเท้าสุภาพ หุ้มส้นสีดำ กางเกงยีนส์ ต้องงด
อีกข้อ ที่ทุกคนควรคำนึง ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่
อากาศไม่แน่นอน เตรียมร่มสีดำไปด้วย ห้องน้ำ-ห้องท่า ไม่สะดวก ดังนั้น ถ้ารู้ตัวว่าสุขภาพไม่ดี อย่าฝืน
และคนจะมาก หยูกยาประจำตัว ต้องเตรียมให้พร้อม อาหาร-การกิน รวมทั้งน้ำ จัดเตรียมพอประทังหิว อย่าขนไปชนิดกินกันทั้งตำบล
ถ้ามีลูกเล็ก-เด็กแดงไปด้วย ต้องเขียนชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร. ติดไว้เลย พลัดหลงจะได้ไม่มีปัญหา
รวมทั้งตัวเอง แต่ละคน "บัตรประชาชน" สำคัญมาก ฉะนั้น ต้องพกติดตัวไปด้วย
หลักๆ ก็ประมาณนี้ ใครไม่สนใจก็ไม่เป็นไร ใส่ใจไว้นิดก็แล้วกัน
สรุป วันนี้ไม่ได้คุยอะไรเป็นชิ้น-เป็นอัน เพราะห่วงเหล่าท่านนั่นแหละ
ด้าน "ประชาชน" ก็ทราบกันแล้ว แต่ทาง "ภาครัฐ" ผมก็ไม่ทราบว่าแต่ละจังหวัด ในวันที่ ๒๖ ตุลานั้น
ทางรัฐบาลมีคำสั่งให้ "แต่ละจังหวัด" ปฏิบัติอย่างไรบ้าง?
โดยเฉพาะในพิธี "ถวายพระเพลิงพระบรมศพ"
ก่อนเริ่ม แต่ละจังหวัดได้จัดเตรียมขบวน "แสดงความอาลัย-ถวายพระเกียรติยศ" กันอย่างไรหรือไม่?
ประชาชน นอกจากร่วมวางดอกไม้จันทน์แล้ว จะร่วมขบวน-ร่วมพิธีกันได้อย่างไรหรือไม่?
ผมก็คอยฟัง "พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" ในฐานะ รมว.มหาดไทยอยู่เหมือนกันว่า
ท่านจะมีแนวให้แต่ละจังหวัดปฏิบัติไปในทางเดียวกันอย่างไร?
หรือจะปล่อยให้แต่ละจังหวัดคิดกันเอง จัดกันเอง?
นี่ก็ใกล้วันงานเข้ามาทุกที...........
แต่ดูเหมือนฝนก็ตก "ทุกที-ทุกวัน" เหมือนกัน อยากฝากเตือนให้แต่ละท่านหาวิธีป้องกันฝนล่วงหน้า มิให้ตัวเองต้องเปียกแฉะ ถ้ามีตกช่วงนั้นไว้ด้วย
กูรูด้านฝนบ้านเราก็เยอะจัด เยอะจนเวียนหัว ไม่รู้จะฟัง-จะเชื่อสำนักไหนดี?
กรมอุตุฯ เดี๋ยวนี้ หนักไปทางตามแก้ข่าวลือ
เพราะตามเว็บ ตามโซเชียลมีเดีย เดี๋ยวกูรูนั้น ออกมาชี้ กูรูนี้ ออกมาซ้ำ ว่าวันนี้-วันนั้น ฝนจะซัดหนัก
กรมอุตุฯ ก็ต้องออกมาบอก อย่าไปเชื่อสำนักไหน เชื่ออุตุฯ สำนักเดียว จะไม่เสียวทั้งเมือง!
เสียว-ไม่เสียวไม่รู้แหละ รู้แต่ว่า ตอนนี้ เหนือ-อีสาน-กลาง แฉะทั่วหน้า!
ฝนตกกับประเทศไทย เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติ ในอดีตกาลก็ตกแบบนี้
แต่ตอนนั้นที่ไม่เป็นปัญหา เพราะว่าคนกับธรรมชาติแวดล้อมยังสมดุล
แต่ตอนนี้ ที่มันเป็นปัญหาเกิดขึ้น โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เพราะคนมันเกินดุลธรรมชาติแวดล้อมไปมากแล้ว
ต้องยอมรับความจริง ว่าทุกวันนี้เราสร้างบ้าน-สร้างเมือง "แบบไม่เห็นหัวธรรมชาติ" แปลงทางน้ำเป็นทางรถหมด
แล้วคนก็เอาแต่ก่นโทษกัน!
ในความเป็น "ตัวการ" ร่วมกัน ก็ต้องคิด จะสู้ในเชิงท้าทายโดยไม่เห็นทางชนะต่อไปเรื่อยๆ
หรือจะยอมรับความจริง ว่ามาถึงยุค "น้ำท่วมโลก" แล้ว มนุษย์เราต้องถอย
เอาเงินหน้าตักเป็นแสนๆ ล้านที่จะไปสู้น้ำนั้น ใช้เป็นทุนถอยไปปักหลัก "สร้างสมดุล" ในที่ดอนแห่งใหม่ จะเข้าท่ากว่าไหม?
ถอยหลังไป ๖๐ ปี คนไทยมีแค่ ๒๐ กว่าล้านคน น้อยขนาดนั้น เขายัง "สร้างเมือง" แบบ "ไว้ทางน้ำ"
วันนี้ คนไทยร่วม ๘๐ ล้านคน กลับถมทางน้ำสร้างเมือง อย่างนี้ ไม่ต้องเปลืองเงิน-เปลืองเวลาไปวิจัยหาเหตุน้ำท่วมแล้ว?
ขออาศัยพื้นที่ที่เหลือบอกกล่าวสักนิด...........
๒๑ ตุลานี้ ไทยโพสต์ครบรอบปีที่ ๒๑ ก็ไม่ได้จัดงานอะไร
แต่ทีนี้ ครอบครัว "กิจพานิช" ขอ "ทำดีถวายพ่อ"
นำข้าวไรซ์เบอร์รี ซึ่งปลูกตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ที่นครชัยศรี เก็บเกี่ยวด้วยแรงควาย เสร็จแล้วแพ็กเป็นถุงๆ มามอบให้แจกจ่าย
"คุณวรรณชัย-มาดามเฮง" นำสบู่มาดามเฮง มามอบไว้ให้อีก และยังมีโน่น-นี่อีก
ฉะนั้น ในวันที่ ๒๐ ตุลา ท่านใดมา
โปรดอย่านำอะไรมา
แต่โปรดมารับข้าวไรซ์เบอร์รี สบู่มาดามเฮง หนังสือ "เหนือห้วงมหรรณพ" บทสวดมนต์แบบพับ และโน่น-นี่ เท่าที่มีไปด้วย
พูดถึงครบรอบไทยโพสต์ ก็ต้อง...เฮ้อ!
เฮ้อ เพราะเผลอแป๊บเดียว ผ่านไป ๒๑ ปี เอาบวกกับอายุผมดูซี
ยังจะทู่ "ซี้" ได้อีกซักกี่วัน?

บทเรียน ล้ำค่า จาก ตูน บอดี้สแลม บริหาร จัดการ

บทเรียน ล้ำค่า จาก ตูน บอดี้สแลม บริหาร จัดการ


การออกมาให้ “กำลังใจ” ต่อกิจกรรม “ก้าวคนละก้าว” ของ ตูน บอดี้ สแลม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความจำเป็นและมีความสำคัญ

จำเป็นเพราะการวิ่งของตูน เป็นการช่วยรัฐ

สำคัญเพราะกรณีของตูนได้กลายเป็นประเด็นในทางสังคม และนำไปสู่การเปรียบเทียบระหว่างงบประมาณ “สาธารณสุข” กับงบประมาณ “กลาโหม”

สะเทือนไปถึง “รถถัง” สะเทือนไปถึง “เรือดำน้ำ”

หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รีบออกมาเบรกด้วยการแสดงความเห็นด้วยและให้กำลังใจต่อกิจกรรม “ก้าวคนละก้าว” ของ ตูน บอดี้สแลม

ตูน บอดี้สแลม ก็อาจจะโดดเดี่ยว หมดกำลังใจ

เพราะกระแสที่ออกมา “ต้าน” มิได้เป็นการต้าน ตูน บอดี้สแลม หากแต่ปลายหอกพุ่งเข้าใส่ คสช. พุ่งเข้าใส่รัฐบาล

ในเรื่อง “บริหาร” ในเรื่อง “จัดการ”

น่าสังเกตว่า การวิพากษ์วิจารณ์ต่อกิจกรรมวิ่งมาราธอนจากเบตงถึงแม่สาย ของ ตูน บอดี้สแลม มิได้มาจากนักการเมือง

มิได้มาจาก “กลุ่ม” ในทางการเมือง

คล้ายกับมีความพยายามจะขยายและทำให้เรื่องคัดค้าน ต่อต้านครั้งนี้เป็นของพรรคเพื่อไทย เป็นของ นปช. คนเสื้อแดง

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่ใช่

คนที่ออกโรงเสนอความเห็นต่อ ตูน บอดี้สแลม หากตรวจสอบอย่างละเอียดและตามความเป็นจริง กลับเป็น “นักวิชาการ”

หรือถึงจะเป็นนักวิเคราะห์ ก็มีพื้นฐานมาจาก “นักวิชาการ”

หากเข้าไปสำรวจและศึกษากระบวนการเคลื่อนไหว ก็จะประจักษ์ว่าท่าทีดำเนินไปอย่างมีการจำแนกแยกแยะ

ชมเชยจิตใจ “ตูน” แต่ไม่เห็นด้วยกับ “วิธีการ”

กรณีของ ตูน บอดี้สแลม หากมองผ่านนักการเมือง มองผ่านกลุ่มการเมือง กลับระมัดระวังและประเมินว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ตรงกันข้าม บรรดา “นักวิชาการ” มิได้คิดอย่างนั้น

คนอย่าง ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่ออกมาท้วงติงก็มิได้มีอะไรรังเกียจหรือไม่ชอบ ตูน บอดี้สแลม
เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับ “วิธีการ” เท่านั้น

เขามองว่า กิจกรรมอย่างนี้เป็นแบบ “สังคมสงเคราะห์”

เปรียบเทียบแล้วก็ไม่แตกต่างไปจากการให้ยา “แก้ปวด” ระงับอาการได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่มิได้เป็นการขจัดโรคาพยาธิสภาพอย่างแท้จริง

ยิ่งทำก็ยิ่งทำให้เกิดการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด

กระนั้น ข้อดีเป็นอย่างมากจากกิจกรรมวิ่งทางไกลของ ตูน บอดี้สแลม ก็คือ การจุดประกายให้สังคมสนใจต่อกระบวนการจัดทำ “งบประมาณ” มากยิ่งขึ้น

การวิ่งของตูนอาจ “จบ” ลงในเดือนธันวาคม

แต่ “ความคิด” อันเนื่องจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์จะยังดำรงคงอยู่ไปอีกนานเท่านาน กระทั่งนำไปสู่การชำแหละ “งบประมาณ” อย่างจริงจัง

ไม่ว่าการแสดงออกของ “นักวิชาการ” ที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าการแสดงออกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เกิดขึ้นตามความจำเป็น ตามความเป็นจริง

เมื่อนำความคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาวางเรียงเคียงกับความคิดของ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็จะทำให้เกิดความกระจ่าง

กระจ่างในเรื่อง “บริหาร” งบประมาณ

สู้สุดซอย

สู้สุดซอย

แสบจริงๆยิ่งกว่าทิงเจอร์ต้องยก ให้ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.คนดังคู่แค้นขา ประจำของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.

เพราะ อจ.มีชัย เป็นเจ้าของกฎหมายเซ็ตซีโร่ กกต.ยกเข่ง ทำให้ นายสมชัย ต้องพ้นตำแหน่ง กกต.ทั้งๆที่ไม่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ

โดนฆ่ายกเข่งแบบนี้ นายสมชัย ต้องแค้นฝังหุ่นเป็นธรรมดา

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าผลจากการเซ็ตซีโร่ ทำให้ “นายสมชัย” ต้องติดตามการสรรหา กกต.ชุดใหม่ สุดลิ่มทิ่มประตู

จนตรวจพบหลักฐานว่า หนึ่งในคณะกรรมการสรรหา กกต.ชุดใหม่อาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติ เนื่องจากพ้นจากที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองมาไม่ถึง 10 ปี

นายสมชัย ย้ำว่า ถ้าหากคณะกรรมการสรรหา กกต. (ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธาน สนช.เป็นรองประธาน) ไม่รีบจัดการแก้ปัญหาโดยเร็ว

อาจจะทำให้กระบวนการสรรหา กกต.กลายเป็นโมฆะ

และอาจทำให้ผู้ได้รับการสรรหา เป็น กกต.ชุดใหม่ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ยุ่งเป็นฝอยขัดหม้อน่ะซีโยม

“แม่ลูกจันทร์” มองว่าการที่ นายสมชัย กกต.ชุดเดิม ติดตามตรวจสอบการสรรหา กกต.ใหม่อย่างเข้มข้นถึงลูก ถึงคน...เป็นเรื่องที่ดี

เพราะจะทำให้ คสช. และองค์กรอิสระต่างๆที่ต้องสรรหาองค์กรอิสระและลากตั้ง ส.ว.ชุดใหม่ 250 คน เพิ่มความ ระมัดระวังในการตรวจสอบคุณสมบัติคณะกรรมการสรรหาและผู้สมัครเข้ารับการสรรหาให้ตรงสเปกที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

ใครที่รู้ว่าตัวเองมีคุณสมบัติไม่ครบตามกติกา ก็ไม่ควรมั่วนิ่มไปสมัครลากตั้งให้เกิดปัญหาบานปลาย
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า นายสมชัย ไม่ใช่จ้องตรวจสอบการสรรหา กกต.ใหม่ อย่างเดียว

ยังวิ่งสู้ฟัดไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเซ็ตซีโร่ตัวเอง และ กกต.อีก 4 คน ขัดรัฐธรรมนูญ และขัดหลักนิติธรรม

โดยอ้างเหตุผล 3 ประการคือ

1, กกต.ชุดปัจจุบันทั้ง 5 คน มีคุณสมบัติครบถ้วนและผ่านการสรรหาอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญฉบับเดิม
การออกกฎหมายให้ กกต.ต้องพ้นตำแหน่งกลางคัน เป็นการออกกฎหมายให้โทษย้อนหลัง ขัดต่อหลักนิติธรรม
2, การเซ็ตซีโร่ กกต.ยกเข่ง แต่ไม่เซ็ตซีโร่องค์กรอิสระอื่นๆเป็นการ “เลือกปฏิบัติ” ที่ไม่เป็นธรรม
3, รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้ กกต.ต้องมีความเป็นอิสระ และมีความ เป็นกลางทางการเมือง การให้ สนช.ซึ่ง แต่งตั้งโดย คสช.มีอำนาจแต่งตั้ง กกต.ทำให้ กกต.ขาดความเป็นกลาง และขาดความอิสระ
เป็นการขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ

“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยที่ นาย สมชัย จะสู้ให้สุดซอยจนถึงศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า การเซ็ตซีโร่ กกต.ยกเข่งขัดหลักนิติธรรม “นายสมชัย” ก็ได้คืนความชอบธรรม ได้ดำรงตำแหน่ง กกต.ต่อไปจนครบเทอม

แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าการเซ็ตซีโร่ กกต.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ขัดหลักนิติธรรม

นายสมชัย จะได้กระเด็นตกเก้าอี้ด้วยความสบายใจ

เพราะสู้จนด่านสุดท้ายแล้วแพ้ ยังดีกว่ายอมแพ้โดยไม่สู้เลย.

“แม่ลูกจันทร์”

รอโดนการเมืองเล่น

รอโดนการเมืองเล่น

“ขอบคุณนายกฯที่เป็นห่วงคนจน”

เสียงของหนึ่งในชาวบ้านที่ร่วมคณะอธิบดีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง นำประชาชนที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าพบ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล

เพื่อแสดงการทดสอบการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมีการนำรถเมล์ ขสมก.ที่ได้ติดตั้งเครื่อง “อีทิกเก็ต” มาโชว์การให้บริการกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้นายกฯทดลองด้วยตัวเอง

“ลุงตู่” เป็นพรีเซ็นเตอร์แสดงเอง งานอีเวนต์การตลาดโชว์ของเต็มที่

ในสถานการณ์ที่ “บัตรคนจน” กำลังติดลมบนอยู่ในกระแสการรับรู้ของชาวบ้าน

สะท้อนว่ารัฐบาล “ลุงตู่” ชกได้ตรงเป้า เข้าจุดโฟกัส “คนจน” กระจายเงินถึงมือประชาชนฐานราก
ตามจังหวะที่เจ้าของไอเดียอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ สั่งให้กระทรวงการคลังหาทางเพิ่มยอดเงินต่อเดือนของประชาชนในต่างจังหวัด โดยตัดจากค่ารถเมล์ ขสมก.และรถ บขส.ที่ชาวบ้านไม่ค่อยได้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน มาเพิ่มในส่วนของการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคแทน

เดินแผนยุทธศาสตร์รีบตีเหล็กกำลังร้อน เพิ่มแรงอัดฉีดต่อเนื่อง

รวมถึงเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจัดทำโครงการประชารัฐร่วมใจเพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าวให้กับเกษตรกรชาวนา ฤดูกาลเก็บเกี่ยว 2560/2561 ตามรูปแบบการช่วยเหลือให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายรถเกี่ยวนวดข้าวแก่ชาวนาในภาคอีสาน อัตราไร่ละ 200 บาท รายละไม่เกิน 10 ไร่

ใช้สารพัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

อุ้มคนยากคนจน

แน่นอนไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แต่คะแนนไหลเข้าหน้าตักรัฐบาลเต็มๆ

และตามรูปเกม พล.อ.ประยุทธ์กับนายสมคิดก็รอรับแรงกระแทกหนักๆได้ โดยฟอร์มของนักการเมืองอาชีพทั้งยี่ห้อเพื่อไทยและค่ายประชาธิปัตย์จะต้องดาหน้าออกมาเตะสกัด ตัดขาโครงการบัตรคนจน ดิสเครดิตฝีมือการแก้ปัญหาปากท้องของรัฐบาลไม่ได้ผล

ภายใต้สมมติฐานว่า นี่คือการตุนแต้มทางการเมือง

เป็นเรื่องที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลวางหมาก ปูทางหาเสียงล่วงหน้าให้ “นายกฯลุงตู่”

ดูแล้วนักเลือกตั้งอาชีพไม่ปล่อยให้ตีกินแต้มกันง่ายๆแน่

ยิ่งเป็นอะไรที่สัญญาณชัด หลังจาก “บิ๊กตู่” ประกาศให้ได้ยินกันไปทั่วโลก เดือนมิถุนายนปีหน้า 2561 จะประกาศวันเลือกตั้ง และเข้าคูหากาบัตรกันในเดือนพฤศจิกายนปลายปี

ปี่กลองเชิดฉิ่งโหมโรงแต่หัววัน หลังพระราชพิธีสำคัญ การเมืองน่าจะเข้าสู่โหมดเตรียมเลือกตั้งเต็มรูปแบบ

นั่นหมายถึงแรงเสียดทาน “นายกฯลุงตู่” จะต้องยกระดับขึ้นตามเงื่อนไขสถานการณ์

ไม่ว่าจะเล่นการเมืองหรือไม่ แต่โดนการเมืองเล่นแน่

และตามฉากหนังตัวอย่างโหดๆ ชะตากรรมของคนที่เล่นการเมืองแล้วโดนการเมืองเล่น

กรณีของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุงพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งสะดุดหัวคะมำจากกิจกรรม “แห่ดอกดาวเรือง”

เจอเสียงโห่ฮาเดินแต้มการเมืองไม่ถูกกาลเทศะ

เป็นปรากฏการณ์แรงกระแทกตามสถานะ “ขุนอาสา” รับตำแหน่งแม่ทัพค่ายเพื่อไทย

ช็อตนี้ แม้ “เจ๊หน่อย” ออกมาแถลงขอโทษ ยืนยันว่าไม่มีอะไรแอบแฝง แต่ก็เสียอาการทรงตัวไปเยอะ
นั่นไม่เท่ากับว่า โดยจังหวะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นคนที่ออกมาว้ากใส่เจ้าแม่เมืองหลวงพรรคเพื่อไทย ดุเสียงเขียว ให้ใช้ดุลพินิจมั่ง เหมาะสมหรือไม่ เอาชื่อตัวเองมาหาเสียงทำไม่ได้

มันก็เป็นอะไรที่ชัดเจนตามรูปการณ์หักมุมกับที่มีกระแสวิเคราะห์ความเป็นไปได้ก่อนหน้านี้ว่า “เจ๊หน่อย” ได้รับธงจาก “นายใหญ่” เป็นตัวประสานกับท็อปบูตผ่านทาง “บิ๊กป้อม”

แต่ก็อย่างที่เห็นๆ อาการ “พี่ใหญ่” โซ้ย “เจ๊หน่อย” แบบไม่ไว้หน้า

จบข่าว ปิดฉากกระแสปั่นราคาหุ้นเลย.

ทีมข่าวการเมือง