PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

วันเดียวเสร็จ ไม่มีแก้ไข สนช. ผ่าน ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯ

วันเดียวเสร็จ ไม่มีแก้ไข สนช. ผ่าน ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯ อนุมัติเงิน 150,000,000,000 บาท ให้รัฐบาล คสช.
วันนี้ (22 มีนาคม 2561) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 โดยที่ประชุม สนช. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นกฎหมาย สามวาระรวดภายในวันเดียว ด้วยคะแนน เห็นชอบ 183 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ซึ่งเป็นการอนุมัติงบประมาณจำนวน 150,000,000,000 บาท ให้รัฐบาล คสช. นำไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานล่างและชดใช้เงินคงคลังจากค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลักการของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คือการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 เป็นจำนวนไม่เกิน 150,000,000,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นจำนวนไม่เกิน 100,358,077,000 บาท และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง เป็นจำนวน 49,641,923,000 บาท
สำหรับเหตุผล สมคิด กล่าวว่า เงินจำนวนไม่เกิน 100,358,077,000 บาท รัฐบาลจำเป็นจะต้องนำไปใช้จ่ายเงินในการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วน เพื่อรักษาทิศทางความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างยั่งยืน ส่วนเงินอีกจำนวน 49,641,923,000 บาท จะนำไปชดใช้เงินคงคลังจากค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ
สมคิด เน้นว่าในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ การต้องการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศอย่างมั่นคง ยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยให้การดำเนินงานของรัฐบาลบรรลุผลตามเจตนารมณ์ได้ เพราะจะมุ่งเน้นที่เศรษฐกิจระดับฐานราก ให้สามารถเพิ่งตนเองและแข่งขันได้
สำหรับเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีทั้งหมด 18 มาตรา ซึ่งระบุเกี่ยวกับจำนวนงบประมาณว่าจะนำไปให้หน่วยงานใดจำนวนเท่าไรบ้าง ซึ่งพบว่างบประมาณจำนวนมากสุด ร้อยละ 33.09 ถูกนำไปใช้เพื่อชดใช้เงินคงคลัง รองลงมาร้อยละ 22.68 ถูกนำไปให้กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน เช่น กองทุนหมู่บ้านกับกองทุนประชารัฐ และกระทรวงมหาดไทย ได้งบประมาณมากที่สุดคือร้อยละ 21.25
ขณะที่สมาชิก สนช. ที่ลุกขึ้นอภิปราย ต่างแสดงความเห็นไปในทางที่ชื่นชมขอบคุณรัฐบาล คสช. เช่น วัลลภ ตั้งคณานุรักษ์ กล่าวว่า ตั้งแต่อยู่สภามาสี่สมัยเป็น ส.ว.แต่งตั้ง ส.ว.เลือกตั้ง และสนช. อีกสองสมัย ยังไม่เคยเห็นการใช้งบกลางปีเพื่อชาวบ้านโดยตรงขนาดนี้ ส่วนกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ กล่าวว่า งบประมาณที่ลงไปตรงจุดตรงประเด็น โดยเฉพาะการที่งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกนำไปลงในภาคเกษตรซึ่งจะทำให้ภาคเกษตรเข้มแข็ง แข็งแรง ยั่งยืน
ขณะที่ วิทยา ฉายสุวรรณ กล่าวว่า งบประมาณนี้จะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลจะทำได้ดีแล้วแต่ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐกิจในระดับมหภาค แต่เศรษฐกิจระดับเล็กๆ ยังมีปัญหาจริงๆ เพราะจากที่ สนช. ลงพื้นที่ไปทั่วประเทศในทุกสัปดาห์พบปัญหากว่า 8,000 เรื่อง แต่เราแก้ได้แล้วประมาณ 7,000 เรื่อง ซึ่งที่ยังแก้ไม่ได้เพราะติดปัญหาข้อกฎหมายและการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ดังนั้น ขอชื่นชมโครงการไทยนิยมเข้มแข็ง ซึ่งโครงการนี้กระทรวงมหาดไทยจะได้ทำร่วมกับ สนช.
อย่างไรก็ตาม สนช. แต่ละคนก็มีข้อกังวลร่วมกันว่า อยากให้รัฐบาลหาวิธีจัดการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ หาวิธีไม่ให้งบประมาณรั่วไหล ทำให้งบประมาณถึงฐานล่างจริงๆ สุดท้าย สนช. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 เป็นกฎหมาย โดยใช้เวลาวันเดียวผ่านสามวาระรวด และไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ
...
๐ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯhttp://library.senate.go.th/docum…/mSubject/…/79353_0002.PDF

รัชกาลนี้ต้องไม่มีนะ !!

รัชกาลนี้ต้องไม่มีนะ !!
"วันหน้า อย่าให้เกิดอีกนะ รัชกาลนี้ต้องไม่มีนะ พระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงทอดพระเนตรอยู่ท่านทรงทำไว้เยอะแยะแล้ว รัชกาลนี้ ต้องไม่มีเรื่องที่มันไม่ดี เกิดขึ้นอีก"
“บิ๊กตู่” พูดที่ “หนองบัวลำภู” เตือนชาวบ้าน อย่าให้ใครหลอกไปชุมนุมที่หน้าทำเนียบฯอีก "ร. 10 ทรงทอดพระเนตรอยู่"ลั่นรัชกาลนี้ ต้องไม่มีนะ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับชาวหนองบัวลำภู
ว่า ส่วนตัวและรองนายกรัฐมนตรีที่เดินทางมาด้วยกัน ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มจากทุกคน เพราะทุกคนคือคนไทยไม่ว่าจะอยู่ภาคหรือจังหวัดใด ก็แบ่งแยกไม่ได้ ต้องรักและช่วยกัน ซึ่งส่วนตัวให้ความสำคัญกับจังหวัดหนองบัวลำภู เพราะเป็นจังหวัดที่มีรายได้น้อยที่สุดในประเทศ ดังนั้นต้องยกระดับตนเองร่วมกันกับรัฐบาล โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับจังหวัดที่มีปัญหาควบคู่กับหลายจังหวัด แต่จังหวัดใดลำบากมากก็ต้องดูแลมาก วันนี้ตนเห็นหน้าตาทุกคนแล้วมีความสุข ถึงแม้จะมีรายได้น้อยที่สุดในประเทศก็ยังมีความสุข มีรอยยิ้ม จึงเป็นสิ่งที่ตนต้องทำมากขึ้น ให้สมกับที่ทุกคนมารอรับตนวันนี้ อะไรที่ทำให้พวกเราต้องลำบากและเดือดร้อนที่ผ่านมาตนขอรับเพียงผู้เดียว ทั้งเรื่องการจัดระเบียบต่างๆในการรับตนวันนี้ ก็ต้องขอโทษทุกคนด้วย เพราะต้นเหตุคือตน แต่ตนก็ไม่อยากให้จัดต้อนรับอะไร เพราะทุกคนก็คือประชาชน ไม่ว่าจะนายกฯพอถอดหัวโขนออกก็คือประชาชน และเราไม่ควรหวาดระแวงกัน ทั้งข้าราชการและประชาชน
นายกฯ กล่าวว่า ที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือกฎหมาย ที่ทำให้เกิดความเท่าเทียม เราต้องเคารพกฎหมาย จะไปประท้วงร้องทุกข์ มีกฎหมายทุกตัว ก็ขอให้อยู่ในระเบียบ รัฐบาลนี้รับทุกเรื่อง ที่ผ่านมารับมาแล้วล้านกว่าเรื่อง เฉลี่ยเดือนละ 4-5 พันเรื่อง แก้ไป 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ปัญหาบางอย่างซับซ้อนยังแก้ไม่ได้ เพราะต้องไปแก้กฎหมาย รัฐบาลนี้ทำทั้งหมด ส่งคนไปดูแล เคยมีใครทำไหมแบบนี้ ก่อนหน้านี้ศูนย์ดำรงธรรมเดิมที่เคยมี แต่ไม่เคยทำแบบนี้ ดังนั้นนี่คือช่องทางที่ท่านจะร้องเรียนได้ แต่ก็ขอให้ร้องเรียนแบบมีข้อเท็จจริง บางอย่างอธิบายเข้าใจง่ายแก้จบ
////
@"บิ๊กตู่" ยัน ไทยนิยม ไม่ใช่โครงการหาเสียง ปชต. ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ ไม่ทิ้งส่วนน้อย วอน ปชช. รัชกาลนี้ต้องไม่มีเรื่องไม่ดี แนะ ใครชวนไปประท้วงหน้า ทำเนียบฯ อย่าไป
นายกฯ กล่าวว่า เรามุ่งหวังเป็นธนาคารอาหารโลก แต่ประเทศอื่นเขาก็เตรียมตัวเหมือนกัน อย่าง จีน เวียดนาม ก็ปลูกข้าวในประเทศมากขึ้นแข่งกับเรา ของเรามีข้าวลดน้ำตาล กข43 ที่น่าจะขายได้ดีขึ้นจะได้ขายพวกคนรวย
"ส่วนใหญ่คนรวยจะเป็นโรคเบาหวาน ของเราส่วนใหญ่เป็นโรคอื่น โรคหัวใจโรคอ่อนแรง โรคไม่มีตังค์ ผมก็เป็นนะ ต่อไปนี้นายกฯ ไม่ได้ใช้ตังค์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องการเงิน วันๆ ไม่ได้ไปไหนเลย มานั่งทำงาน พวกเราทุกคนตั้งใจทำงานหมดเลย นายกฯ ก็คอยดูว่าใครไม่ทำ ไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้ารวมมือไปได้แน่นอน รัฐบาลจะเข้ามาดำเนินการด้วยโครงการไทยนิยมยั่งยืน ไม่ใช่โครงการหาเสียงของตน ไม่ใช่ เพราะเราเดินหน้ามาเป็นระยะ วันนี้ลงมาทุกหมู่บ้าน ผ่านการทำงานของคณะกรรมการชุดต่างๆ ผ่านการเฝ้าดูของประชาชน ผ่านความต้องการของทุกคนว่า ส่วนใหญ่ต้องการอะไรก็ทำอันนั้น หลายอย่างเกี่ยวกับอาชีพ การสร้างถนนหนทาง จะแยกงบประมาณออกมาดูว่าส่วนใดจะใช้งบจากไหน กระทรวงมหาดไทยกำลังพิจารณาอยู่ ประชาชนต้องใช้ประโยชน์ อย่าให้ใครเขามาโกง ใครโกงขอให้แจ้งมา อย่างไรก็ตาม การทำประชาคมถ้าส่วนใหญ่เขาต้องการสิ่งนี้ ส่วนน้อยต้องยอมรับ ไม่ใช่ฟ้องว่ามีทุจริต
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องหลักคิดที่ถูกต้อง ประชาธิปไตยไทยควรจะเป็นอย่างไร ควรจะเป็นประชาธิปไตยที่ดูแลทุกคนหรือไม่ ส.ส.ที่มาจากทุกพื้นที่ทุกจังหวัดมาจากหลายพรรคการเมือง ซึ่งเป็นธรรมดามีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายไหนเป็นรัฐบาลเขาก็ลงพื้นที่ของเขา ใครเป็นฝ่ายค้านไม่ค่อยได้ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะได้ตลอดไป ไม่ได้ มันต้องนึกถึงคนอื่นเขาด้วย เพราะฉะนั้น ต้องมีรัฐบาลที่ทำแบบนี้ คือลงมาทุกพื้นที่ทุกจังหวัด จังหวัดไหนลำบากมากต้องดูแลมาก อย่างรัฐบาลนี้ก็ดูแลหนองบัวลำภูเป็นหนองบัวลำภูโมเดล เหมือนกาฬสินธุ์โมเดล
“ประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้ ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ แต่ต้องไม่ทิ้งเสียงส่วนน้อย ใครเป็นรัฐบาลต้องไม่ทิ้งฝ่ายค้านเพราะเขามีประชาชนที่จะต้องดูแลเหมือนกัน รัฐบาลนี้คิดแบบนี้ จะได้มั่นคงเสียที ไม่ต้องไปกลัวใครฝ่ายไหนจะได้ไม่ได้เป็นบุญคุณกันตลอดไป ไม่ได้อะไรขึ้นมาใหม่ ก็ได้เหมือนเดิม วันหน้าน่าจะดีขึ้น” นายกฯ กล่าว
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้กล่าวแซวประชาชนว่า หลายคนวันนี้ง่วงแล้วดูละครมากไปหรือเปล่า ตนก็พูดตลกไปเรื่อย แต่สื่อไม่เคยตลกกับตน แต่ส่วนใหญ่ก็รักนะ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย บัตรสวัสดิการผู้สูงอายุ เรากำลังเป็นสังคมผู้สูงวัย คนอายุเกิน 60 จะมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อง สาธารณสุขเราทำได้ดีพอสมควรอายุยืนมากขึ้น แต่ก็ยังถือเป็นภาระที่สังคมที่ต้องช่วยกันดูแล เพราะเราเป็นสังคมที่ไม่ทิ้งพ่อแม่ และปัญหาวันนี้คือพ่อแม่ก็ยังไม่ทิ้งลูก เพราะลูกยังไม่เข้มแข็ง ไปทำงานสงกรานต์กลับมาเอาเงินแม่ แล้วยังแบกข้าวสารกลับไปอีก นี่คือสังคมไทยมันเป็นอย่างนี้อยู่ วันหน้าเขาต้องเอามา ตนดูอย่างจีนผ่านโทรทัศน์ ลูกไปทำงานในเมือง1ปี ต้องอดมาก เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์เอาไว้รอกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน ซื้อของ เอาเงินไปให้พ่อแม่ อย่างไรก็ตาม รายได้ประชากรในจ.หนองบัวลำภูเฉลี่ย 41,000 บาทต่อคนต่อปี ต่ำที่สุดในประเทศ ถือว่าน้อยเกินไป ต้องมากกว่านี้ รัฐบาลกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีรายได้ที่เพียงพอ
“ทุกคนอยากจะได้เงินกู้ใหม่ แต่เงินกู้เก่ายังไม่ได้ใช้ เขาก็กลัวเรากู้เงินใหม่แล้วไม่ใช้เขาอีก เพราะฉะนั้นก่อนจะกู้เตรียมการให้พร้อม รอเข้มแข็งแล้วเราจะกู้ ทำอย่างที่ผมว่า ไทยนิยมยั่งยืนทำให้ได้ก่อนแล้วกัน กู้เอามาลงทุนอย่าไปทำอย่างอื่นเดี๋ยวก็หมดอีก” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คำถาม 10 ข้อที่ตนถามประชาชนมีคนตอบแล้ว 1.5 ล้านคน ล้วนแต่เป็นคนที่จบการศึกษาชั้น ป.4 ทั้งสิ้น แต่คนที่จบการศึกษาสูงไม่ค่อยมาตอบ ภาคเกษตรเสียส่วนใหญ่ และเข้าใจว่าต้องการประชาธิปไตยอย่างไร ตนต้องการฟังพวกเรามันจะได้ตรงกันเสียทีปรับตรงกลางให้มาเจอกันให้ประโยชน์กลับสู่ประชาชนให้มากที่สุด
“ผมอยากให้ครอบครัวของหนองบัวลำภูเป็นครอบครัวที่อบอุ่น สร้างงานสร้างอาชีพให้ลูกหลานกลับมา ทำการเกษตรที่มีรายได้สูงขึ้น ทำโอท็อปหรืออะไรให้มันดีขึ้น จะได้ไม่ห่างใกล้กันความอบอุ่นมันหายไป” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ทุกประเทศชื่นชมประเทศไทย แต่เขาถามว่าทำไมประเทศไทยวุ่นวานกันนัก ประเทศอื่นเขาส่งคนไปสำรวจจะไปอยู่โลกไหนกันแล้วถ้าโลกนี้อยู่ไม่ได้ เขาเตรียมการแล้ว แต่ประเทศไทยยังเริ่มต้นประชาธิปไตยเปาะแป๊ะๆ อยู่ กี่ปีมาแล้ว ประชาธิปไตยมาจากประชาชนชาวไทย ไม่ใช่ประชาชนกลุ่มนี้ๆ เป็นปวงชนชาวไทยทุกกลุ่มทั้งหมด ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญเขียนไว้ 200 กว่ามาตรา ท้ายสุดต้องไปดูพระราชบัญญัติต่างๆ แต่นี่เอารัฐธรรมนูญมาทะเลาะกันอย่างเดียวไม่ได้ กฎหมายลูกมีเป็นร้อยเป็นพัน
“อย่าให้ใครมาปลุกปั่น ไปประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล อย่าไปเลยเสียเวลาเสียเงินเสียทอง อยู่บ้านนอน มีอะไรส่งศูนย์ดำรงธรรม ผมแก้ให้หมด แก้มากแก้น้อย แก้เร็ว แก้ช้า ก็ว่าไปตามกลไก อย่าไปประท้วง อย่าให้ใครเขาปลุกปั่นอีกเลย ไม่เกิดประโยชน์กับท่านหรอก คนอื่นเขาเดือดร้อนไม่ได้ ต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น” นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายกฯ ได้กล่าวอยู่ได้หันไปถามประชาชนว่า “เคยไปทำเนียบฯ หรือเปล่า ไปประท้วง”
ก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า “ใครเขาชวนอย่าไปอีกเลย ไปแล้วอันตราย"
" วันหน้าอย่าให้เกิดอีกนะ รัชกาลนี้ต้องไม่มีนะ พระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงทอดพระเนตรอยู่ท่านทรงทำไว้เยอะแยะแล้ว รัชกาลนี้ ต้องไม่มีเรื่องที่มันไม่ดี เกิดขึ้นอีก เราต้องทำให้สิ่งดีๆ ร่วมกัน เพื่อลูกหลานในอนาคต เราเดี๋ยวก็แก่ตาย ผม 64 เข้าไปแล้ว
วันนี้ถือว่ามาให้ของขวัญวันเกิดตัวเอง เพราะวันเกิดเมื่อวานนี้ คือการมาเจอพวกเรา ผมต้องการของขวัญจากท่านคือความร่วมมือร่วมใจเท่านั้น ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ใครเคยโกรธเกลียดกันเลิกโกรธเลิกทะเลาะกัน ไม่เกิดประโชน์อะไรเลย หาส่วนดีเขาให้เจอแล้วคบเขาให้ได้ เขาจะได้ดีขึ้น”
นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องทุจริตอย่าให้เกิดขึ้น เราต้องสนใจสิทธิประโยชน์ของตัวเอง ส่วนเรื่องที่กำลังตรวจสอบอยู่ เช่นโครงการเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรณีอื่นๆ ติดคุกหมด รวมถึงโทษทางวินัย อาญา และแพ่ง กฎหมายมีอยู่แล้ว รัฐบาลนี้เข้ามาทำไม่ได้เร็วนัก เพราะต้องให้ความเป็นธรรมไม่ใช้อำนาจพิเศษลงโทษเขา ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

บิ๊กป้อม"แจง EJF คืบหน้า แก้IUU Fishing

"บิ๊กป้อม"แจง EJF คืบหน้า แก้IUU Fishing จดทะเบียนเรือประมงใกล้ครบ ติดตั้งVMS และใช้ UAVบินตรวจ แก้พรก.แรงงานต่างด้าว/ผอ. Environmental Justice Foundation ชื่มชมไทย พยายาม แก้ปัญหาประมงผิดกม. หวังไทยมีบทบาทนำในอาเซียนและทำงานใกล้ชิดกับ EU ในอนาคต

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ต้อนรับ นาย Steve Trent ผู้อำนวยการบริหาร Environmental Justice Foundation : EJF จากสหภาพยุโรป และคณะ ที่ ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อหารือและรับทราบความคืบหน้า การขับเคลื่อนแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย IUU
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์​ โฆษก กห.เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณ EJF ที่สนับสนุนไทยในการทำงานแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎมายมาอย่างต่อเนื่อง และแจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานที่สำคัญด้านต่างๆ เช่น การจัดการ"กองเรือไทย" ซึ่งปัจจุบันได้จดทะเบียนควบคุมเรือประมงทุกลำเกือบสมบูรณ์แล้ว
การเพิ่มประสิทธิภาพระบบติดตามควบคุมVMS และเฝ้าระวังการกระทำผิดในน่านนำ้ ด้วยการเพิ่มบุคลากรและนำอากาศยานไร้คนขับเฝ้าตรวจ UAV
นอกจากนั้น ได้เพิ่มความเข้มบังคับใช้กฎหมายและเร่งความคืบหน้าตัดสินคดีที่เกี่ยวข้อง โดยจัดตั้งคณะทำงานพิเศษ เพื่อพิจารณาคดีภายใต้ศาลอาญา
พร้อมทั้ง ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะล่าสุดของ EJF ในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว เช่น การพัฒนากรอบกฎหมาย ซึ่งอยู่ระหว่างร่างกฏหมาย เพื่อรองรับการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO
และได้ปรับแก้ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว
โดยประกาศให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาจดทะเบียนให้เสร็จสิ้นภายใน 31 มี.ค.61
รวมถึงเร่งรัดกระบวนการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายใน 30 มิ.ย.61
นอกจากนั้น ได้พัฒนาระบบจ่ายค่าแรงประมงผ่านบัญชีธนาคาร โดยบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายเงินเดือนแรงงานผ่านบัญชีธนาคาร ผ่านสัญญาจ้างแล้ว เพื่อให้แรงงานได้รับความเป็นธรรม

ทั้งนี้ จะได้ขับเคลื่อนติดตามการดำเนินงานต่อเรื่องดังกล่าวให้มีความต่อเนื่อง เพื่อรักษาทรัพยาการทางทะเลร่วมกันและพัฒนาการทำประมงของไทยให้ถูกต้องและยั่งยืน
พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะผลักดันบทบาทนำการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย IUU ในกรอบอาเซียน โดยเสนอให้ EJF เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
พลเอกประวิตร ขอความร่วมมือ EJF ในสนับสนุนไทยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ไทยสามารถปลด"ใบเหลือง"ได้โดยเร็ว และสามารถยกระดับความร่วมมือกับ EJF ในการทำงานร่วมกันสู่ภูมิภาคต่อไป
นาย Steve และคณะ EJF ได้กล่าวขอบคุณ รัฐบาลไทย ที่ให้ความสำคัญและเห็นถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย IUU
และกล่าวชื่นชม พล.อ.ประวิตร ที่ริเริ่มและช่วยผลักดันขับเคลื่อนแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาตลอด
โดยเห็นถึงความพยายามและพัฒนาการของการแก้ปัญหาการทำประมงของไทยที่ผ่านมาอย่างมาก แม้จะมีปัญหาบ้าง แต่ในระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อชาวประมงและลูกหลาน ซึ่งจะมีทรัพยากรทางทะเลใช้ร่วมกันอย่างยั่งยืน
พร้อมทั้งย้ำว่า ความพยายามอย่างหนักของไทย จะเป็นตัวอย่างที่นานาชาติสามารถนำไปเป็นแนวทางแก้ปัญหาการทำประมง IUU และอยากเห็นไทยมีบทบาทนำในภูมิภาคอาเซียนและทำงานร่วมกับ EU ในการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย IUU ต่อไป

"ผอ.EJF" พอใจผลการแก้ปัญหาประมงผิดกฏหมาย IUU Fishing ของรัฐบาลไทย

"ผอ.EJF" พอใจผลการแก้ปัญหาประมงผิดกฏหมาย IUU Fishing ของรัฐบาลไทย ชี้มีความคืบหน้ามาก แนะให้เร่งแก้ไขอีกหลายเรื่อง
Mr.Steve Trent ซึ่งเป็น Executive Director,Environmental Justice Foundation ชื่นชม และพอใจ การแก้ปัญหาประมงผิดกฏหมาย ของรัฐบาลไทย ว่า มีความคืบหน้าไปมาก โดยทาง EJF ได้ให้ข้อเสนอแนะต่างๆ ในการแก้ไขปัญหา ในรายละเอียดไปกับ คณะทำงาน เพื่อที่ EU จะได้รับรองมาตรฐาน เรื่องการทำประมง แรงงานประมง และสินค้าจากการประมง ไทย. และเราเห็นความตั้งใจในการแก้ปัญหา และทำให้ การทำประมงถูกต้อง
นาย Steve Trent ได้เข้าพบ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กห. ที่ดูแลการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย ที่กลาโหม
โดยมี พลเอกเทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกลาโหม พลเรือเอกนริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ประสานงาน ร่วมหารือ
โดยมีการหารือรายละเอียดการปฏิรูปที่เกี่ยวกับการใช้สัตยาบันอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือในกระบวนการร่างกฎหมาย และประเด็นการปฏิรูปในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติด้านการสืบสวน ที่เพียงพอสำหรับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย รวมทั้งข้อเสนอแนะอื่นๆ

คสช.ดุขึ้น ??

คสช.ดุขึ้น ??
"บิ๊กป้อม" เตือน "สมชัย"ออกมาเคลื่อนไหว วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่อย่าขัดกม. หลัง บิ๊กตู่ ใช้ ม.44 เด้ง พ้นกกต. ไม่ห่วง จะเป็นการสร้าง ศัตรูเพิ่ม ชี้ บิ๊กตู่ ใช้คำสั่งสำนักนายกฯ สั่งย้าย "ธีธัช สุขสะอาด" ผู้ว่าฯการยาง เพราะแก้ปัญหาไม่สำเร็จ หลังทำงานมานาน ยัน บิ๊กตู่ เด้ง"สมชัย" และ มาย้าย "ธีธัช"ไม่เกี่ยว คสช.ดุขึ้น‬

ก็ยังไม่ได้ผิด อะไรนี่ !!

ก็ยังไม่ได้ผิด อะไรนี่ !!
"บิ๊กป้อม" ย้ำคำเดิม ลาออกหรือไม่ รอ ปปช.ชี้ ยัน ตอนนี้ ก็ยังไม่ได้ผิด อะไรนี่ !! จะลาออกได้ไง ให้ปปช.เขาชี้มาก่อน
พลเอกประวิตร กล่าวถึงกรณีที่ นางทิชา ณ นคร เร่งให้ปปช.สรุปผล และ เรียกร้องให้ ลาออก จากกรณี นาฬิกา ตามที่ประกาศไว้ ว่า อ้าว ก็ ยังไม่ได้ผิด อะไรนี่!! ให้ ปปช.เขาชี้มาก่อน
ส่วนการที่ยังมีการปลุกกระแส เรื่องนาฬิกา ขึ้นมาอยู่ตลอด แม้ว่า จะชี้แจง ปปช.ไปแล้ว ก็ตาม พลเอกประวิตร กล่าวว่า ให้ ปปช.พิจารณา

ภารกิจ เสร็จนา ระวัง โคถึก ไม่กลัว (บูรพา) พยัคฆ์

ภารกิจ เสร็จนา ระวัง โคถึก ไม่กลัว (บูรพา) พยัคฆ์


ประการหนึ่ง ด้วยธรรมชาติของมนุษย์และสังคม คือความแตกต่างหลากหลาย

ไม่มีทางที่จะให้ทุกคนทุกกลุ่มคิดเห็นต้องตรงกันไปหมดได้ทุกเรื่อง

ประการหนึ่ง ด้วยธรรมชาติของอำนาจและผลประโยชน์

ที่แบ่งปันเท่าไหร่ก็ไม่มีทางทำให้เกิดความพอใจเต็มร้อยตามความต้องการได้

ปัญหา “ทัศนคติ” ไม่ลงรอย อันนำมาสู่การปลด-ปรับ-เปลี่ยน-โยกย้าย

ที่ตามมาด้วยความไม่พอใจของฝ่ายผู้ถูกกระทำ

ย่อมมีให้เห็นอยู่เสมอ

แม้ในกรณีล่าสุดหมาดๆ

20มีนาคม

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2561 ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.

เรื่อง ให้กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่

ด้วย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ในกรณีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความเห็นของตนเกี่ยวกับกระบวนการและกำหนดการการเลือกตั้งด้วยถ้อยคำที่ไม่สมควร

ก่อให้เกิดความสับสน เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของ กกต. และการจัดการการเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า นายสมชัยสมัครเข้ารับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต. โดยไม่ได้ลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่ กกต.ก่อน

ซึ่งถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายขัดกันแห่งผลประโยชน์

จึงไม่สมควรให้นายสมชัยปฏิบัติหน้าที่ กกต.ต่อไป เพื่อให้การดำเนินการเรียบร้อย โปร่งใส และเป็นธรรมแก่ผู้สมัครรายอื่นๆ

จึงให้นายสมชัยยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่ กกต.

ตั้งแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับเป็นต้นไป

เรื่องนี้ไม่ใช่มาเล่นๆ

21 มีนาคม

ถ้าเป็นไปตามคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 ปลดนายสมชัยออกจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่า
ในหนังสือก็ได้บอกในรายละเอียดไปหมดแล้ว ตามคำสั่งของหัวหน้า คสช. ให้ไปอ่านในคำสั่งดู
เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบ แม้ว่า กกต.ทำหน้าที่เป็นองค์กรอิสระ

เมื่อวาน (20 มีนาคม) ก็มีการหารือกันในที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

และทุกคนก็มีความเห็นด้วย


ย่อมแปลว่านี่คือ “มติเอกฉันท์”

เอกฉันท์ที่พร้อมจะเสี่ยงรับมือกับการ “ตีโต้” จากนายสมชัย

ซึ่งก็ “ไม่ธรรมดา” ได้

ในวันที่ประกาศแพร่หลาย

นายสมชัยเปิดเผยความรู้สึกว่า ไม่เสียใจต่อคำสั่งที่ออกมา

และรู้ว่าตัวเองสุ่มเสี่ยงมาโดยตลอดกับการที่จะถูก คสช.ปลด เพราะให้สัมภาษณ์ในลักษณะไม่ถูกใจใคร แต่ถือว่าทำตามหน้าที่

อาจมีคนเห็นว่าไปขัดผลประโยชน์จนทนไม่ได้

พร้อมกับยืนยันว่า การให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาอยู่บนพื้นฐานการรักษาผลประโยชน์บ้านเมืองไม่ได้มุ่งเอาใจใคร

และการสมัครเลขาธิการ กกต.เป็นเพราะมีคุณสมบัติที่จะสมัครได้

แต่เชื่อว่า กกต.ชุดปัจจุบันคงไม่กล้าเลือกตนเป็นเลขาธิการ กกต.

เพราะรู้ดีว่าหากตนได้เป็นอาจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อความต้องการของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้

นายสมชัยยังแชร์ข่าวดังกล่าวจาก “ข่าวสด” พร้อมกับโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้เปิดหน้า คสช.”

สําหรับผู้ถูกกระทำบางส่วน

เลือกที่จะอยู่นิ่งเฉย ไม่ตอบโต้กับผู้มีอำนาจเหนือกว่า

เพื่อป้องกันมิให้ปัญหายืดยาวบานปลายออกไป

ไม่ว่าจะกรณีของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานยกร่างรัฐธรรมนูญคนแรก ที่ถูกคว่ำร่าง

แล้วหยอดกลับด้วยประโยคอมตะว่า

“เขาอยากอยู่ยาว”

ก่อนกลับมาร่วมมือทำงานกันต่อไป

หรืออีกหลายๆ รัฐมนตรีที่หลุดจากตำแหน่งภายหลังการปรับ ครม.อย่างน้อย 3 รอบ

รวมไปถึงกลุ่มที่เป็น “พี่เพื่อนน้อง” ทั้งหลาย

แต่มิใช่ผู้ถูกกระทำอย่างนายสมชัยแน่นอน

ภารกิจ “เสร็จนาฆ่าโคถึก”

จะตามมาด้วยภาษิต “โคถึกน้อย ไม่กลัว(บูรพา) พยัคฆ์” หรือไม่

ต้องติดตามกันอย่าได้กะพริบตา

เช็กโปรไฟล์ 5 ผู้ท้าชิง กกต. สายศาลยุติธรรม

เช็กโปรไฟล์ 5 ผู้ท้าชิง กกต. สายศาลยุติธรรม


เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการรับสมัครผู้เข้ารับการเลือกกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สายศาลรอบใหม่ที่ปิดรับสมัครไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปรากฏว่ามีผู้พิพากษา 5 ราย ที่ยื่นใบสมัคร ประกอบด้วย
1.นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นผู้ที่ทางศาลฎีกา เคยลงมติเลือกให้ไปเป็น กกต. แต่ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติลับ ไม่เห็นชอบ ทั้งนี้ นายฉัตรไชย เกิดวันที่ 28 มิถุนายน 2496 อายุ 64 ปี 6 เดือน จบการศึกษา นิติศาสตรบัณฑิตจุฬาลงกรณ์ เเละเนติบัณฑิตไทย ในปีเดียวกันคือ ปี2519 สมรสกับ นางนุจรินทร์ จันทร์พลายศรี ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 เพิ่งดำรงตำเเหน่งคณะกรรมการตุลาการในการลงคะเเนนรอบล่าสุดที่ผ่านมา
นายฉัตรไชย เคยดำรงตำเเหน่งสำคัญ อาทิ ประธานเเผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 ผู้พิพากษาศาลฎีกา กรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ชั้นศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา กรรมการตุลาการ (ก.ต.) ชั้นศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก.ต.ชั้นศาลอุทธรณ์ ปัจจุบันเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
2.นายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา อายุ 63 ปี เป็นผู้ที่ทางศาลฎีกา เคยลงมติเลือกให้ไปเป็น กกต. แต่ถูก สนช. ลงมติลับ ไม่เห็นชอบเช่นเดียวกับนายฉัตรไชย โดยนายปกรณ์เกิดวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2498 อายุ 63 ปี จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำเเหง พ.ศ.2518 เเละปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พ.ศ.2548 เคยดำรงตำเเหน่งสำคัญ อาทิ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 9 รองประธานศาลอุทธรณ์ เเละปัจจุบันเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา ตามประวัติไม่เคยมีบุคคลในครอบครัวมีความเกี่ยวข้องทางการเมือง เเละไม่เคยถูกตั้งกรรมการสอบวินัยในตำเเหน่งผู้พิพากษามาก่อน
3.นายเกษม เกษมปัญญา ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ภาค 1 เกิดวันที่ 8 กรกฎาคม 2495 ปัจจุบันอายุ 66 ปี วุฒิการศึกษา ปริญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2518 ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 2547 เคยดำรงตำเเหน่งสำคัญ อาทิ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา (ชั้นตำแหน่งเทียบเท่ารองประธานศาลฎีกา) ตามประวัติไม่เคยมีบุคคลในครอบครัวมีความเกี่ยวข้องทางการเมือง

โฆษกศาลเเจงข้อกฎหมาย ‘2อดีตว่าที่กกต.สายศาล’ ลงสมัครซ้ำ ตามพรป.กกต.

โฆษกศาลเเจงข้อกฎหมาย ‘2อดีตว่าที่กกต.สายศาล’ ลงสมัครซ้ำ ตามพรป.กกต.



นายสุริยัณห์ หงษ์ วิไล โฆษกศาลยุติธรรม
เมื่อเวลา 14.30น.วันที่ 22มีนาคม นายสุริยัณห์ หงษ์ วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณี นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาศาลฎีกา และนายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่ทางที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เคยลงมติคัดเลือกให้ไปเป็น กกต.มาแล้ว แต่ถูกสนช. ลงมติลับไม่เห็นชอบ จนขั้นตอนกลับไปเปิดรับผู้สมัคร กกต.สายศาลใหม่ ปรากฏว่าทั้งนายฉัตรไชยและนายปกรณ์ ได้กลับมาสมัครเป็นกกต.อีกรอบ ว่า ตาม พรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 มาตรา 12วรรค8 บัญญัติว่า ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใด ให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลใหม่เเทนผู้นั้น เเล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป โดยผู้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาในครั้งนี้จะเข้ารับการสรรหาครั้งใหม่นี้ไม่ได้ วิธีการดำเนินการเพื่อให้ได้มาเรื่องว่าที่ กกต.นั้นจะมีอยู่2ทางคือ การสรรหาเเละการคัดเลือก มาตรา12วรรค8ตรงนี้บัญญัติตรงบทห้ามไว้เเต่เพียงว่า ผู้ที่ได้รับการสรรหารายใดที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบตรงนี้กฎหมายเขียนห้ามไว้อย่างชัดเจนที่จะเข้ารับการสรรหาซ้ำไม่ได้ เเต่ในส่วนที่เป็นการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากฎหมายไม่ได้เขียนห้ามไว้ ผู้สมัครทั้ง2คนจึงสมัครเข้าคัดเลือกในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหากผ่านการคัดเลือกก็ต้องส่งให้วุฒิสภา ปัจจุบัน สนช. ทำหน้าที่นี้ เพื่อให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง กกต. ประกอบด้วยกรรมการ 7 คน โดยจำนวน 5ใน 7 คน จะได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา ประกอบด้วย 1.นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการจะประกอบด้วย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เเละผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ ประธานศาลปกครองสูงสุด บุคคลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่คณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด องค์กรละ 1 คน โดยให้เลขาธิการวุฒิสภาเป็นเลขานุการของคณะกรรมการสรรหา และให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา โดยจะคัดเลือกผู้ได้รับการสรรหาจากบุคคลผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ในสาขาวิชาการต่างๆ ที่ยังประโยชน์แก่การบริหารและจัดการการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ส่วนอีก 2คนที่เหลือจะ คัดเลือก จากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย และเคยตำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษาไม่ต่ำกว่า 5 ปี
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนนี้สาเหตุที่สนช.ลงมติไม่เห็นชอบรอบดังกล่าว เพราะสนช.เกรงว่าจะเกิดปัญหาในเรื่องข้อกฎหมาย เนื่องจากมีข้อทักท้วงว่า การลงมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่เลือกนายฉัตรไชยกับนายปกรณ์ ไม่ใช่การลงมติแบบเปิดเผย จึงอาจเกรงว่าจะเกิดปัญหา หากมีคนยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทำให้สนช.เทเสียง โหวตไม่เห็นชอบทั้ง2คน อย่างไรก็ตาม ในการคัดเลือกกกต.สายศาลรอบนี้ มีการออกระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2561 เพิ่มเติมเป็นฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา

ปล่อยเฮี้ยวเดี๋ยวพัง

ปล่อยเฮี้ยวเดี๋ยวพัง



จุดจบขาเฮี้ยว “ปากพาจน” ของแท้
ชัดๆไม่ต้องแปลความ ตามเหตุผลในประกาศคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ออกจากตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แบบฟ้าผ่า
โทษฐานวิพากษ์วิจารณ์โรดแม็ปเลือกตั้ง ทำสังคมสับสน
โดยเฉพาะในสถานการณ์คาบลูกคาบดอกที่กฎหมายลูก 2 ฉบับคือ ร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.การได้มาซึ่ง ส.ว. อยู่ในจังหวะยึกๆยักๆในการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ท่ามกลางเสียงโห่ นักการเมืองรุมกดดัน คสช.ยื้อเลือกตั้ง
ถึงจังหวะที่ “ลุงตู่” เลยต้องเชือดโชว์ สั่งสอนพวกขาป่วนอำนาจ
แสดงอิทธิฤทธิ์ดาบมาตรา 44 ยังขลัง สั่งสอนพวกที่ชอบ “ลองของ”
ตามปรากฏการณ์สะท้อนให้เห็นเลยว่า ถ้าอะไรที่กระทบต่อยุทธศาสตร์เป้าหมายของรัฐบาล คสช. พล.อ.ประยุทธ์ ไม่รีรอที่จะใช้อำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” จัดการแบบเด็ดขาด
แม้จะอยู่ในบรรยากาศท้ายเทอม กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
จังหวะที่ต้องระมัดระวังกระแสตีกลับพลังอำนาจพิเศษ
เรื่องของเรื่อง โดยความตั้งใจเลย ผู้นำ คสช.น่าจะเชือดโชว์ขาเฮี้ยวอย่างนายสมชัย บ่งบอกเหตุแห่งพฤติกรรมกันชัดๆก็เพื่อกระตุกนักการเมือง ทั้งฟากเพื่อไทยและฝั่งประชาธิปัตย์ รวมถึงป้อมค่าย “อนาคตใหม่” ของพวก “มนุษย์พันธุ์ใหม่” ที่กำลังตั้งไข่ อาศัยมุกป่วนรัฐบาล สนุกกับรายการเบิ้ลบลัฟทหาร
เลี้ยงกระแส กระตุกเรตติ้งกองเชียร์
ทำให้ทีม “ลุงตู่” เสียกระบวน ถูกปมป่วนการเมือง กระแสเลือกตั้งกลบเนื้องานไปหมด
แบบที่เห็นๆคิวล่าสุดที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ประกาศบนเวที “Thailand taking off to new height” ย้ำสถานการณ์ให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้รับรู้
ประเทศไทยพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว
ตามแนวโน้มรัฐบาลกำลังรื้อใหญ่ปัญหาความยากจนที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
ตามแผนปฏิรูป เพื่อก้าวสู่อีกช่วงคือการพลิกโฉมเศรษฐกิจใหม่ด้วยการขับเคลื่อนโครงการต่างๆของรัฐบาล
ถ้าไม่มีอะไรสะดุด เศรษฐกิจไทยกำลังจะก้าวไปสู่จุดที่ไต่เพดานสูงกว่าในอนาคตแน่
มันคือ “ช็อตโชว์” ของทีมงาน “ลุงตู่–สมคิด” ที่สามารถแก้โจทย์เศรษฐกิจยากๆ ลากความมั่นใจของนักลงทุนมาถึงตรงนี้ได้ ถือว่าไม่ใช่ฟอร์มธรรมดาของรัฐบาลทหาร
แต่นั่นก็ไม่สามารถวางหลักประกันให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ในทางยาวๆ
ในเมื่อทุกอย่างมันผูกอยู่กับสถานการณ์การเลือกตั้ง ตามรูปการณ์แบบที่ตัวนายสมคิดเองก็หวั่นอยู่ลึกๆ ปราสาทเรือนแก้วที่สร้างมาจะพังหมด
หวั่นนักการเมืองจะลากกลับไปลงเหววิกฤติแบบเดิม
ตามเค้าลางแค่เริ่มปล่อยสัญญาณเลือกตั้ง เชื้อความขัดแย้งที่แฝงอยู่ก็เริ่มปะทุทันที
สถานการณ์แบบนี้ ถ้าผู้นำ คสช.ไม่รีบกระตุกเบรกแรงเหวี่ยง ชะลอเกมเลือกตั้งร้อนๆ ปล่อยให้ขาเฮี้ยวผสมโรงนักการเมือง ปั่นดีกรีความป่วนวุ่นวาย ทำลายความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล
มันจะทำให้การปฏิรูปที่ “ลุงตู่” ก่อนั่งร้านมา 3 ปีกว่า ส่อต้องเหนื่อยฟรี
เสียแรง เสียเวลา เสียของ
อีกทั้งสถานการณ์มาถึงจุดที่มัวตั้งรับกระแส ก็มีแต่รอโดนน็อก
ตามรูปการณ์แบบที่ “ลุงตู่” ต้องเทกแอ็กชั่นขึงขัง สั่งยกระดับการลุยล้างปมทุจริตคอร์รัปชัน ท่ามกลางกระแสโกงเงินช่วยเหลือคนจน งาบเงินชาวเขา โกงทุนการศึกษา ลามเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศ
แตะตรงไหนก็เจอตรงนั้น
สถานการณ์แบบที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. ออกหน้าช่วยการันตี นายกรัฐมนตรีมีนโยบายเร่งรัดแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้เข้ามาแก้ปัญหา หากพบว่ามีประเด็นเกี่ยวกับการทุจริตต้องเข้าไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรม
ไม่ใช่ว่าปัญหาการทุจริตจะเกิดในรัฐบาลชุดนี้รัฐบาลเดียว แต่ในเมื่อมีการตรวจพบ นายกฯได้สั่งการให้ดำเนินการอย่างจริงจัง ดังนั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดี และคิดว่าสังคมเข้าใจ
หากเราปล่อยปละละเลยหรือกลบเกลื่อน นั่นจะเป็นเรื่องน่าห่วงใย
แค่ไม่ขยับ ยังเท่ากับ “ลุงตู่” ยอมรับสภาพผิดซะเองเลย.
ทีมข่าวการเมือง