PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

การเมือง'ไม่จบ'หลังสงกรานต์

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 13 เมษายน 2557,

นักวิชาการหลายสำนักเห็นตรงกัน การเมืองหลังสงกรานต์ยังไม่ถึงจุดแตกหัก เชื่อไม่มีมวลชนสองฝ่ายปะทะกัน

นายไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงการเมืองช่วงหลังสงกรานต์ที่หลายฝ่ายประเมินจะถึงจุดแตกหัก โดยเฉพาะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สิ้นสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรี จากการสั่งย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่า สถานการณ์การเมืองน่าจะยังยืดเยื้อต่อไป และคงยังไม่ถึงจุดแตกหัก เพราะท่าทีของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ประกาศมุ่งปกป้องประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง หากนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็นนายกฯ ก็น่าจะสนับสนุนรองนายกฯคนอื่นขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่แทนต่อไป

"ผมคิดว่าอาจเกิดแนวทางสละยิ่งลักษณ์เพื่อรักษาพรรคเพื่อไทยและกลไกที่ตนเองมีโอกาสกลับมา คือ มีอำนาจผ่านการเลือกตั้ง เชื่อว่า นปช.และเพื่อไทยคงไม่ปล่อยให้ทหารออกมาประกาศกฎอัยการศึก"

นายไชยันต์ กล่าวอีกว่า แม้ นางสาวยิ่งลักษณ์ จะโดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ แต่รัฐมนตรีบางคนอาจไม่พ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติไปด้วย เพราะรัฐมนตรีเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตอนที่ย้ายนายถวิล ยิ่งถ้าศาลไม่ได้ชี้ประเด็นนี้ จะเอากฎหมายอะไรไปชี้ ครม.ที่จะพ้นไปด้วยควรเป็น ครม.ตอนเกิดเหตุย้ายนายถวิลเท่านั้น

นายไชยันต์ ยังกล่าวด้วยว่า สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะมีการระดมมวลชนออกมาจากทั้งสองฝั่งช่วงหลังสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็น กปปส. หรือ นปช. แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดการปะทะกันของมวลชนสองฝ่าย เพราะ นปช.เองตอนนี้ก็มีปัญหา คือเมื่อยังกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ไม่ได้ ทำให้อนาคตของอดีต ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่นยังไม่ชัดเจน การจะระดมคนหลักแสนหรือหลายแสนต้องพึ่ง ส.ส. แต่เมื่อยังไม่มีแนวโน้มว่าจะมีการเลือกตั้ง นักการเมืองเหล่านั้นย่อมไม่มีผลประโยชน์ร่วม จึงน่าจะไม่ช่วยขนคนจำนวนมากมาชุมนุม

ประสานเสียงไม่มีมวลชนปะทะ

นายสติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการจากสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวกับ NOW TV ช่อง 26 ว่า สถานการณ์การเมืองช่วงหลังสงกรานต์ มีโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงอยู่เหมือนกัน กรณีที่มวลชนที่มีความเห็นต่างทางการเมืองมารวมตัวกันเยอะๆ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และโดยธรรมชาติของสังคมไทย เชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดมวลชนปะทะกันน่าจะน้อย
"สังเกตจากปี 52-53 แกนนำเสื้อแดงยังยอมพามวลชนกลับบ้าน ทั้งๆ ที่สถานการณ์คุกรุ่นกว่านี้ มีการเผชิญหน้ากับทหาร มีควันไฟในกรุงเทพฯ แต่ครั้งนี้ยังไม่เห็น อีกทั้งยังมีความพยายามจัดพื้นที่การชุมนุมของตวัเอง ถือเป็นท่าทีที่แสดงให้เห็นว่าสัญญาณที่ทั้งสองฝ่ายจะนำมวลชนมาเผชิญหน้ากันคงยากพอสมควร
ขณะที่ นายวันวิชิต บุญโปร่ง นักวิชาการจากวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว่วา ความรุนแรงในลักษณะมวลชนสองฝ่ายปะทะกันไม่น่าจะมี แต่น่าจะไปลงที่องค์กรอิสระมากกว่า โดยเฉพาะกับการตัดสินหรือวินิจฉัยแล้วไม่เป็นคุณกับฝ่ายตน

กปปส.ได้ทีเย้ยรัฐถึงทางตันชงใช้ ม.7

นายถาวร เสนเนียม แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กล่าวถึงกรณี นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอทางออกหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพการเป็นนายกฯ โดยใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 เพื่อกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยแนวทางการแก้ปัญหา ว่า ท่าทีของนายชัยเกษม แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ รู้มาโดยตลอดว่ารัฐบาลรักษาการสามารถพ้นสภาพได้ แต่กลับพูดอีกอย่างหนึ่งเหมือนไม่ยอมรับ
"วันนี้รัฐบาลยอมรับรัฐธรรมนูญมาตรา 180 กรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ใช้อำนาจหน้าที่ในการโยกย้ายกลั่นแกล้งข้าราชการประจำเพื่อประโยชน์ของพวกพ้องและเครือญาติ แต่การต่อสู้ในข้อกฎหมาย รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์พยายามตะแบง ดันทุรังให้สัมภาษณ์บิดเบือนเพื่อพยายามที่จะอยู่ต่อเพื่อสืบทอดอำนาจ ซึ่งขณะนี้ถึงทางตัน ไม่มีที่ไปแล้ว"

ชี้ขอพระบรมราชวินิจฉัย "มิบังควร"

"ขอเตือนรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ทั้งคณะว่า ขณะนี้พวกคุณหมดความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อ และหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นางสาวยิ่งลักษณ์พ้นสภาพจากกรณีนี้ (นายถวิล เปลี่ยนศรี) เท่ากับว่ารัฐบาลนี้สิ้นสภาพไปเช่นเดียวกัน และกรณีนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ที่ระบุว่าจะขอให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยนั้น ถือเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่เกี่ยวกัน ถือว่ามิบังควร" นายถาวร กล่าว
เมื่อถามว่านายชัยเกษมระบุว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายกฯสิ้นสภาพ ถือว่าเกินรัฐธรรมนูญ นายถาวร กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 180 และ 182 มุ่งหมายให้สถานภาพการเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว และไม่สามารถรักษาการต่อไปได้ คือ 182(1) (2) (3) (7) (8) ซึ่งย่อมเป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ที่อยู่ระหว่างรักษาการ เช่น ตาย ถูกจำคุกระหว่างรักษาการ หรือถูกชี้มูลว่า ผิด มาตรา 268, 269 ในระหว่างรักษาการ ซึ่งกรณีนี้หากนางสาวยิ่งลักษณ์ถูกชี้มูลว่าผิด สภาพก็สิ้นสุดลงเฉพาะตัว และไม่อาจรักษาการได้ ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะไม่อาจอยู่รักษาการได้ไปด้วยกัน

"ชัยเกษม"แจงม.7ความเห็นส่วนตัว

ด้าน นายชัยเกษม กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นความเห็นส่วนตัวที่ยังไม่ได้มีการหารือร่วมกับรัฐบาล แต่ในฐานะนักกฎหมายมองว่า หากมีคำวินิจฉัยออกมาให้นายกฯพ้นสภาพ ก็ไม่มีทางออกอื่น เพราะรัฐบาลมาจากการโปรดเกล้าฯ การจะได้นายกฯใหม่ก็เป็นไปตามพระบรมราชวินิจฉัย
นายชัยเกษม กล่าวอีกว่า กรณีนี้เห็นว่าเป็นความจำเป็นสอดคล้อง และเข้าเงื่อนไขใช้มาตรา 7 ได้ โดยจะพยายามให้การดำเนินการทุกอย่างเดินหน้าไปภายใต้กรอบของกฎหมาย ซึ่งรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุด ส่วนรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นดุลพินิจของรัฐบาล
"ที่ผ่านมามีความพยายามให้มีนายกฯ มาจากมาตรา 7 โดยไม่มีพื้นฐานที่น่าจะทำได้ แต่ก็ยังต้องการให้มีให้ได้ ทั้งที่เหตุการณ์ปกติ แต่หากเป็นกรณีนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าจะออกทางไหน แต่รัฐธรรมนูญถูกกำหนดให้เป็นกฎหมายสูงสุด เมื่อไม่มีทางแก้ก็ต้องใช้ข้อกฎหมายที่ทำได้" นายชัยเกษม กล่าว
มีรายงานว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมเรียกประชุมหลังสิ้นสุดวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ เพื่อสอบถามนายชัยเกษมและให้ชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับแนวคิดการใช้มาตรา 7

เชื่อใช้มาตรา 7 ป้องกันสุญญากาศ

แหล่งข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ข้อเสนอของนายชัยเกษมนั้น คงเกิดจากประเด็นที่ว่าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกฯต้องพ้นจากตำแหน่ง จะเกิดสุญญากาศทางการเมืองในการบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากโดยหลักของกฎหมายมหาชนกำหนดว่าการบริหารราชการต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน
ส่วนฝ่าย กปปส.ก็ระบุชัดว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกฯ พ้นสภาพ แต่หากนายกฯไม่ยอมจะประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เมื่อถึงวันนั้นเหตุการณ์ก็คงจะวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้นายชัยเกษมจึงจำเป็นต้องหาแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
///////////////////////
นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังวันหยุดยาวสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 21-24 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา (Asian-African Summit ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งงานดังกล่าวจะมีการเชิญผู้นำจากประเทศต่าง ๆ มาร่วมหารือถึงความ ร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ และนายกรัฐมนตรีอาจจะมีการหารือทวิภาคีกับประเทศอื่น ๆ อีกด้วย

จากนั้นในช่วงปลายเดือน เม.ย. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ที่ประเทศมาเลเซีย และร่วมการประชุม สุดยอดความร่วมมือ 3 ฝ่าย คือ อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย ที่ประเทศมาเลเซียต่อทันที โดยประเด็นสำคัญจะมีการหารือถึงความร่วมมือในการซื้อสินค้า ข้าว ยางพารา และสินค้าเกษตรอื่น ๆ

ส่วนการลงพื้นที่ในจังหวัดอื่น ๆ ภายในประเทศนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่มีดำริในเรื่องนี้ แต่ได้ระบุว่า อยากลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเยี่ยมเยือนและติดตามการแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชน คณะทำงานจึงต้องมีการพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมในการลงพื้นที่ ครั้งต่อไป.

ชะตากรรมการเมืองไทยหลังสงกรานต์

13 เม.ย.58 เทศกาลสงกรานต์ ลองมาดูกันว่า ดวงชะตาดวงเมืองของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ของไทยนับจากวันนี้ “อ.กิตติคุณ พลวัน” นักพยากรณ์ชีวิตจากไพ่ยิปซีชื่อดัง ได้วิเคราะห์เจาะลึก ดูดวงเมืองว่าจากนี้สถานการณ์ทางการเมืองของไทย จะร้อนระอุตามอุณหภูมิของโลก หรือจะเย็นฉ่ำใกล้สงบสันติสุขปรองดอง ให้ “แนวหน้าออนไลน์” เผยแพร่ มาลองดูกันครับ
อาจารย์กิตติคุณ บอกว่า ดวงเมืองช่วงเมษาสงกรานต์ จนถึงกลางเดือนพฤษภาคม 58 ปีนี้  ด้วยอิทธิพลของไพ่ปีศาจ (The  Devils) ไพ่อัศวินถือดาบ (Knight  of  Swords) ไพ่ 1 เหรียญ (Ace of  Pentacles ) ไพ่ 9 เหรียญ (Nine of  Pentacles) เหล่านี้ ทำให้ดวงประเทศค่อนข้างจะหวือหวาร้อนแรง การเมืองและสภาวะเหตุการณ์ทั่วไปจะเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝัน ช่วงนี้คลื่นใต้น้ำจะทำทุกวิธีเพื่อที่ป่วนไม่ให้ประเทศเกิดความสงบ  หวังผลทำลายความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล 
หลายจุดในประเทศจะมีการป่วนเมือง  มีการขมขู่ต่างๆนานา แต่ทหารจะออกมาจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อย  จนนานาชาติเกิดความเชื่อมั่นในผู้นำและครม. ระหว่างนี้รัฐบาลจะโชว์ผลงานด้านความมั่นคงได้สุดยอด  นิ่มนวลแต่เด็ดขาดแต่ป่วนเมืองทั้งหลายจะต้องเผ่นกระเจิงกันคนละทิศละทางปัญหาทางใต้แม้จะมีอยู่ แต่มีหนทางสู่ความสงบ  ข้าราชการกังฉินจะถูกกระชากหน้ากากออกมา
เศรษฐกิจจะดีขึ้นมีเม็ดเงินลงทุนจาต่างประเทศเข้ามา คนไทยจะเริ่มเห็นช่องทางทำมาหากิน เงินทองคล่องมือมากกว่าต้นปี นักท่องเที่ยวจะเข้ามาจับจ่ายใช้สอย แหล่งท่องเที่ยวที่เคยเงียบเหงาจะกลับมาคึกคักอีกหนประชาชนกล้าใช้จ่ายสับสอย  ทำให้เงินทองหมุนเวียนในประเทศเดินสะพัด  กิจการจำพวกซื้อมาขายไปได้เงินเข้ามาก้อนโต น้ำมันจะลดราคาอย่างต่อเนื่อง สินค้าที่จำเป็นจะลดราคาลงมา นักธุรกิจใหญ่ที่เอาเปรียบประชาชนจะต้องถูกลดบทบาท เพราะสังคมจะแอนตี้ไม่ยอมรับ คนว่างงานจะมีแนวโน้มลดน้อยลงด้วยนโยบายช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม
ด้านสังคมปัญหาอาชญากรรมจะลดน้อยถอยลง ตำรวจและทหารจะเอาจริงเอาจัง ผู้มีอิทธิพลจะถูกลดบทบาท ทำมาหากินลำบาก ปัญหายาเสพติดจะได้รับการแก้ไข ผู้ค้ายาเสพติดจะถูกปราบอย่างหนัก บ่อนการพนันจะถูกลาย สังคมจะเกิดความสงบเรียบร้อย ปัญหาช่องว่างทางสังคมจะลดน้อยถอยลง
ดวงเมืองช่วงนี้แม้จะร้อนแรง แต่ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดี หมั่นคิดดีทำดี จะช่วยให้ดวงภาพรวมของประเทศดีและหนทางสู่ความรุ่งเรืองจะมีในเร็ววัน

หลังสงกรานต์การเมืองระอุ!! “บิ๊กตู่”ได้เวลาปวดกบาลแน่

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การเมืองเข้าสู่ช่วงพักเบรก หลบให้เทศกาลสงกรานต์ ห้วงเวลาของความสุขของคนไทยปล่อยให้อากาศร้อนอบอ้าวกันไปอย่างเดียวก่อน อะไรที่กำลังกรุ่นๆ อยู่ก่อนหน้าต้องซาไปสักพัก จบโหมดสงกรานต์เมื่อไหร่ค่อยว่ากันต่อไป แต่แนวโน้มหลายสิ่งหลายอย่างชี้ชัดไปว่า มันจะเข้มข้นระดับห้าดาว เพราะพอดิบพอดีกับช่วงปลายโรดแมป ระยะที่ 2 
       
       ตั้งแต่เรื่องรัฐธรรมนูญร่างแรกที่เสร็จสิ้น รอการเจียระไน จาก คสช. จะเข้าสู่วินาทีแห่งการห้ำหั่นกันระหว่างนักการเมือง กับกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ต้องปะทะฝีปาก งัดเหตุผลมาหักล้างกัน ซึ่งไม่มีใครยอมใครแน่ ยิ่งนักการเมืองในปัจจุบันสู้หลังพิงฝาชัวร์ เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงหลายเรื่อง ได้รับผลกระทบไปไม่น้อย โดยเฉพาะบรรดาพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เนื้อแหว่งจากระบบเลือกตั้งเยอรมัน หมดสิทธิ์ผูกขาด เลิกชนะกันอยู่สองพรรคแบบลอยลำ ส่วนพรรคขนาดกลาง พรรคขนาดเล็ก จะไม่ใช่ไม้ประดับในแจกันอีกต่อไป
       
       ระบบเลือกตั้งใหม่จะทำให้พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ยืนอยู่ในพื้นที่จำกัด ไม่มีคำว่า ชนะขาดลอย ทุกคะแนนเสียงของประชาชน จะคละเคล้า หารเฉลี่ยไปให้พรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็กได้ลืมตาอ้าปากในสภา แล้วจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น พรรคใหญ่ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องเกรงอกเกรงใจ จะมองข้ามไปแบบปลาซิว ปลาสร้อย ไม่ได้แล้ว เหตุนี้ทำให้ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ต้องลืมเกลียดขี้หน้ากันชั่วคราวแล้วหันมาจับมือกัน สู้กับกมธ.ยกร่างฯ ของ “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
       
       เดือดพล่านแน่ เพราะกมธ.ยกร่างฯ ก็ไม่ยอมเป็นสมันน้อยให้พวกเสือขย้ำอยู่ฝ่ายเดียว ตามท่าทีของ“ดร.ปื๊ด”หัวหน้าทีมเขียนกติกาประเทศรอบนี้ พลันที่ถูกพาดพิงก็เหวี่ยงกลับ ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่ยำเกรงนักการเมืองเขี้ยวลากดินคนไหน เปิดไฝว้ได้ใจกันไปหลายช็อต อย่างกรณีกำหนดคุณสมบัติ ส.ส. ใส่กันแสกหน้าไม่แคร์คนคุ้นหน้าคุ้นตาคนไหนเลย “พวกเรียนสูงๆ มักชั่ว”
       
       ยิ่งตอนนี้ไม่มีกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นกระบองอาญาสิทธิ์ที่นักการเมืองหวาดผวาก่อนหน้านี้แล้ว การเมืองเหมือนเปิดกว้าง พวกฝีปากจัดจ้านคงลุกมาจัดหนัก จัดเต็ม พูดมากกันเป็นต่อยหอย หลังเก็บกดมานาน ต่อให้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 อยู่ค้ำเอาไว้แทนก็ตาม เพราะในความรู้สึกของนักการเมืองพวกนี้กฎอัยการศึกเหมือนอาวุธหนัก มีกฎเกณฑ์ตายตัว หยวนไม่ได้ ไปท้าทายลองของไม่ดูตาม้าตาเรือ อาจได้ขึ้นศาลทหาร นอนซังเตกันยาว
       
       สำหรับมาตรา 44 แม้เนื้อหาจะไปลอกจากกฎอัยการศึกมา แต่ก็เอามาไม่หมด คัดเอาแค่การปฏิบัติงานบางอย่าง ความเป็นจริงแล้วเบากว่ากันเยอะด้วยซ้ำ 
       
       ที่สำคัญ คำสั่งหัวหน้าคสช. ดังกล่าว ไม่ตายตัว ผ่อนสั้นผ่อนยาวได้ตามอำนาจผู้ใช้ ดังนั้นห้วงเวลาหลังจากนี้ จึงเป็นชั่วโมงแห่งการพิสูจน์ฝีมือของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. อีกครั้ง ว่าประคองสถานการณ์อย่างไร จะกล้าใช้อาญาสิทธิ์ในมืออันใหม่หรือไม่ ในวันที่ไม่มีกฎอัยการศึกแล้ว
       
       ที่ผ่านมา 11 เดือน ที่อยู่กับการเมืองถือว่า “บิ๊กตู่”เองทำได้ดีพอสมควร ดับซ่าพวกนักการเมืองไปได้หลายคน สถานการณ์ที่เกือบจะเขม็งเกลียว ก็ประคองเอาตัวรอดมาได้ แต่เมื่อต้องมาถึงโหมดการเมืองเข้มข้น ต้องเจอกับสิงสาราสัตว์ ที่พร้อมจะออกมาปกป้องผลประโยชน์ตัวเองในวันที่จนตรอก เลยได้วัดกึ๋นรอบสำคัญว่า หัวหน้าคณะรัฐประหาร จะผ่านพ้นสถานการณ์สำคัญของประเทศไปได้อย่างไร จะประคองไปถึงวันเลือกตั้งได้หรือเปล่า 
                    
                 คลื่นใต้น้ำเองก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะนาทีนี้ ดูเหมือนแก๊งนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เริ่มจะตั้งหลักได้แล้ว ค่อยๆขยับให้เห็นตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเกมต่างประเทศ ที่กำลังรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกล็อบบี้ยิสต์ที่ไปเที่ยวว่าจ้างเอาไว้ให้บอนไซ “รัฐบาลประยุทธ์”ทุกครั้งทุกประเด็นที่มีโอกาส โชคยังดีที่รัฐบาลตัดไฟตั้งแต่ต้นลมได้ทันระดับหนึ่ง โดยการยกเลิกกฎอัยการศึก ไม่ให้ล็อบบี้ยิสต์พวกนี้เอาไปขยายปมที่เวทีโลกต่อ
       
       แต่ไม่ใช่ว่า หมดประเด็นกฎอัยการศึกแล้วจะไม่มีช่อง เพราะหลังจากนี้ มันจะเข้าสู่โหมดคาบลูกคาบดอกหลายเรื่อง ประเด็นใหม่ๆ ที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปตีฆ้องร้องป่าว ยังมีเยอะ โดยเฉพาะเรื่องตุลาการ ของหวานประจำที่นักโทษชายทักษิณ ชอบนำไปฟ้องโลก ผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งบังเอิญแบบได้จังหวะ ที่เดือนพฤษภาคมนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวในไส้ จะต้องไปขึ้นศาลเป็นครั้งแรก ประเด็น 2 มาตรฐาน จะถูกพรรคเพื่อไทย นำมาเล่นเพื่อดิสเครดิตฝ่ายอำนาจอีกหนเป็นแน่
       
       แน่นอน เรื่องคดีความของยิ่งลักษณ์ จะส่งผลต่อการทำงานของรัฐบาลชุดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ต้องให้จบในขณะที่ยังมีอำนาจ คงไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อไปถึงรัฐบาลชุดใหม่ เพราะคดีนี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของ “รัฐบาลประยุทธ์”อย่างยิ่งยวด ต้องทำให้จบแบบสะเด็ดน้ำ ไม่อย่างงั้น อาจมีรายการเอาคืนแน่ แต่พอเร่งทำ อาจทำให้ถูกมองว่า ปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐาน คดีไวอย่างจรวด “บิ๊กตู่”คงต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆว่า จะรับมืออย่างไร จะขจัดความเคลือบแคลงสงสัยอย่างไร ให้คดีดูชอบธรรม ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แบบที่ “นักโทษชายแม้ว” ออกไปโหยหวนว่า ถูกรังแก จนชาวโลกคล้อยตาม
       
       เรื่องเศรษฐกิจต้องระวังจะเป็นจุดตาย มาจนถึงบัดนี้ยังเป็นปัญหาโลกแตกที่ไม่รู้จะแก้อย่างไร ปัจจัยภายในประเทศไม่ดี ยังมีปัจจัยภายนอกมาฉุด อย่างดีทำได้แค่ประคองตัวเอง แต่สำหรับประชาชน ไม่รู้จะอดทนอดกลั้นได้นานแค่ไหน เพราะเรื่องปากท้อง ไม่เข้าใครออกใคร ข้าวยากหมากแพงเมื่อไหร่รัฐบาลจะเป็นเป้านิ่งทันทีในสายตาประชาชน จึงเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากเย็นแสนเข็ญ
       
       แล้วประมาณกลางเดือนมิถุนายน อาจะมีคิวแทรกซ้อนมาซ้ำเติมอีก หลังสหรัฐฯ เตรียมประกาศผลการจัดอันดับค้ามนุษย์ ที่ไทยอยู่ในอันดับเทียร์ 3 ซึ่งเลวร้ายที่สุด ผ่านหรือไม่ผ่าน มีผลกับสถานภาพของประเทศโดยตรง หากซวยถูกสหรัฐฯ ซ้ำเติม จะส่งผลต่อเศรษฐกิจแบบบรรลัย การส่งออก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรายได้ประเทศ จะได้รับผลกระทบมากกว่าร้อยละ 20 นาทีนั้นคงวุ่นวายน่าดู
       
       อีกไฮไลต์ ที่สำคัญที่ต้องจับตาคือ ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ที่ “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร จะเกษียณในปลายปี มีข่าวมาตลอดว่า เกิดแรงสั่นสะเทือนว่า สุดท้ายจะเลือกใครระหว่าง “บิ๊กหมู”พล.อ.ธีระชัย นาควานิช ผู้ช่วยผบ.ทบ. สายเลือดบูรพาพยัคฆ์ กับ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. น้องชายในไส้ “บิ๊กตู่”
                             
           เลือก “บิ๊กหมู”ก็โดนกล่าวหาบูรพาพยัคฆ์ กินรวบ ไม่ให้สายอื่น จนเกิดความไม่พอใจ เลือก“บิ๊กติ๊ก” ก็ไม่วายโดนครหา สืบทอดอำนาจให้น้องชายตัวเอง ช่วงโยกย้ายทหารปลายปีสถานการณ์ในกองทัพดุ เดือด ไม่แพ้การเมืองภายนอกเลย 
       

เปิดฉาก ฤดูการเมืองร้อน หลังสงกรานต์ รับศึกนอก-ในโถมใส่ ′รบ.ประยุทธ์′

เปิดฉาก ฤดูการเมืองร้อน หลังสงกรานต์ รับศึกนอก-ในโถมใส่ ′รบ.ประยุทธ์′

วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 21:00:10 น.





เมื่อถึงเดือนเมษายนความร้อนตามฤดูกาลมิได้ปกคลุมแค่ชั้นบรรยากาศ แต่ยังปกคลุมไปถึงการเมืองที่จะเปิดฉากขึ้นในช่วงหลังสงกรานต์

เพราะ "ฤดูการเมืองร้อน" ช่วงเดือน "เมษายน-พฤษภาคม" ในทศวรรษที่ผ่านมา การเมืองมัก "ทะลุจุดเดือด" ในช่วงดังกล่าวแทบทุกปี เป็นเหตุให้ "ผู้มีอำนาจ-ฝ่ายรัฐบาล" ต้องปะทะกับ "ฝ่ายคัดค้าน" บ่มเพาะความขัดแย้งสีเสื้อมาถึงปัจจุบัน

ย้อนไปวันที่ 25 พ.ค. 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ชุมนุมใหญ่ครั้งแรกขับไล่ "รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช" ต่อเนื่อง "รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์"

เดือน เม.ย. 2552 "รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ต้องถูก "ล้อมเมือง" ครั้งแรกของคนเสื้อแดง-กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทำให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง พร้อมส่งกองกำลังทหารเข้ามาเคลียร์พื้นที่กรุงเทพฯในช่วงสงกรานต์

1 ปีถัดมา เม.ย. 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องเจอการต่อต้านของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นครั้งที่ 2 เกิดเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและฝ่ายทหาร มีผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บใน "เหตุการณ์ 10 เม.ย." และกลายเป็นการ "กระชับพื้นที่" เมื่อ 19 พ.ค.

ในยุค "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ฤดูการเมืองช่วง เม.ย.พักรบไป 2 ปี แต่หลังจากรัฐบาลผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนเกิดกลุ่ม กปปส.ขึ้นมา จุดเดือดอุณหภูมิการเมืองเข้มข้นขึ้นใกล้ถึงจุดเดือดในช่วง เม.ย. และ พ.ค. ทั้งฝ่ายรัฐบาลและ กปปส.ต่างระดมกำลังพลวัต กำลังมวลชน กระทั่ง "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผู้บัญชาการทหารบก เข้ายึดอำนาจและกลายเป็นรัฐบาลปัจจุบัน

แม้ในเวลานี้ "รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์" จะไม่เผชิญแรงต่อต้านจากม็อบข้างถนนเหมือนรัฐบาลชุดก่อน ๆ หากยังมีศึกใน ศึกนอก ที่อาจเป็นเชื้อไฟรอคอยอยู่
กรณีแรกหลังจบสงกรานต์ คือ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ จะส่งร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกไปให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซักฟอกข้อดี-ข้อเสียถึง 6 วันติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 20-26 เม.ย.

ตามจ็อบเดสคริปชั่นของ สปช. มีหน้าที่ทั้งเสนอประเด็นปฏิรูปทุกด้านให้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญไปเขียนลงในร่างรัฐธรรมนูญในตอนต้นของการยกร่างรัฐธรรมนูญ และมีหน้าที่เสนอความคิดเห็น และให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญในตอนจบ

แต่เมื่อร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 315 มาตราเผยโฉมออกมา กลับมีเสียงท้วงติงจากนักวิชาการ นักการเมือง รวมถึงคนใน สปช.ก็เห็นต่างมุมมองกับผู้ยกร่างทั้ง 36 คน ไม่ว่าประเด็น "นายกฯคนนอก" ระบบการเลือกตั้งที่ประชาชนยังสับสน

ทำให้การซักฟอกตลอด 6 วันนั้นน่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่า สปช.กับ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญยอมหัก ยอมงอได้มากแค่ไหน เพราะหาก สปช.ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ เท่ากับคว่ำโรดแมปปฏิรูปของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้กระบวนการทั้งหมดต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่

กรณีต่อมาเป็นการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ สนช. ประเด็นที่เผ็ดร้อนที่สุดคือการถอดถอน "บุญทรง เตริยาภิรมย์" อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จากปมทุจริตระบายข้าวแบบจีทูจี ซึ่งจะมีการแถลงเปิดคดีในวันที่ 23 เม.ย. อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ถูก สนช.ลงมติ 190 ต่อ 18 เสียงถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกฯ จากกรณีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวไปก่อนแล้ว จึงลุ้นว่า "บุญทรง" และพวกถูก สนช.ลงมติถอดถอนเช่นเดียวกับอดีตนายกฯหญิงหรือไม่

คดีเรื่องการถอดถอนยังไม่จบแค่ "ยิ่งลักษณ์" กับ "บุญทรง" และพวก เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในคดีถอดถอน 250 อดีต ส.ส.พรรคข้างรัฐบาลเพื่อไทย ที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ซึ่ง ป.ป.ช.เตรียมส่งสำนวนมาให้ สนช.ดำเนินการพิจารณาถอดถอน โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มในช่วงปลายเดือน เม.ย.

อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนที่ตกเป็นจำเลยถอดถอน พยายามจับสัญญาณอนาคตของตนเองว่าจะถูกถอดถอนหรือไม่ โดยต่างมองไปในทางบวกว่า สนช.จะไม่ลงมติถอดถอนอดีต ส.ส.เพราะ สนช.ได้จัดการปลาตัวใหญ่อย่าง "ยิ่งลักษณ์" ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจัดการกับปลาตัวเล็กอีก

ส่วนชะตากรรมของ "ยิ่งลักษณ์" ซึ่งถูก สนช.ถอดถอนออกจากตำแหน่งไปแล้ว เหลือคดีอาญาที่อดีตนายกฯจะต้องไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่ง "ยิ่งลักษณ์" จะต้องไปรายงานตัวต่อหน้าศาลเป็นครั้งแรก ตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2542 ในวันที่ 19 พ.ค. อันจะเป็น "ปมร้อนยิ่งกว่าร้อน" ในช่วงถัดไป

และอีกหนึ่งชะตากรรมของครอบครัวชินวัตร-คู่เขยของตระกูลอย่าง "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" จะต้องเดินขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่ 11 พ.ค.นี้ เช่นเดียวกับน้องสะใภ้ "ยิ่งลักษณ์" ในข้อหาสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่ม พธม.เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551

ยังไม่นับ "แรงกระเพื่อม" ที่มาจากฝ่าย นปช.ที่เริ่มทวงถามความคืบหน้าคดี 99 ศพ จากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่เร่งให้รัฐบาลให้ความชัดเจน รวมถึงการขออนุญาตจัดงานทำบุญให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53 แต่ถูก คสช.ปฏิเสธไม่ให้จัดงานดังกล่าว ถูกนำมาเทียบเคียงการทำบุญครบรอบวันเกิด 2 พรรคการเมืองที่ คสช.ไม่ได้ห้าม ก็จะถูกนำมาขยายผลต่อเนื่องหลังจากนี้

เป็นภาพฤดูกาลการเมืองร้อนหลังช่วงสงกรานต์นี้

เป็นการสาดน้ำ (ร้อน) ปีใหม่ไทยให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้นำรัฐบาลไทยคนปัจจุบัน





(ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ ฉบับ 13-15 เมษายน 2558)

หลังสงกรานต์มีอะไร

หลังสงกรานต์มีอะไร
โดย หมัดเหล็ก 13 เม.ย. 2558 05:01

วันนี้ตรงกับ วันสงกรานต์ ประเพณีปีใหม่ไทย และยังเป็นเดือนที่ระลึกถึง เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ทางการเมือง อีกด้วย ดูเหมือนว่า ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวปีนี้ การเมืองค่อนข้างจะสงบเรียบร้อย มีระเบิดคาร์บอมบ์ที่สมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นการลองของ ม.44 ของท่านผู้นำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือการก่อความไม่สงบ เป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง ที่มักจะรู้ข่าวหลังเกิดเหตุการณ์ทุกที

แต่เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งว่า หลังจากสงกรานต์ไปแล้ว การเมืองจะไม่นิ่ง ทั้งในสภาและนอกสภา วันที่ 17 เม.ย. กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ สปช.พิจารณา 20-26 เม.ย. เป็นหน้าที่ สปช.ที่จะอภิปรายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะตัดจะตอนกันอย่างไรเป็นอีกเรื่อง

ผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วก็อยู่ที่การเสนอความเห็นของ ครม.และ คสช. ตรงนี้แหละสำคัญ ถ้าหลักการสำคัญไม่มีการแก้ไขในขั้นตอนของ สปช. ก็เป็นหน้าที่ของ ครม.และ คสช.ที่จะแก้รัฐธรรมนูญไปสู่จุดหมายปลายทาง

ประมาณ 25 พ.ค. รัฐธรรมนูญจะเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น มิ.ย.-ก.ย.เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ระหว่างนี้ เตรียมออกกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง การเลือกตั้งไว้ก่อน รัฐธรรมนูญคลอดมาเมื่อไหร่ ใช้เวลาไม่ถึงเดือนก็น่าจะ เลือกตั้งได้ตามโรดแม็ปภายในเดือน ต.ค. ปี 2558

นอกจากอยากจะยืดเวลากันเท่านั้น

ในช่วงระหว่างเดือน พ.ค.ถึงเดือน ก.ค.นี่แหละจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ความขัดแย้งที่มาจากประเด็นในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญกับการใช้อำนาจพิเศษของ คสช.จะกลายเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดสุญญากาศอำนาจ คสช.

ความหวาดระแวงต่อ อำนาจพิเศษที่มีอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ที่จะเปิดช่องให้คุณให้โทษกับคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดได้

แม้แต่การนิรโทษกรรม

ไม่ว่าจะเป็นไปตามแนวทาง สร้างความปรองดอง สลายสีเสื้อปัญหาวิกฤติการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ตาม หรือเพื่อการปฏิรูปการเมือง ไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์หรือไม่ก็ตาม

จะเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ

ประกอบกับ เศรษฐกิจที่ถูกสร้างให้เห็นภาพหายนะอยู่รำไร ความล้มเหลวต่อความน่าเชื่อถือของบุคลากรในรัฐบาลจนกระทั่งถึงตัวนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์และคนรอบข้าง

ประกอบด้วยแรงกดดันจากต่างชาติ โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา ที่จะออกมาทั้งมาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ประกอบกับเงื่อนไขภายในบางอย่าง หลังสงกรานต์ไปแล้ว จึงต้องจับตาให้ดี

จากน้ำผึ้งหยดเดียวอาจนำไปสู่เลือดเนื้อคนในชาติ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่.

หมัดเหล็ก
mudlek@hotmail.com

‘ผบ.ทบ.’ชี้ปมการเมือง-ส่วนตัวโยงบึ้มสมุย

‘ผบ.ทบ.’ชี้ปมการเมือง-ส่วนตัวโยงบึ้มสมุย มั่นใจไม่ใช่ปมขยายพื้นก่อเหตุชายแดนใต้ ผบ.ตร.ตั้งปมระเบิด3ประเด็น วรชัยวอนอย่าเพิ่งสรุปฝีมือ'เอ็มเสื้อแดง'

             12เม.ย.58 พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เปิดเผยกรณีเกิดเหตุคาร์บอมบ์ภายในลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สาขาเกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานีว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด คงต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ในการสืบสวน ส่วนจะเป็นการขยายพื้นที่การก่อเหตุขึ้นมาจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่นั้น ตนคิดว่าจากการตรวจสอบรถยนต์และอุปกรณ์ที่ก่อเหตุมีการขโมยมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จาก อ.ยะหา จ.ยะลา และมีการนำข้ามเรือมา โดยได้เบาะแสจากกล้องวงจรปิดและวัตถุพยานอื่นๆ
            แต่ตนมั่นใจว่าวัตถุประสงค์ไม่ใช่การก่อเหตุเพื่อต้องขยายพื้นที่ความรุนแรงมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องอื่นก็ได้ เพราะมีข้อมูลที่พนักงานของห้างสรรพสินค้าที่ถูกจ้างให้ออกงานจำนวนหนึ่งซึ่งอาจไม่พอใจ โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทิ้งประเด็นอะไรไป ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจคงดำเนินการอยู่ ในฝ่ายทหารก็ได้รับประสานและตรวจสอบร่วมกัน เช่นกรณีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเมื่อเย็นวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อหาประเด็นความเชื่อมโยงต่อไป
            เมื่อถามว่า มูลเหตุจูงใจใจในการก่อเหตุดังกล่าวมีกี่ประเด็นและให้น้ำหนักในประเด็นใดมากที่สุด หลังจากมองว่าไม่น่าจะเกิดจากประเด็นเรื่องการขายพื้นที่มาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า  เรื่องการขยายพื้นที่นั้น ตนมองว่า ไม่น่าจะใช่ และมีน้ำหนักน้อยที่สุด แต่เรื่องส่วนตัวก็มีน้ำหนักพอสมควร อาจจะมีประเด็นเรื่องความไม่พอใจในเรื่องของการเมือง ซึ่งมีความเป็นไปได้พอๆ กับเรื่องส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูข้อมูลที่จะเชื่อมโยงต่อไป โดยต้องใช้เวลา
            เมื่อถามว่า มีการประเมินว่าผู้ก่เหตุอาจต้องการลองของมาตรา 44 พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า กลุ่มคนที่อาจไม่เข้าใจ เราก็พยายามทำความเข้าใจ เปิดเวทีในการแสดงความคิดเห็นหลายเวทีให้ บางทีกลุ่มที่พยายามไม่เข้าใจ อาจไม่พอใจก็ได้ในส่วนที่เราดำเนินการดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในภาพรวม บางคนก็แปลกที่พยายามจะไม่เข้าใจ ซึ่งก็เป็นไปได้ โดยเราก็ไม่ได้ทิ้งประเด็นต่างๆ เหล่านี้ พวกเราก็พยายามดูแลให้ดีที่สุด
            ทั้งนี้ประชาชนอย่าได้ตกใจ ได้สั่งการในส่วนของทหาร ที่ดูแลความปลอดภัยร่วมกับตำรวจในพื้นที่ต่างๆ ที่จัดกิจกรรมช่วงวันสงกรานต์ รวมถึงพื้นที่ท่องเที่ยว ก็ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ประชาชนเองเห็นความผิดปกติก็ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราพยายามอย่างยิ่งที่ดูแลพื้นที่ ส่วนมาตรการในการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ได้มีการสั่งการไปแล้วตั้งแต่ช่วงก่อนหยุดยาว แต่ผู้ที่จ้องก่อเหตุอาจใช้จังหวะที่เจ้าหน้าที่ดูแลไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ในช่วงตลอด 24 ชม.จึงก่อเหตุขึ้น ก็ต้องควบคุมและเพิ่มความเข้มงวดแน่นอน โดยเฉพาะกล้องวรจรปิดในส่วนเอกชนห้างร้าน ก็ขอให้ช่วยกันดูแลในเรื่องการใช้งานให้ได้ตลอด ถือเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามผู้ก่อเหตุ
 
ผบ.ตร.ตั้งปมระเบิด3ประเด็น
            โรงพยาบาลตำรวจ (รพ.ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่สืบสวนชุดปฎิบัติการทุกชุดที่อยู่ในพื้นที่ ได้ร่วมกันทำงานอย่างเข้มข้น เพื่อที่จะนำไปสู่การจับกุมคนร้ายให้ได้ เท่าที่ตนได้รับรายงานมามีความคืบหน้าทางพยานหลักฐานไปมากพอสมควร ทั้งนี้ก็ต้องให้เวลากับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน เพราะว่าจะต้องมีการสอบสวนปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องผู้ที่อยู่ในขอบข่ายหรือข่ายที่จะต้องให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนพยานหลักฐานต่างๆจะเก็บทั้งพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ หลักฐานที่อยู่ในแวดล้อมและสามารถนำมาประกอบกับสำนวนการสอบสวนเพื่อนำไปสู่การออกหมายจับผู้ที่ต้องสงสัยต่อไป
            ผู้สื่อข่าวถามว่า วานนี้ (11 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ทหารจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยมาได้ 1 คน ตรงนี้ได้รับรายงานหรือยังว่าการสอบสวนเป็นยังไงบ้าง พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ทหาร ทหารมีอำนาจตามกฎหมาย ส่วนการสอบสวนอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายทหาร เมื่อยังไม่มีการส่งตัวมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ยังไม่ได้ทราบข้อมูลตรงนั้น ต้องรอให้ทางฝ่ายทหารส่งตัวให้ตำรวจก่อน เมื่อมีการสอบสวนถึงจะทราบว่ามีความเกี่ยวข้องประการใด แต่ถ้าทางฝ่ายทหารได้ดำเนินการสอบสวนและสอบปากคำไปแล้วมีประโยชน์หรือมีความเกี่ยวข้องกับทางคดี ทางเจ้าหน้าที่ทหารก็คงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทราบในภายหลัง โดยขณะนี้ยังไม่มีการส่งตัว
            เมื่อถามว่า ประเด็นตอนนี้มีการสืบสวนทิศทางใดบ้าง ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนตั้งไว้ 3 ประเด็น 1.การเมือง 2.ความขัดแย้งทางด้านธุรกิจหรือเป็นเรื่องส่วนตัว และ 3.เรื่องสืบเนื่องหรือเกี่ยวโยงกับ 3 จังหวัดชายแดนใต้หรือไม่ ทั้ง 3 ประเด็นนี้ยังไม่ได้ถูกตัดไปแม้แต่ประเด็นเดียว ยังคงยึดหลักหรือยึด 3 ประเด็นนี้เป็นแนวทางการสืบสวนสอบสวน
            เมื่อถามว่า มีแนวโน้มไปในทิศทางไหน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ เพราะว่าต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและก็คำให้การหรือสิ่งที่ได้จากที่เกิดเหตุ
            เมื่อถามว่า ผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ทหารจับไป มีการโพสเฟสบุ๊คเหมือนจะมีส่วนรู้เห็นกับระเบิดที่ จ.สุราษฎร์ธานี ผบ.ตร. กล่าวว่า อันนี้ต้องรอการสอบสวน ยังด่วนสรุปตอนนี้ไม่ได้
            เมื่อถามว่า มีการควบคุมตัวไว้ 7 วัน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ก็ต้องแล้วแต่ทางเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะทหารมีอำนาจที่จะใช้ตรงนั้นได้
            เมื่อถามว่าการสอบสวนเป็นระหว่างทหารกับตำรวจร่วมกัน ผบ.ตร.กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ต้องสงสัยหรือคนที่ควบคุมอยู่ในอำนาจการควบคุมตัวของทหารก็ยังไม่ถึงมือตำรวจ เป็นเรื่องของทางฝ่ายทหารที่จะต้องดำเนินการ
            เมื่อถามว่า ทหารแจ้งหรือไม่ว่าตอนนี้ควบคุมไว้แล้วกี่คน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการแจ้ง ส่วนคนที่ถูกควบคุมตัว ตรงนี้ยังไม่ได้รับแจ้งเหมือนกัน ก็ทราบจากข่าวหนังสือพิมพ์ ทีวี
ด้            าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากการควบคุมตัวนายนรินทร์ อ่ำหนองบัว หรือ เอ็มเสื้อแดง โดยเจ้าหน้าที่มีการสืบสวนสอบสวน ผู้ต้องสงสัยยังให้การปฎิเสธ และได้มีการปิดเฟสบุ๊คไปนานแล้ว และไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำเฟสบุ๊คอันนี้ขึ้นมาใหม่ เพราะในช่วงวันที่เกิดเหตุไม่ได้เดินทางไป จ.สุราษฎร์ธานี แต่ในวันนั้นขับแท็กซี่อยู่ในกรุงเทพฯ จากการที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบประวัตินายนรินทร์ เคยเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แต่ไม่ใช่กลุ่มฮาร์คคอ และไม่เคยมีประวัติก่อเหตุการณ์รุนแรงใดๆ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบไปยังเฟสบุ๊ค ข้อความนี้เป็นการทำเฟสบุ๊คขึ้นมาใหม่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึกผู้ที่กระทำการโพส แต่จากการสอบปากคำเชื่อได้ว่านายนรินทร์ ไม่ได้เป็นผู้โพสข้อความเอง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารยังควบคุมตัวนายนรินทร์ เพื่อสืบสวนสอบสวนคดีนี้ต่อไป

วรชัยวอนอย่าเพิ่งสรุปเหตุระเบิดปม'เอ็มเสื้อแดง'
            นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการจับกุม นายนรินทร์ อ่ำหนองบัว หรือ ที่รู้จักกันในโลกโซเชี่ยล มีเดีย ว่า “เอ็มเสื้อแดง” ซึ่งได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เกี่ยวพันกับกรณีการวางระเบิดที่ จ.สุราษฎร์ธานีว่า “คืนนี้จัดหนักที่สุราษฎร์” ว่าการจับกุมนายนรินทร์ เป็นการจับเนื่องจากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แต่การจับกุมผู้ก่อเหตุคาร์บอมบ์นั้นต้องหาพยานหลักฐานเชื่อมโยงที่เป็นวิทยาศาสตร์ว่าไปถึงใครบ้าง และเรื่องนี้คนคนเดียวไม่สามารถที่จะทำได้ หากนายนรินทร์ มีความเกี่ยวโยงจริงก็ต้องหาหลักฐานเชื่อมโยงให้ได้ อีกทั้งมองว่าผู้ที่ก่อเหตุจะมีการพูดออกมาก่อนลงมือหรือ การโพสต์ดังกล่าวอาจจะเป็นเพราะความมันส์หรืออยากดังก็เป็นได้อย่าเพิ่งรีบสรุป

ล็อกตัว 3 รปภ.เค้นสอบโยงแก๊งคาร์บอมบ์ ถล่มห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย

ล็อกตัว 3 รปภ.เค้นสอบโยงแก๊งคาร์บอมบ์ ถล่มห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย ค้นบ้านเจอหลักฐานเด็ดแผนที่บริเวณห้างและจุดอื่นๆ มั่นใจปิดคดีได้แน่นอน กล้องวงจรปิดจับภาพ ผู้ต้องสงสัยเดินจากลานจอดรถชั้นใต้ดินขึ้นมาในห้างเห็นหน้าชัดเจน ตำรวจเรียกสอบ รปภ.ห้างที่มาจากชายแดนภาคใต้กว่า 20 คนพร้อมยึดมือถือกว่า 20 เครื่องแกะหาข้อมูล
ไทยรัฐ


เจ้าหน้าที่แจ้งรถต้องสงสัย 12 คันที่ถูกโจรกรรม หวั่นถูกนำมาเป็นคาร์บอมบ์

เจ้าหน้าที่แจ้งรถต้องสงสัย 12 คันที่ถูกโจรกรรม หวั่นถูกนำมาเป็นคาร์บอมบ์
Cr:kapook
เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2558 หลังจากที่เกิดเหตุคาร์บอบมบ์เกาะสมุย อันเนื่องมาจากมีรถที่ถูกโจรกรรมไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ล่าสุด รายงานจากชุดสืบสวน จ.ยะลา ได้แจ้งเตือนให้ระวังรถเป้าหมาย 12 คัน ที่ถูกโจรกรรม และคาดว่าอาจจะนำไปใช้สำหรับคาร์บอมบ์ในครั้งต่อไป
ทั้งนี้ รถต้องสงสัย ประกอบด้วย
1. รถยนต์กระบะอีซูซุ รุ่นดีแมกซ์ สีบรอน์เงินทะเบียน บร 7934 สงขลา 2.รถยนต์กระบะไตรทัน 4 ประตู
3. รถยนต์มาสด้า บีที 50 สีดำ ทะเบียน บต 1517 ปัตตานี
4. รถยนต์กระบะ มิตซูบิชิ ทะเบียน ddn 2321 มาเลเซีย
5. รถยนต์กระบะโตโยต้า ไมท์ตี้เอ็กซ์ สีขาวมีโครงหลังคาด้านหลัง กห 62702
6. รถยนต์ปิคอัพ ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่น L 200 สีดำ ทะเบียน บฉ 7925 ปัตตานี
7. รถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ สีเทา 4 ประตู 1 กค-9139 กทม.
8. รถยนต์กระบะมาสด้า แค็ปสีเทา ทะเบียน บง 2612 ปัตตานี
9. รถยนต์กระบะ นิสสัน รุ่นนาวาร่า สีน้ำตาล ทะเบียน ขฉ 1817 สงขลา
10. รถยนต์กระบะโตโยต้าไฮลักซ์ วีโก้ ตอนครึ่ง สีเทา ทะเบียน 3202 ปัตตานี
11. รถยนต์กระบะ มิตซูบิชิ ไทรตัน 4 ประตู สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กร 7723 สงขลา
12. รถยนต์กระบะไตรตัน สีดำ ทะเบียน บต 3597 ยะลา
หากพบเห็นรถทั้ง 12 คัน ขอความร่วมมือให้แจ้งให้ตำรวจทราบ เนื่องจากคาดว่า คนร้ายอาจนำรถไปประกอบระเบิด แล้วนำไปก่อเหตุทั้งในและนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้