PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

ทนายเผย อาเดม เป็นชาวอุยกูร์ สารภาพวางบึ้มจริง ตอบแทนบุญคุณ ไม่รู้จักคนอื่นที่ถูกจับ

วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 11:00:01 น

http://www.matichon.co.th/online/2015/09/14435857131443585737l.jpg

วันที่ 30 กันยายน นายชูชาติ กันภัย ทนายความเข้าพบนายอาเดม คาราดัก หรือ บิลาล โมฮัมเหม็ด ผู้ต้องหาคดีลอบวางระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม เอราวัณ แยกราชประสงค์ ที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีมณฑลทหารบกที่ 11โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนจะออกมา เปิดเผยว่า นายอาเดม ยอมรับว่า เป็นชาวอุยกูร์ ไม่ใช่คนสัญชาติตุรกี โดยสารภาพว่า เป็นผู้นำระเบิดไปวางจริง โดยทำตามคำสั่งของนายอับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์มาน ซึ่งเป็นผู้ที่นำนายอาเดม เข้ามาในประเทศไทย และรู้จักกับ นายอับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์มาน มาตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้

แต่นายอาเดม อ้างว่าไม่ทราบสาเหตุที่ยอมทำตามคำสั่งของนายอับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์มาน แต่เชื่อว่า อาจจะเป็นเพราะบุญคุณที่นายอับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์มาน สัญญาว่า จะนำพาไปยังประเทศที่สาม และนายอาเดม ยังยอมรับว่า เป็นบุคคลที่ใส่เสื้อสีเทา ที่มีข้อความ ไอเลิฟไทยแลนด์จริง โดยนายอับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์มาน เป็นผู้ซื้อมาให้

สำหรับหนังสือเดินทาง นายอาเดม ยอมรับว่า เป็นหนังสือเดินทางปลอมของประเทศตุรกี และปฏิเสธว่า ไม่เคยรู้จักกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับคนอื่นๆในคดีนี้ ส่วนแนวทางการสู้คดี นายอาเดม ต้องการล่ามที่สื่อสารภาษาอุยกูร์ได้ เท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารในภาษาอังกฤษ หรือภาษาตุรกี ได้คล่อง และในฐานะทนายความเตรียมทำรายงานมูลเหตุจูงใจเสนอต่อศาลทหาร กรุงเทพฯ เพื่อพิจารณา ผ่อนปรนโทษเนื่องจากให้การรับสารภาพ

ประวัติศาสตร์ ทบ. ตท.14 เป็น ผบทบ.ต่อกัน 2คน

ประวัติศาสตร์ ทบ. ตท.14 เป็น ผบทบ.ต่อกัน 2คน /ทบ.จัดยิ่งใหญ่อำลา "พลเอกอุดมเดช" และส่งมอบหน้าที่ ผบทบ. ร้องเพลง"คนดีไม่มีวันตาย" ลั่นทบ. ส่ง บิ๊กโด่ง
พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ส่งมอบตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ผบ.ทบ.ให้ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ.คนใหม่ ซึ่งเป็นเพื่อน ตท.14 ด้วยกัน โดยมีการสวนสนามของกองทหารเกียรติยศ ทหารราบ ม้า ปืน จาก ร.1รอ. พล.ม.2รอ.และ พล ปตอ.
พลเอกอุดมเดช กล่าวอำลาตำแหน่ง โดยระบุว่า "การเป็นผบทบ.ถือเป็นเกียรติยศสูงสุด และภาคภูมิใจ ที่ได้รับหน้าที่สำคัญ รับผิดชอบที่มีต่อ ชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชน ถือเป็นเวลาที่มีความหมาย มีค่า ที่ประทับใจ ที่ได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ที่มีความหมาย มีค่า ประทับใจ ร่วมปฏิบัติหน้าที่กำลังพลทุกคน ที่เสียสละตนเพื่อกองทัพและประเทศชาติ
พร้อมกล่าวยินดี กับ ผบทบ.คนใหม่ ด้วยความจริงใจ และเชื่อมั่นว่า ผบทบ ใหม่ จะใช้ความรู้ ประสบการณ์ อย่างมีวิสัยทัศน์ เพราะดำรงตำแหน่งสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ตนเองพร้อมเป็นกำลังใจให้ทุกคน
ขณะที่ พลเอกธีรชัย กล่าวในการรับมอบตำแหน่ง ผบทบ.ว่า จะนำกองทัพบก อย่าง
เข้มแข็ง พรัอมรับภารกิจในทุกรูปแบบ และจะสนับสนุนงานของรัฐบาล อย่างเต็มที่ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และดำรงเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของทบ. ในการเป็นกองทัพของ ชาติ และราชบัลลังก์ และประชาชนอย่างแท้จริง
หลังจบพิธี วงดุริยางค์ ทบ.ได้บรรเลงและร้องเพลง "คนดีไม่มีวันตาย" เพลงโปรด ของ พลเอก อุดมเดช เป็นการส่งท้าย ก่อนขึ้นรถ กลับออกไปจาก กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อเวลา 11.32 น.

"ตู่"เช็กแล้ว! ไม่มี"อ๊อด"ในบัญชีการ์ดนปช.-ประวัติอาชญากรรม ถาม อยากมีเรื่องหรือ

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ  (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูป ถึงกรณีนายยงยุทธ พบแก้ว หรือ อ๊อด ผู้ต้องสงสัยเกี่ยวพันการวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ระบุว่า เป็นการ์ด นปช. และถูกหมายจับในคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทองปี 2553 และระเบิดย่านมีนบุรี ปี 2557 เป็นผู้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิดตามหมายจับ ว่า 

ตนเองได้ตรวจสอบรายชื่อการ์ด นปช. ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา นายอารีย์ ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช. ยืนยันว่า ไม่มีรายชื่อนายอ๊อด ในทะเบียนประวัติ นอกจากนี้ ตนให้ทนายตรวจสอบคดีทั้ง 9 ครั้ง และต้องคำพิพากษาอีก 1 ครั้ง ของนายอ๊อดด้วย และปรากฎว่า ไม่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากรอีกเช่นกัน รวมทั้ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ปฏิเสธว่า ไม่พบข้อมูลของนายอ๊อด เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด สมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง เมื่อปี 2553 แต่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กลับบอกปัดว่า เป็นข้อมูลชุดสอบสวนของตำรวจนครบาล ซึ่งต้องตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้านายอ๊อดถูกจับถึง 9 คดีแล้ว คงมีรายชื่อในทะเบียนประวัติอาชญากร สิ่งสำคัญต้องมีรูปถ่ายและเลขที่บัตรประชาชนด้วย แต่การทำหน้าที่ของตำรวจกลับมีข้อสงสัยอย่างมาก คือ ไม่มีรูปถ่ายที่ชัดเจน ได้แต่รูปภาพจางๆ มาแสดงประกอบการแถลงปิดคดี โดยเฉพาะคนต้องคดีไม่มีเลขบัตรประชาชนนั้น เป็นไปไม่ได้

การจงใจเลี้ยวเอาข้อหามาใส่ นปช. โดยโยงนายอ๊อดมาเชื่อมคนเสื้อแดง เท่ากับมองคนเสื้อแดงเป็นศัตรู ซึ่งเป็นวิธีสกปรกชั่วช้าที่สุด และเป็นไปได้อย่างไรถ้าคนถูกดำเนินคดี 9 ครั้ง ไม่มีบัตรประชาชนก็ปล่อยตัวไป ตำรวจทำหน้าที่เหมือนคนขายชาติเอาหน้ารอด ถ้าไม่เลิกพฤติกรรมประเภทใช้ปืนนัดเดียวยิงนกได้หลายตัวแบบนี้ ไม่ได้กิน นปช. ดังนั้น ควรเปิดตัวนายอ๊อดออกมาเลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่า อ๊อดไหน และเป็นการทำหน้าที่แบบง่ายมากกับการอธิบายความเชื่อด้วยความเท็จเพื่อต้องการปิดคดี และตนจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายขบวนการประชาชน

"ไอ้อ๊อด พวกผมไม่ทราบ ไม่ได้อยู่ในระบบการ์ด นปช. วิธีการแบบนี้ปัญหามันจะไม่จบ ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงสงสัย ผมไม่มีปัญหาส่วนตัวกับ พล.ต.อ.สมยศ แต่การเลี้ยวมาที่เสื้อแดง ผมต้องรับผิดชอบต่อ นปช. เราได้พยายามเตือนการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ดังนั้น ใครคิดว่ามีอำนาจ ไปทำเรื่องราวที่เลวร้ายแบบนี้ สร้างความอยุติธรรมไปทั่วหัวระแหง แล้วคิดว่าทำได้ ต้องการบีบบังคับให้สู้เหรอ บอกแล้วว่า อยากอยู่ก็อยู่ไป หรือแผ่นดินนี้จะไม่มีที่ยืนกับคนอื่นด้วยเหรอ" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวอีกว่า มีการไปพูดเรื่องสันติภาพ อยู่ดีกินดีที่สหประชาชาติ แต่ในประเทศกลับหาแพะไปวันๆ คงยิ่งใหญ่กัน ทำไมไม่คิดว่า เมื่อประชาชนให้โอกาสแล้ว ควรบริหารประเทศไป แต่กลับหาเรื่องคนอื่นข้างทางตลอด ทำไมไม่อยู่กันดีๆ จะไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก็ทำไป จะลดความเหลื่อมล้ำก็ทำไป หรือทำอะไรไม่ได้ก็เอาของตายดีกว่า ทำไมไม่แถลงบอกคนไทยว่า อยากมีเรื่อง ไม่ต้องการหางาน แสดงว่า ไม่ต้องการหาทางออกให้ประเทศใช่หรือไม่ 

ทั้งนี้ ฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ขอถามหัวใจพวกท่านว่า ต้องการอะไร ถ้าประชาชนยึดมั่นเวลาการคืนประชาธิปไตยแล้ว คงเกิดเรื่องแล้ว แต่ประชาชนยอมขมขื่น เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นได้ หรืออาจคิดเอาเองว่า อำนาจปากกระบอกปืนจะข่มหัวใครก็ได้ ซึ่งลืมไปว่า นิสัยคนไทยจะเหลืออดกับสิ่งที่มากเกินไป

"พวกท่านตอนนี้อยู่ด้วยความระวังหรือระแวง พวกรอบข้างต้องการสร้างจินตนาการให้เกิดขึ้น เพื่อให้ท่านลงมือกับพวกผม ถ้ามีสติอยู่บ้าง ควรตั้งหลักทำหน้าที่ไป และอย่าให้องคาพยพของพวกท่านอย่าไปรุกรานคนอื่น เพราะพวกท่านรู้ดีว่า ขณะนี้กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ผมบอกมาหลายครั้งแล้วว่า มีเรื่องกันไม่ยากหรอก รบกันไม่ยาก ที่อดทนกันเพราะเห็นแก่ชาติบ้านเมือง พวกผมประกาศชัดไม่แย่งชิงอำนาจพวกท่าน แต่ไม่ต้องการให้ใครมาย่ำยีกัน พูดทั้งหมดตรงไปตรงมา อย่าให้พวกผมคิดว่า นั่งพับเพียบก็แล้ว นิ่งก็แล้ว ถ้ายังไม่หยุด ท่านจะได้ในสิ่งที่ท่านต้องการ" นายจตุพร กล่าว

"บิ๊กหมู”แถลงหน้าบก.ทบ. ลั่น หนุนรัฐบาล-คสช. ไม่เสื่อมคลาย

"บิ๊กหมู”แถลงหน้าบก.ทบ. ลั่น หนุนรัฐบาล-คสช. ไม่เสื่อมคลายสั่งทบ.-กกล.รส. ทำทุกวิถีทางสร้างภาวะประเทศให้ปกติ เอื้อต่อรัฐบาลบริหารประเทศ ยันสถานการณ์ยังไม่ปกติ ลั่นกองทัพไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่ขัดแย้ง เผยอยู่ข้าง “ประชาชน” ยึดคำสั่ง รมว.กลาโหม ปัดตอบ ปฏิวัติ เตรียมบินลงใต้ เผยนโยบายดับไฟใต้ เน้นสานงานต่อ เล็งเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก คนใหม่ ที่เพิ่งรับตำแหน่ง กล่าวถึงนโยบายในการบริหารงานของกองทัพบก ว่า แนวทางที่จะปฏิบัติงานในปีที่จะถึงนี้ ทางกองทัพบกมีภารกิจรับผิดชอบอยู่แล้วในแต่ละงาน เพราะฉะนั้นตนจะพยายามทำตามความรับผิดชอบของกองทัพบก
สิ่งที่สำคัญคือจะทำให้กองทัพบกมีความเข้มแข็ง ส่วนการสนองต่อนโยบายของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขับเคลื่อนการบริหารประเทศนั้น
" ผมอยากให้ทำความเข้าใจว่าสถานการณ์ประเทศเรายังอยู่ในภาวะไม่ปกติ ดังนั้นกองทัพบกจะมีส่วนสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ซึ่งผมเคยปฏิบัติงานตอนเป็นแม่ทัพภาคที่ 1
และต่อจากนี้ไปส่วนต่างๆ ทั้ง กองทัพ และกกล.รส.จะมีหน้าที่ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะปกติ พร้อมทั้งสร้างมีสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการบริหารประเทศของรัฐบาล ดั้งนั้นที่กล่าวไปจึงเป็นหน้าที่ของ คสช. กกล.รส. และกองทัพบก"

เมื่อถามว่า ผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่จะให้ความสำคัญกับสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการบริหารประเทศ จะให้ลำดับความสำคัญหน้าที่ทหารอย่างไร เพราะทหารต้องดูแลหลายอย่าง รวมทั้งชายแดน พล.อ.ธีรชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนชายแดนและภารกิจต่างๆ ถือเป็นภารกิจของกองทัพบกอยู่แล้ว ซึ่งกองกำลังชายแดนทั้งหมดมีหน้าที่รับผิดชอบแน่ชัดในการปฏิบัติ
"แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือ การดูแลสภาวะแวดล้อมของทั้งประเทศให้เอื้อต่อการบริหารประเทศ เพราะฉะนั้น ผมย้ำว่าทุกสิ่งทุกอย่างกองทัพบกจะทำให้ได้"

เมื่อถามย้ำว่าถ้าเป็นแบบนี้จะทำให้ทหารเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง หรือไม่ พล.อ.ธีรชัย กล่าวว่า “ไม่มีความขัดแย้ง เราอยู่ตรงกลาง และเราอยู่ข้างประชาชน เราไม่มีศัตรู แต่เรามีหน้าที่ทำความเข้าใจกับประชาชนทั้งหมด ว่าความมุ่งหวังของรัฐบาลมีความตั้งใจจริงต่อการบริหารประเทศ เพื่อให้เกิดความสงบสุข และเรียบร้อยที่สุด”
ผู้สื่อถามถามต่อว่า กองทัพบกจะให้ความมั่นใจหรือไม่จะสนับสนับสนุนรัฐบาลอย่างไม่เสื่อมคลาย พล.อ.ธีรชัย กล่าวว่า เราเป็นกองทัพของประชาชนที่ปฏิบัติงานร่วมกับรัฐบาล และปฏิบัติงานต่างๆ ตามแนวทางและนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พล.อ.ธีรชัย กล่าวถึงนโยบายในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ว่า กองทัพบกไม่เคยเปลี่ยนแปลงนโยบาย ซึ่งนโยบายยังคงเหมือนเดิม โดยแนวทางการปฏิบัตินั้นจะปฏิบัติตามแนวทางรัฐบาลในแต่ละสภาวะ ซึ่งในสัปดาห์หน้าตนจะลงไปพื้นที่ จชต. เพื่อไปกำกับดูแล ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนวิธีการในการปฏิบัติงานใน จชต.ใหม่ ทั้งนี้จะต้องสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง

เมื่อถามว่านโยบายสร้างกองทัพบกให้เป็นกองทัพชั้นนำในอาเซียนอย่างไร พล.อ.ธีรชัย กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ดีในช่วยปลายเดือนพฤศจิกายน เราจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งกองทัพบกจะมีการประชุมผู้บัญชาการทหารบกอาเซียน รวม 10 ประเทศ อีกทั้งจะมีการแข่งขันยิงปืนกองทัพบกอาเซียน ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี เพราะเป็นหน่วยงานแรกที่มีการประชุมผู้บัญชาการทหารบกของอาเซียนที่ประเทศไทย และสิ่งต่างๆจะเป็นความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของกองทัพทั้งอาเซียน ขณะเดียวกันจะทำให้การเตรียมการที่จะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ทางกองทัพบกได้เตรียมการมานานแล้วทุกเรื่อง เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล
เมื่อถามเริ่อง ให้ยืนยันเรื่อง การปฏิวัติ พลเอก ธีรชัย ยิ้มๆและปฏิเสธ จะตอบเรื่องนี้
"วันนี้ วันแรก ขอเบาๆ นะ" พลเอก ธีรชัย กล่าว

ลงทุนการศึกษาเพื่อให้หลุดพ้น “กับดัก”



30 กันยายน 2015
วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
สหประชาชาติกำลังพูดถึง Global Goals ของโลกใน 15 ปีข้างหน้า หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมคือ SDG (Sustainable Development Goals: เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) ที่บ้านเราเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีพูดกันถึงเรื่อง “การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในเอเชีย” โดย ดร.ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (อดีตประธาน ADB) ในงาน Amartya Sen Lecture Series
ปาฐกถาครั้งนี้น่าสนใจเพราะมีส่วนที่เกี่ยวกับไทยอยู่มาก “จดหมายเหตุถึงเพื่อนสมาชิก” ของ สสค. (สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน) ได้ลงสรุปย่อปาฐกถาครั้งนี้ ซึ่งผู้บันทึกคือ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา ของ สสค.
ในบ้านเราปัจจุบันมีนักเศรษฐศาสตร์การศึกษาน้อยคนมากอย่างน่าเสียดาย รุ่นใหม่ก็มี ดร.ไกรยศ (Harvard) ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ (Australian National University-Berkeley) อยู่ที่ World Bank เป็นผู้รับผิดชอบรายงานสถานะการศึกษาของประเทศไทยที่เพิ่งออกมาและ สสค. กำลังแปลเป็นไทย ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว (Australian National University) อยู่ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีบทความเรื่องการกู้ยืมเพื่อการศึกษา ในวารสารต่างประเทศหลายบทความ ฯลฯ
ผมขอนำข้อสรุปปาฐกถาบางส่วนมาสื่อต่อดังต่อไปนี้ “…ดร.ฮารุฮิโกะ กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจเอเชียจะเติบโตเร็วถึง 12 เท่าภายในเวลา 50 ปีที่ผ่านมา แต่ในอีกไม่ช้านี้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียจะต้องเผชิญกับปัญหาการชะลอตัวเช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกเคยประสบมา เนื่องมาจาก 3 กับดักที่สำคัญ คือ
(1) “กับดักของประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle Income Trap) ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มปัจจัยการผลิตที่สำคัญอย่างการลงทุนและการโยกย้ายแรงงานจากชนบทป้อนภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มแรงงานราคาถูก แม้วิธีนี้จะใช้ได้ผลในระยะแรก แต่ผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ ลดลงจนหมดไปในที่สุด ประเทศที่ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางไปได้อย่างประเทศเสือเศรษฐกิจ 4 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง สามารถก้าวข้ามได้ด้วยการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตรวม (Total Factor Productivity) ของระบบเศรษฐกิจ และการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง รวมถึงการเปิดตลาดใหม่สู่การเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูงที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
(2) “กับดักโครงสร้างประชากร” (Demographic Trap) ธรรมชาติของประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร อันเนื่องมาจากอัตราการเกิดของประชากรที่ลดลงและอายุขัยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ประชากรในประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้จึงมีความเสี่ยงที่จะ “แก่ก่อนรวย” หรือก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ก่อนเป็นประเทศรายได้สูง (High Income Country) การมีประชากรวัยพึ่งพิงสูงกว่าประชากรวัยแรงงานเช่นนี้จะยิ่งทำให้การหลุดออกจากกับดักรายได้ปานกลางล่าช้ายิ่งขึ้นไปอีก
(3) “กับดักด้านความจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ” (Natural Resource Trap) การสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ น้ำ รวมถึงที่ดิน เป็นต้น เมื่อทรัพยากรเหล่านี้ร่อยหรอไป ภาระต้นทุนการผลิตจึงเพิ่มขึ้นและฉุดรั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายจึงพยายามรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยการขยายฐานการค้นหาทรัพยากรธรรมชาติแหล่งใหม่จากในและนอกประเทศตนเอง
กับดักทั้ง 3 ประการนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่สามารถเป็นเสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 แห่งเอเชียได้เสียที ปัจจุบันการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกสินค้าการเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมที่ยังขาดนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงเหมือนเมื่อทศวรรษที่แล้ว ด้วยภาวะการแข่งขันในระดับนานาชาติที่สูงขึ้น รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยไม่ยั่งยืน และมีแนวโน้มถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง
ห้องเรียนนำร่อง ห้องเรียนอนาคต โครงการซัมซุงSamsung Smart Learning โรงเรียนเทิงวิทยาคม จ.เชียงราย
ห้องเรียนนำร่อง ห้องเรียนอนาคต โครงการซัมซุงSamsung Smart Learning โรงเรียนเทิงวิทยาคม จ.เชียงราย
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอีก 10 ปี ในขณะที่ประชากรวัยเด็กกำลังลดลง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ธนาคารโลกได้รายงานว่า “…มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนโรงเรียนขนาดเล็ก (จำนวนเด็กต่ำกว่า 120 คน) ถึง 5,000 โรงเรียน (ปัจจุบันร้อยละ 50 ของ 28,803 โรงเรียนในบ้านเราเป็นขนาดเล็ก) อันเนื่องมาจากการลดลงของจำนวนนักเรียนกว่า 2 ล้านคน (ร้อยละ 20) ภายในเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น สวนทางกับการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัยในประเทศไทย ทำให้ปัจจุบันดัชนีการสูงวัย (Aging Index) ซึ่งคิดจากสัดส่วนผู้สูงวัยต่อประชากรเด็ก 0-15 ปีของประเทศไทยสูงถึง 83.1 สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน และมีแนวโน้มสูงกว่า 100 ภายใน 10 ปีข้างหน้านี้ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการก้าวออกจากกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง
ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นจึงได้ให้กุญแจ 3 ดอก ในการสร้างความยั่งยืนให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชีย ได้แก่ (1) มาตรการยกระดับคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ (2) การยกระดับสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจ และ (3) การพัฒนาตลาดการเงินให้เข้มแข็งและมีเสถียรภาพ โดยประเทศที่พัฒนาแล้วล้วนมีประชากรวัยแรงงานส่วนใหญ่ที่มีระดับการศึกษาสูง ตรงกันข้ามกับประเทศไทยที่ 7 ใน 10 คน ของประชากรวัยแรงงานมีการศึกษาสูงสุดเพียงแค่ระดับประถมศึกษาเท่านั้น
แม้ว่าประเทศไทยจะเร่งขยายโอกาสและคุณภาพทางการศึกษาผ่านการลงทุนด้านการศึกษาด้วยการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาสูงถึงปีละ 5 แสนล้านบาท และเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่ด้วยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3 ต่อปีเท่านั้น หากต้นทุนการจัดการศึกษายังคงเพิ่มสูงกว่าการเติบโตของรายได้คนไทยถึง 2.5 เท่าเช่นนี้ มาตรการยกระดับคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของไทยก็จะไม่ยั่งยืน ระบบการศึกษาไทยจึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปประสิทธิภาพการลงทุนด้านการศึกษาอย่างเร่งด่วน…”
ด้วยสถานการณ์และทางโน้มของประเทศเราข้างต้น ดังนั้น จึงมีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถช่วยให้หลุดพ้นจากปัญหาอันหนักหน่วงในอนาคตอันใกล้ได้ นั่นก็คือการเร่งปฏิรูปการศึกษาอย่างไม่อาจรออะไรได้อีกต่อไป
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์“อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 29 ก.ย. 2558