PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประวิตรพร้อมรับมือแฮกเกอร์เจาะข้อมูล

"บิ๊กป้อม” เผย ICT พร้อมรับมือ แฮกเกอร์เจาะข้อมูลลูกค้า CAT Telecom ต้านSingle Gateway เชื่อไม่มีปัญหา/ ผบสส. ยัน กองสงครามCyber ดูแลการทหาร-ป้องกันประเทศ เท่านั่น ไม่เกี่ยวกับ Single gateway

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าจะมี แฮกเกอร์ เตรียมเจาะข้อมูลของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือCAT Telecom เพื่อนำข้อมูลของลูกค้าออกไปเผยแพร่เพื่อต่อต้าน Single Gateway นั้น ว่า ทางICT มีมาตรการรับมือมีการเตรียมการอยู่แล้ว ทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้ดูแล เชื่อว่าไม่มีปัญหา 

ส่วนทหารก็ดูแลในส่วนของทหารการปฏิบัติงานด้านไซเบอร์ของกองทัพมีพล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ดูแลในภาพรวม ในส่วนของกลาโหม ก็ดูแลอยู่

พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ชี้แจงว่า การตั้ง กองสงครามไซเบอร์ ของกรมยุทธการทหาร บก.กองทัพไทย นั้นเน้นภารกิจด้านการทหารล้วนๆ ในการป้องกันประเทศ ติดตามสถานการณ์โลก และในภูมิภาค ที่จะมีผลต่อประเทศ ไม่เกี่ยวการเมืองภายใน หรือSingle Gateway เพราะ ศูนย์Cyber นั้ ทุกประเทศ มีกันหมดแล้ว ในการดูแลด้าน Cyber Security

พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ เสนาธิการทหาร เปรียบเทียบ การทำงานของกองสงครามcyber ว่า เมื่อก่อนรบด้วยรถถัง เครื่องบินรบ แต่เดี๋ยวนี้ รบด้วย ไซเบอร์ เป็นการป้องกันประเทศ รับมือภัยคุกคาม ในทุกรูปแบบ ไม่เกี่ยวกับ single gateway หรือ การเมือง

รูปภาพของ Wassana Nanuam

สงครามไซเบอร์

บิ๊กเต้ ผบสส. ยัน กองสงครามCyber บก.ทัพไทย ดูแลการทหาร-ป้องกันประเทศ เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ Single gateway หรือการเมือง

พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ชี้แจงว่า การตั้ง กองสงครามไซเบอร์ ของกรมยุทธการทหาร บก.กองทัพไทย นั้นเน้นภารกิจด้านการทหารล้วนๆ ในการป้องกันประเทศ ติดตามสถานการณ์โลก และในภูมิภาค ที่จะมีผลต่อประเทศ ไม่เกี่ยวการเมือง ศูนย์Cyber นั้ ทุกประเทศ มีกันหมดแล้ว ในการดูแลด้าน Cyber Security

พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ เสนาธิการทหาร เปรียบเทียบ การทำงานของกองสงครามcyber ว่า เมื่อก่อนรบด้วยรถถัง เครื่องบินรบ แต่เดี๋ยวนี้ รบด้วย ไซเบอร์ เป็นการป้องกันประเทศ รับมือภัยคุกคาม ในทุกรูปแบบ ไม่เกี่ยวกับ single gateway หรือ การเมือง

รูปภาพของ Wassana Nanuam

วันปิยะมหาราช



          วันปิยมหาราช วันวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ความสําคัญของวันปิยมหาราช เป็นมาอย่างไร เรามีคำตอบ 

          ในรัชสมัยของพระองค์ สยามประเทศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความวัฒนาให้กับชาติเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น การไฟฟ้า การไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ ฯลฯ ด้วยพระราชกรณียกิจที่ยังความผาสุกให้เกิดแก่ประชาชน ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงน้อมใจแสดงความจงรักภักดี ด้วยการถวายพระนามว่า "พระปิยมหาราช" หรือพระพุทธเจ้าหลวง และกำหนดให้ทุกวันที่ 23 ตุลาคม เป็น วันปิยมหาราช 

 ความเป็นมาของ วันปิยมหาราช 


          เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า 

          ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทางราชการได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า "วันปิยมหาราช" และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ 

          เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น "กรุงเทพมหานคร" ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็น "สำนักพระราชวัง" ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติฉัตร 5 ชั้น ประดับโคมไฟ ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน 

          พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วันปิยมหาราช ครั้งแรกเกิดขึ้นถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้วเสด็จฯ ไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์ 

 พระราชประวัติ 


          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี) เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ" ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมขุนพินิตประชานาถ" บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" 

          เนื่องจากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช 

          ระหว่างที่สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม 

          ในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทยให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืน และนั่งตามโอกาสสมควร ไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน 

          เมื่อพระชนมายุบรรลุพระราชนิติภาวะ ได้ทรงผนวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วจึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 และนับจากนั้นมาก็ทรงพระราชอำนาจเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน 

          ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ ดัวยรัฐสมบัติ พิทักษ์พสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข บำบัดภัยอันตรายทั้งภายในภายนอกประเทศ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้ 

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี 




 พระราชกรณียกิจ 

         พระราชกรณียกิจที่สำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาทิเช่น 

 1.การเลิกทาส 

          เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า มีทาสในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก และลูกทาสในเรือนเบี้ยจะสืบต่อการเป็นทาสไปจนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต พระองค์จึงทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่า จะต้องเลิกทาสให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะทาสมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้ เมื่อไม่มีทาส บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจและก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว 

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ มีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี และพอครบอายุ 21 ปี ก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง จากนั้นใน พ.ศ. 2448 จึงได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า "พระราชบัญญัติทาส ร.ศ. 124" (พ.ศ. 2448) เลิกลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปและการซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด 

          ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ในเวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยไม่เกิดการนองเลือดเหมือนกับประเทศอื่นๆ 

 2.การปฏิรูประบบราชการ 

          ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน จากเดิมมี 6 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงลาโหม, กระทรวงนครบาล, กระทรวงวัง, กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตราธิการ ได้เพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา, กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ , กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง งานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง และกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ 

 3.การสาธารณูปโภค 

           การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จังหวัดปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2452 

           การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย 

          นอกจากนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพาน และถนนอีกมากมาย คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น และโปรดให้ขุดคลองต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางคมนาคม และส่งเสริมการเพาะปลูก 

           การสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 

           การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2433 

           การไปรษณีย์ โปรดให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2412 โดยโทรเลขสายแรกคือ ระหว่างจังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) กับจังหวัดสมุทรปราการ 


 4.การเสด็จประพาส 

          การเสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหลังจากเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2440 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ. 2450 อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย อีกทั้งยังได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงในประเทศให้เจริญขึ้น 

          ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาตลอดระยะทางถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ (ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระราชหัตถเลขานี้ต่อมาได้รวมเป็นหนังสือเล่มชื่อ "พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน" ให้ความรู้อย่างมากมายเกี่ยวแก่สถานที่ต่าง ๆ ที่เสด็จไป 

          ส่วนภายในประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่าง ๆ เป็นการตรวจตราสารทุกข์สุขดิบของราษฎรได้เป็นอย่างดี พระองค์จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ โดยเสด็จฯ ทางเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ เพื่อแวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า "ประพาสต้น" ซึ่งได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ. 2447 และในปี พ.ศ. 2449 อีกครั้งหนึ่ง 

 5.การศึกษา 

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงโปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง คือ "โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ" ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก คือ "โรงเรียนวัดมหรรณพาราม" และในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2435 (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อดูแลเรื่องการศึกษาและการศาสนา 

 6.การปกป้องประเทศจากการสงครามและเสียดินแดน 

          เนื่องจากลัทธิจักรวรรดินิยมได้แผ่อิทธิพลเข้ามาตั้งแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังที่จะรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม โดยดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่  

           พ.ศ. 2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสองจุไทย  
           พ.ศ. 2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีไว้  
           พ.ศ. 2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองจันทบุรี แต่ฝรั่งเศสได้ยึดตราดไว้แทน  
           พ.ศ. 2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับตราด และเกาะทั้งหลาย แต่การเสียดินแดนครั้งสุดท้ายนี้ไทยก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง คือฝรั่งเศสยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยอมให้ศาลไทยมีสิทธิที่จะชำระคดีใด  ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชาวฝรั่งเศส ไม่ต้องไปขึ้นศาลกงสุลเหมือนแต่ก่อน 

          ส่วนทางด้านอังกฤษ ประเทศไทยได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษ รวมถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ใน พ.ศ. 2454 อังกฤษจึงยอมตกลงให้ชาวอังกฤษ หรือคนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทย และยอมให้ไทยกู้เงินจากอังกฤษ เพื่อนำมาใช้สร้างทางรถไฟสายใต้จากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ เพื่อตอบแทนประโยชน์ที่อังกฤษเอื้อเฟื้อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรัฐกลันตัน ตรังกานูและไทยบุรี ให้แก่สหรัฐมลายูของอังกฤษ 




 ลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น 

           พ.ศ. 2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ 

           พ.ศ. 2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ 

           พ.ศ. 2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา, โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย 

           พ.ศ. 2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่, โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน, โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง 

           พ.ศ. 2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี, โปรดให้เลิกประเพณีหมอบคลานในเวลาเข้าเฝ้า 

           พ.ศ. 2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน, ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง (ปัจจุบันคือ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง 

           พ.ศ. 2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯสมุทรปราการ, สมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน 

           พ.ศ. 2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนคร, ตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2 

           พ.ศ. 2427 โปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม 

           พ.ศ. 2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน 

           พ.ศ. 2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส, เริ่มการทดลองปกครองส่วนกลางใหม่, เปิดโรงพยาบาลศิริราช, โปรดฯ ให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน 

           พ.ศ.  2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม, ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา 

           พ.ศ. 2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ, กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย) 

           พ.ศ. 2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก 

           พ.ศ. 2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส 

           พ.ศ. 2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง 

           พ.ศ. 2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า 

           พ.ศ. 2453 เสด็จสวรรคต 


ประวิตรปราบ อิทธิพล

“พลเอกประวิตร” รับบัญชา นายกฯ ปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล อาวุธสงคราม ทั่วประเทศ เตรียกเรียกคสช.-กห.มท.-ตร. ประชุม เดินหน้าปราบ มาเฟีย อิทธิพลมืด ไม่ปราบผู้มีอิทธิพลในด้านดี

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม และรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคสช. มอบหมายให้ดำเนินการกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลมาเฟียในท้องถิ่นต่างๆภายใน 6 เดือนว่า ผมต้องดำเนินการให้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด

โดยจะนัดคสช. กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาประชุมหารือเพื่อดำเนินการร่วมกัน ในเร็วๆนี้

พลเอกประวิตร กล่าวว่า จะเน้นเรื้องการดูแล แลปราบปรามเรื่องอาวุธสงคราม เนื่องจากยังพบว่ามีการใช้อาวุธสงครามอยู่มาก โดยจะให้ลงไปดูทุกพื้นที่ทั่วประเทศ 

ส่วนการปราบปรามผู้มีอิทธิพลนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ผู้มีอิทธิพลมีหลายอย่าง ผู้มีอิทธิพลทางดีก็มี แต่ถ้าไม่ดีก็ต้องดำเนินการ
อย่างไรก็ตามไม่ได้เจาะลงพื้นที่ใดเป็นพิเศษ 

ส่วนที่มีข่าวว่ามีบัญชีดำเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่มีบัญชีดำ แต่ใครที่เกี่ยวข้องเราก็ดำเนินการ

รูปภาพของ Wassana Nanuam

นายกฯ คุยกับ รมว ICT เมื่อเช้า สั่งการป้องกันHacker โจมตี CAT ก่อนอารมณ์ เสีย บ่นการเสนอข่าวสื่อ


นายกฯ คุยกับ รมว ICT เมื่อเช้า สั่งการป้องกันHacker โจมตี CAT ก่อนอารมณ์ เสีย บ่นการเสนอข่าวสื่อ บอกหนังสือพิมพ์ห่วย อย่าไปอ่านมัน/ "อุตตม" รมว.ไอซีที เผยนายกฯกำชับหลัง กสท.ถูกแฮกข้อมูล ย้ำทุกหน่วยดูแลฐานข้อมูลให้ดี เชื่อไม่เอี่ยวตั้งศูนย์ไซเบอร์กองทัพ

ที่ลานพระบรมรูป ทรงม้าฯ เข้านี้ ทันทีที่ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือICT เดินทางมาถึงก็ได้เข้ารายงานสถานการณ์ที่มีกลุ่มแฮกเกอร์ ปล่อยฐานข้อมูลลูกค้าบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ต่อพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านไอซีที โดยมีนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมสนทนาด้วย พร้อมนำภาพการแฮกข้อมูลในโทรศัพท์มือถือส่งให้กับพลเอกประจินและนายอุตตมดู พร้อมระบุว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงเพราะเป็นการโจมตีข้อมูลภาครัฐและทำกันเป็นขบวนการมีเครือข่าย 

ทั้งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการวางพวงมาลาสักการะรัชกาลที่ 5 แล้ว นายอุตตมก็ได้รายงานสถานการณ์ ต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้วย

นายอุตตม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ติดตามกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่จะคุกคามเว็บไซด์ต่างๆ ซึ่งได้มีการประสานกับทุกหน่วยงานระมัดระวังดูแลฐานข้อมูลต่างๆ ให้ดี ขณะเดียวกันต้องให้บริการประชาชนให้ได้ 

ทั้งนี้ยืนยันว่าประชาชนสามารถมั่นใจในการดูแลข้อมูลของประชาชนได้ ซึ่งระบบก็ยังทันสมัย และขอให้ประชาชนพิจารณาข้อมูลที่มีการสื่อสารผ่านเว็บไซด์ต่างๆอย่างระมัดระวัง เพราะบางครั้งก็มีการแอบอ้างข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งในส่วนของ กสท.ทางไอซีทีได้สอบถามไปแล้วพบว่าไม่ใข่ข้อมูลจริงของ กสท.

นายอุตตม ยังเชื่อด้วยว่า การกระทำของกลุ่มแฮกเกอร์จะไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งศูนย์ไซเบอร์ของกองทัพ ทั้งนี้กระทรวงไอซีทีมีหน้าที่ในการป้องกันไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ไหนก็ตาม

หลังจากนั้น นสยกฯได้เดืนไปจะขึ่นรถกลับ โดยบ่น ถึงการเสนอข่าวของสื่อ ในช่วงนี้ ถึงขั่นระบุว่า "หนังสือพิมพ์ ห่วยๆ อย่าไปอ่านมัน" อารมณ์เสีย ขึ้นรถไป โดยไม้ให้สัมภาษณ์สื่อ

รูปภาพของ Wassana Nanuam

คสช.ปรามแต่งแดงวันที่1พ.ย.เชียร์ยิ่งลักษณ์ไม่ได้

โฆษก คสช. ยันเจ้าหน้าที่ต้องจัดการตามกม. หาก"วรชัย"ปลุกระดมนัดใส่เสื้อแดง 1พย. ให้กำลังใจ"ยิ่งลักษณ์" ระบุ เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ขอความร่วมมือเพื่อความเรียบร้อย ภายใต้ช่วงเวลาพิเศษ

พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. ชี้แจง ที่กรณี นายวรชัย เหมะ อดีต สส พรรคเพิ่อไทย ปลุกระดมทางสื่อโซเชึยลฯ นัดใส่เสื้อแดง ใน 1 พ ย เพื่อให้กำลังใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า 
1.ถึงมีการกล่าวว่าต้องการเชิญชวนเพื่อให้กำลังใจ แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นไปได้ที่อาจทำให้ถูกสังคมมองเป็นความพยายามที่จะแสดงออกเชิงสัญญลักษณ์ได้ จนถูกตีความว่าเป็นเรื่องการเมืองก็ได้ เช่นกัน 
2. การแสดงแสดงออกใดๆช่วงนี้ยังคงต้องระมัดระวัง เพราะบางครั้งอาจ จะส่งผลในเชิงทางความรุ้สึกในมุมต่างๆต่อกลุ่ม หรือบุคคลอื่นๆได้ ไม่อยากให้มองแต่เพียงเรื่องจำกัดสิทธิ์หรือไม่ เป็นเรื่องการขอความร่วมมือเพื่อความเรียบร้อย ภายใต้ช่วงเวลาพิเศษ ซึ่งที่ผ่านมาในหลายๆกลุ่มก็ได้ให้ความร่วมมือ คสช.มาเป็นอย่างดี
3. การแสดงออกลักษณะดังกล่าวคงต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และมุมมอง ของจนท.ว่าจะพิจารณาอย่างไร ตามความมุ่งหมายที่อยากดูแลให้สังคมเกิดความสงบเรียบร้อย.ซึ่งต้องขึ้นอยุ่กับสถานการณ์นั้นๆด้วย
4.ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดใดๆเพราะอยู่ในช่วงเป็นกระแสข่าวในสื่อ 
"หากมีการเชิญชวนในลักษณะปลุกระดมจริง จนท. จำเป็นต้องดำเนินการตามแนวทางที่ คสช.เคยขอความร่วมมือไว้"

รูปภาพของ Wassana Nanuam

คำแถลงพรรคเพื่อไทย เรื่อง โครงการรับจำนำข้าว


คำแถลงพรรคเพื่อไทย
เรื่อง โครงการรับจำนำข้าว

เนื่องจากมีความพยายามที่จะเรียกร้องในทางแพ่งในโครงการรับจำนำข้าวต่อ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคม ถึงความโปร่งใสและความยุติธรรม หลายฝ่ายต่างรู้สึกว่าการดำเนินการครั้งนี้ มีความพยายามสร้างวาทกรรมทางการเมือง ก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกับความเป็นจริง อันจะมีผลต่อการอำนวยความยุติธรรมให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร

พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการนำเสนอนโยบายดังกล่าว ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ.2554 จนได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น ได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา
ในฐานะที่พรรคเพื่อไทย เป็นผู้นำเอาเจตนารมณ์และความต้องการของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกร ชาวไร่ชาวนา นำโครงการรับจำนำข้าวอันเป็นหนึ่งโครงการสำคัญบรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาล ได้แถลงเป็นสัญญาประชาคมต่อรัฐสภา และเริ่มผลักดันให้โครงการดังกล่าวดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์แก่พี่น้องเกษตรกรทุกท่าน

พรรคเพื่อไทยจึงขอถือโอกาสนี้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ ของโครงการรับจำนำข้าว ต่อพี่น้องประชาชนโดยสังเขป ดังต่อไปนี้

1. นโยบายจำนำข้าวเป็นแนวคิดของพรรคเพื่อไทย ที่จะช่วยเหลือชาวนาให้ได้รับประโยชน์สูงสุด เพื่อยกระดับรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนา จำนวนถึง 3.7 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 23% ของประชากรไทยทั้งประเทศ
นโยบายจำนำข้าว มิใช่นโยบายประชานิยมแบบให้เปล่า หากแต่เป็นหนึ่งในโครงการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ซึ่งถูกบัญญัติไว้ในมาตรา 84(8) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550..." ให้รัฐทำหน้าที่คุ้มครองและรักษาผลประโยชน์สูงสุดของเกษตรกรในการผลิตและการตลาด ตลอดจนส่งเสริมสินค้าเกษตรให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด"

2. โครงการรับจำนำข้าวถือเป็นหนึ่งใน "สัญญาประชาคม" ที่พรรคเพื่อไทยได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากประชาชนทั่วประเทศในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2554 และพรรคฯ ได้นำแนวนโยบายดังกล่าวบรรจุไว้เป็นนโยบายของรัฐบาลแถลงและได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

3. โครงการสาธารณะต่างๆ ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและตามกรอบที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งกำหนดให้เป็นแนวนโยบายที่รัฐบาลใช้เป็นกรอบในการบริหารประเทศ ทุกประเทศทั่วโลกล้วนถือเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อดำเนินการในการแก้ไขปัญหาของประเทศและประชาชนโดยรวม แนวนโยบายที่เอื้อต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกร คือการลงทุนในมิติทางสังคมต่อประชากรของประเทศ จึงไม่มีประเทศใดในโลกนำโครงการเหล่านี้มาพิจารณาในเรื่องกำไร-ขาดทุน ดังเช่น พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ซึ่งกำหนดว่า..."การประเมินโครงการประเภทนี้ให้คำนึงถึงประโยชน์โดยรวมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ ที่มีต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม มิใช่ประเมินจากผลกำไร-ขาดทุน"

โครงการรับจำนำข้าวจึงถือเป็นนโยบายที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรเช่นเดียวกับโครงการสาธารณะอื่นๆ ที่ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ ตามสิทธิเชิงสวัสดิการที่พลเมืองของประเทศพึงได้รับ มิเช่นนั้นโครงการต่างๆ ในอดีต เช่น โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน การจัดสวัสดิการให้แก่เด็กผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ คนพิการ การจัดโครงการสุขภาพถ้วนหน้า โครงการ ปรส. โครงการเช็คช่วยชาติ โครงการประกันราคาข้าว โครงการช่วยเหลือปัจจัยการผลิตและประกันราคายางพารา แม้กระทั่งการช่วยเหลือชาวนาแบบให้เปล่าไร่ละ 1,000 บาทต่อฤดูกาล ล้วนเป็นโครงการที่รัฐใช้เงินจำนวนมากมหาศาลเข้ามาคุ้มครองดูแลประชาชนของตนทั้งสิ้น
หากพิจารณาในมิติเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ด้านเดียว โครงการสาธารณะเหล่านี้ล้วนต้องถูกตีความว่าขาดทุนและทำให้ประเทศชาติเสียหายทั้งสิ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้รัฐบาลและผู้รับผิดชอบต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน

4. โครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยริเริ่มและผลักดันให้เกิดขึ้น ได้มีการจ่ายเงินให้ชาวนา 870,018 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนอีกหลายรอบ ซึ่งนับเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นอกจากนั้นรัฐบาลยังสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นถึงปีละกว่า 1 แสนล้านบาท รัฐบาลมีมาตรการป้องกันการทุจริต โดยจ่ายเงินผ่านตรงเข้าบัญชีชาวนา เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนถึงมือชาวนาโดยไม่มีการรั่วไหล หรือใครได้รับผลประโยชน์จากเงินดังกล่าว
นอกจากนี้โครงการรับจำนำข้าว ยังมีข้าวที่ชาวนานำมาจำนำอันถือเป็นสมบัติของรัฐบาลและประเทศ ซึ่งเก็บไว้ในสต็อค ที่ผ่านมาในช่วงที่แห้งแล้งและปลูกข้าวไม่ได้ ยังสามารถนำข้าวดังกล่าวไปขายในตลาดโลก ทำให้รัฐบาลมีรายได้มากขึ้นจากการเป็นผู้ส่งออกข้าวในอันดับสูงต้นๆ ของโลก

5. การกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ควบคุมและกำกับนโยบายรับจำนำข้าว ว่าละเลยปล่อยให้มีการทุจริตเสียหายอย่างร้ายแรง ไม่มีการแก้ไขตรวจสอบหรือยกเลิกโครงการ ถือเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ยุติธรรม และไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง
รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยได้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวโดยใช้ความระมัดระวังอย่างรอบคอบ มิได้ปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหาย โดยได้มีการสั่งการและกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างชัดเจนหลายมาตรการ ซึ่งมาตรการเหล่านั้นได้ถูกสั่งการให้จัดทำขึ้นอย่างเข้มงวด โดยการพัฒนาปรับปรุงจากหลักเกณฑ์และวิธีการต่างๆ เท่าที่รัฐบาลในอดีตเคยดำเนินการและจัดทำกันมากว่า 30 ปี

ขณะเดียวกัน จากรายงานการไต่สวนของ ป.ป.ช. ได้เคยมีบันทึกยืนยันว่า...”ไม่ปรากฏหลักฐานว่า อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีส่วนร่วมในการทุจริต หรือสมยอมให้เกิดการทุจริต
การประโคมข่าวเรื่องการทุจริตหรือการปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต จึงเป็นเพียงกลวิธี หรือวาทกรรมที่ต้องการสร้างกระแสความชอบธรรมทางการเมือง เพื่อทำลายและปรักปรำอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเลวร้ายและไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีการที่ไม่ชอบธรรมที่สุด คือ ความพยายามสร้างเงื่อนไขและผลักดันให้อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายหลายแสนล้านบาทในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งๆ ที่คดีความดังกล่าวยังมีปัญหาเรื่องการตีความ “ความเสียหาย” ที่ยังถกเถียงโดยยังไม่มีข้อยุติ และคดีความดังกล่าวยังเพิ่งเริ่มต้นในศาลอาญาแผนกคดีการเมือง และเพิ่งอยู่ในขั้นตอนเริ่มแรกของการตกลงเรื่องพยานหลักฐาน โดยยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาคดีเลย
นอกจากนั้นยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ว่า ป.ป.ช.จะสามารถระงับยับยั้งโครงการที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาได้หรือไม่ และหากมีการระงับยับยั้งหรือยุติการดำเนินงาน รัฐบาลจะถูกกล่าวหาว่า กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่?

6. เป็นที่ทราบกันดีว่า ขณะนี้ได้มีการฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง ข้อเท็จจริงคือคดียังอยู่ในชั้นตรวจสอบพยานหลักฐาน ยังไม่ได้เริ่มต้นสืบพยานเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเร่งรัดหาทางในการดำเนินคดีแพ่ง เพื่อชี้ให้อดีตนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดในทางแพ่ง
ความจริงควรมีการพิจารณาบรรทัดฐานที่เกิดขึ้นในอดีตว่า โครงการที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีได้ทำตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ไม่เคยปรากฏว่ามีการนำมาฟ้องร้องกันไม่ว่าในทางอาญาหรือทางแพ่ง
ในยุคที่ประเทศไทยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความเป็นธรรม ปัญหาในเรื่องสองมาตรฐานหรือการเลือกปฏิบัติก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในขณะนี้จะเห็นได้ว่า มีการใช้กลไกและเทคนิคทางกฎหมายทุกรูปแบบเพื่อหวังผลทางการเมืองให้เกิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้อง การเร่งรัดเพื่อเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในโครงการรับจำนำข้าวนั้น มีลักษณะเร่งรัดอย่างผิดปกติ ทั้งที่องค์ประกอบทางกฎหมายในการเรียกค่าเสียหายก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำได้หรือไม่
สถานการณ์ดังกล่าว พรรคเพื่อไทยจึงขอชี้แจงให้ประชาชนและสาธารณชนทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาเหตุผลและข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรและผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน
พรรคเพื่อไทย

สั่งยึดรถ-ทรัพย์สิน 3ผู้ต้องหาคดี112 แล้ว - ผบ.ตร. จ่อขยายผลสอบ8ตร.เอี่ยวโยง




http://www.matichon.co.th/online/2015/10/14455047571445504864l.jpg

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีหมิ่นสถาบันฯ ที่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังจากพนักงานสอบสวนขออนุมัติศาลทหารฝากขังผู้ต้องหา 3 ราย ว่า รายละเอียดของคดีนี้จะขยายผลถึงใครหรือไม่อยู่ในสำนวน หากพบมีใครเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการหมด ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นา ยที่สั่งไปช่วยราชการที่กองปราบปรามเมื่อวานนี้นั้น มีความเกี่ยวพันอย่างไรนั้นตนไม่ทราบ เป็นการสืบสวนของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งตนยังไม่ได้มีการพูดคุย ปล่อยให้เขาทำงานกันไปก่อน ก็เหมือนกับคดีความผิดมาตรา 112 คดีหนึ่งที่ได้ตัวคนร้ายแล้วมีการขยายผลไปว่าถึงใครอย่างไรบ้าง มีการพาดพิงถึงใครมีการดำเนินการหมดอยู่แล้ว อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องก็คือไม่เกี่ยว แต่ส่วนอะไรที่เกี่ยวข้องก็คือเกี่ยวข้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่าตำรวจทั้ง 5 นายที่ถูกย้ายวานนี้ (21 ต.ค.) กับตำรวจ 8 นายที่ถูกย้ายก่อนหน้านี้มีความใกล้ชิดรู้จักสนิทกันใช่หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นายและ 8 นายคือใคร กลุ่มเดียวกันหรือเปล่าที่ถาม การสนิทชิดเชื้อเป็นเรื่องของส่วนตัว ตนไม่ได้ไปห้ามอยู่แล้ว ว่านาย ก. ห้ามสนิทกับนาย ข. มันไม่ใช่ ก็อาจจะเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็กและมาเจอกันในนี้  อาจจะสอบในฐานะพยานหรือผู้ให้ถ้อยคำ ถ้าเกี่ยวข้องก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน 
   
ผู้สื่อข่าวถามว่า ลักษณะที่ไปแอบอ้างมาผลประโยชน์ต่างๆเป็นในเรื่องของตำแหน่งหรือว่าทรัพย์สิน  ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็คงรูปแบบคล้ายๆของเก่า เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามมีการยึดรถและทรัพย์สินของกลุ่มนี้แล้ว ยึดปืน รถ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์  วิทยุสื่อสาร ซึ่งมีการลงทะเบียนทั้งหมดไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีมูลค่าเท่าใด  
   
เมื่อถามว่า มีการระบุว่าผู้ต้องหาให้การพาดพิงตำรวจ 8 นายชุดแรกที่มีการสั่งย้ายช่วยราชการที่ศปก.บช.ก. จะมีการสอบสวนขยายผลว่ามีส่วนพาดพิงอะไรบ้าง ผบ.ตร. กล่าวว่า แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร โดยตำรวจทั้ง 8 นาย ก็ให้ความร่วมมือดี ให้ถ้อยคำ เป็นประโยชน์มาก ส่วนจะเข้าข่ายความผิดหรือมีพฤติการณ์อย่างไรอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน เชื่อว่าในการสอบสวน พล.ต.ท.ศรีวราห์ ต้องสอบถามถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้ต้องหาและตำรวจ 8นายอยู่แล้ว 
      

ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากตำรวจทั้ง 8 นายแล้ว ยังมีกลุ่มธุรกิจและกลุ่มคนประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมหรือถูกพาดพิงต้องนำตัวสอบสวนหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เราก็ต้องดู บางคนเขาไม่รู้ เอกชนบางท่านที่ไม่รู้ก็ต้องให้ความเป็นธรรม ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ เลย เดี๋ยวท่านคงกำหนดในประเด็นต่างๆว่าสอบใครบ้างอย่างไร


สำหรับ ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว วันที่ 22 ต.ค. มีรายงานข่าวว่า ภายหลังจากมีการคุมตัวผู้ต้องหาฝากขังต่อศาลทหารแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้น และอายัดทรัพย์สิน ของผู้ต้องหาทั้ง 3 คนแล้ว โดยที่คอนโดมิเนียมลองเมซอง ภายในซอยพหลโยธิน 24 ซึ่งเป็นที่พักของ พ.ต.ต.ปรากรม ทั้งนี้คอนโดมิเนียมดังกล่าวมีความสูง 21 ชั้น ด้านหน้าอาคารพบรถยี่ห้อโฟล์คสวาเกน รุ่นสาราเวล สีขาว ทะเบียน ฮพ 2  เสารับสัญญาน5เสา และเงินจำนวน 50 บาทที่ถูกติดป้ายอายัดติดที่กระจกหน้ารถจาก กก.1 บก.ป. เขียนข้อว่า รถตรวจยึดเพื่อทำการตรวจสอบห้ามเคลื่อนย้าย/หรือกระทำการใดๆมีข้อสงสัยติดต่อ กองกำกับการ1กองบังคับการปราบปราม


ภายในตึกลานจอดรถชั้นล่างพบรถยี่ห้อเบ็นซ์ รุ่นs55 สีดำ ทะเบียน ฆล168กรุงเทพมหานคร ,รถเบ็นซ์ รุ่นs class สีดำ ทะเบียน พต6กรุงเทพมหานคร ,รถยี่ห้อโตโยต้า รุ่นเวลฟาย สีดำ ทะเบียน ญศ168กรุงเทพมหานคร ถูกล๊อกล้อขวาหน้า ,รถยี่ห้อโตโยต้า รุ่นคราว สีขาว ทะเบียน 1 กศ 191 กรุงเทพมหานครถูกล๊อกล้อขวาหน้า ,รถยี่ห้อเบ็นซ์ รุ่นSL500 สีขาว ทะเบียน ฐจ 6 กรุงเทพมหานคร,มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ยี่ห้อดูคาติก ยี่ห้อมอสเตอร์ สีดำ ไม่ติดแผ่นป้านทะเบียน และมอเตอร์ไซนำขบวน ยี่ห้อ ฮอนด้า สีขวา-ดำ ทะเบียนตำรวจ 52930/52919/52931 ตามลำดับทั้งหมดถูกติดกระดาษ อายัดทั้งหมด


นอกจากนี้ได้ทำการปิดคอนโดดังกล่าว เพื่อทำการตรวจสอบ และเข้าตรวจสอบเพื่อออายัดทรัพย์ที่อยู่ในห้องพักเลขที่ 1914 ชั้น 19 คอนโดดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้มีรายงานว่า นอกจากห้องพักของพันตำรวจตรีปรากรมแล้ว มีรายงานว่าตำรวจยังได้เข้าตรวจสอบ และอายัดทรัพย์สินในบ้านหลังหนึ่ง ในซอยพหลโยธิน 14 ซึ่งเป็นของนายสุริยัน แล้วเช่นกัน  

"บิ๊กตู่"รู้แล้ว! นัดใส่เสื้อแดงทั่วประเทศ 1 พ.ย.ให้กำลังใจ"ยิ่งลักษณ์"




เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีการแชร์ภาพทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีข้อความเชิญชวนให้สวมเสื้อสีแดง ในวันอาทิตย์ที่ 1 พ.ย.นี้ เพื่อแสดงพลังในการให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โดนโจมตีเรื่องจำนำข้าว ว่า
รัฐบาลไม่ต้องการขยายความขัดแย้ง และไม่ต้องการเปิดประเด็นความขัดแย้ง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)รับทราบความเคลื่อนไหวของสังคมในประเด็นดังกล่าวแล้ว และขอให้ประชาชนใช้ดุลยพินิจว่าการแบ่งสีด้วยการเชิญชวนการแต่งเสื้อสี จะเป็นการทำให้เกิดการแบ่งแยกขึ้นในสังคมอีกหรือไม่ ซึ่งเราต้องเคารพกฎกติกาและกฎหมาย ถ้าเอาความรู้สึกส่วนตัวเป็นที่ตั้งจะทำให้การแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองลำบาก ทั้งนี้ในส่วนรัฐบาลให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมเป็นหลักมากกว่าการตอบโต้ไปมา.

กลุ่มแฮกเกอร์ระดับโลกเจาะฐานข้อมูลCAT

หยุดดัดจริตประเทศไทย กับ Orn Chonlada
กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ "นิรนาม" ผลงานดังระดับโลก "Anonymous"
ได้ประกาศแถลงการณ์ต่อต้านการทำ Single Gateway
รวมถึงประณามการกระทำของ คสช. ในช่วงที่ผ่านมา
====================================
สวัสดีประชาชนชาวโลก เราคือ anonymous (นิรนาม)
รัฐบาลไทย, เราได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของพวกคุณที่ตัดสินใจละเมิดเพิกเฉยประชาชนของคุณ พลเมืองของประเทศคุณ และดื้อด้านยืนกรานในการสร้าง Gatewaysที่จะสร้างระบบเอื้อประโยชน์เฉพาะตัวคุณ และเครือข่ายพรรคพวกของคุณเท่านั้น
เราได้เห็นสถานการณ์ที่เลยเถิดในประเทศไทยนานนับเดือน
เราได้เห็นการจำกัดเสรีภาพในการพูดซึ่งเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน สิทธิในการประท้วง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์ คสช.
โครงการล่าสุดของรัฐบาลทหารไทยคือการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อที่จะควบคุม ยับยั้ง และจับกุมใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของ คสช. หรือสิ่งที่ คสช นิยามมันว่า "ศีลธรรมอันดี"
ไม่มีระบบตรวจจับอะไรหยุดการก่อการร้ายได้ ไม่ว่าภัยคุกคามนั้นจะมาจากเอเชียหรือประเทศตะวันตก Singel Gatewayก็แค่ทำให้รัฐบาลที่ละโมบและเครือข่ายของพวกเค้าได้กอบโกยมากขึ้น และเอื้อให้จำกัดเสรีภาพในการพูดของประชาชนในประเทศนี้
สยามเมืองยิ้ม ไม่นานก็จะเป็นเหมือน จีน เกาหลีเหนือ หรือประเทศที่มีทรราชเผด็จการปกครอง ที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิคในการสอดแนมและเล่นงานประชาชนของตนเองที่คิดต่างจากรัฐบาล
มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่ คสช. แต่งตั้งคนของพวกเค้าที่เป็นนายทหาร มาควบคุมดูแลองค์กรสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุด CAT Telecom หน่วยงานหรือบุคคลใดๆ ที่มีส่วนช่วยในการดำเนินการ Single Gateway นี้ จะตกเป็นเป้าโจมตีทางอิเล็กทรอนิคส์ในทุกๆทาง
เราจะไม่เพียงแต่ต่อสู้กับโครงการ Single Gateway แต่เราจะเปิดเผยความโสมมของพวกคุณรัฐบาลทหาร คสช. ให้โลกได้รับรู้ ทั้งเรื่องการคอรัปชั่น และผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ
คนมากกว่า 6000 คนตาย และกว่า 10,000 คนบาดเจ็บในเหตุการณ์ความไม่สงบที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คุณไม่มีงบประมาณที่จะหยุดยั้งการก่อการร้ายนั้นที่พรากชีวิตคนบริสุทธิ์ แต่คุณกลับทุ่มงบประมาณ 15 ล้านดอลล่าห์เพื่อจะเซนเซอร์พลเมืองของคุณ พี่น้องชาวไทยจะเข้าใจว่าเราหมายถึง "ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย"
พวกเราทั้งหลายจะร่วมกันต่อต้านความอยุติธรรมของรัฐบาล
วันข้างหน้ารัฐบาลจะต้องรับกรรมจากการที่คุณกดขี่ข่มเหงประชาชนของคุณเอง
คุณสามารถจับขังปรับทัศนคติเรา แต่คุณไม่อาจจับกุมความคิดเราได้
เราคือนิรนาม
เราคือทุกแห่งหน
รวมพลังกันเป็นหนึ่ง
ไม่อาจถูกแบ่งแยก
เราไม่ยกโทษให้กับการเซนเซอร์
เราไม่ลืมเลือนการกดขี่ข่มเหงของคุณ
จงหวาดกลัวเรา
นิรนาม
ที่มาของข่าว
ที่มาของแถลงการณ์
http://pastebin.com/SL0ZaMxT
.
===================================
แอดมินได้เช็คที่ ทวิตเตอร์หลักของกลุ่มเค้าแล้ว...
สรุปว่ารอบนี้ "ของจริง" ว่ะครับ งานนี้มีเปิดสาขา เอเชีย แล้ว
ที่มาจากแอคเค้าหลักของกลุ่มนี้ เดียวอัพภาพให้
(https://twitter.com/YourAnonNews)
ผลงานเด่นดังของ กลุ่มนิรนามนี้ ก็ได้แก่การเล่นงาน Sony เละเทะ
หรือ Hack โปรแกรมดังๆเพื่อไปลบบัญชีคนที่สนับสนุนกลุ่ม ISIS เป็นต้น
ถ้าให้เปรียบเทียบพอเห็นภาพสภาพการรบทาง Cyber แล้วล่ะก็
เปรียบได้ว่า คสช. กำลังรบกับอเมริกาและรัซเซียทีเดียว "พร้อมกัน" ถ้ากลุ่มนี้เอาจริง แอดมินยังไม่เห็นทางชนะของ คสช. เลยแม้แต่นิดเดียว
ผลงานแรกคือการเจาระบบฐานข้อมูลลูกค้าของ Cat Telecom
https://www.blognone.com/node/73925
นี่แหละครับผลของการดึงดันของ คสช.
ที่ไม่ยอมยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี "จัดตั้งSingle Gateway"
ทุกความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นผลจากของ คสช.ทั้งสิ้น

ไทยวืดเก้าอี้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็น เผยคะแนนต่ำสุดในกลุ่มชาติเอเชีย



วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 02:48 น. ข่าวสด

 เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ยูเอ็นนิวส์ เซ็นเตอร์รายงานว่า สมาชิกสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ จัดการเลือกตั้งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UN HRC วาระปี ค.ศ. 2015-2017 จำนวน 15 ประเทศ ผลออกมา มีสมาชิกใหม่ ได้แก่ แอลเบเนีย บังกลาเทศ เอลซัลวาดอร์ กานา ลัตเวีย เนเธอร์แลนด์ ไนจีเรีย ปารากวัย โปรตุเกส และกาตาร์

 ส่วนสมาชิกเดิมที่จะหมดวาระแต่ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ต่อ มีโบลิเวีย บอตสวานา คองโก อินเดีย และอินโดนีเซีย

 ด้านเว็บไซต์ข่าวแร็ปเปลอร์ของฟิลิปปินส์รายงานว่า สำหรับประเทศไทยที่พยายามสมัครเป็นสมาชิกในคณะมนตรีนี้ได้คะแนนน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชีย 5 ประเทศ คือ 136 คะแนน เป็นรองกาตาร์ที่ได้ 142 คะแนน บังกลาเทศ 149 คะแนน อินโดนีเซีย 152 คะแนน และอินเดีย 162 คะแนน
 ก่อนหน้าการลงคะแนน กลุ่มสิทธิมนุษยชนกลุ่มต่างๆ เตือนรัฐบาลไทยหลายครั้งให้เร่งปรับปรุงด้านสิทธิมนุษยชน เช่น กลุ่มฮิวแมนไรต์วอตช์ในนิวยอร์ก กลุ่มสหพันธ์นานาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในปารีส และกลุ่มยูเนียน ฟอร์ ซีวิล ลิเบอร์ตี้ ในกรุงเทพฯ เรียกร้องให้ไทยยกเลิกกฎอัยการศึก ที่ใช้มาตั้งแต่การยึดอำนาจในวันที่ 22 พ.ค. 
 นอกจากนี้กลุ่มฮิวแมนไรต์ วอตช์ยังทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 18 ต.ค. เตือนว่า คำสัญญาของไทยที่จะสนับสนุนสิทธิมนุษยชนยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง หากประเทศยังอยู่ภายใต้กฎทางทหาร จึงขอเรียกร้องให้ยุติการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการประท้วงอย่างสันติ 

ทั้งนี้ เมื่อปี 2010 ก่อนเหตุสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ไทยเคยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนครั้งแรก วาระ 3 ปี ด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง

นาทีบีบหัวใจ... สหรัฐฯส่งทหารบุกเรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning ของจีน


นาทีบีบหัวใจ... สหรัฐฯส่งทหารบุกเรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning ของจีน, กาตาร์ห้าวไม่ดูสังขารตัวเอง ขู่ว่าจะส่งทหารเข้าลุยในซีเรียโดยตรง
----------
1.) ดูพาดหัวข่าวสิครับ น่ากลัวใช่ป๊ะ?... มีเรื่องสนุกๆมาเล่าให้ฟังนะครับเริ่มที่ข่าวสหรัฐฯกับจีนก่อนนะ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนสหรัฐฯมีท่าทีจริงจังออกแนวก้าวร้าวดุดันตามส.ด.เดิมที่ชอบรุกรานประเทศอื่น โดยประกาศว่าจะส่งเรือรบของตนเข้าไปลาดตระเวนในทะเลจีนใต้ ไปชวนออสเตรเลียก่อน ออสเตรเลียบอกว่านาทีนี้ไม่อยากงัดข้อกับจีน อยากค้าขายกับจีน เบื่อสงครามแล้วครับลูกพี่ สหรัฐฯหันไปหาญี่ปุ่นกะจะเสี้ยมให้งัดกับจีนด้วย ญี่ปุ่นก็บอกว่าอยากค้าขายกับจีนมากกว่า ฮ่าๆๆ อะไรอ่ะ... ไม่ช่วยรักษาหน้าให้ลูกพี่กันเลย ทำอย่างนี้ได้อย่างไร อ้อ… ตอนที่สหรัฐฯขู่ใหม่ๆจีนดูท่าทีสักพักหนึี่งแล้วก็ออกมาบอกว่าเชิญสหรัฐฯเข้ามาเลย (กล้าๆหน่อย) จีนจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น จะไม่ตอบโต้ทางกองทัพด้วย (ซะเมื่อไหร่ คริๆ) ถ้าอยากรู้ว่าจีนจะตอบโต้ไหมก็รองส่งเรือรบของสหรัฐฯเข้ามาตามที่ประกาศไว้สิครับ
ชวนใครไปลุยกับจีนก็ไม่มีใครเอาด้วยซักราย เซ็งมาก! ทำไงดีหว่า? สหรัฐฯไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด ไม่มีเพื่อนลุยใช่ไหม งั้นสหรัฐฯลุยเดี่ยวก็ได้ครับ อ้าวลุยจริงๆนะครับ ไม่ได้พูดเล่น ลุยยังไงรึ? อยากรู้ใช่ไหมหละ อ่านต่อนะครับผม
วันที่ 22 ต.ค.58 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "ในขณะที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ลูกเรือสหรัฐฯก็เดินทางไปเยือนเรือบรรทุกเครื่องบินของจีน" (As Tensions Rise, US Sailors Visit Chinese Aircraft Carrier) สื่อฯรัสเซียเกริ่นนำว่า เจ้าหน้าที่กองทัพเรือของสหรัฐฯกลุ่มหนึ่งได้ไปทัวร์เรือบรรทุกเครื่องบินจีน สื่อฯจีนรายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างกรุงวอชิงตันและกรุงปักกิ่งได้เพิ่มขึ้นกรณีการกล่าวอ้างเขตแดนในทะเลจีนใต้ [ยังไม่ชัดใช่ไหม? งั้นดูพาดหัวข่าวของสื่อฯอื่นๆบ้างนะครับ]
วันที่ 21 ต.ค.58 เว็บไซต์ Dailymail ของอังกฤษพาดหัวข่าวที่เอาข่าวมาจากสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศสว่า "เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯทัวร์เรือบรรทุกเครื่องบินจีน แม้จะมีความตึงเครียด" (US officers tour Chinese aircraft carrier despite tensions)
อีกซักสำนักหนึ่งนะครับ วันที่ 21 ต.ค.58 NDTV ของอินเดียพาดหัวข่าวในเว็บไซต์ของตนเองว่า "กัปตันเรือสหรัฐฯจำนวน 29 นายเยือนเรือบรรทุกเครื่องบินลำเดียวของจีน" (29 US Naval captains visit China’s lone aircraft carrier)
ส่วนสื่อฯของจีน Global Times พาดหัวข่าววันที่ 21 ต.ค.58 ว่า "เหลียวหนิงทัวร์โดยกองทัพเรือของสหรัฐฯแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของจีน" (Liaoning tour by US navy demonstrates China’s sincerity )
[ตกลงว่าสหรัฐฯส่งทหารเรือของตนเองไปนอนอาบแดดเล่นบนดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินจีนใช่ไหม? งั้นขอเลือกแหล่งข่าวจากสื่อฯจีนมาแปลนะครับ - ผู้แปล]
รายงานข่าวจาก Global Times บอกว่า คณะผู้แทนเจ้าหน้าที่กองทัพเรือสหรัฐฯได้เดินทางไปเยี่ยมชมเรือ Liaoning ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา [ไปทำไม?] การจัดทัวร์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการแลกเปลี่ยนประจำปีระหว่างกองทัพเรือจีนกับสหรัฐฯ ระหว่างข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ที่กำลังเดือดปุดๆ คณะทัวร์ของสหรัฐฯที่เดินทางไปยังเรือ Liaoning ได้ส่งสัญญาณที่เป็นบวก เนื่องจากมันเป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจจากทั้งสองฝ่ายสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางกองทัพมากขึ้น
[ปัดธ่อ! นึกว่าอะไร จีนก็แค่จัดงานวันเด็กบนเรือบรรทุกเครื่องบินของตัวเอง เปิดโอกาสให้สหรัฐฯส่งเจ้าหน้าที่จากกองทัพเรือของตัวเองไปเที่ยวชมแสนยานุภาพทางกองทัพเรือของจีนก็เท่านั้นเอง คริๆ - ผู้แปล]
ต่อนะครับ... รายงานข่าวบอกว่าได้มีกลุ่มประเทศตะวันตกหลายประเทศเดินทางไปดูเรือ Liaoning ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความใฝ่ฝันในการเติบโตของจีนเพื่อมีอิทธิพลระดับโลกมากขึ้น แต่ว่า นับตั้งแต่จีนส่งเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกเข้าประจำการในกองทัพประชาชนของจีน (People's Liberation Army) ก็ไม่ได้หมายความว่าจีนจะเอาเรือบรรทุกเครื่องบินของตนไปซ่อนไว้ [เฮียสีน่าจะเก็บตั๋วเข้าชมจากเจ้าหน้าที่ของประเทศต่างๆด้วยนะ รายได้คงดีไม่น้อยเลย]
In April 2013, เมื่อถึงเดือนเมษา... หนุ่มบ้านนานั่งฝัน... ฮ่าๆๆ... เอาจริงหละนะครับคราวนี้ ในเดือนเมษายน 2013 พลเรือนและนักธุรกิจเป็นจำนวนมากได้พากันไปเยี่ยมชมเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Chuck Hagel (อดีต) รมว.กลาโหมของสหรัฐฯได้ก้าวขึ้นไปบนเรือบรรทุกเครื่องบินในวันแรกที่เดินทางไปเยือนจีนสามวัน ข้อเท็จจริงก็คือว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพของจีน ได้รับเชิญให้ไปเบิ่งตาดูใกล้ (take a close look) เรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้ทั่วทั้งลำเลย ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความจริงใจของจีนในการโปรโมทการแลกเปลี่ยนทางกองทัพกับสหรัฐฯ และเป็นการพัฒนาความโปร่งใสทางกองทัพ (military transparency) ให้ยิ่งขึ้นไปด้วย
Hagel ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากฝ่ายตะวันตกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ขึ้นไปบนเรือลำนี้ พล.ร.อ. Bernard Rogel เสนาธิการทหารเรือ (Chief of Staff) จากกองทัพเรือฝรั่งเศสก็ยังได้ไปทัวร์เรือ Liaoning เมื่อเดือนเมษายนมาแล้ว
จีนอธิบายถึงเหตุผลที่เชิญเจ้าหน้าที่ทางกองทัพของสหรัฐฯและต่างประเทศเข้าไปทัวร์เรือบรรทุกเครื่องบินของจีนว่า สำหรับจีนแล้ว การพัฒนาความโปร่งใสทางกองทัพให้ก้าวหน้าถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ กลุ่มประเทศตะวันตกได้ทุ่มภูเขากดดันจีนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสทางกองทัพมากขึ้น แต่จีนก็ควรจะรักษาจังหวะของตนเองให้ดี แม้ว่าความเข้มแข็งทางกองทัพของจีน จะพัฒนามาได้อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ก็ยังถือว่ามีช่องว่างที่เห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับมหาอำนาจทางกองทัพบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ
สื่อฯจีนบอกว่าตลอดช่วงที่ผ่านมาจีนก็ได้พยายามที่แสดงออกถึงความโปร่งใสทางกองทัพของตนเอง และจีนก็พยายาทำตัวสงบเสงี่ยม (keeps a low-profile) เพื่อไม่ให้เป็นการเติมเชื้อไฟกระพือทฤษฎี "ภัยคุกคามจากจีน" น่าเสียดายที่ท่าทีของการทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวดูเหมือนว่าจะล้มเหลวในการลดเสียงรบกวนลง
[การที่เรายิ่งทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัว กลับถูกมองว่าเราหงอ อีกฝ่ายจึงรุกหนัก แต่พอเล่นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แรงมาแรงไป แบบรัสเซีย พวกนั้นก็จะเล่นมุกใหม่อีกว่า รัสเซียก้าวร้าว และตัวเองก็ชิงเล่นบทเป็นผู้ถูกกระทำ ถ้ารัสเซียและจีนหยุดหรืออยู่นิ่งๆ พวกนี้ก็จะกระแซะเข้าใกล้ชายแดนของจีนและรัสเซียเรื่อยๆ วอนหาเรื่องและยั่วยุว่าอย่างนั้นเถอะ พอโดนเอ็ดก็ทำเป็นร้องไห้แงๆ รีบเล่นละครฟ้องชาวโลกว่ากำลังจะถูกจีนกับรัสเซียรังแกอีกแล้ว เซ็งปะ? - ผู้แปล]
สุดท้ายสื่อฯจีนเน้นย้ำว่า... การเดินทางมาทัวร์เรือ Liaoning ของจีนโดยคณะผู้แทนของสหรัฐฯเป็นก้าวย่างที่ดีซึ่งแสดงออกถึงความจริงใจของจีนในการแลกเปลี่ยนทางกองทัพด้วยความมั่นใจทางกองทัพระหว่างสหรัฐฯกับจีน
[สรุปอีกทีหนึ่ง สูตรสำเร็จในการสร้าง propaganda จากฝั่งตะวันตก: ถ้าจีน รัสเซีย อิหร่าน หรือเกาหลีเหนือเสริมแสนยานุภาพทางกองทัพของตนเอง ก็จะถูกมองหรือให้ประกาศว่าเป็นการแสดงออกถึงความก้าวร้าว ชอบรุกรานผู้อื่น แต่ถ้าสหรัฐฯและตะวันตกทำแบบเดียวกันนี้ ให้เข้าใจว่านั่นคือ เสรีภาพ และการส่งเสริมและรักษาประชาธิปไตย]
2.) วันที่ 22 ต.ค.58 สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "กาตาร์ขู่ว่าจะแทรกแซงทางกองทัพในซีเรีย" (Qatar Threatens Military Intervention in Syria) เจ้าหน้าที่ของกาตาร์ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ของกลุ่ม jihadist ที่ต่อสู้อยู่ในซีเรียมาหลายปี กล่าวว่าปัจจุบันนี้กาตาร์กำลังกระตือรือร้นพิจารณาถึงการแทรกแซงทางกองทัพโดยตรงในประเทศซีเรีย [กล้่าๆหน่อยครับ เครื่องบินรบของรัสเซียและกองทัพภาคพื้นดินของซีเรียและทหารเฮชบูลเลาะห์กำลังรออยู่ - ผู้แปล]
รายงานข่าวบอกกว่าในสงครามนองเลือดที่ซีเรียนั้น รัฐบาลกาตาร์ได้เป็นผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายต่อต้านรัฐบาลที่ชัดเจน ด้วยการสนับสนุนอาวุธและเงินทุนให้กับกลุ่มที่เรียกว่า "กบฏ" หลายกลุ่มในจำนวนนี้เช่นพวก al-Nusra Front ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้า แน่นอนว่ายุทธศาสตร์แบบนั้นเป็นการเติมปุ๋ยให้กับองค์กรก่อการร้ายในภูมิภาค
แต่เมื่อรัสเซียเข้าไปโจมตีทางอากาศต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายเป็สัปดาห์ที่สี่ กาตาร์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กาตาร์อาจจะมีปฏิบัติการทางกองทัพของตนเอง (ในซีเรีย) บ้าง
[ด้วยเหตุผลอะไรครับคุณกาตาร์? ตัวเองเป็นเกาะเล็กๆ ไม่ถึงเสี้ยวหนี่งของพื้นที่ซีเรียเลยนะ ไม่มีพรมแดนอยู่ติดกับซีเรียด้วย ทำไมถึงอยากจะหาเรื่องใส่ตัวเองนักนะนี่? ประชากรชาวซีเรียมี 17 ล้านกว่าคน ของกาตาร์มีประมาณ 5 แสนกว่าคน ทหารประจำการในกองทัพของซีเรียมี 178,000 นาย ของกาตาร์มี 11,800 นาย กำลังสำรองของซีเรียมี 570,000 นาย ของกาตาร์มีศูนย์นาย นอกจากนี้แล้วอาวุธหนัก อย่างรถถัง เครื่องบินรบ เฮลิค็อปเตอร์เป็นต้น กาตาร์สู้ซีเรียไม่ได้ซักอย่าง กาตาร์มีหนี้ต่างประเทศประมาณ $149,400 ล้าน ส่วนซีเรียมีหนี้ $9,796 ล้าน ที่กาตาร์เหนือกว่าซีเรียก็คือมีปริมาณน้ำมันสำรองมากกว่าซีเรีย ซึ่งกาตาร์มีประมาณ 25,380 bbl ส่วนซีเรียมีประมาณ 2,500 bbl เปรียบเทียบแสนยานุภาพทางกองทัพเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 13 ประเทศดังนี้ อันดับที่1 คือ อิสราเอล, 2.คืออิหร่าน, 3. ซาอุดิอาระเบีย, 4. ซีเรีย, 5. UAE, 6. จอร์แดน, 7. โอมาน, 8. คูเวต, 9. กาตาร์, 10. เยเมน, 11. บาห์เรน, 12. เลบานอน, 13. อิรัค - อ้างอิงจากเว็บไซต์ global firepower - ผู้แปล]
Khalid al-Attiyah รมว.ต่างประเทศของกาต้าร์ให้สัมภาษณ์กับ CNN เมื่อวันพุธนี้เองเมื่อถูกถามว่า กาตาร์สนับสนุนจุดยืนของซาอุดิอาระเบียในการไม่ตัดตัวเลือกทางกองทัพออกไปหรือไม่? Khalid al-Attiyah ตอบว่า "อะไรก็ได้ที่ปกป้องประชาชนชาวซีเรียและประเทศซีเรียจากการแบ่งแยก พวกเราจะไม่สำรองความพยายามใดๆที่จะดำเนินการกับพี่น้องซาอุดิและตุรกีของพวกเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น"
[กรรม! ก็เลยส่งอาวุธให้กับพวกผู้ก่อการร้ายและกลุ่มกบฏต่างๆที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนและโค่นล้มอัสซาดที่มาจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงของประชาชนชาวซีเรียถึง 88.7% นี่นะ? คุณกินยาเขย่าขวดมาหรือเปล่าครับคุณกาต้าร์? ไปคบกับอเมริกามากก็เลยติดเชื้อกระล่อนปลิ้นปล้อนมาด้วยเลยเห็นไหมหละ "ปกป้องประชาชนชาวซีเรียและประเทศซีเรียจากการแบ่งแยก!" ช่างกล้าพูดน้อ... เฮ้อ… แล้วซีเรียไม่ใช่พี่น้องของคุณหรือไง? - ผู้แปล]
Khalid al-Attiyah กล่าวอีกว่า "ถ้าการแทรกแซงทางกองทัพจะช่วยปกป้องประชาชนชาวซีเรียจากความโหดร้ายของระบอบ พวกเราก็จะทำ" อ้างคำพูดโดยสำนักข่าว QNA ของกาต้าร์เอง
[อึ่ม!… ท่านรัฐมนตรีอย่าพึ่งพูดถึงซีเรียเลยนะ แอ็ดมินขอเสนอว่า ถ้าท่านมั่นใจในกองทัพและฝีมือของท่านจริงๆ ก็น่าจะไปช่วยกองทัพซาอุดิฯรับมือกับเหล่านักรบโสร่งฮูติที่กำลังรุกคืบอยู่ในสามจังหวัดภาคใต้ของซาอุดิในตอนนี้ดีกว่าไหม? ไม่งั้นฮูติและกองทัพเยเมนจะยึดคืนมาสู่แผ่นดินแม่ของเยเมนอีกครั้งนะครับ ให้ไวเลย! - ผู้แปล]
มาดูฝั่งซีเรียบ้างนะครับว่าจะตอบโต้รมว.ต่างประเทศกาตาร์อย่างไรบ้าง รายงานข่าวบอกว่า Faisal Mekdad รมช.ต่างประเทศของซีเรียรีบออกมาเตือนกษัตริย์ตะวันออกกลาง (ด้วยความปรารถนาดี) อย่างเร่งด่วนว่า การดำเนินการเช่นนั้นอาจจะกลายเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงพร้อมกับผลลัพธ์ที่ฉกาจฉกรรจ์ก็ได้นะ (พะยะค่ะ)
Faisal Mekdad กล่าวว่า "ถ้ากาตาร์ยังทำการคุกคามด้วยการแทรกแซงทางกองทัพในซีเรีย ดังนั้นพวกเราก็จะพิจารณาว่า นี่เป็นการรุกรานโดยตรง การตอบโต้ของพวกเราจะรุนแรงมาก" [แน่ใจนะว่ากาตาร์จะรับมือไหว?] อ้างโดยสถานีโทรทัศน์ al-Mayadeen
Khalid al-Attiyah เน้นย้ำว่า "กาตาร์ก็ค่อนข้างที่จะพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีทางการทูตมากกว่า ต่อวิกฤตในซีเรีย"
Khalid al-Attiyah กล่าวกับ CNN ว่า "พวกเราไม่ได้กลัวการเผชิญหน้าใดๆทั้งนั้น และดังนั้นพวกเราจะเรียกร้องให้มีการเจรจาจากจุดยืนของความเข้มแข็ง เพราะว่าพวกเราเชื่อมั่นในสันติภาพและหนทางที่สั้นที่สุดที่จะนำไปสู่สันติภาพได้ก็คือผ่านการเจรจาโดยตรง" [เซ็งเลยครับ! อุตส่าห์เชียร์ อุตส่าห์ลุ้นอยู่ตั้งนาน เบื่อจริงๆพวกปากกล้าขาสั่นนี่ เหมือนลูกพี่อเมริกาเป๊ะ! - ผู้แปล]
[พอได้อ่านรมว.ต่างประเทศของกาตาร์พูดแบบนี้ทำให้นึกถึง ปธน.เปโตร โปโรเชนโก ของยูเครนขึ้นมาทันทีเลย แฟนเพจเก่าน่าจะพอจำได้อยู่นะครับเคยเล่าให้ฟังแล้ว วันนี้เขาเล่าซ้ำแบบย่อๆนะ ตอนนั้น (ต้นเดือนกันยายน 2015) Petro Poroshenko ได้เสนอสามวิธีเพื่อหยุดสงครามในยูเครนหนึ่งในนั้นก็คือ 1.) ยกกองทัพบุกเข้าในภูมิภาคดอนบาสส์ DPR/LPR ในยูเครนตะวันออกถล่มให้ยับ จากนั้นก็นำกองทัพยูเครนลุยเข้าไปยังกรุงมอสโคว์เลย 2.) โปโรเชนโกบอกว่าวิธีที่หนึ่งนั้นมันบ้าบิ่นเกินไปจะทำให้ประชาชนชาวยูเครนต่อต้านเป็นจำนวนมาก ไม่เอา ไม่เอา ไม่ดี (แล้วคุณพูดมาทำไม?) งั้นขอเสนอวิธีที่สองคือ สร้างกำแพงกั้นและตัดพื้นที่ DPR/LPR นั้นออกจากยูเครนไปซะ แม้จะไม่มีดอนบาสส์ยูเครนก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ (ใช่ครับแต่ได้ยินข่าวว่าตอนนี้รัฐบาลยูเครนขอนำเข้าถ่านหินจากดอนบาสส์เพิ่มขึ้นแล้วนะครับ คริๆ) 3.) โปโรเชนโกบอกว่า "วิธีที่สามก็คือวิธีที่มีการยอมรับกันมากที่สุด และวิธีนี้ก็คือ ข้อตกลงสันติภาพกรุงมินส์ก" (Minsk agreements) สรุป "เจรจา" ครับท่าน ฮ่าๆๆ เวอร์ชั่นเต็มอยู่ในลิ้งค์อ้างอิงท้ายบทความนะครับ]
The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
22/10/2558
----------