PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นาทีบีบหัวใจ... สหรัฐฯส่งทหารบุกเรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning ของจีน


นาทีบีบหัวใจ... สหรัฐฯส่งทหารบุกเรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning ของจีน, กาตาร์ห้าวไม่ดูสังขารตัวเอง ขู่ว่าจะส่งทหารเข้าลุยในซีเรียโดยตรง
----------
1.) ดูพาดหัวข่าวสิครับ น่ากลัวใช่ป๊ะ?... มีเรื่องสนุกๆมาเล่าให้ฟังนะครับเริ่มที่ข่าวสหรัฐฯกับจีนก่อนนะ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนสหรัฐฯมีท่าทีจริงจังออกแนวก้าวร้าวดุดันตามส.ด.เดิมที่ชอบรุกรานประเทศอื่น โดยประกาศว่าจะส่งเรือรบของตนเข้าไปลาดตระเวนในทะเลจีนใต้ ไปชวนออสเตรเลียก่อน ออสเตรเลียบอกว่านาทีนี้ไม่อยากงัดข้อกับจีน อยากค้าขายกับจีน เบื่อสงครามแล้วครับลูกพี่ สหรัฐฯหันไปหาญี่ปุ่นกะจะเสี้ยมให้งัดกับจีนด้วย ญี่ปุ่นก็บอกว่าอยากค้าขายกับจีนมากกว่า ฮ่าๆๆ อะไรอ่ะ... ไม่ช่วยรักษาหน้าให้ลูกพี่กันเลย ทำอย่างนี้ได้อย่างไร อ้อ… ตอนที่สหรัฐฯขู่ใหม่ๆจีนดูท่าทีสักพักหนึี่งแล้วก็ออกมาบอกว่าเชิญสหรัฐฯเข้ามาเลย (กล้าๆหน่อย) จีนจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น จะไม่ตอบโต้ทางกองทัพด้วย (ซะเมื่อไหร่ คริๆ) ถ้าอยากรู้ว่าจีนจะตอบโต้ไหมก็รองส่งเรือรบของสหรัฐฯเข้ามาตามที่ประกาศไว้สิครับ
ชวนใครไปลุยกับจีนก็ไม่มีใครเอาด้วยซักราย เซ็งมาก! ทำไงดีหว่า? สหรัฐฯไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด ไม่มีเพื่อนลุยใช่ไหม งั้นสหรัฐฯลุยเดี่ยวก็ได้ครับ อ้าวลุยจริงๆนะครับ ไม่ได้พูดเล่น ลุยยังไงรึ? อยากรู้ใช่ไหมหละ อ่านต่อนะครับผม
วันที่ 22 ต.ค.58 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "ในขณะที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ลูกเรือสหรัฐฯก็เดินทางไปเยือนเรือบรรทุกเครื่องบินของจีน" (As Tensions Rise, US Sailors Visit Chinese Aircraft Carrier) สื่อฯรัสเซียเกริ่นนำว่า เจ้าหน้าที่กองทัพเรือของสหรัฐฯกลุ่มหนึ่งได้ไปทัวร์เรือบรรทุกเครื่องบินจีน สื่อฯจีนรายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างกรุงวอชิงตันและกรุงปักกิ่งได้เพิ่มขึ้นกรณีการกล่าวอ้างเขตแดนในทะเลจีนใต้ [ยังไม่ชัดใช่ไหม? งั้นดูพาดหัวข่าวของสื่อฯอื่นๆบ้างนะครับ]
วันที่ 21 ต.ค.58 เว็บไซต์ Dailymail ของอังกฤษพาดหัวข่าวที่เอาข่าวมาจากสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศสว่า "เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯทัวร์เรือบรรทุกเครื่องบินจีน แม้จะมีความตึงเครียด" (US officers tour Chinese aircraft carrier despite tensions)
อีกซักสำนักหนึ่งนะครับ วันที่ 21 ต.ค.58 NDTV ของอินเดียพาดหัวข่าวในเว็บไซต์ของตนเองว่า "กัปตันเรือสหรัฐฯจำนวน 29 นายเยือนเรือบรรทุกเครื่องบินลำเดียวของจีน" (29 US Naval captains visit China’s lone aircraft carrier)
ส่วนสื่อฯของจีน Global Times พาดหัวข่าววันที่ 21 ต.ค.58 ว่า "เหลียวหนิงทัวร์โดยกองทัพเรือของสหรัฐฯแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของจีน" (Liaoning tour by US navy demonstrates China’s sincerity )
[ตกลงว่าสหรัฐฯส่งทหารเรือของตนเองไปนอนอาบแดดเล่นบนดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินจีนใช่ไหม? งั้นขอเลือกแหล่งข่าวจากสื่อฯจีนมาแปลนะครับ - ผู้แปล]
รายงานข่าวจาก Global Times บอกว่า คณะผู้แทนเจ้าหน้าที่กองทัพเรือสหรัฐฯได้เดินทางไปเยี่ยมชมเรือ Liaoning ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา [ไปทำไม?] การจัดทัวร์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการแลกเปลี่ยนประจำปีระหว่างกองทัพเรือจีนกับสหรัฐฯ ระหว่างข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ที่กำลังเดือดปุดๆ คณะทัวร์ของสหรัฐฯที่เดินทางไปยังเรือ Liaoning ได้ส่งสัญญาณที่เป็นบวก เนื่องจากมันเป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจจากทั้งสองฝ่ายสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางกองทัพมากขึ้น
[ปัดธ่อ! นึกว่าอะไร จีนก็แค่จัดงานวันเด็กบนเรือบรรทุกเครื่องบินของตัวเอง เปิดโอกาสให้สหรัฐฯส่งเจ้าหน้าที่จากกองทัพเรือของตัวเองไปเที่ยวชมแสนยานุภาพทางกองทัพเรือของจีนก็เท่านั้นเอง คริๆ - ผู้แปล]
ต่อนะครับ... รายงานข่าวบอกว่าได้มีกลุ่มประเทศตะวันตกหลายประเทศเดินทางไปดูเรือ Liaoning ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความใฝ่ฝันในการเติบโตของจีนเพื่อมีอิทธิพลระดับโลกมากขึ้น แต่ว่า นับตั้งแต่จีนส่งเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกเข้าประจำการในกองทัพประชาชนของจีน (People's Liberation Army) ก็ไม่ได้หมายความว่าจีนจะเอาเรือบรรทุกเครื่องบินของตนไปซ่อนไว้ [เฮียสีน่าจะเก็บตั๋วเข้าชมจากเจ้าหน้าที่ของประเทศต่างๆด้วยนะ รายได้คงดีไม่น้อยเลย]
In April 2013, เมื่อถึงเดือนเมษา... หนุ่มบ้านนานั่งฝัน... ฮ่าๆๆ... เอาจริงหละนะครับคราวนี้ ในเดือนเมษายน 2013 พลเรือนและนักธุรกิจเป็นจำนวนมากได้พากันไปเยี่ยมชมเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Chuck Hagel (อดีต) รมว.กลาโหมของสหรัฐฯได้ก้าวขึ้นไปบนเรือบรรทุกเครื่องบินในวันแรกที่เดินทางไปเยือนจีนสามวัน ข้อเท็จจริงก็คือว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพของจีน ได้รับเชิญให้ไปเบิ่งตาดูใกล้ (take a close look) เรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้ทั่วทั้งลำเลย ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความจริงใจของจีนในการโปรโมทการแลกเปลี่ยนทางกองทัพกับสหรัฐฯ และเป็นการพัฒนาความโปร่งใสทางกองทัพ (military transparency) ให้ยิ่งขึ้นไปด้วย
Hagel ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากฝ่ายตะวันตกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ขึ้นไปบนเรือลำนี้ พล.ร.อ. Bernard Rogel เสนาธิการทหารเรือ (Chief of Staff) จากกองทัพเรือฝรั่งเศสก็ยังได้ไปทัวร์เรือ Liaoning เมื่อเดือนเมษายนมาแล้ว
จีนอธิบายถึงเหตุผลที่เชิญเจ้าหน้าที่ทางกองทัพของสหรัฐฯและต่างประเทศเข้าไปทัวร์เรือบรรทุกเครื่องบินของจีนว่า สำหรับจีนแล้ว การพัฒนาความโปร่งใสทางกองทัพให้ก้าวหน้าถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ กลุ่มประเทศตะวันตกได้ทุ่มภูเขากดดันจีนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสทางกองทัพมากขึ้น แต่จีนก็ควรจะรักษาจังหวะของตนเองให้ดี แม้ว่าความเข้มแข็งทางกองทัพของจีน จะพัฒนามาได้อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ก็ยังถือว่ามีช่องว่างที่เห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับมหาอำนาจทางกองทัพบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ
สื่อฯจีนบอกว่าตลอดช่วงที่ผ่านมาจีนก็ได้พยายามที่แสดงออกถึงความโปร่งใสทางกองทัพของตนเอง และจีนก็พยายาทำตัวสงบเสงี่ยม (keeps a low-profile) เพื่อไม่ให้เป็นการเติมเชื้อไฟกระพือทฤษฎี "ภัยคุกคามจากจีน" น่าเสียดายที่ท่าทีของการทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวดูเหมือนว่าจะล้มเหลวในการลดเสียงรบกวนลง
[การที่เรายิ่งทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัว กลับถูกมองว่าเราหงอ อีกฝ่ายจึงรุกหนัก แต่พอเล่นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แรงมาแรงไป แบบรัสเซีย พวกนั้นก็จะเล่นมุกใหม่อีกว่า รัสเซียก้าวร้าว และตัวเองก็ชิงเล่นบทเป็นผู้ถูกกระทำ ถ้ารัสเซียและจีนหยุดหรืออยู่นิ่งๆ พวกนี้ก็จะกระแซะเข้าใกล้ชายแดนของจีนและรัสเซียเรื่อยๆ วอนหาเรื่องและยั่วยุว่าอย่างนั้นเถอะ พอโดนเอ็ดก็ทำเป็นร้องไห้แงๆ รีบเล่นละครฟ้องชาวโลกว่ากำลังจะถูกจีนกับรัสเซียรังแกอีกแล้ว เซ็งปะ? - ผู้แปล]
สุดท้ายสื่อฯจีนเน้นย้ำว่า... การเดินทางมาทัวร์เรือ Liaoning ของจีนโดยคณะผู้แทนของสหรัฐฯเป็นก้าวย่างที่ดีซึ่งแสดงออกถึงความจริงใจของจีนในการแลกเปลี่ยนทางกองทัพด้วยความมั่นใจทางกองทัพระหว่างสหรัฐฯกับจีน
[สรุปอีกทีหนึ่ง สูตรสำเร็จในการสร้าง propaganda จากฝั่งตะวันตก: ถ้าจีน รัสเซีย อิหร่าน หรือเกาหลีเหนือเสริมแสนยานุภาพทางกองทัพของตนเอง ก็จะถูกมองหรือให้ประกาศว่าเป็นการแสดงออกถึงความก้าวร้าว ชอบรุกรานผู้อื่น แต่ถ้าสหรัฐฯและตะวันตกทำแบบเดียวกันนี้ ให้เข้าใจว่านั่นคือ เสรีภาพ และการส่งเสริมและรักษาประชาธิปไตย]
2.) วันที่ 22 ต.ค.58 สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "กาตาร์ขู่ว่าจะแทรกแซงทางกองทัพในซีเรีย" (Qatar Threatens Military Intervention in Syria) เจ้าหน้าที่ของกาตาร์ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ของกลุ่ม jihadist ที่ต่อสู้อยู่ในซีเรียมาหลายปี กล่าวว่าปัจจุบันนี้กาตาร์กำลังกระตือรือร้นพิจารณาถึงการแทรกแซงทางกองทัพโดยตรงในประเทศซีเรีย [กล้่าๆหน่อยครับ เครื่องบินรบของรัสเซียและกองทัพภาคพื้นดินของซีเรียและทหารเฮชบูลเลาะห์กำลังรออยู่ - ผู้แปล]
รายงานข่าวบอกกว่าในสงครามนองเลือดที่ซีเรียนั้น รัฐบาลกาตาร์ได้เป็นผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายต่อต้านรัฐบาลที่ชัดเจน ด้วยการสนับสนุนอาวุธและเงินทุนให้กับกลุ่มที่เรียกว่า "กบฏ" หลายกลุ่มในจำนวนนี้เช่นพวก al-Nusra Front ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้า แน่นอนว่ายุทธศาสตร์แบบนั้นเป็นการเติมปุ๋ยให้กับองค์กรก่อการร้ายในภูมิภาค
แต่เมื่อรัสเซียเข้าไปโจมตีทางอากาศต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายเป็สัปดาห์ที่สี่ กาตาร์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กาตาร์อาจจะมีปฏิบัติการทางกองทัพของตนเอง (ในซีเรีย) บ้าง
[ด้วยเหตุผลอะไรครับคุณกาตาร์? ตัวเองเป็นเกาะเล็กๆ ไม่ถึงเสี้ยวหนี่งของพื้นที่ซีเรียเลยนะ ไม่มีพรมแดนอยู่ติดกับซีเรียด้วย ทำไมถึงอยากจะหาเรื่องใส่ตัวเองนักนะนี่? ประชากรชาวซีเรียมี 17 ล้านกว่าคน ของกาตาร์มีประมาณ 5 แสนกว่าคน ทหารประจำการในกองทัพของซีเรียมี 178,000 นาย ของกาตาร์มี 11,800 นาย กำลังสำรองของซีเรียมี 570,000 นาย ของกาตาร์มีศูนย์นาย นอกจากนี้แล้วอาวุธหนัก อย่างรถถัง เครื่องบินรบ เฮลิค็อปเตอร์เป็นต้น กาตาร์สู้ซีเรียไม่ได้ซักอย่าง กาตาร์มีหนี้ต่างประเทศประมาณ $149,400 ล้าน ส่วนซีเรียมีหนี้ $9,796 ล้าน ที่กาตาร์เหนือกว่าซีเรียก็คือมีปริมาณน้ำมันสำรองมากกว่าซีเรีย ซึ่งกาตาร์มีประมาณ 25,380 bbl ส่วนซีเรียมีประมาณ 2,500 bbl เปรียบเทียบแสนยานุภาพทางกองทัพเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 13 ประเทศดังนี้ อันดับที่1 คือ อิสราเอล, 2.คืออิหร่าน, 3. ซาอุดิอาระเบีย, 4. ซีเรีย, 5. UAE, 6. จอร์แดน, 7. โอมาน, 8. คูเวต, 9. กาตาร์, 10. เยเมน, 11. บาห์เรน, 12. เลบานอน, 13. อิรัค - อ้างอิงจากเว็บไซต์ global firepower - ผู้แปล]
Khalid al-Attiyah รมว.ต่างประเทศของกาต้าร์ให้สัมภาษณ์กับ CNN เมื่อวันพุธนี้เองเมื่อถูกถามว่า กาตาร์สนับสนุนจุดยืนของซาอุดิอาระเบียในการไม่ตัดตัวเลือกทางกองทัพออกไปหรือไม่? Khalid al-Attiyah ตอบว่า "อะไรก็ได้ที่ปกป้องประชาชนชาวซีเรียและประเทศซีเรียจากการแบ่งแยก พวกเราจะไม่สำรองความพยายามใดๆที่จะดำเนินการกับพี่น้องซาอุดิและตุรกีของพวกเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น"
[กรรม! ก็เลยส่งอาวุธให้กับพวกผู้ก่อการร้ายและกลุ่มกบฏต่างๆที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนและโค่นล้มอัสซาดที่มาจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงของประชาชนชาวซีเรียถึง 88.7% นี่นะ? คุณกินยาเขย่าขวดมาหรือเปล่าครับคุณกาต้าร์? ไปคบกับอเมริกามากก็เลยติดเชื้อกระล่อนปลิ้นปล้อนมาด้วยเลยเห็นไหมหละ "ปกป้องประชาชนชาวซีเรียและประเทศซีเรียจากการแบ่งแยก!" ช่างกล้าพูดน้อ... เฮ้อ… แล้วซีเรียไม่ใช่พี่น้องของคุณหรือไง? - ผู้แปล]
Khalid al-Attiyah กล่าวอีกว่า "ถ้าการแทรกแซงทางกองทัพจะช่วยปกป้องประชาชนชาวซีเรียจากความโหดร้ายของระบอบ พวกเราก็จะทำ" อ้างคำพูดโดยสำนักข่าว QNA ของกาต้าร์เอง
[อึ่ม!… ท่านรัฐมนตรีอย่าพึ่งพูดถึงซีเรียเลยนะ แอ็ดมินขอเสนอว่า ถ้าท่านมั่นใจในกองทัพและฝีมือของท่านจริงๆ ก็น่าจะไปช่วยกองทัพซาอุดิฯรับมือกับเหล่านักรบโสร่งฮูติที่กำลังรุกคืบอยู่ในสามจังหวัดภาคใต้ของซาอุดิในตอนนี้ดีกว่าไหม? ไม่งั้นฮูติและกองทัพเยเมนจะยึดคืนมาสู่แผ่นดินแม่ของเยเมนอีกครั้งนะครับ ให้ไวเลย! - ผู้แปล]
มาดูฝั่งซีเรียบ้างนะครับว่าจะตอบโต้รมว.ต่างประเทศกาตาร์อย่างไรบ้าง รายงานข่าวบอกว่า Faisal Mekdad รมช.ต่างประเทศของซีเรียรีบออกมาเตือนกษัตริย์ตะวันออกกลาง (ด้วยความปรารถนาดี) อย่างเร่งด่วนว่า การดำเนินการเช่นนั้นอาจจะกลายเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงพร้อมกับผลลัพธ์ที่ฉกาจฉกรรจ์ก็ได้นะ (พะยะค่ะ)
Faisal Mekdad กล่าวว่า "ถ้ากาตาร์ยังทำการคุกคามด้วยการแทรกแซงทางกองทัพในซีเรีย ดังนั้นพวกเราก็จะพิจารณาว่า นี่เป็นการรุกรานโดยตรง การตอบโต้ของพวกเราจะรุนแรงมาก" [แน่ใจนะว่ากาตาร์จะรับมือไหว?] อ้างโดยสถานีโทรทัศน์ al-Mayadeen
Khalid al-Attiyah เน้นย้ำว่า "กาตาร์ก็ค่อนข้างที่จะพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีทางการทูตมากกว่า ต่อวิกฤตในซีเรีย"
Khalid al-Attiyah กล่าวกับ CNN ว่า "พวกเราไม่ได้กลัวการเผชิญหน้าใดๆทั้งนั้น และดังนั้นพวกเราจะเรียกร้องให้มีการเจรจาจากจุดยืนของความเข้มแข็ง เพราะว่าพวกเราเชื่อมั่นในสันติภาพและหนทางที่สั้นที่สุดที่จะนำไปสู่สันติภาพได้ก็คือผ่านการเจรจาโดยตรง" [เซ็งเลยครับ! อุตส่าห์เชียร์ อุตส่าห์ลุ้นอยู่ตั้งนาน เบื่อจริงๆพวกปากกล้าขาสั่นนี่ เหมือนลูกพี่อเมริกาเป๊ะ! - ผู้แปล]
[พอได้อ่านรมว.ต่างประเทศของกาตาร์พูดแบบนี้ทำให้นึกถึง ปธน.เปโตร โปโรเชนโก ของยูเครนขึ้นมาทันทีเลย แฟนเพจเก่าน่าจะพอจำได้อยู่นะครับเคยเล่าให้ฟังแล้ว วันนี้เขาเล่าซ้ำแบบย่อๆนะ ตอนนั้น (ต้นเดือนกันยายน 2015) Petro Poroshenko ได้เสนอสามวิธีเพื่อหยุดสงครามในยูเครนหนึ่งในนั้นก็คือ 1.) ยกกองทัพบุกเข้าในภูมิภาคดอนบาสส์ DPR/LPR ในยูเครนตะวันออกถล่มให้ยับ จากนั้นก็นำกองทัพยูเครนลุยเข้าไปยังกรุงมอสโคว์เลย 2.) โปโรเชนโกบอกว่าวิธีที่หนึ่งนั้นมันบ้าบิ่นเกินไปจะทำให้ประชาชนชาวยูเครนต่อต้านเป็นจำนวนมาก ไม่เอา ไม่เอา ไม่ดี (แล้วคุณพูดมาทำไม?) งั้นขอเสนอวิธีที่สองคือ สร้างกำแพงกั้นและตัดพื้นที่ DPR/LPR นั้นออกจากยูเครนไปซะ แม้จะไม่มีดอนบาสส์ยูเครนก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ (ใช่ครับแต่ได้ยินข่าวว่าตอนนี้รัฐบาลยูเครนขอนำเข้าถ่านหินจากดอนบาสส์เพิ่มขึ้นแล้วนะครับ คริๆ) 3.) โปโรเชนโกบอกว่า "วิธีที่สามก็คือวิธีที่มีการยอมรับกันมากที่สุด และวิธีนี้ก็คือ ข้อตกลงสันติภาพกรุงมินส์ก" (Minsk agreements) สรุป "เจรจา" ครับท่าน ฮ่าๆๆ เวอร์ชั่นเต็มอยู่ในลิ้งค์อ้างอิงท้ายบทความนะครับ]
The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
22/10/2558
----------

ไม่มีความคิดเห็น: