PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

สุรชาติ บำรุงสุข : เปลี่ยนผ่านการเมือง 2561 เลือกก็แพ้ ไม่เลือกก็พัง!

สุรชาติ บำรุงสุข : เปลี่ยนผ่านการเมือง 2561 เลือกก็แพ้ ไม่เลือกก็พัง!

สุรชาติ บำรุงสุข

“แม้ว่าอำนาจทางการเมืองจะส่งผ่านจากมือของทหารไปสู่มือของพลเรือนด้วยการเลือกตั้ง แต่การเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นเช่นนี้ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ”
Brian Loveman
The Politics of Antipolitics (1997)
สําหรับนักศึกษาในสาขา “เปลี่ยนผ่านวิทยา” (transitology) ที่เฝ้ามองปรากฏการณ์การเมืองไทยในกรอบความคิดเรื่องของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองแล้ว ความน่าสนใจคงไม่แตกต่างจากกรณีการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นมาแล้วในภูมิภาคอื่นๆ ในอดีต

โดยเฉพาะประเด็นสำคัญในกรณีนี้ก็คือ ในช่วงปลายของรัฐบาลอำนาจนิยมที่จะต้องตัดสินใจเปิดระบบการเมืองให้เกิดการส่งผ่านอำนาจนั้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและมีนัยอย่างสำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของแต่ละประเทศอย่างมาก

หรือกล่าวในทางทฤษฎีของวิชาเปลี่ยนผ่านวิทยาก็คือ แบบแผนของการเปลี่ยนผ่านในการส่งต่ออำนาจทางการเมืองสู่รัฐบาลพลเรือนจะมีส่วนโดยตรงต่อการกำหนดทิศทางทางการเมืองของประเทศในอนาคต

และทั้งยังจะมีนัยต่อการกำหนดความสัมพันธ์ของสถาบันและโครงสร้างอำนาจของระบบการเมืองที่จะเกิดขึ้นในยุคหลังเปลี่ยนผ่าน ได้เกิดขึ้นแล้ว ตลอดรวมถึงความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารที่เกิดขึ้นอีกด้วย
ฉะนั้น บทความนี้จะทดลองนำเสนอมุมมองการเมืองไทยในปี 2561 โดยอาศัยกรอบแนวคิดของเปลี่ยนผ่านวิทยาเป็นทิศทางของการพิจารณา

ช่วงปลายระบอบอำนาจนิยม

คงต้องยอมรับว่าการดำรงอยู่ของระบอบอำนาจนิยมในการเมืองไทยหลังจากรัฐประหารพฤษภาคม 2557 นั้น มีระยะเวลายาวนานมากกว่าที่นักสังเกตการณ์เฝ้ามอง

เพราะหากย้อนกลับไปดูการยึดอำนาจในยุคที่ผ่านๆ มา กองทัพไม่สามารถอยู่ในการเมืองไทยได้นาน เช่น คณะรัฐประหารในปี 2534 ก็พังทลายลงในเหตุการณ์พฤษภา 2535 หรือคณะรัฐประหาร 2549 ก็ตัดสินใจเปิดการเลือกตั้งในปลายปี 2550

ปรากฏการณ์จากประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของรัฐประหารไทยดูจะบอกแก่เราว่า การถือครองอำนาจของคณะทหารจะอยู่ในการเมืองแบบไม่นานนัก

ในรอบปี 2534 นั้น อายุของระบบอำนาจนิยมจากเดือนกุมภาพันธ์ 2534 และจบลงในวิกฤตพฤษภาคม 2535

และในรอบปี 2549 ก็มีอายุจากกันยายน 2549 จนถึงการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550


ซึ่งจากรัฐประหารทั้ง 2 ครั้งเห็นได้ชัดว่า การจัดตั้งระบบอำนาจนิยมเป็นดังการจัด “รัฐบาลชั่วคราว” ที่เข้ามาเพื่อการจัดการทางการเมือง และผู้นำทหารเองก็ตระหนักว่า พวกเขาไม่สามารถอยู่ในการเมืองได้นานเกินไป เพราะระยะของการ “ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์” ของระบบทหารนั้นมีเวลาจำกัดในตัวเองเสมอ
และขณะเดียวกันผู้นำทหารเหล่านี้ก็ตระหนักดีว่า การที่กองทัพจะอยู่ในการเมืองแบบยาวนานเช่นในอดีต ก็อาจจะต้องเผชิญกับทั้งแรงกดดันระหว่างประเทศและแรงต่อต้านภายใน

และอาจกลายเป็น “ความเสี่ยง” ทางการเมือง ทั้งต่อรัฐบาลทหารและต่อสถาบันทหาร ตลอดรวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดแก่ผู้นำทหารที่อยู่ในอำนาจในระดับของตัวบุคคลอีกด้วย

การพังทหารของระบบทหารไม่ว่าจะเห็นจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือพฤษภาคม 2535 ล้วนเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้

แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ผู้นำทหารมักจะมีความเชื่อว่า “ปืน” ยังเป็นปัจจัยของการควบคุมทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ

หรือโดยนัยก็คือ ผู้นำทหารในระบบอำนาจนิยมนั้น เชื่อมั่นเสมอว่าพวกเขาควบคุมการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาสามารถใช้อำนาจในกระบวนการออกแบบโครงสร้างการเมืองในอนาคตด้วยการออกมาตรการต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ จนกลายเป็นข้อจำกัดแก่การดำเนินการของพรรคการเมือง

และชุดความคิดที่หยาบที่สุดก็คือ ผู้นำทหารเชื่อว่าเมื่ออำนาจทางกฎหมายถูกสร้างและออกแบบให้เป็นคุณแก่ฝ่ายรัฐบาลทหาร การเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นจะเป็นกระบวนการทางการเมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร

หรือเราอาจจะเรียกสภาพเช่นนี้ว่าเป็น “การเปลี่ยนผ่านแบบควบคุม” (controlled transition) ที่กระบวนการเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายทหาร โดยมีความคาดหวังประการสำคัญว่า ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นจะยังทำให้อำนาจทางการเมืองอยู่ในมือของผู้นำทหาร และทหารจะยังเป็นผู้ควบคุมทางการเมืองต่อไป

แต่ตัวแบบร่วมสมัยจากการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นในไทยในปี 2550 หรือการเลือกตั้งภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารในพม่าในปี 2559 กลับแสดงให้เห็นว่าการควบคุมของทหารในทั้งสองกรณีไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ฝ่ายกองทัพชนะการเลือกตั้งได้แต่อย่างใด

สภาพเช่นนี้ทำให้กลุ่มการเมืองปีกอนุรักษนิยมที่เชื่อมั่นในการรัฐประหารอธิบายการเมืองไทยหลังจากปี 2551 ด้วยวาทกรรมว่า “เสียของ” เพราะการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นกลับไม่สามารถนำมาซึ่งผลลัพธ์ในทางการเมืองตามความปรารถนาของพวกเขาได้

แต่กลับเห็นการฟื้นตัวของฝ่ายการเมืองที่ถูกโค่นล้มจากการรัฐประหาร 2549 กลับขึ้นสู่อำนาจในการเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

สภาพเช่นนี้กลายเป็น “ความพ่ายแพ้” ของปีกอนุรักษนิยมและกลุ่มทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือในพม่าก็เห็นชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านที่นำโดย ออง ซาน ซูจี… อำนาจปืนคุมการเมืองไม่ได้เสมอไป

ต้องไม่เสียของ!

รัฐประหาร 2557 เป็นผลผลิตของวาทกรรมที่จะต้อง “ไม่เสียของ”

เพราะสำหรับผู้นำทหารและผู้นำการเมืองปีกขวาจัดแล้ว พวกเขาตัดสินใจล้มการเมืองอีกครั้งหลังรัฐประหาร 2549 ด้วยความมั่นใจว่า การยึดอำนาจครั้งที่ 2 ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีในการเมืองไทยจะเป็นหนทางสำคัญของการสถาปนาระบบอำนาจนิยมให้เกิดความเข้มแข็ง

และทั้งยังจะเป็นโอกาสของการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอีกด้วย

ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐบาลทหารจะพยายามทุกอย่างในการออกแบบการจัดความสัมพันธ์และอำนาจทางการเมืองโดยผ่านกติกาของรัฐธรรมนูญ

อันเป็นความหวังอย่างสำคัญว่า ภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญ 2560 นั้น ผู้นำทหารจะสามารถดำรงตนเองให้อยู่ในการเมืองไทยได้อย่างยาวนาน…นานตราบเท่าที่พวกเขาต้องการบนฐานคติความเชื่อที่ถูกประกอบสร้างว่า กองทัพคือ “ผู้จัดการการเมือง” ให้แก่สังคมไทย

ความฝันของผู้นำทหารและผู้นำปีกขวาไทยที่เชื่อเสมอว่า การเมืองไทยจะต้องไม่อยู่ภายใต้ระบบเลือกตั้ง

และพวกเขาก็พร้อมที่จะกระทำทุกวิธีที่จะทำให้การเลือกตั้งและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหมดสภาพไป

ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรคหรือการใช้กระบวนการทางกฎหมาย “เล่นงาน” ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ จนกลายเป็นที่มาของวาทกรรม “กฎหมายสองมาตรฐาน”

และยังส่งผลให้กระบวนการ “ตุลาการภิวัตน์” กลายเป็นเพียงการขยายบทบาททางการเมืองของสถาบันตุลาการ อันส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันดังกล่าวอย่างมาก


ดังนั้น เพื่อป้องกันการ “เสียของ” หรือว่าที่จริงแล้วก็คือการป้องกันไม่ให้รัฐบาลทหารเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
หากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตก็คือ การสร้างกลไกทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นดัง “สิ่งกีดขวาง” ที่จะถูกจัดวางบนถนนสายการเมือง

โดยเชื่อมั่นว่า “สิ่งกีดขวางทางการเมือง” จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็น “ทายาท” ของระบบการปกครองเดิมของฝ่ายทหาร

ความพ่ายแพ้ต่อการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นในปี 2550 กลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับพวกเขา…

เข็มมุ่งสำคัญสำหรับนักรัฐประหารและกลุ่มปีกขวาจึงมีประการเดียวคือ จะต้องอยู่ในการเมืองไทยต่อไป แม้ระยะเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้น ก็จะต้องทำให้การเปลี่ยนผ่านนี้หมดแรงขับเคลื่อนและไม่มีนัยต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต

กลไกสืบทอดอำนาจ

การจัดวางหลักประกันต่อการคงอยู่ของระบบทหารและจะต้อง “ไม่เสียของ” จึงเกิดขึ้นจากปัจจัยสำคัญที่ถูกออกแบบโดยรัฐบาลทหาร และกลไกทางกฎหมายของกลุ่มรัฐประหาร ได้แก่

1) แม้จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว แต่ก็ยังมีการคงอำนาจของธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหารไว้ จนเกิดสภาวะที่นักกฎหมายรัฐธรรมนูญตั้งข้อสังเกตว่าเป็นภาวะ “รัฐธรรมนูญซ้อนรัฐธรรมนูญ” อันส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านในอนาคตมีความยุ่งยากในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2) รัฐธรรมนูญที่ถูกร่างขึ้นให้หลักประกันแก่รัฐบาลทหารด้วยการออกแบบให้มีวุฒิสมาชิก 250 เสียงที่มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลทหาร อันส่งผลให้ “พรรคทหาร” เกิดขึ้นโดยทันที แม้จะยังไม่มีการเลือกตั้งขึ้นก็ตามที วุฒิสมาชิกนี้จะเป็นหลักประกันโดยตรงในการลดทอนอำนาจของพรรคการเมืองในรัฐสภา

3) สาระของรัฐธรรมนูญนี้ไม่ต้องการให้เกิดการเมืองภาคพลเรือนที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้เกิด “นายกฯ คนกลาง” หรือการที่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งอาจจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะการใช้หลักการใหม่ที่พรรคที่ชนะเลือกตั้งจะไม่ได้ ส.ส.สัดส่วน เช่นในแบบปกติ อันทำให้คาดได้ว่า รัฐธรรมนูญนี้คงประสงค์ให้เกิด “รัฐบาลผสม” และเกิดภาวะ “การเมืองอ่อนแอ” ที่การเมืองหลังการเปลี่ยนผ่านอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำทหารต่อไป เพราะการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะมีความ “อ่อนแอ” ของพรรคการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญ และจะเปิดโอกาสให้เกิดการแทรกแซงของฝ่ายทหารได้

4) ยุทธศาสตร์ 20 ปีของรัฐบาลทหารถูกจัดทำขึ้นเพื่อหวังว่า แม้กองทัพจะพ่ายแพ้ต่อการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตก็ไม่อาจทำนโยบายได้ หากถูกตีกรอบให้ต้องเดินไปในทิศทางที่รัฐบาลทหารได้กำหนดไว้ หรือโดยหลักการก็คือ รัฐบาลหลังการเปลี่ยนผ่านไม่สามารถจัดทำนโยบายของตนเองได้ และจะต้องอยู่ภายใต้กรอบที่ถูกกำหนดจากยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งจะมีผลเท่ากับอายุของรัฐบาลเลือกตั้งถึง 5 สมัย หรือเกิดภาวะ “รัฐซ้อนรัฐ” นานถึง 20 ปี ยุทธศาสตร์นี้จึงเป็นดังการ “รัฐประหารเงียบ” ของฝ่ายทหารที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีการเคลื่อนกำลัง และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฝ่ายกองทัพสามารถควบคุมการเมืองได้ยาวนานถึง 20 ปี

5) การออกคำสั่ง คสช. ที่ 51/2560 ในการยกระดับให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) กลายเป็น “ซูเปอร์แมน” ในการควบคุมงานความมั่นคงทั้งหมดของประเทศ จนคล้ายกับการจัดตั้ง “รัฐบาลพิเศษ” ขึ้น ทั้งที่ประเทศไม่อยู่ในภาวะสงคราม แต่กองทัพก็ตัดสินใจขยายบทบาทของทหารด้วยความหวังว่า กอ.รมน. จะเป็นผู้ควบคุม “สนามรบทางการเมือง” ทั้งในเมืองและในชนบท และยังจะเป็นเครื่องมือสำคัญใน “สงครามการเมือง” สู้กับฝ่ายตรงข้าม


เพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านที่จะเกิดขึ้นนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายทหาร
อีกทั้งกองทัพและพรรคการเมืองของฝ่ายทหารจะต้องไม่เป็นผู้แพ้ หรืออย่างน้อยจะต้องไม่นำไปสู่สถานการณ์เหมือนกับการเลือกตั้งไทยในปี 2550 และ 2554
สัญญาประชาคมสากล
การออกแบบทางการเมืองที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็น “ความกลัว” อย่างมากของฝ่ายทหารและกลุ่มปีกขวาว่าพวกเขาอาจจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งในอนาคต แต่แม้จะมีความพยายามในอีกด้านหนึ่งผลักดันข้อเสนอให้มีการเลื่อนการเลือกตั้ง แต่ด้วยแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยได้สัญญาในเวทีสากลมาแล้ว 3 ครั้ง
โดยในครั้งแรก ผู้นำไทยกล่าวที่โตเกียวว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2559
ครั้งที่สอง กล่าวที่นิวยอร์กว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2560
และครั้งที่สาม มีคำสัญญาในแถลงการณ์ร่วมที่วอชิงตันว่าจะเลือกตั้งในปี 2561… คำสัญญาทั้งสามครั้งเช่นนี้บ่งบอกถึงแรงกดดันจากเวทีสากลอย่างชัดเจน และทั้งยังมีแถลงการณ์ของสหภาพยุโรปออกมาเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลทหารไทยจะต้อง “รักษาคำสัญญา” ที่จะนำพาประเทศกลับสู่การเลือกตั้ง
ฉะนั้น หากรัฐบาลทหารตัดสินใจที่ “บิดพลิ้ว” คำสัญญาเป็นครั้งที่ 3 โดยไม่มีความชัดเจนที่จะจัดการเลือกตั้งในปี 2561 แล้ว รัฐบาลไทยจะ “ไร้เครดิต” ในเวทีสากลเป็นอย่างยิ่ง

และจะทำให้อนาคตของไทยถูกมองจากประชาคมระหว่างประเทศด้วยความไม่มั่นใจ
หรือถ้าเรายอมรับวาทกรรมว่า ประเทศไทยกำลังกลายเป็น “คนป่วย” ในภูมิภาคแล้ว การทำให้อนาคตของประเทศไทยไม่มีความชัดเจนทางการเมืองด้วยการขยายเวลาการเลือกตั้งออกไป จะเป็นดังการพาประเทศไทยเข้า “ห้องไอซียู” นั่นเอง
ประเทศไทย 2561 ในห้องไอซียูจะไม่เป็นผลดีทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เว้นแต่จะเป็นโอกาสให้รัฐบาลทหารดำรงอยู่ในอำนาจได้ต่อไป แต่ก็เป็นการอยู่บนความ “ผันผวน” และ “ไม่แน่นอน”!

"บิ๊กตู่"ทำไก๋ !! บอก "เฉยๆ" ชาวบ้านเชียร์เป็นนายกฯต่อ

"บิ๊กตู่"ทำไก๋ !! บอก "เฉยๆ" ชาวบ้านเชียร์เป็นนายกฯต่อ วอน อย่าเอาอนาคต มาปนกับปัจจุบัน
"ก็เฉย ๆ ผมยังทำหน้าที่ของผม ยังไม่เสร็จสิ้น อย่าไปพูดถึงอนาคต อนาคตก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่าเอาอนาคต มาปนกับปัจจุบัน และเอาปัจจุบัน ไปปนกับอดีต มันก็แก้กันไม่ได้สักอย่าง มันก็พันกันไปทั้งหมด ผมกำลังทำปัจจุบัน และวางอนาคตไปข้างหน้า "
: พลเอกประยุทธ์ กล่าวถึง ชาวบ้านเชียร์เป็นนายกฯต่อ

นิพิฏฐ์ รู้ทันคสช. ชี้ มีเซียนร่างกม.ลากยาวเลือกตั้งได้เนียนๆ บอกเลิกฝัน เลือกตั้งปีนี้

นิพิฏฐ์ รู้ทันคสช. ชี้ มีเซียนร่างกม.ลากยาวเลือกตั้งได้เนียนๆ บอกเลิกฝัน เลือกตั้งปีนี้


“นิพิฏฐ์” รู้ทัน คสช.มีเซียนร่างกม.ลากยาวเลือกตั้งแบบเนียนๆ เปรียบเหมือนตีเช็คเปล่าใส่ตัวเลขเองอยากเลือกตั้งวันไหน ยุส่ง กม.ส.ส.ให้มีผลอีก 8 ปี ลต.69 อยู่ยาวๆ ไปเลย

เมื่อวันที่ 18 มกราคม นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “ยืด หรือ เลื่อนการเลือกตั้งออกไปได้อย่างไร” ปกติกฎหมาย หรือ พระราชบัญญัติเกือบทุกฉบับ ในมาตราที่ 2 จะเขียนหรือบัญญัติไว้ว่า ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 หรือ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) 2560 ก็บัญญัติไว้เช่นนี้ ดังนั้น พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ที่กำลังจะผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ปลายเดือนนี้ หาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) หรือ รัฐบาล ยังไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง สนช.ก็จะเขียนมาตรา 2 ให้ต่างไปจากเดิม โดยเขียนว่า “มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด…….วัน หลังจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”

“จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปกี่วันก็เติมคำในช่องว่างลงไปตามใจชอบและอย่าลืมต้องบวกอีก 150 วัน เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ให้มีการเลือกตั้งภายใน 150 วัน นับแต่กฎหมายเลือกตั้งมีผลใช้บังคับ ความคิดอย่างนี้ ระดับเซียนทางกฎหมายเท่านั้นที่จะทำได้ คสช.มีเซียนกฎหมายอยู่หลายคน การเลื่อนการเลือกตั้งออกไปทำได้สบายมาก แบบเนียนๆ ใครที่คิดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามที่ผู้มีอำนาจประกาศไว้ ก็ขอให้ไปเปิดฟังเพลง ลืมเสียเถิดอย่าคิดถึง ของรวงทอง ทองลั่นทม ฟังไปก่อน” นายนิพิฎฐ์ ระบุ


ทั้งนี้ นายนิพิฏฐ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนวิเคราะห์มานานแล้วว่า ปี 2561 จะไม่มีกาคเลือกตั้งส.ส.เพราะ คสช.ลากยาวแน่ วันนี้ภาพยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ การออกกฎหมายอย่างนี้เปรียบเหมือนการเขียนแบงค์เช็ค หรือ ตีเช็คเปล่า ลงชื่อแล้วให้ไปกรอกตัวเลขเองว่าจะเบิกเงินเท่าไหร่ เรื่องนี้ก็เหมือนกันคือ จะไปใส่ว่าให้กฎหมายเลือกตั้งส.ส.มีผลบังคับใช้เมื่อไหร่หลังลงในราชกิจจานุเบกษา จะอีก 1-2 ปี หรือกี่ปีก็ได้ แล้วแต่ผู้มีอำนาจจะอยู่ต่อนานแค่ไหน เพราะมีมือร่างกฎหมาย มีเครื่องมือวิธีกรรม แต่เขาจะอยู่ได้นานแค่ไหนก็อีกเรื่องเพราะมีสารพัดปัญหารุมเร้า ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ที่สำคัญจะเจอปัญหาความไว้วางใจผู้นำรัฐบาล ครม.และคสช.จากวิกฤตศรัทธาที่เกิดจากการกระทำของเขาเองที่สวนทางกับคำพูด ทั้งเรื่องนาฬิกาหรู หรือโรดแม็ปเลือกตั้ง

“เดิมคนยังเชื่อนายกฯพูด ไม่เชื่อคนรอบข้าง แต่ขณะนี้คนเริ่มไม่เชื่อคำพูดตัวผู้นำไปด้วย ฝากบอกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯด้วยว่า ปัญหาของการเลือกตั้งไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก หรือมีปัญหาการเมือง หรือเกิดจากประชาชน แต่เกิดจากความพร้อมในการแต่งตัวของผู้มีอำนาจ และการตั้งพรรคสนับสนุนทหาร เมื่อผู้คุมเกมหรือกรรมการ เปลี่ยนสถานะตัวเองมาเป็นผู้แข่งขันด้วย เขาก็ต้องเขียนกติกาใหม่เพื่อรองรับให้ทีมของเขาได้เปรียบ ได้ประโยชน์มากที่สุดก่อนลงเล่น ถ้าถามผมก็จะแนะนำไปว่า ขอให้ร่างกฎหมายเลือกตั้งส.ส. มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจาฯไปแล้ว อีก 8 ปี คือให้มีการเลือกตั้งส.ส.ในปี2569 ไปเลยจะได้สอดคล้องกับการให้ส.ว.มีสิทธิเลือกนายกฯด้วย อยู่ยาวๆกันไปเลย” นายนิพิฎฐ์ กล่าว

‘สุวพันธุ์’แจงจม.’บิ๊กตู่’ ย้ำครม.เร่งงานปี 61 ปัดเตรียมวางรากฐานอยู่บริหารต่อ

‘สุวพันธุ์’แจงจม.’บิ๊กตู่’ ย้ำครม.เร่งงานปี 61 ปัดเตรียมวางรากฐานอยู่บริหารต่อ


“สุวพันธุ์” แจงจม. “บิ๊กตู่” ย้ำครม. เร่งงานปี 61 ปัดเตรียมวางรากฐานอยู่บริหารต่อ ชี้แค่ต้องการแก้ปัญหาให้ ปชช.

เมื่อ‪วันที่ 18 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)‬ แจกเอกสารเขียนด้วยลายมือถึงรัฐมนตรีทุกคนที่พูดถึงสถานการณ์การเมืองว่ามีนักการเมืองและสื่อโจมตีรัฐบาล ว่า จากที่อ่านดู ข้อความไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งเอกสารที่นายกฯแจกให้ ครม.มี 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นายกฯพูดถึงการขับเคลื่อนการบริหารงานของรัฐบาล ทั้งกระทรวง กรม ในช่วงเวลา 1 ปีที่เหลือตามโรดแมปปี 61 ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งนายกฯระบุถึงการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เรื่องการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้เป็นไปอย่างโปร่งใส แนวทางการขับเคลื่อนการทำงานของกระทรวง โดยนายกฯย้ำเรื่องการกำหนดตัวชี้วัดให้กับรัฐมนตรี และอธิบดีกรมต่างๆ รับไปดำเนินการ ส่วนที่ 2 ได้พูดถึงภาพรวมของประเทศ ว่าจะดูแลประเทศได้อย่างไร รวมถึงการสร้างความเข้าใจ การรับรู้ และทำให้เกิดระบบธรรมาภิบาล มีนักการเมืองที่มีธรรมาภิบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่นายกฯระบุว่ามีสื่อและนักการเมืองจ้องจะโจมตีรัฐบาลและ คสช. หมายความว่าอย่างไร นายสุวพันธุ์กล่าวว่า เห็นเพียงแค่นายกฯปรารภเรื่องการเมือง เรื่องการสื่อสารทำความเข้าใจ ต้องพูดตามตรงว่าในเอกสารนั้นยังอ่านไม่ครบ เพราะต้องเแกะลายมือออกมา เนื่องจากลายมือค่อนข้างอ่านยาก แต่สิ่งที่เห็นคือความตั้งใจที่ดีของนายกฯในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ในส่วนที่ฝากถึงรัฐมนตรีโดยตรงคือการขับเคลื่อนงาน เช่น ในส่วนของตนที่ได้รับ มีการพูดถึงการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ต้องดูแลคุ้มครองให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ทั้งมาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐานองค์การอาหารและยา(อย.) ทั้งนี้โดยตนมีนัดหมายพบกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) และจะนำเรื่องเหล่านี้ไปแจ้งให้ทราบ


เมื่อถามว่า รัฐบาลเกิดความไม่มั่นใจในการบริหารงานของตัวเองหรือไม่ จึงระแวงทั้งสื่อและนักการเมือง นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ไม่ใช่ คิดว่าช่วงเวลานี้รัฐบาลต้องการเร่งรัดการขับเคลื่อนการทำงานและแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงกระจายรายได้ไปยังผู้มีรายได้น้อยในต่างจังหวัด ตลอดจนสร้างสมดุลการใช้จ่ายภาครัฐ ไม่ให้กระทบต่อระบบการเงินการคลัง เนื่องจากปี 61 เป็นปีที่ต้องเร่งงานที่ทำค้างอยู่ให้สำเร็จ คิดว่าสิ่งเหล่านี้คือเป้าหมายของนายกฯ

เมื่อถามว่า ไม่ใช่แนวทางที่จะวางรากฐานการบริหารงานต่อไปใช่หรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า นายกฯพูดชัดแล้วทุกเรื่อง ว่าอนาคตเป็นเรื่องของประชาชน วันนี้ ครม.ต้องขับเคลื่อน ทำงานให้สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ เพื่อดำเนินนโยบายให้เหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหาความเดือดร้อนในขณะนี้

วิษณุ บอกไม่ผิดหลักกม.อะไร หากใส่ให้เลื่อนการบังคับใช้กม.ออกไป 90 วัน

วิษณุ บอกไม่ผิดหลักกม.อะไร หากใส่ให้เลื่อนการบังคับใช้กม.ออกไป 90 วัน


“วิษณุ” ชี้ ไม่ผิดกม.อะไรหากเลื่อนการบังคับใช้กม.ออกไป 90 วัน ปัด ไม่ได้รับจดหมายน้อยนายกฯ บอก ปกติเอกสารพวกนี้ไม่ใช่เอกสารการประชุม แต่อาจเป็นข้อความที่นายกฯต้องการส่งถึงใครเป็นรายๆ
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมา กรรมาธิการวิสามัญ สนช. ได้มีการประชุมลับเพื่อพิจารณาแก้ไขมาตรา 2 กฎหมายด้วยว่าการเลือกตั้ง ส.ส. จากเดิม ที่ระบุว่า ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เป็น ให้ใช้บังคับใช้ออกไปอีก 90 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปแทน ว่า ไม่รู้ว่าเหตุผลของการปรับคืออะไร แต่หากมีการปรับก็ไม่ได้ผิดหลักกฎหมายอะไร เพราะกฎหมายบางฉบับก็จะมีผลบังคับใช้วันนั้นเลย แต่กฎบางฉบับก็จะทิ้งระยะเวลาไว้ 30 วัน 120 ก็มี อย่างกฎหมายธุรกิจรักษาความปลอดภัยเอกชนก็ทิ้งเวลาไว้ตั้ง 1 ปี เพื่อให้มีการเตรียมการ การจะบังคับใช้เมื่อใดนั้นจะต้องรอให้มีการคลี่คลายปัญหาที่อาจจะไม่ได้คิดมาก่อน เช่น การออกกฎหมายลูก หรือการตั้งหน่วยงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ไม่เกิดปัญหา หรือเกิดความสะดุด แต่กรณีกฎหมายเลือกตั้งนั้นจะเลื่อนเพราะสาเหตุใดต้นยังไม่ทราบเหตุผลตรงนี้เพราะยังไม่เคยเห็นตัวฉบับร่างนั้นทั้งฉบับเลยว่าจะก่อให้เกิดภาระอะไรอย่างไรหรือไม่และรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนอะไร รัฐธรรมนูญเขียนเพียงว่าภายใน 150 วันนับตั้งแต่วันที่พ.ร.ป.ฉบับสุดท้ายมีผลใช้บังคับ ขนาดนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ยังบอกเลยว่า หากปล่อยไว้แบบนี้เกรงว่าจะไม่ทันสงสัยจะต้องไปแก้รัฐธรรมนูญเรื่อง 150 วันนับตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับให้ยืดออกไป แต่ถ้าจะเค้าจะแก้เรื่องวันใช้บังคับตรงนี้ก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องไปแก้รัฐธรรมนูญอะไรเลย

เมื่อถามว่า หากยืดออกไป 90 วัน จะกระทบโรดแมปการเลือกตั้งหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้ายอมรับเสียแล้วว่าเป็นเหตุผลแล้วคุณกลัวอะไร เว้นแต่เหตุผลนั้นฟังไม่เข้าท่า


เมื่อถามว่า เขาได้ปรึกษารัฐบาลหรือไม่ เพราะจะทำให้โรดแมปที่รัฐบาลประกาศนั้นเลื่อนออกไป นายวิษณุ กล่าวว่า เค้าจะปรึกษาหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่เขา อาจจะประสานภายในก็ได้

เมื่อถามถึงกรณีเอกสารที่นายกฯแจกในที่ประชุม ครม. ระบุ มีสื่อและนักการเมือง จ้องโจมตีรัฐบาล นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ได้ เมื่อเช้าก็มีนักข่าวมาถาม ปกติเอกสารพวกนี้ไม่ใช่เอกสารการประชุม แต่อาจเป็นข้อความที่ท่านต้องการส่งถึงใคร ท่านก็จะมีโน้ตไปถึงคนนั้นคนนี้ ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้รับ ซึ่งจะมีหรือไม่ตนก็ไม่รู้เพราะตนไม่ได้รับ นายสมคิดก็ไม่ได้รับ เมื่อวาน (17 มกราคม) ไปแม่ฮ่องสอนด้วยกันท่านก็บอกไม่รู้ เรื่องนี้ตนไม่ทราบเพราะความที่ไม่ได้อ่านจึงไม่รู้ว่าคืออะไร แต่จะมีข้อความอื่นที่ส่งมาถึงตน และคนอื่นๆ เป็นประจำเป็นเฉพาะเรื่องของใครของคนนั้น แต่ส่วนใหญ่ถ้าท่านเขียนก็แปลว่าท่านนึกขึ้นได้ในห้องประชุม หรือไม่อย่างนั้นท่านก็จะส่งไลน์ แต่อันนี้ตนยืนยันว่าตนไม่ได้

เมื่อถามถึงกรณีการใช้มาตรา 44 ดำเนินการเรื่องเกี่ยวกับองค์กรน้ำ นายวิษณุ กล่าวว่า รอแก้ปัญหาต่างๆ เล็กน้อยกับทาง กพ. ก่อน และให้กรมชลประทานไปดูว่าจะโอนคนมาหรืออย่างไร เป็นใครก็ต้องทำบัญชีรายชื่อ

มีชัย บอกถ้าสนช.จะแก้กม.ลูก ยืดเวลาบังคับใช้เป็น 90 วันก็ทำได้

มีชัย บอกถ้าสนช.จะแก้กม.ลูก ยืดเวลาบังคับใช้เป็น 90 วันก็ทำได้


“มีชัย” บอกให้รอดู อย่าไปคาดการณ์ ชี้ สนช.แก้กฎหมายส.ส.ยืด 90 วัน ก่อนบังคับใช้ได้ แต่ต้องแจงเหตุผล


เมื่อวันที่ 18 มกราคม นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาณคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะแก้ไขให้กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. บังคับใช้หลังจากครบ 90 วัน นับจากประกาศในราชกิจานุเบกษา ว่า การออกกฎหมายเขียนกันปกติ เขียนมาตั้งแต่ต้น ถ้าคิดว่ากฎหมายออกไปแล้วมีผลกระทบ คนยังทำไม่ได้ ส่วนราชการต้องเตรียมตัว ก็จะกำหนดไว้ว่ากี่วัน ที่ผ่านมาเคยมีกฎหมายบางตัวกำหนดกรอบเวลาบังคับใช้ไว้มากสุด 1 ปี ถ้าสนช.จะทำ ก็ต้องอธิบายเหตุผล ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตุว่า เกี่ยวข้องกับคำสั่งคสช.ที่53/2560 เรื่องการแก้ไขกฎหมายลูกพรรคการเมืองนั้น ไม่ทราบ ส่วนที่มองว่า หากแก้ไขแบบนี้แล้วจะกระทบโรดแมปเลือกตั้งหรือไม่นั้น อย่างเพิ่งคาดการณ์ รอดูก่อนจะแก้หรือไม่ แล้วค่อยมาถาม สำหรับการพิจารณากฎหมายลูกว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. นายสุรชัย เลี้ยงบญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่หนึ่ง ได้มาหารือถึง การสร้างกลไก เพื่อไม่ให้เกิดการฮั้วกันได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

แย่กว่าเดิม

แย่กว่าเดิม


ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งเป็นกฎหมายลูกฉบับสุดท้องน้องสุดท้ายที่รอคิวประกาศใช้ตามโรดแม็ป คสช.

คาดว่าที่ประชุม สนช.ลากตั้งจะเร่งทำคลอดร่าง ก.ม.ลูกฉบับสุดท้ายให้เสร็จทันเส้นตาย วันที่ 26 มกราคมที่จะถึงนี้แน่นอน

คงไม่มีใบสั่งให้เตะถ่วงอย่างที่หลายฝ่ายหวั่นเกรง

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า “ไต๋เด็ด” ของ ร่าง ก.ม.ลูกฉบับนี้คือ กติกาเลือกตั้ง ส.ส.แบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ซึ่งมีความพิสดารพันลึกยิ่งกว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ทุกครั้งในรอบ 84 ปี

นับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งแรกของประเทศไทยเมื่อปี 2476 เป็นต้นมา

สาระสำคัญ คือ กำหนดให้มี ส.ส.จำนวน 500 คน ลดที่นั่ง ส.ส.เขตจาก 400 คน เหลือ 350 คน และเพิ่มโควตา ส.ส. บัญชีรายชื่อจาก 100 คน เป็น 150 คน

กำหนดให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวเลือก ส.ส.เขตได้เขตละหนึ่งคน

จากนั้นจึงนำคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.เขตทั้งประเทศไปคำนวณสัดส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่ออีกที

แต่ที่พิลึกกึกกือคือ พรรคใดได้ที่นั่ง ส.ส.เขตมาก จะถูกตัดที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคนั้นให้ลดลง

พูดง่ายๆ ยิ่งได้ ส.ส.เขตมากเท่าไหร่ก็จะได้ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยลงๆ

เพื่อกีดกันไม่ให้มีพรรคการเมืองใดได้ที่นั่ง ส.ส.เกินครึ่งสภาฯ

ถือเป็นกติกาเลือกตั้งที่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างสิ้นเชิง

เพราะคะแนนเสียงที่ประชาชนเลือกพรรคหนึ่ง ดันถูกเอาไปบวกให้อีก พรรคหนึ่ง (ซึ่งเขาไม่ต้องการเลือก) ได้โควตา ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มฟรีๆ

ถือว่าเป็นกติกาเลือกตั้ง ส.ส.ที่ห่วยกระตุกอย่างแรง

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่านอกจากกติกาเลือกตั้ง ส.ส.จะออกแบบเพื่อเปิดช่องให้มี “นายกฯคนนอก” ไว้แบบไม่แนบเนียน

ล่าสุด ยังมีการแก้ไข “กติกาการหาเสียง เลือกตั้ง ส.ส.” ที่ย้อนยุคกลับไปอีกหลายสิบปี

คือ ยกเลิกบทบัญญัติที่ห้ามไม่ให้ผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. จัดให้มีมหรสพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีลูกทุ่ง หมอลำ ลิเก ลำตัด หนังตะลุง ฯลฯ เพื่อจูงใจประชาชนให้ไปฟังการปราศรัยหาเสียงของตัวเอง

โดยอ้างเหตุผลที่ยกเลิกข้อห้ามเรื่องนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.สามารถจัดมหรสพการแสดงรื่นเริงต่างๆ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ชาวบ้านตื่นตัวไปฟังการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งมากกว่าเดิม

อืมม์...เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่เข้าแก๊ปเอาซะเลย

“แม่ลูกจันทร์” ขอคัดค้านการยกเลิกข้อห้ามผู้สมัครจัดดนตรี การแสดงมหรสพเพื่อจูงใจให้ชาวบ้านไปฟังการหาเสียงของตัวเอง

เพราะการจัดมหรสพ ดนตรีลูกทุ่ง ลิเก หมอลำ ฯลฯ เป็นการให้อามิสสินจ้าง ทางอ้อม เพื่อซื้อใจประชาชนหวังผลการ เลือกตั้งโดยตรง

ทำให้ผู้สมัคร ส.ส.ที่มีเงินถุงเงินถัง พรรค การเมืองใหญ่ทุนหนา มีเงินจ้างวงดนตรี หรือ จัดมหรสพให้ชาวบ้านดูฟรีๆ ย่อมได้เปรียบผู้สมัคร ส.ส.ที่เงินน้อยกว่าทุกประตู

เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.อย่างชัดเจน

แถมยังสวนทางรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ตีปี๊บโฆษณาเป็นรัฐธรรมนูญ “ฉบับปราบโกง”

เพราะเมื่อเปิดช่องให้ทุ่มเงินจ้างมหรสพเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ก็เท่ากับเปิดช่องให้นักการเมืองทุจริตถอนทุน

“แม่ลูกจันทร์” ยํ้าว่า การห้ามผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. จัดจ้างมหรสพเพื่อจูงใจให้ประชาชนลงคะแนนให้ตัวเอง เป็นบทบัญญัติสำคัญที่มีบังคับใช้มาหลายสิบปี

มีโทษจำคุก แจกใบแดง และตัดสิทธิ เลือกตั้งทีเดียว

น่าแปลกใจที่คณะกรรมาธิการของ สนช.มีมติให้ยกเลิกกฎเหล็กเรื่องนี้ โดยอ้างเหตุผลเชยๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตื่นตัวในการเลือกตั้ง ส.ส.ตามระบอบประชาธิปไตย (ครึ่งใบ)

เออแฮะ...เรื่องแย่ๆตั้งเยอะแยะไม่ยกเลิก กลับไปยกเลิกเรื่องดีๆ

เอาเถอะ...เอาที่พระคุณท่านสบายใจก็แล้วกัน.

“แม่ลูกจันทร์”

กระแสหักไม่ลงง่ายๆ

กระแสหักไม่ลงง่ายๆ


ฉากแอ็กชั่น สงครามกวาดล้างความยากจน

ตามภาพที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ยกคณะชุดใหญ่ ทั้ง “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ขึ้นเครื่องบิน ซี 130 ของกองทัพอากาศ บินตรงจังหวัดแม่ฮ่องสอน

พื้นที่ไกลปืนเที่ยงที่คนจนมากสุดลำดับต้นๆของประเทศไทย

เบื้องต้นเลย มันก็สะท้อนว่า “ลุงตู่” ลุยแบบถึงลูกถึงคน ไม่ใช่แค่พูดหรูๆอยู่บนหอคอยงาช้าง

อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห็นการสร้างเนื้องานเป็นรูปธรรม โชว์เชิงปฏิบัติแข่งกับการสร้างกระแสลอยๆในห้วงที่รัฐบาล คสช.กำลังตกอยู่ในภาวะตั้งรับ “ไซเบอร์วอร์”

เครือข่ายฝ่ายต่อต้านเปิดสงคราม ยกระดับการปลุกกระแสถล่มในโซเชียลมีเดีย

อัพข้อมูลด้านลบ จริงบ้าง เท็จบ้าง เบิ้ลบลัฟทีมงาน “นายกฯลุงตู่” แบบนาทีต่อนาที

ถึงขั้นใช้บริการบริษัทเอเจนซีมืออาชีพเดินข่าวสร้างกระแสอย่างเป็นระบบ จี้จุดสลบของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะการมุ่งเป้าเขย่าขาค้ำยัน “ลุงตู่” ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ต่อเนื่องกับคิวของ “จอมยุทธ์กวง” กัปตันทีมเศรษฐกิจ

เจออิทธิฤทธิ์โซเชียลฯกระหน่ำ นั่งไม่ติดไปตามๆกัน

แต่อย่างไรก็ดีมันก็เกิดปรากฏการณ์แบบที่ “นักวิชาการ” คนดังที่ถูกมองว่าอิงแอบกับกลุ่มเสื้อแดง ได้แชร์โพสต์ของแฟนคลับ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” หวังประจาน “อาจารย์น้อง” รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี หิ้วกระเป๋าหรูแอร์เมสราคาหลักล้าน

แต่ต้องหน้าแหกเพราะของจริงกลายเป็นกระเป๋าของศูนย์ศิลปาชีพ

โดนโห่ โดนฮา ถูกรุมด่าเสียผู้เสียคนไป

นี่คือดาบสองคมของโซเชียลฯที่ไม่ได้ทำลายแค่ “นายกฯลุงตู่” แต่พวกที่จ้องเบิ้ลบลัฟทำลายล้างรัฐบาล คสช. รวมถึงชาวบ้านที่มีอารมณ์คล้อยตามกระแสก็ต้องตั้งหลักดีๆ

เผลอแห่มั่วๆไป อาจเป็นเหยื่อของเพจ “ดักควาย” ง่ายๆ

เช่นเดียวกับอาการฉวยกระแสรุกไล่รัฐบาลทหาร คสช.ที่เสี่ยงกับกระแสตีกลับ

ตามอาการขยับของเครือข่ายภาคประชาชน 20 กว่าเครือข่าย เคลื่อนไหวกดดันให้ยกเลิกประกาศและคำสั่งของ คสช.ที่มีเนื้อหาขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

โฟกัสส่วนใหญ่ก็คนหน้าคุ้นๆทั้งนายจอน อึ๊งภากรณ์ และแกนนำเอ็นจีโอหน้าเดิมๆ แถมยังมีการขยับร่วมวงจากนักการเมืองอาชีพค่ายเพื่อไทยจ่อยื่นหนังสือคัดค้านคำสั่ง คสช.

นั่นก็เลยกระตุกเสียงของประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนคำสั่ง คสช.ทำให้ประเทศสงบ ปลอดจากม็อบป่วนเมือง เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เดือดร้อน นอกจากพวกที่มีวาระแฝงทางการเมือง
ย้อนถามเลยว่าถ้ายกเลิกคำสั่ง คสช.แล้ววุ่นวาย จะรับผิดชอบยังไง

แสดงว่าจุดขายของรัฐบาล “ลุงตู่” และทีม คสช.ก็ยังอยู่ที่การคุมความสงบให้ประชาชนอุ่นใจ
คำตอบสุดท้าย ยังไง คสช.ก็ถือแต้มต่อฝ่ายต้าน

แม้ในสถานการณ์แบบที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พยายามเปรียบเทียบมาตรฐานกับยุครัฐบาลตัวเองที่รีบเคลียร์รัฐมนตรีที่มีปัญหาไม่ให้เป็นตัวถ่วงนายกฯ หรือการที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย โยงสถานการณ์ “บิ๊กป้อม” เหมาเข่งรวมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นเชิงว่า ถ้า ป.ป.ช.สายตรง “พี่ใหญ่” ยังอยู่ได้ คสช.ก็ส่อพัง

ในจังหวะที่เซียนการเมืองอาชีพประเมินแล้ว ถึงจุดกระแสสุกงอม รุมเขย่า “บิ๊กป้อม” ให้ร่วงให้ได้
แต่อีกมุมก็ต้องไม่ลืมว่า ยุคนี้ไม่ใช่รัฐบาลเลือกตั้ง แต่เป็นช่วงอำนาจพิเศษ

ความจำเป็นของ พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่แค่เป็นขาค้ำยันด่านหน้ารับแรงกระแทกแทน “บิ๊กตู่” เท่านั้น

แต่จุดที่สำคัญกว่ายังเป็นสถานการณ์ความเชี่ยวกรากในด้านความมั่นคง แบบที่ล่าสุด พล.อ.ประวิตร เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับการจับกุมชาวปากีสถานที่ลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอม โดยยอมรับว่ามีการปลอมวีซ่า และหนังสือเดินทางเพื่อรองรับให้กับกลุ่มไอเอส มีความพยายามที่จะนำคนจาก
ตะวันออกกลางเข้ามาในประเทศไทย แต่ในเวลานี้ยังไม่มีใครเข้ามา

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ “พี่ใหญ่” ยังเป็นตัวหลักของด่านคุมความมั่นคงในทุกมิติ

ลำพังกระแสการเมืองคงหักไม่ลงง่ายๆ.

ทีมข่าวการเมือง

เคาะแล้ว!ค่าจ้างขั้นต่ำไม่เท่ากันทุกจว.สูงสุด30บ.

มติคณะกรรมการค่าจ้าง เคาะค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่เท่ากันทุกจังหวัด สูงสุดขึ้น 30 บาท ต่ำสุด 8 บาท เตรียมชงครม. มีผล 1 เมษายน ไม่ย้อนหลัง
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 ครั้งที่ 2/2561 ว่า คณะกรรมการค่าจ้างได้ประชุมพิจารณาการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประจำปี 2561 โดยได้ข้อสรุปร่วมกันในการปรับขึ้น ซึ่งแบ่งเป็น 7 ระดับ ได้แก่

ระดับที่ 1) ค่าจ้าง 308 บาท มี 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

ระดับที่ 2) ค่าจ้าง 310 บาท มี 22 จังหวัด คือ สิงห์บุรี นครศรีธรรมราช ตรัง แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน เชียงราย สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี ศรีสะเกษ ตาก ชัยภูมิ อำนาจเจริญ แพร่ ราชบุรี ระนอง มหาสารคาม ชุมพร หนองบัวลำภู สตูล

ระดับที่ 3) ค่าจ้าง 315 บาท มี 21 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด ประจวบคีรีขันธ์ นครสวรรค์ สระแก้ว พัทลุง อุตรดิตถ์ อุดรธานี นครพนม บุรีรัมย์ สุรินทร์ เพชรบุรี พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ชัยนาท เลย ยโสธร พะเยา บึงกาฬ น่าน กาญจนบุรี อ่างทอง

ระดับที่ 4) ค่าจ้าง 318 บาท มี 7 จังหวัด คือ จันทบุรี สมุทรสงคราม สกลนคร มุกดาหาร นครนายก กาฬสินธุ์ ปราจีนบุรี

ระดับที่ 5) ค่าจ้าง 320 บาท มี 14 จังหวัด คือ อุบลราชธานี สุพรรณบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา หนองคาย ลพบุรี ตราด ขอนแก่น สงขลา สุราษฎร์ธานี กระบี่ เชียงใหม่ นครราชสีมา พังงา

ระดับที่ 6) ค่าจ้าง 325 บาท มี 7 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา

และระดับที่ 7) ค่าจ้าง 330 บาท มี 3 จังหวัด คือ ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง

ทั้งนี้ มติที่ประชุมยังได้เสนอมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีโดย 1.5 เท่า ของค่าจ้างแรงงานสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้ มีข้อเสนอให้มีการปรับค่าจ้างแบบลอยตัว เริ่มนำร่องในพื้นที่สามจังหวัดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกก่อน คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานจะนำผลสรุปของคณะกรรมการค่าจ้างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนจะประกาศบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2561 ต่อไป

แฉสื่อ-การเมือง จ้องล้มรัฐ 'บิ๊กตู่' เขียน-เวียนแจ้งครม.

แฉสื่อ-การเมือง จ้องล้มรัฐ 'บิ๊กตู่' เขียน-เวียนแจ้งครม.


“บิ๊กตู่” เดินแต้มการ เมืองต่อ ขนคณะใหญ่ลุยแก้จนที่แม่ฮ่องสอน 5 ปีเห็นผล คุยได้หมดทั้งแกะ-ไก่ หยอดถามชาวบ้านจะเลือกใคร ส่ง จม.เขียนด้วยลายมือถึง รมต.ทุกคน ย้ำความหมายประชาธิปไตยไทยนิยม เร่งปั่นผลงานสู้สื่อ-นักการเมืองที่จ้องล้มกระดาน กำชับเข้มมีประเมินผลงาน รมต.-ขรก.ระดับสูงปลายปี “บิ๊กป้อม” ร้อง “วู้ว” ข่าว สตง.สอบภาษีนาฬิกาหรู เพจดังเปิดอีกปาเต็กเรือนที่ 25 “ศรีสุวรรณ” จี้ ป.ป.ช.เรียกเพื่อนทุกคนมาสอบ “อภิสิทธิ์” ขอนายกฯเคลียร์ให้ชัดไม่เช่นนั้นอยู่ยาก กระทบชิ่ง ป.ป.ช.ระวังพากันพัง “อนุสรณ์” อยากรู้จักมหามิตร “พี่ใหญ่” มีใครบ้าง พท.-ปชป.ยื่นส่งวินิจฉัยคำสั่ง คสช. สนช.ส่อโละวิธีเลือกไขว้ ส.ว. “มีชัย” เตือนระวังขัด รธน. 26 สนช.เข้าชื่อขอตีความต่ออายุ ป.ป.ช.
จังหวะเดินเกมทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยังถูกจับจ้องโดยฝ่ายการเมือง ล่าสุด นำคณะลงพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน แก้ปัญหาความยากจน พร้อมกันนี้ยังส่งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือให้รัฐมนตรีทุกคน เร่งรัดการทำงานสู้กับฝ่ายการเมืองและกระแสสื่อที่โจมตีรัฐบาลอยู่ขณะนี้
“บิ๊กตู่” ลุยแก้จนที่แม่ฮ่องสอน
เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 17 ม.ค. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม และคณะออกเดินทางด้วยเครื่องบินซี-130 ของกองทัพอากาศ ไปยังท่าอากาศยานแม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยมีนายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผวจ.แม่ฮ่องสอน รอต้อนรับ จากนั้นนายกฯนำคณะเดินทางต่อไปยังโรงเรียนห้องสอนศึกษาในพระอุปถัมภ์ ต.จองคำ อ.เมือง เพื่อติดตามการจัดการที่ดินทำกินให้กับชุมชน
รำลึกความหลังผูกพันคนที่นี่
ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานสักขีพยานพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) แก่ผู้แทนประชาชน 3 ตำบล ก่อนกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า มาในนามรัฐบาล-คสช. น่าจะเป็นคณะใหญ่ที่สุดที่เคยมาแม่ฮ่องสอน และเป็นรัฐบาลแรกที่เอาคนมาดูแลพวกเรามากขนาดนี้ เข้ามาแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น ไม่ได้ทำเพื่อการเมือง มาที่นี่ตั้งแต่ยศร้อยโทกับอดีต รมว.มหาดไทยนายเก่า และยังได้มีโอกาสตามเสด็จมาที่นี่ทุกครั้งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจและรู้เกี่ยวกับ จ.แม่ฮ่องสอน จะนำแนวทางต่างๆของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาทำให้เกิดความต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่ามาเพื่อสร้างคะแนน นิยม จำเป็นต้องมาอยู่แล้วยังไงก็ต้องมา
รบ.หน้าต้องยึด ปชต.ไทยนิยม
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า เราไม่สามารถพัฒนาประเทศด้วยระบบพรรคการเมืองได้ทั้งหมด เป็นเรื่องของทุกรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือต่อๆไป ต้องดูแลคนทุกจังหวัดให้เกิดความเป็นธรรมทั่วถึงทุกพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะตามนโยบายพรรคหรือตามที่ ส.ส. ขอไปเฉพาะพื้นที่ตัวเอง เรื่องรายได้รัฐบาลนี้มีแต่ทำให้ดีขึ้นในระยะเริ่มต้นปี 61-62 เร่งรัดทุกกระทรวงให้ลงมาดูแลให้มากที่สุด และรัฐบาลต่อไปที่มาจากการเลือกตั้งที่ตนเรียกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยไทยนิยม ต้องนิยมแบบนี้คือทุกจังหวัดทุกพื้นที่ต้องได้รับการดูแล มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้น ฝากความหวังเรื่องประชาธิปไตยต้องเป็นการเมืองที่ไทยนิยม คือเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศที่มีอยู่ 11 เรื่อง ใครก็แล้วแต่ที่สืบสานเรื่องเหล่านี้นั่นแหละคือประชาธิปไตยไทยนิยม คนไทยทั้งประเทศรับได้
อ้อนขอกำลังหนุนงานรัฐบาล
นายกฯกล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนา จ.แม่ฮ่องสอน จะสอดคล้องนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน ถ้าไม่พัฒนาวางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนจะเป็นไฟไหม้ฟางวูบๆวาบๆ แม่ฮ่องสอนเป็นดินแดนเมืองสามหมอก คิดว่าน่าจะดีขึ้นได้ภายใน 5 ปี เป็นดินแดนที่มีเสน่ห์อยู่แล้ว เรื่องสวัสดิการต่างๆ เราทำโครงการบัตรสวัสดิการคนจนระยะที่ 2 มีหลายกิจกรรม ถ้าให้เงินเปล่าๆ ฟรีๆ มันก็เหมือนเดิม อนาคตลูกหลานทั้งหมดอย่าให้ใครพาชักชวนไปในทางไม่ถูกต้อง และช่วยกันดูแลป่าสัก ป่าสักนวมินทรราชินีช่วยกันรักษาไว้ด้วย ฝากทุกฝ่ายร่วมกันดูแล ถือว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่นี่เยอะกว่าทุกจังหวัด รัฐบาลจะทำทุกอย่างให้กับท่าน เพื่อใช้แม่ฮ่องสอนโมเดลสร้างป่า สร้างรายได้ พ้นจากความยากจนอย่างยั่งยืน ก้าวสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เปิดประตูสู่ตะวันตก
ลงทุนควักกระเป๋าจ่ายไม่รับฟรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์เดินเยี่ยมชมผลิตผลจากและผลิตภัณฑ์ต่างๆจากนวเกษตรของชาวแม่ฮ่องสอน ได้ป้อนนมและคุยกับแกะว่า “นี่มันหิวนะ ชุดนี้ต้องไปโชว์ทุกที่ไหม แล้วมันไม่เมารถเหรอ มีหน้าที่โชว์ตัวนะลูกนะ เหนื่อยไหม ทนหน่อยนะ” จากนั้นได้ทดลองชิมชากุหลาบ กินไก่ย่าง ไก่ทอด ที่ทำจากไก่พันธุ์พื้นเมือง ระหว่างนั้นหันไปเจอไก่แจ้ป่าที่นำมาโชว์ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่น่ากินไก่ ตรงนี้เลย ไก่ที่ยืนตรงหน้าทำหน้าจ๋อยๆ สงสัยกลัวจะเป็นไก่ย่าง” ทั้งนี้พอชาวบ้านนำสิ่งของมามอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้นายทหารติดตามนำซองเงินมอบให้เป็นการตอบแทน พร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่เงินหลวง เป็นเงินส่วนตัวเพิ่งเบิกมาจากธนาคาร”
หยอดถามชาวบ้านจะเลือกใคร
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์เดินไปยังลานวัฒนธรรมริมแม่น้ำปาย ศูนย์บริการและพัฒนาลุ่มน้ำปายตามพระราชดำริฯ เยี่ยมชมผลผลิตโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รับฟังข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ให้ชาวแม่ฮ่องสอน นายกฯกล่าวว่า “ขอร้องอย่าเกลียดผมเลย และขอบคุณที่ยังมีคนรักอยู่บ้าง รักผมก็ขอบคุณ” พร้อมย้อนถามว่า “แล้วจะเลือกใครในวันที่มีการเลือกตั้ง” เมื่อชาวบ้านบอกว่าจะเลือกนายกฯนั่นแหละ พล.อ.ประยุทธ์ตอบทันทีว่า “อันนั้นค่อยว่ากันอีกรอบ เดี๋ยวจะหาว่ามาหาเสียง วันนี้ไม่ได้มาเพื่อการเมือง ถือว่ามาพบกับครอบครัวของผม รวมถึงรองนายกฯและรัฐมนตรีทุกคน” ก่อนจะขอให้ชาวบ้านยิ้มหวานๆ พร้อมแนะนำทิ้งท้ายว่า เกษตรกรอย่าปลูกพืชเชิงเดี่ยวให้ปลูกแบบผสมผสาน และมีอาชีพเสริม รวมกลุ่มทำเกษตรแปลงใหญ่ทำทุกอย่างให้ครบวงจรสำเร็จรูปตั้งแต่ในพื้นที่ การขนส่งจะได้สะดวก
เฉยๆกับเสียงเชียร์ให้อยู่ต่อ
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแม่ฮ่องสอนว่า นับเป็นโอกาสดีที่ได้กลับมาดูแลชาวแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง เรารับทราบปัญหาหลายอย่างทั้งเกษตร ท่องเที่ยว สาธารณูปโภคพื้นฐาน หลายอย่างได้อนุมัติในหลักการจะสรุปทุกอย่างให้ได้ใน 1 เดือน ต้องทำให้แม่ฮ่องสอนมีศักยภาพมากขึ้น เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่มีเสียงเชียร์ให้เป็นนายกฯต่อ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ก็เฉยๆ ยังทำหน้าที่ไม่เสร็จสิ้น อย่าไปพูดถึงอนาคต อนาคตเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่าเอามาปนกับปัจจุบัน เอาปัจจุบันไปปนกับอดีต ต้องทำโดยใช้วิธีการที่ถูกต้อง เป็นธรรม ทั่วถึง เท่าเทียม คือแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล วันนี้เมื่อทุกคนสนใจคำว่าไทยนิยม คือการขับเคลื่อนจากบนลงล่าง ระดับข้างล่างมีประชารัฐอยู่ในพื้นที่ ประชาชนร่วมมือกันทำในสิ่งที่ตรงกับความต้องการ กลไกสำคัญคือประชารัฐ และต้องสอดคล้องกับการปรองดองสมานฉันท์
ร่วมจัดวิทยุกับกลุ่มชาติพันธุ์
กระทั่งเวลา 15.00 น. นายกฯนำคณะเดินทางไปยังชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศาสตร์พระราชา-สะพานข้าว-ก้าวเพื่อสุข) บ้านผาบ่อง อ.เมือง ที่ได้รับรางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” ดีเด่นประจำปี 2560 และร่วมจัดรายการวิทยุกับชาวชาติพันธุ์ไทยใหญ่และปกาเกอะญอ ผ่านสถานีวิทยุ 914 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ชมสาธิตการแปรรูปน้ำมันถั่วลิสง และข้าวเพื่อสุขภาพ แปลงนาเกษตรอินทรีย์ และนั่งรถรางไปยังศูนย์เรียนรู้ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (กาดซอกจ่า) บ้านผาบ่อง ชมตลาดประชารัฐ คนไทยยิ้มได้ ถนนสายวัฒนธรรม การสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และการแสดงท้องถิ่นที่มีการจัดแสดงฟ้อนรำต้อนรับ ซึ่งนายกฯยังได้ร่วมฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน จากนั้นเข้าสักการะวางพุ่มดอกไม้และไม้สืบชะตาพระธาตุดอยกองมู กราบขอพร หลวงพ่อทันใจ โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อธิษฐานขอให้ทำงานสำเร็จทุกอย่าง ประเทศชาติสงบยั่งยืน พร้อมเคาะระฆัง 3 ครั้งตามความเชื่อเคาะแล้วจะได้กลับมาที่ จ.แม่ฮ่องสอนอีก ก่อนนำคณะเดินทางกลับถึง กทม.ในช่วงค่ำวันเดียวกัน
ส่ง จม.เขียนด้วยลายมือถึง ครม.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้แจกเอกสารที่เขียนด้วยลายมือบนหน้ากระดาษเอ 4 จำนวน 12 หน้า แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็นการชี้แจง ความหมายของประชาธิปไตยไทยนิยมว่า “เพื่อให้คนไทยเข้าใจหลักคิดที่ถูกต้อง ไม่เคยคิดจะทิ้งพื้นฐานประชาธิปไตยสากล ด้วยหลักการประชาธิปไตยเป็นของปวงชน ที่ยอมรับกันได้ทุกฝ่าย มุ่งเป้าหมายเดียวกันคือความสงบสุขสันติอย่างยั่งยืน โดยมีพื้นฐานจากการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล อย่าเอานายกฯ คสช.ไปสู้กับใคร นายกฯใด พรรคใด กลุ่มใด ผมกำลังทำเพื่อประชาชน อยากให้คนไทยที่ต้องการประชาธิปไตยนิยมไทย มีอุดมการณ์เดียวกัน ใครจะเข้ามาบิดเบือนไม่ได้ มีผู้ไม่หวังดีเจตนาไม่บริสุทธิ์ยังคงพยายามอยู่จนถึงทุกวันนี้ ต้องหาแก่นสารของประชาธิปไตย สร้างไทยนิยมระบบประชาธิปไตยให้ได้”
ปูดสื่อ-นักการเมืองจ้องล้มเกม
ขณะที่ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องบริหารราชการ ในปี 2561-2562 โดยนายกฯขอให้ ครม.ทำงานด้วยความโปร่งใส ชี้แจง ตรวจสอบได้ เตรียมการเป็นประชาธิปไตย แก้ปัญหาประชาธิปไตยทุกประเด็น สร้างระบบ วิธีการราชการ เตรียมคนรุ่นใหม่และปัจจุบัน สร้างอาชีพรายได้ที่เหมาะสม เป็นคนเก่งและดี มีศีลธรรม คุณธรรม วางกลไกกระทรวงให้สอดคล้องกับกลไกรัฐบาล กลไกยุทธศาสตร์และปฏิรูป แก้ปัญหาบุคลากรปรับปรุงตัวให้เป็นคนดี ไม่ใช่เพื่อพวกพ้องซึ่งไม่ดี สร้างความร่วมมือ สร้างอุดมการณ์ ชวนคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 18 ปี ที่เพิ่งมีสิทธิเลือกตั้งและคนไม่ชอบการเมือง ต้องออกมาเลือกตั้งให้มากที่สุดขอให้ทุกคณะทำงานเชิงรุก อย่าทำงานเชิงรับ รอเรื่องร้องเรียนอย่างเดียวเพื่อช่วยประชาชนอุ่นใจ “สิ่งที่เป็นปัญหาตอนนี้คือ สื่อ นักการเมืองที่มีปัญหา พยายามจะล้มรัฐบาลและคสช.ให้ได้ในช่วงนี้ กฎหมาย คำสั่งทุกฉบับ จะแก้ไขให้กลับไปที่เดิม และมีข้าราชการไม่สุจริตร่วมมือ”
สั่งล้างทุจริต-สร้างสมดุลงบฯ
สำหรับส่วนที่ 3 หลักการการทำงาน ต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศ เดินหน้ายุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ลดความยากจนในทุกมิติ เน้นการศึกษา เกษตร ปฏิรูประบบราชการ การให้บริการประชาชนด้วยกลไกประชารัฐ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตยอย่างมีธรรมาภิบาล คำนึงถึงสังคมเท่าเทียมและเป็นธรรม ให้โอกาสทุกคน กวาดล้างทุจริต สร้างความสมดุลการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ไม่ให้เกิดปัญหาระบบการเงิน การคลัง บริหารจัดการน้ำเพื่อคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย แก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ดูแลสวัสดิการ แรงงานให้ดีที่สุดทุกมิติ ร่วมมือกับทุกสหภาพให้เข้าใจถึงความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ และภาระของรัฐ ธุรกิจ รัฐวิสาหกิจต้องอยู่ได้ แต่สวัสดิการต้องไม่ลดลง ไม่ทำให้สินค้าเกษตรเป็นปัญหาการเมืองอีกต่อไป
กำชับเข้มมีประเมินผลปลายปี
โดยในหนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ทั้งหมดนี้จะกำหนดเป็นตัวชี้วัดระดับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า และอธิบดี โดยนายกฯจะกำหนดลงไป ก.พ. และ ก.พ.ร. จะเริ่มประเมินในเดือน เม.ย.นี้ ทุก 3 เดือน สะสมผลงาน มีผลต่อการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายในเดือน ต.ค.61 สร้างความเข้าใจประชาชนให้เกิดความร่วมมือและยอมรับ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบให้สอดคล้องกัน เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ สร้างความมั่นคง ไม่ขัดแย้งกับการทำงานเจ้าหน้าที่รัฐ
“บิ๊กป้อม” ร้อง “วู้ว” สตง.สอบภาษี
วันเดียวกันเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกระแสข่าวสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเข้ามาตรวจสอบถึงการเสียภาษีนาฬิกาหรู โดยกล่าวแค่คำว่า “วู้ว...” พร้อมเดินออกจากวงสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไปทันที
เพจดังเปิดอีกปาเต็กเรือนที่ 25
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก CSI LA ยังคงติดตามเปิดข้อมูลภาพนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรต่อเนื่อง วันเดียวกันนี้ได้โพสต์ภาพนาฬิกาเรือนที่ 25 โดยระบุว่าเป็น Patek Philippe รุ่น Complications Annual Calendar รหัส 5396g-011 ทำจากทองคำขาว 18K ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2557 ที่วัดโฆสมังคลาราม บ้านโพนสว่าง ต.โคกสว่าง อ.ปลาปาก จ.นครพนม ที่ พล.อ.ประวิตรนำคณะมาทำบุญทอดกฐินสามัคคี โดยมีนายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ผวจ.นครพนม ขณะนั้นนำข้าราชการ และประชาชน มาร่วมทำบุญ ได้ปัจจัยรวมทั้งสิ้น 82,043,529 บาท ถือเป็นโคตรกฐินที่ทำลายสถิติ 82 ล้านบาท โดยทางเพจอ้างที่มาของข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ พร้อมลงลิงก์ประกอบโพสต์ http://www.manager.co.th/politics/ viewnews.aspx...และลงภาพ พล.อ.ประวิตร สวมนาฬิการุ่นดังกล่าวบนข้อมือข้างขวา พร้อมระบุว่ามีราคาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท
เลขาฯ ป.ป.ช.เลี่ยงแจงปมร้อน
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระบุนาฬิกาหรูเป็นของเพื่อนที่ยืมมา และได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ไปหมดแล้วว่า ขณะนี้ขอให้ ป.ป.ช.ทำงานก่อน ยังไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆได้ เมื่อถามว่า ล่าสุด พล.อ.ประวิตรชี้แจงเรื่องนาฬิกาหรูและแหวนเพชร ที่ ป.ป.ช.สอบถามเพิ่มเติมไปกลับมาแล้วหรือยัง นายวรวิทย์ตอบว่า ขอให้ ป.ป.ช.ทำงานก่อน ถ้าเสร็จแล้วจะแถลงให้ทราบต่อไป
“ศรีสุวรรณ” ซัดข้ออ้างฟังไม่ขึ้น
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ได้ออกแถลงการณ์ในนามสมาคมฯ คนไทยไม่ได้กินแกลบกินหญ้าที่จะเชื่อตามที่ พล.อ.ประวิตรระบุว่านาฬิกาเป็นของเพื่อนที่วนกันใส่ เป็นเพียงการแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ให้รอดพ้นจากข้อครหาและคมดาบของ ป.ป.ช.คงไม่มีใครเชื่อ เพราะนาฬิกาแต่ละเรือนมีมูลค่าสูง บางเรือนเป็นรุ่นลิมิเต็ด ทำสายรัดไว้พอดีกับคนซื้อ ถ้าจะเพิ่มข้อสายรัดต้องเสียเงินเพิ่มเป็นหมื่นเป็นแสน ดังนั้นข้ออ้างดังกล่าวจึงไร้เหตุผล หาก พล.อ.ประวิตรยังคงยืนยันว่าเป็นนาฬิกาของเพื่อนจริง ก็เป็นหน้าที่ ป.ป.ช.ที่ต้องเรียกเจ้าของนาฬิกาทุกเรือนมาตรวจสอบวงรอบข้อมือแต่ละคน ว่าสวมใส่พอดีหรือไม่ ทางที่ดีขอแนะนำให้เปลี่ยนทีมที่ปรึกษาที่ต้องมาทำงานคิดค้นหาถ้อยคำ หรือเหตุผลใช้แก้ต่างเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม การอ้างว่าเป็นนาฬิกาเพื่อนวนกันใส่นั้น ยังถือว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาตรา 103 เพราะเข้าข่ายเป็นประโยชน์อื่นใดโดยชัดแจ้ง ป.ป.ช.คงสังเคราะห์กฎหมายมาตรานี้ได้ไม่ยาก
อยากรู้จักมหามิตรของ “พี่ใหญ่”
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถ้าเป็นตามที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวอ้างจริง สังคมอยากตั้งคำถามว่าเพื่อนดีๆเหล่านี้ท่านไปหามาจากที่ไหน มีกี่คน แต่ละคนชื่ออะไรบ้าง เพื่อนท่านเป็นเจ้าของร้านนาฬิกา เป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นเจ้าของโครงการขนาดใหญ่ของรัฐหรือไม่ นาฬิกาเหล่านี้มีหมายเลขกำกับ เสียภาษีศุลกากรนำเข้าถูกต้องหรือไม่ ระยะเวลาการยืม ยืมเมื่อไหร่ คืนเมื่อไหร่ และจากนี้ไปไม่รู้จะพบเพิ่มอีกกี่เรือน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ต้องทำงานหนักท่ามกลางประเด็นที่สังคมสงสัย ทั้งเรื่องที่เคยเป็นเลขาฯ พล.อ.ประวิตร รวมถึงเรื่องการต่ออายุกรรมการ ป.ป.ช. สังคมสงสัยว่าอยู่ต่อเพื่อการใด คิดว่าคำชี้แจงของ พล.อ.ประวิตรแบบนี้ ประชาชนจะเชื่อถือหรือไม่ ถ้าทำไม่ดีจะกระทบต่อ ป.ป.ช.และรัฐบาลทั้งหมด นายกฯฟังคำชี้แจงนี้แล้วรู้สึกอย่างไร รับได้หรือไม่ เชื่อหรือไม่ ขนาดกองหนุนยังกังขาเรื่องนี้
จี้เคลียร์ให้ชัดไม่งั้น รบ.อยู่ยาก
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ระบุว่า พร้อมออกจากตำแหน่ง หาก ป.ป.ช.ชี้ว่ามีความผิดนั้น ตนเสนอแนะไปด้วยความเป็นห่วงต่อผลกระทบที่เกิดกับรัฐบาลนี้ อยากให้ชี้แจงต่อสาธารณะให้ชัดเจน ถ้าสังคมสงสัยไม่เชื่อ จะทำให้ขาดความเชื่อมั่น และการสนับสนุนจากประชาชน รวมถึงขณะนี้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัว ป.ป.ช.ด้วย จึงอยากเห็นการชี้แจงให้ชัดเจนว่าข้อเท็จจริงคืออะไร หากยืนยันว่ายืมเพื่อนมาใส่ ก็ชี้แจงรายละเอียดว่ามีกี่เรือน ยืมจากใคร สังคมจะได้จบเรื่องนี้ไป แต่ถ้ายังชี้แจงเพียงเท่านี้การวิพากษ์วิจารณ์จะยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล
ถ้ายังมีธรรมาภิบาลต้องสะสาง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าอย่างน้อยที่สุดนายกรัฐมนตรีต้องคุยกับ พล.อ.ประวิตร ทำอย่างไรไม่ให้เรื่องนี้กระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และแปลกใจนายกฯที่ใช้คำพูดว่าอย่าเอาวาทกรรมทางการเมืองมาพูด ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่วาทกรรมแต่เป็นเรื่องพฤติกรรม นักการเมืองถูกรัฐบาลชุดนี้ต่อว่าต่อขานว่าการเมืองเก่าๆ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จึงชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานในรัฐบาลของตนที่เป็นนักการเมืองเก่า มีความชัดเจนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ มีปัญหาที่สังคมสงสัยรัฐมนตรีลาออกทันที ทั้งที่ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ชี้ว่ามีความผิด ดังนั้นหากนายกฯยังอยากใช้คำว่าธรรมาภิบาลอยู่ ควรสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยด้วยการสร้างมาตรฐานทางการเมือง อย่างน้อยคือทำให้โปร่งใส
กระทบชิ่ง ป.ป.ช.ระวังพากันพัง
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า เข้าใจถึงความสำคัญของ พล.อ.ประวิตรที่มีต่อรัฐบาล รวมถึง ความผูกพันที่มีต่อกัน ถ้ามั่นใจว่าถูกต้องก็ชี้แจงให้สังคมเข้าใจและมั่นใจด้วย แต่ถ้าไม่สามารถทำได้รัฐบาลจะได้รับผลกระทบ ต้องไม่ลืมว่า คสช.เข้ามาบอกว่าจะทำให้การเมืองดีขึ้น หากมีปัญหาความเสื่อมศรัทธาขององค์กรอิสระ และ ป.ป.ช.ตามมาอีก จะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะยังมีเรื่องการต่ออายุ ป.ป.ช.ที่กำลังจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีก สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาพัวพันทั้งเรื่องกฎหมายและสายสัมพันธ์ที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ ทำให้ ป.ป.ช.ทำงานยากขึ้น และถูกจับจ้อง ผลวินิจฉัยที่ออกมาจะมีคนจำนวนหนึ่งไม่เชื่อมั่น เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นการวางรากฐานการเมืองในอนาคต ถ้ารัฐบาลอยากมาปฏิรูปก็ต้องจริงจังกับการสร้างมาตรฐานทางการเมืองที่ถูกต้อง
“ราเมศ” กระทุ้งทำสวนคำพูด
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากรัฐบาลตรวจสอบตามคำแนะนำของนายอภิสิทธิ์ จะยิ่งทำให้เกิดความโปร่งใส ไม่ใช่เรื่องของวาทกรรมอย่างที่นายกฯพูด ขณะนี้การกระทำของรัฐบาลขัดหลักธรรมาภิบาลโดยสิ้นเชิง สังคมเคลือบแคลงสงสัยว่าผู้มีอำนาจในรัฐบาลไม่มีความโปร่งใสในเรื่องบัญชีทรัพย์สิน ไม่พร้อมให้ตรวจสอบ เมื่อนายกฯอ้างเรื่องธรรมาภิบาลก็ต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ขอให้นายกฯเลิกกล่าวโจมตีโดยไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริง
พท.แถลงคำสั่ง คสช.ขัด รธน.
ช่วงเช้าที่พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมแกนนำ พรรค ร่วมแถลงคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ประกอบมาตรา 5 โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวคำแถลงการณ์ว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทยเห็นว่าคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นการละเมิดสิทธิ จึงใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัย มีประเด็นสำคัญดังนี้ 1.คำสั่งดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรา 44 เนื่องจากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐสภา คือ สนช. และ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ผ่านความเห็นชอบของ สนช. และพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว การที่หัวหน้า คสช.ออกคำสั่งแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเท่ากับเป็นการลบล้างกระบวนการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ หัวหน้าคสช.เป็นเพียงผู้ได้รับอำนาจมาจากรัฐธรรมนูญอีกทอด จึงไม่อาจใช้อำนาจที่ขัดหรือแย้ง หรือนอกเหนือไปจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ได้
ยื่นผ่าน 3 ช่องทางถึงศาล รธน.
นายภูมิธรรมกล่าวว่า 2.การที่หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจโดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ออกคำสั่งที่มีผลเป็นการลบล้างสมาชิกภาพของสมาชิกพรรค การเมือง จึงกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล และเป็นการออกกฎหมายที่มีผลย้อนหลังเป็นโทษแก่บุคคล จึงขัดต่อหลักนิติธรรม และยังเพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และยังขัดต่อหลักความเสมอภาค พรรคเพื่อไทยจึงเตรียมยื่นคำร้องใน 3 ช่องทาง คือ 1.ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินในนามพรรค 2.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญในนามนิติบุคคล และ 3.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญในนามสมาชิกพรรค โดยในส่วนนี้จะมีแกนนำพรรคลงนาม 13 คน คือ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายโภคินพลกุล นายภูมิธรรม เวชยชัย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายชัยเกษม นิติสิริ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายนพดล ปัทมะ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายสามารถ แก้วมีชัย และนายวัฒนา เมืองสุข
ต่อมาเวลา 15.00 น. นายวัฒนา เตียงกูล ทนาย ความในฐานะผู้แทนพรรคเพื่อไทย นำคำร้องของพรรคเพื่อไทย และของสมาชิกพรรคเพื่อไทย 13 คน เข้ายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน
เอาเปรียบคนอื่นหวังสืบอำนาจ
นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวไม่มีความเสมอภาค เลือกปฏิบัติ ไม่สุจริต ไม่ชอบและขัดรัฐธรรมนูญ ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปรองดองอย่างที่ คสช.กล่าวอ้าง รวมถึงการปลดล็อกการเมืองเมื่อไร เป็นไปตามอำเภอใจของ คสช.
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำลายพรรคการเมือง สร้างความได้เปรียบให้ คสช.อยู่ในอำนาจต่อไป เพราะคำสั่งนี้จะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป และ คสช.จะกลับเข้าสู่อำนาจอีกภายหลังการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ เท่ากับ คสช.มีอำนาจเหนือศาลรัฐธรรมนูญ และทุกองค์กร ถือเป็นการทำลายระบบกฎหมาย
“อ๋อย” อัดผู้นำทำลายคำไทยๆ
นายจาตุรนต์ยังกล่าวถึงท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ระบุถึงเรื่องประชาธิปไตยไทยนิยม รวมถึงการใช้งบประมาณในพื้นที่ต่างๆว่า เป็นมาตรการชุดเดียวกันกับอีกหลายเรื่องที่ต้องการบรรลุจุดมุ่งหมายของการมีรัฐบาลที่ คสช.ยังควบคุมได้ หรือสืบทอดอำนาจได้ต่อไป หมายความว่ามันไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นระบบการปกครองที่เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมา ประกอบกับการใช้มาตรการและวิธีการต่างๆ เพื่อให้ คสช.ยังคงเป็นรัฐบาลได้อีก ทำให้การเลือกตั้งไม่มีความหมาย แต่จะยอมรับว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายถึงต้องเรียกว่าประชาธิปไตยไทยนิยม ความจริงแล้วคนพวกนี้ชอบทำลายความหมายของคำว่าไทยๆ และตอนนี้กำลังทำลายความหมายของคำว่าไทยนิยมอีก
ปชป.จ่อยื่นผู้ตรวจส่งศาล รธน.
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการยกร่างคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ว่า น่าจะยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ภายในสัปดาห์นี้ โดยจะสรุปอีกครั้งว่าจะยื่นในนามหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเป็นการยื่นของสมาชิกพรรค เพราะได้รับผลกระทบทั้งคู่ เหตุผลที่เห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญเพราะคำสั่งดังกล่าวสร้างความเสียหาย ทำให้มีภาระเกินสมควรแก่เหตุจากกรณีให้สมาชิกพรรคต้องยืนยันความเป็นสมาชิกต่อหัวหน้าพรรคภายใน 30 วัน เป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะต้องดำเนินการ
กมธ.ส่อโละวิธีเลือกไขว้ ส.ว.
ที่รัฐสภา พล.ร.อ.ธราธร ขจิตสุวรรณ โฆษกกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญการได้มาซึ่ง ส.ว. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า มีประเด็นที่ สนช.ขอแปรญัตติส่วนใหญ่ ได้แก่มาตรา 11 เรื่องการแบ่งกลุ่มอาชีพของผู้สมัคร ส.ว. ที่เห็นว่าควรปรับลดเหลือ 5-10 กลุ่มอาชีพ จากเดิมที่มี 20 กลุ่มอาชีพ และมาตรา 40-42 เรื่องวิธีเลือกไขว้ในกลุ่มอาชีพของผู้สมัคร ส.ว.มีผู้แปรญัตติหลายคน อาทิ นายสมชาย แสวง–การ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ เสนอให้ใช้วิธีเลือกกันเองในแต่ละกลุ่มอาชีพแทนวิธีการเลือกไขว้ กมธ.กำลังรับฟังเหตุผลเพื่อชั่งน้ำหนักว่าจะปรับเปลี่ยนตามคำแปรญัตติหรือไม่ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ยืนตามหลักการที่ กรธ.เสนอมา วันที่ 18 ม.ค. กมธ.จะหารือประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง คาดว่าวันที่ 22 ม.ค.จะได้ข้อสรุป เพื่อส่งร่าง พ.ร.บ.เข้าสู่ที่ประชุม สนช.ในวันที่ 25 ม.ค.
ยืนกรานไม่ขัดหลักการ รธน.
ผู้สื่อข่าวถามว่าหาก กมธ.เปลี่ยนวิธีการเลือก ส.ว. จากวิธีเลือกไขว้มาเป็นการเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ จะไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือเจตนารมณ์ของกรธ. ที่ยืนยันให้ใช้วิธีเลือกไขว้มาตลอดหรือ พล.ร.อ.ธราธรตอบว่า ไม่ขัด เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ระบุชัดเจนถึงการเลือก ส.ว.ให้ใช้วิธีเลือกกันเอง ไม่ได้บอกให้เลือกไขว้ ถ้ามีการแก้ไขวิธีการเลือก ส.ว. ไม่ถือเป็นการหักหน้า กรธ. เพราะเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ หากต้องเปลี่ยนวิธีมาเป็นการเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ อาจต้องลดกลุ่มอาชีพเหลือไม่ถึง 20 กลุ่ม โดยมีผู้แปรญัตติว่าอาจ ให้สมัครโดยอิสระ หรือสมัครโดยกลุ่มองค์กรเป็นผู้เสนอชื่อมา
“มีชัย” เตือน สนช.เสี่ยงขัด รธน.
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า หากมีการปรับแก้ตามคำแปรญัตติของ สนช.จริง คิดว่าจะทำให้เกิดการฮั้ว หรือบล็อกโหวตได้ และยังง่ายต่อการทุจริต เพราะผู้สมัครจะรู้ว่าใครอยู่กลุ่มใด เพียงส่งคนของตนมาสมัครในกลุ่มอีก 100 คน ก็สามารถบล็อกโหวตได้แล้ว หากยังมีช่องทางให้เกิดการทุจริตในการเลือกตั้งได้จะถือว่าไม่ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม เหตุที่ กรธ.บัญญัติให้มี 20 กลุ่มอาชีพ เพื่อให้ ส.ว.มีที่มาหลากหลาย แต่หาก สนช.มีเหตุผล กรธ.พร้อมยอมรับ แต่ต้องเปิดช่องให้ทุกกลุ่มอาชีพสมัครเข้ามาได้
26 สนช.ยื่นตีความต่ออายุ ป.ป.ช.
นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สมาชิก สนช.กล่าวถึงกรณีสมาชิก สนช. เตรียมเข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ออกบทเฉพาะกาลมาตรา 178 ต่ออายุให้กรรมการ ป.ป.ช.ที่มีลักษณะต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ว่า คาดว่าจะได้รายชื่อ สนช.ครบตามจำนวน 25 คน เพื่อยื่นต่อนายพรเพชร วิชิตชัย ประธานสนช. ได้ในวันที่ 18 ม.ค. แต่จะยื่นในนาม สนช. ไม่ได้ยื่นในนาม สนช.เสียงข้างน้อย 26 คน ที่ไม่เห็นด้วยกับการลงมติมาตรา 178 เหตุผลที่ยื่นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและกระจ่างในข้อกฎหมาย เพื่อให้การทำงานของ ป.ป.ช.ไม่เกิดปัญหาในอนาคต ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวอย่างไร
ต่อมานายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. ในฐานะเลขานุการวิป สนช. กล่าวว่า มี สนช.เข้าชื่อร่วมกันจำนวน 26 คน เป็นที่เรียบร้อย ถือว่าเลยเกณฑ์ที่กำหนดเสนอต่อประธาน สนช. ขอให้ส่งร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยว่ากรณียกเว้นลักษณะต้องห้าม ป.ป.ช. ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยช่วงเช้าวันที่ 18 ม.ค. จะมีสมาชิกมาร่วมลงชื่อเพิ่มเติมอีกประมาณ 3-4 คน
“มาร์ค” เอาคืนฟ้องกลับ “บิ๊กโอ๋”
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงคำพิพากษาศาลฎีกาสั่งให้เพิกถอนคำสั่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม ที่ปลดออกจากราชการทหารย้อนหลัง 23 ปีเศษ ว่า รู้สึกดีใจที่เรื่องนี้ยุติลงแล้ว เป็นไปอย่างที่ได้ขอความเป็นธรรมมาตลอด เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ใช้อำนาจไม่ชอบ จากนี้จะนำคำพิพากษาศาลฎีกามาพิจารณาเพื่อดำเนินการร้องไปยัง ป.ป.ช. ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.เคยยกคำร้องไปโดยอ้างคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วเป็นเหตุที่จะทำให้ ป.ป.ช.หยิบยกขึ้นมาทบทวนใหม่ได้ แต่ต้องรอคำพิพากษาฉบับเต็มเพื่อความสมบูรณ์อีกครั้ง ฝากไปถึงผู้ใช้อำนาจว่าต้องใช้ด้วยความเป็นธรรม อย่าใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
“ส.ศิวลักษณ์” รอดคดี ม.112
ช่วงเช้า ที่ศาลทหารกรุงเทพ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ พร้อมทนายความเดินทางเข้ารับฟังคำสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้อง จากอัยการทหาร ในข้อหาความผิดตามมาตรา 112 (หมิ่นพระนเรศวร) จากการเป็นวิทยากรในงานเสวนา “ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการชำระและการสร้าง” เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2557 นายสุลักษณ์กล่าวภายหลังเข้าพบอัยการศาลทหารว่า อัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้อง ด้วยพยานหลักฐานไม่พอฟ้องทั้ง 2 ข้อหาคือ ข้อหาผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และจากการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ผ่านมามีการขอร้องให้อยู่เงียบๆ ตนจะยืนอยู่บนความถูกต้อง ความจริง แม้จะติดคุกก็ยอม แต่ในเมืองนี้คนมีอำนาจทำอะไรก็ไม่มีผิด คนมีนาฬิกาเรือนละสี่แสนก็ไม่ผิด อย่างไรก็ตาม คดีตนยุติได้เชื่อว่าเพราะพระบารมี ปกเกล้าปกกระหม่อมของในหลวงรัชกาลที่ 10