PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

แฉสื่อ-การเมือง จ้องล้มรัฐ 'บิ๊กตู่' เขียน-เวียนแจ้งครม.

แฉสื่อ-การเมือง จ้องล้มรัฐ 'บิ๊กตู่' เขียน-เวียนแจ้งครม.


“บิ๊กตู่” เดินแต้มการ เมืองต่อ ขนคณะใหญ่ลุยแก้จนที่แม่ฮ่องสอน 5 ปีเห็นผล คุยได้หมดทั้งแกะ-ไก่ หยอดถามชาวบ้านจะเลือกใคร ส่ง จม.เขียนด้วยลายมือถึง รมต.ทุกคน ย้ำความหมายประชาธิปไตยไทยนิยม เร่งปั่นผลงานสู้สื่อ-นักการเมืองที่จ้องล้มกระดาน กำชับเข้มมีประเมินผลงาน รมต.-ขรก.ระดับสูงปลายปี “บิ๊กป้อม” ร้อง “วู้ว” ข่าว สตง.สอบภาษีนาฬิกาหรู เพจดังเปิดอีกปาเต็กเรือนที่ 25 “ศรีสุวรรณ” จี้ ป.ป.ช.เรียกเพื่อนทุกคนมาสอบ “อภิสิทธิ์” ขอนายกฯเคลียร์ให้ชัดไม่เช่นนั้นอยู่ยาก กระทบชิ่ง ป.ป.ช.ระวังพากันพัง “อนุสรณ์” อยากรู้จักมหามิตร “พี่ใหญ่” มีใครบ้าง พท.-ปชป.ยื่นส่งวินิจฉัยคำสั่ง คสช. สนช.ส่อโละวิธีเลือกไขว้ ส.ว. “มีชัย” เตือนระวังขัด รธน. 26 สนช.เข้าชื่อขอตีความต่ออายุ ป.ป.ช.
จังหวะเดินเกมทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยังถูกจับจ้องโดยฝ่ายการเมือง ล่าสุด นำคณะลงพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน แก้ปัญหาความยากจน พร้อมกันนี้ยังส่งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือให้รัฐมนตรีทุกคน เร่งรัดการทำงานสู้กับฝ่ายการเมืองและกระแสสื่อที่โจมตีรัฐบาลอยู่ขณะนี้
“บิ๊กตู่” ลุยแก้จนที่แม่ฮ่องสอน
เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 17 ม.ค. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม และคณะออกเดินทางด้วยเครื่องบินซี-130 ของกองทัพอากาศ ไปยังท่าอากาศยานแม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยมีนายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผวจ.แม่ฮ่องสอน รอต้อนรับ จากนั้นนายกฯนำคณะเดินทางต่อไปยังโรงเรียนห้องสอนศึกษาในพระอุปถัมภ์ ต.จองคำ อ.เมือง เพื่อติดตามการจัดการที่ดินทำกินให้กับชุมชน
รำลึกความหลังผูกพันคนที่นี่
ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานสักขีพยานพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) แก่ผู้แทนประชาชน 3 ตำบล ก่อนกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า มาในนามรัฐบาล-คสช. น่าจะเป็นคณะใหญ่ที่สุดที่เคยมาแม่ฮ่องสอน และเป็นรัฐบาลแรกที่เอาคนมาดูแลพวกเรามากขนาดนี้ เข้ามาแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น ไม่ได้ทำเพื่อการเมือง มาที่นี่ตั้งแต่ยศร้อยโทกับอดีต รมว.มหาดไทยนายเก่า และยังได้มีโอกาสตามเสด็จมาที่นี่ทุกครั้งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจและรู้เกี่ยวกับ จ.แม่ฮ่องสอน จะนำแนวทางต่างๆของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาทำให้เกิดความต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่ามาเพื่อสร้างคะแนน นิยม จำเป็นต้องมาอยู่แล้วยังไงก็ต้องมา
รบ.หน้าต้องยึด ปชต.ไทยนิยม
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า เราไม่สามารถพัฒนาประเทศด้วยระบบพรรคการเมืองได้ทั้งหมด เป็นเรื่องของทุกรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือต่อๆไป ต้องดูแลคนทุกจังหวัดให้เกิดความเป็นธรรมทั่วถึงทุกพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะตามนโยบายพรรคหรือตามที่ ส.ส. ขอไปเฉพาะพื้นที่ตัวเอง เรื่องรายได้รัฐบาลนี้มีแต่ทำให้ดีขึ้นในระยะเริ่มต้นปี 61-62 เร่งรัดทุกกระทรวงให้ลงมาดูแลให้มากที่สุด และรัฐบาลต่อไปที่มาจากการเลือกตั้งที่ตนเรียกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยไทยนิยม ต้องนิยมแบบนี้คือทุกจังหวัดทุกพื้นที่ต้องได้รับการดูแล มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้น ฝากความหวังเรื่องประชาธิปไตยต้องเป็นการเมืองที่ไทยนิยม คือเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศที่มีอยู่ 11 เรื่อง ใครก็แล้วแต่ที่สืบสานเรื่องเหล่านี้นั่นแหละคือประชาธิปไตยไทยนิยม คนไทยทั้งประเทศรับได้
อ้อนขอกำลังหนุนงานรัฐบาล
นายกฯกล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนา จ.แม่ฮ่องสอน จะสอดคล้องนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน ถ้าไม่พัฒนาวางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนจะเป็นไฟไหม้ฟางวูบๆวาบๆ แม่ฮ่องสอนเป็นดินแดนเมืองสามหมอก คิดว่าน่าจะดีขึ้นได้ภายใน 5 ปี เป็นดินแดนที่มีเสน่ห์อยู่แล้ว เรื่องสวัสดิการต่างๆ เราทำโครงการบัตรสวัสดิการคนจนระยะที่ 2 มีหลายกิจกรรม ถ้าให้เงินเปล่าๆ ฟรีๆ มันก็เหมือนเดิม อนาคตลูกหลานทั้งหมดอย่าให้ใครพาชักชวนไปในทางไม่ถูกต้อง และช่วยกันดูแลป่าสัก ป่าสักนวมินทรราชินีช่วยกันรักษาไว้ด้วย ฝากทุกฝ่ายร่วมกันดูแล ถือว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่นี่เยอะกว่าทุกจังหวัด รัฐบาลจะทำทุกอย่างให้กับท่าน เพื่อใช้แม่ฮ่องสอนโมเดลสร้างป่า สร้างรายได้ พ้นจากความยากจนอย่างยั่งยืน ก้าวสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เปิดประตูสู่ตะวันตก
ลงทุนควักกระเป๋าจ่ายไม่รับฟรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์เดินเยี่ยมชมผลิตผลจากและผลิตภัณฑ์ต่างๆจากนวเกษตรของชาวแม่ฮ่องสอน ได้ป้อนนมและคุยกับแกะว่า “นี่มันหิวนะ ชุดนี้ต้องไปโชว์ทุกที่ไหม แล้วมันไม่เมารถเหรอ มีหน้าที่โชว์ตัวนะลูกนะ เหนื่อยไหม ทนหน่อยนะ” จากนั้นได้ทดลองชิมชากุหลาบ กินไก่ย่าง ไก่ทอด ที่ทำจากไก่พันธุ์พื้นเมือง ระหว่างนั้นหันไปเจอไก่แจ้ป่าที่นำมาโชว์ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่น่ากินไก่ ตรงนี้เลย ไก่ที่ยืนตรงหน้าทำหน้าจ๋อยๆ สงสัยกลัวจะเป็นไก่ย่าง” ทั้งนี้พอชาวบ้านนำสิ่งของมามอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้นายทหารติดตามนำซองเงินมอบให้เป็นการตอบแทน พร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่เงินหลวง เป็นเงินส่วนตัวเพิ่งเบิกมาจากธนาคาร”
หยอดถามชาวบ้านจะเลือกใคร
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์เดินไปยังลานวัฒนธรรมริมแม่น้ำปาย ศูนย์บริการและพัฒนาลุ่มน้ำปายตามพระราชดำริฯ เยี่ยมชมผลผลิตโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รับฟังข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ให้ชาวแม่ฮ่องสอน นายกฯกล่าวว่า “ขอร้องอย่าเกลียดผมเลย และขอบคุณที่ยังมีคนรักอยู่บ้าง รักผมก็ขอบคุณ” พร้อมย้อนถามว่า “แล้วจะเลือกใครในวันที่มีการเลือกตั้ง” เมื่อชาวบ้านบอกว่าจะเลือกนายกฯนั่นแหละ พล.อ.ประยุทธ์ตอบทันทีว่า “อันนั้นค่อยว่ากันอีกรอบ เดี๋ยวจะหาว่ามาหาเสียง วันนี้ไม่ได้มาเพื่อการเมือง ถือว่ามาพบกับครอบครัวของผม รวมถึงรองนายกฯและรัฐมนตรีทุกคน” ก่อนจะขอให้ชาวบ้านยิ้มหวานๆ พร้อมแนะนำทิ้งท้ายว่า เกษตรกรอย่าปลูกพืชเชิงเดี่ยวให้ปลูกแบบผสมผสาน และมีอาชีพเสริม รวมกลุ่มทำเกษตรแปลงใหญ่ทำทุกอย่างให้ครบวงจรสำเร็จรูปตั้งแต่ในพื้นที่ การขนส่งจะได้สะดวก
เฉยๆกับเสียงเชียร์ให้อยู่ต่อ
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแม่ฮ่องสอนว่า นับเป็นโอกาสดีที่ได้กลับมาดูแลชาวแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง เรารับทราบปัญหาหลายอย่างทั้งเกษตร ท่องเที่ยว สาธารณูปโภคพื้นฐาน หลายอย่างได้อนุมัติในหลักการจะสรุปทุกอย่างให้ได้ใน 1 เดือน ต้องทำให้แม่ฮ่องสอนมีศักยภาพมากขึ้น เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่มีเสียงเชียร์ให้เป็นนายกฯต่อ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ก็เฉยๆ ยังทำหน้าที่ไม่เสร็จสิ้น อย่าไปพูดถึงอนาคต อนาคตเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่าเอามาปนกับปัจจุบัน เอาปัจจุบันไปปนกับอดีต ต้องทำโดยใช้วิธีการที่ถูกต้อง เป็นธรรม ทั่วถึง เท่าเทียม คือแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล วันนี้เมื่อทุกคนสนใจคำว่าไทยนิยม คือการขับเคลื่อนจากบนลงล่าง ระดับข้างล่างมีประชารัฐอยู่ในพื้นที่ ประชาชนร่วมมือกันทำในสิ่งที่ตรงกับความต้องการ กลไกสำคัญคือประชารัฐ และต้องสอดคล้องกับการปรองดองสมานฉันท์
ร่วมจัดวิทยุกับกลุ่มชาติพันธุ์
กระทั่งเวลา 15.00 น. นายกฯนำคณะเดินทางไปยังชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศาสตร์พระราชา-สะพานข้าว-ก้าวเพื่อสุข) บ้านผาบ่อง อ.เมือง ที่ได้รับรางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” ดีเด่นประจำปี 2560 และร่วมจัดรายการวิทยุกับชาวชาติพันธุ์ไทยใหญ่และปกาเกอะญอ ผ่านสถานีวิทยุ 914 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ชมสาธิตการแปรรูปน้ำมันถั่วลิสง และข้าวเพื่อสุขภาพ แปลงนาเกษตรอินทรีย์ และนั่งรถรางไปยังศูนย์เรียนรู้ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (กาดซอกจ่า) บ้านผาบ่อง ชมตลาดประชารัฐ คนไทยยิ้มได้ ถนนสายวัฒนธรรม การสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และการแสดงท้องถิ่นที่มีการจัดแสดงฟ้อนรำต้อนรับ ซึ่งนายกฯยังได้ร่วมฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน จากนั้นเข้าสักการะวางพุ่มดอกไม้และไม้สืบชะตาพระธาตุดอยกองมู กราบขอพร หลวงพ่อทันใจ โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อธิษฐานขอให้ทำงานสำเร็จทุกอย่าง ประเทศชาติสงบยั่งยืน พร้อมเคาะระฆัง 3 ครั้งตามความเชื่อเคาะแล้วจะได้กลับมาที่ จ.แม่ฮ่องสอนอีก ก่อนนำคณะเดินทางกลับถึง กทม.ในช่วงค่ำวันเดียวกัน
ส่ง จม.เขียนด้วยลายมือถึง ครม.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้แจกเอกสารที่เขียนด้วยลายมือบนหน้ากระดาษเอ 4 จำนวน 12 หน้า แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็นการชี้แจง ความหมายของประชาธิปไตยไทยนิยมว่า “เพื่อให้คนไทยเข้าใจหลักคิดที่ถูกต้อง ไม่เคยคิดจะทิ้งพื้นฐานประชาธิปไตยสากล ด้วยหลักการประชาธิปไตยเป็นของปวงชน ที่ยอมรับกันได้ทุกฝ่าย มุ่งเป้าหมายเดียวกันคือความสงบสุขสันติอย่างยั่งยืน โดยมีพื้นฐานจากการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล อย่าเอานายกฯ คสช.ไปสู้กับใคร นายกฯใด พรรคใด กลุ่มใด ผมกำลังทำเพื่อประชาชน อยากให้คนไทยที่ต้องการประชาธิปไตยนิยมไทย มีอุดมการณ์เดียวกัน ใครจะเข้ามาบิดเบือนไม่ได้ มีผู้ไม่หวังดีเจตนาไม่บริสุทธิ์ยังคงพยายามอยู่จนถึงทุกวันนี้ ต้องหาแก่นสารของประชาธิปไตย สร้างไทยนิยมระบบประชาธิปไตยให้ได้”
ปูดสื่อ-นักการเมืองจ้องล้มเกม
ขณะที่ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องบริหารราชการ ในปี 2561-2562 โดยนายกฯขอให้ ครม.ทำงานด้วยความโปร่งใส ชี้แจง ตรวจสอบได้ เตรียมการเป็นประชาธิปไตย แก้ปัญหาประชาธิปไตยทุกประเด็น สร้างระบบ วิธีการราชการ เตรียมคนรุ่นใหม่และปัจจุบัน สร้างอาชีพรายได้ที่เหมาะสม เป็นคนเก่งและดี มีศีลธรรม คุณธรรม วางกลไกกระทรวงให้สอดคล้องกับกลไกรัฐบาล กลไกยุทธศาสตร์และปฏิรูป แก้ปัญหาบุคลากรปรับปรุงตัวให้เป็นคนดี ไม่ใช่เพื่อพวกพ้องซึ่งไม่ดี สร้างความร่วมมือ สร้างอุดมการณ์ ชวนคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 18 ปี ที่เพิ่งมีสิทธิเลือกตั้งและคนไม่ชอบการเมือง ต้องออกมาเลือกตั้งให้มากที่สุดขอให้ทุกคณะทำงานเชิงรุก อย่าทำงานเชิงรับ รอเรื่องร้องเรียนอย่างเดียวเพื่อช่วยประชาชนอุ่นใจ “สิ่งที่เป็นปัญหาตอนนี้คือ สื่อ นักการเมืองที่มีปัญหา พยายามจะล้มรัฐบาลและคสช.ให้ได้ในช่วงนี้ กฎหมาย คำสั่งทุกฉบับ จะแก้ไขให้กลับไปที่เดิม และมีข้าราชการไม่สุจริตร่วมมือ”
สั่งล้างทุจริต-สร้างสมดุลงบฯ
สำหรับส่วนที่ 3 หลักการการทำงาน ต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศ เดินหน้ายุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ลดความยากจนในทุกมิติ เน้นการศึกษา เกษตร ปฏิรูประบบราชการ การให้บริการประชาชนด้วยกลไกประชารัฐ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตยอย่างมีธรรมาภิบาล คำนึงถึงสังคมเท่าเทียมและเป็นธรรม ให้โอกาสทุกคน กวาดล้างทุจริต สร้างความสมดุลการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ไม่ให้เกิดปัญหาระบบการเงิน การคลัง บริหารจัดการน้ำเพื่อคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย แก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ดูแลสวัสดิการ แรงงานให้ดีที่สุดทุกมิติ ร่วมมือกับทุกสหภาพให้เข้าใจถึงความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ และภาระของรัฐ ธุรกิจ รัฐวิสาหกิจต้องอยู่ได้ แต่สวัสดิการต้องไม่ลดลง ไม่ทำให้สินค้าเกษตรเป็นปัญหาการเมืองอีกต่อไป
กำชับเข้มมีประเมินผลปลายปี
โดยในหนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ทั้งหมดนี้จะกำหนดเป็นตัวชี้วัดระดับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า และอธิบดี โดยนายกฯจะกำหนดลงไป ก.พ. และ ก.พ.ร. จะเริ่มประเมินในเดือน เม.ย.นี้ ทุก 3 เดือน สะสมผลงาน มีผลต่อการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายในเดือน ต.ค.61 สร้างความเข้าใจประชาชนให้เกิดความร่วมมือและยอมรับ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบให้สอดคล้องกัน เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ สร้างความมั่นคง ไม่ขัดแย้งกับการทำงานเจ้าหน้าที่รัฐ
“บิ๊กป้อม” ร้อง “วู้ว” สตง.สอบภาษี
วันเดียวกันเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกระแสข่าวสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเข้ามาตรวจสอบถึงการเสียภาษีนาฬิกาหรู โดยกล่าวแค่คำว่า “วู้ว...” พร้อมเดินออกจากวงสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไปทันที
เพจดังเปิดอีกปาเต็กเรือนที่ 25
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก CSI LA ยังคงติดตามเปิดข้อมูลภาพนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรต่อเนื่อง วันเดียวกันนี้ได้โพสต์ภาพนาฬิกาเรือนที่ 25 โดยระบุว่าเป็น Patek Philippe รุ่น Complications Annual Calendar รหัส 5396g-011 ทำจากทองคำขาว 18K ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2557 ที่วัดโฆสมังคลาราม บ้านโพนสว่าง ต.โคกสว่าง อ.ปลาปาก จ.นครพนม ที่ พล.อ.ประวิตรนำคณะมาทำบุญทอดกฐินสามัคคี โดยมีนายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ผวจ.นครพนม ขณะนั้นนำข้าราชการ และประชาชน มาร่วมทำบุญ ได้ปัจจัยรวมทั้งสิ้น 82,043,529 บาท ถือเป็นโคตรกฐินที่ทำลายสถิติ 82 ล้านบาท โดยทางเพจอ้างที่มาของข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ พร้อมลงลิงก์ประกอบโพสต์ http://www.manager.co.th/politics/ viewnews.aspx...และลงภาพ พล.อ.ประวิตร สวมนาฬิการุ่นดังกล่าวบนข้อมือข้างขวา พร้อมระบุว่ามีราคาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท
เลขาฯ ป.ป.ช.เลี่ยงแจงปมร้อน
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระบุนาฬิกาหรูเป็นของเพื่อนที่ยืมมา และได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ไปหมดแล้วว่า ขณะนี้ขอให้ ป.ป.ช.ทำงานก่อน ยังไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆได้ เมื่อถามว่า ล่าสุด พล.อ.ประวิตรชี้แจงเรื่องนาฬิกาหรูและแหวนเพชร ที่ ป.ป.ช.สอบถามเพิ่มเติมไปกลับมาแล้วหรือยัง นายวรวิทย์ตอบว่า ขอให้ ป.ป.ช.ทำงานก่อน ถ้าเสร็จแล้วจะแถลงให้ทราบต่อไป
“ศรีสุวรรณ” ซัดข้ออ้างฟังไม่ขึ้น
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ได้ออกแถลงการณ์ในนามสมาคมฯ คนไทยไม่ได้กินแกลบกินหญ้าที่จะเชื่อตามที่ พล.อ.ประวิตรระบุว่านาฬิกาเป็นของเพื่อนที่วนกันใส่ เป็นเพียงการแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ให้รอดพ้นจากข้อครหาและคมดาบของ ป.ป.ช.คงไม่มีใครเชื่อ เพราะนาฬิกาแต่ละเรือนมีมูลค่าสูง บางเรือนเป็นรุ่นลิมิเต็ด ทำสายรัดไว้พอดีกับคนซื้อ ถ้าจะเพิ่มข้อสายรัดต้องเสียเงินเพิ่มเป็นหมื่นเป็นแสน ดังนั้นข้ออ้างดังกล่าวจึงไร้เหตุผล หาก พล.อ.ประวิตรยังคงยืนยันว่าเป็นนาฬิกาของเพื่อนจริง ก็เป็นหน้าที่ ป.ป.ช.ที่ต้องเรียกเจ้าของนาฬิกาทุกเรือนมาตรวจสอบวงรอบข้อมือแต่ละคน ว่าสวมใส่พอดีหรือไม่ ทางที่ดีขอแนะนำให้เปลี่ยนทีมที่ปรึกษาที่ต้องมาทำงานคิดค้นหาถ้อยคำ หรือเหตุผลใช้แก้ต่างเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม การอ้างว่าเป็นนาฬิกาเพื่อนวนกันใส่นั้น ยังถือว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาตรา 103 เพราะเข้าข่ายเป็นประโยชน์อื่นใดโดยชัดแจ้ง ป.ป.ช.คงสังเคราะห์กฎหมายมาตรานี้ได้ไม่ยาก
อยากรู้จักมหามิตรของ “พี่ใหญ่”
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถ้าเป็นตามที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวอ้างจริง สังคมอยากตั้งคำถามว่าเพื่อนดีๆเหล่านี้ท่านไปหามาจากที่ไหน มีกี่คน แต่ละคนชื่ออะไรบ้าง เพื่อนท่านเป็นเจ้าของร้านนาฬิกา เป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นเจ้าของโครงการขนาดใหญ่ของรัฐหรือไม่ นาฬิกาเหล่านี้มีหมายเลขกำกับ เสียภาษีศุลกากรนำเข้าถูกต้องหรือไม่ ระยะเวลาการยืม ยืมเมื่อไหร่ คืนเมื่อไหร่ และจากนี้ไปไม่รู้จะพบเพิ่มอีกกี่เรือน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ต้องทำงานหนักท่ามกลางประเด็นที่สังคมสงสัย ทั้งเรื่องที่เคยเป็นเลขาฯ พล.อ.ประวิตร รวมถึงเรื่องการต่ออายุกรรมการ ป.ป.ช. สังคมสงสัยว่าอยู่ต่อเพื่อการใด คิดว่าคำชี้แจงของ พล.อ.ประวิตรแบบนี้ ประชาชนจะเชื่อถือหรือไม่ ถ้าทำไม่ดีจะกระทบต่อ ป.ป.ช.และรัฐบาลทั้งหมด นายกฯฟังคำชี้แจงนี้แล้วรู้สึกอย่างไร รับได้หรือไม่ เชื่อหรือไม่ ขนาดกองหนุนยังกังขาเรื่องนี้
จี้เคลียร์ให้ชัดไม่งั้น รบ.อยู่ยาก
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ระบุว่า พร้อมออกจากตำแหน่ง หาก ป.ป.ช.ชี้ว่ามีความผิดนั้น ตนเสนอแนะไปด้วยความเป็นห่วงต่อผลกระทบที่เกิดกับรัฐบาลนี้ อยากให้ชี้แจงต่อสาธารณะให้ชัดเจน ถ้าสังคมสงสัยไม่เชื่อ จะทำให้ขาดความเชื่อมั่น และการสนับสนุนจากประชาชน รวมถึงขณะนี้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัว ป.ป.ช.ด้วย จึงอยากเห็นการชี้แจงให้ชัดเจนว่าข้อเท็จจริงคืออะไร หากยืนยันว่ายืมเพื่อนมาใส่ ก็ชี้แจงรายละเอียดว่ามีกี่เรือน ยืมจากใคร สังคมจะได้จบเรื่องนี้ไป แต่ถ้ายังชี้แจงเพียงเท่านี้การวิพากษ์วิจารณ์จะยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล
ถ้ายังมีธรรมาภิบาลต้องสะสาง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าอย่างน้อยที่สุดนายกรัฐมนตรีต้องคุยกับ พล.อ.ประวิตร ทำอย่างไรไม่ให้เรื่องนี้กระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และแปลกใจนายกฯที่ใช้คำพูดว่าอย่าเอาวาทกรรมทางการเมืองมาพูด ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่วาทกรรมแต่เป็นเรื่องพฤติกรรม นักการเมืองถูกรัฐบาลชุดนี้ต่อว่าต่อขานว่าการเมืองเก่าๆ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จึงชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานในรัฐบาลของตนที่เป็นนักการเมืองเก่า มีความชัดเจนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ มีปัญหาที่สังคมสงสัยรัฐมนตรีลาออกทันที ทั้งที่ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ชี้ว่ามีความผิด ดังนั้นหากนายกฯยังอยากใช้คำว่าธรรมาภิบาลอยู่ ควรสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยด้วยการสร้างมาตรฐานทางการเมือง อย่างน้อยคือทำให้โปร่งใส
กระทบชิ่ง ป.ป.ช.ระวังพากันพัง
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า เข้าใจถึงความสำคัญของ พล.อ.ประวิตรที่มีต่อรัฐบาล รวมถึง ความผูกพันที่มีต่อกัน ถ้ามั่นใจว่าถูกต้องก็ชี้แจงให้สังคมเข้าใจและมั่นใจด้วย แต่ถ้าไม่สามารถทำได้รัฐบาลจะได้รับผลกระทบ ต้องไม่ลืมว่า คสช.เข้ามาบอกว่าจะทำให้การเมืองดีขึ้น หากมีปัญหาความเสื่อมศรัทธาขององค์กรอิสระ และ ป.ป.ช.ตามมาอีก จะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะยังมีเรื่องการต่ออายุ ป.ป.ช.ที่กำลังจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีก สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาพัวพันทั้งเรื่องกฎหมายและสายสัมพันธ์ที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ ทำให้ ป.ป.ช.ทำงานยากขึ้น และถูกจับจ้อง ผลวินิจฉัยที่ออกมาจะมีคนจำนวนหนึ่งไม่เชื่อมั่น เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นการวางรากฐานการเมืองในอนาคต ถ้ารัฐบาลอยากมาปฏิรูปก็ต้องจริงจังกับการสร้างมาตรฐานทางการเมืองที่ถูกต้อง
“ราเมศ” กระทุ้งทำสวนคำพูด
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากรัฐบาลตรวจสอบตามคำแนะนำของนายอภิสิทธิ์ จะยิ่งทำให้เกิดความโปร่งใส ไม่ใช่เรื่องของวาทกรรมอย่างที่นายกฯพูด ขณะนี้การกระทำของรัฐบาลขัดหลักธรรมาภิบาลโดยสิ้นเชิง สังคมเคลือบแคลงสงสัยว่าผู้มีอำนาจในรัฐบาลไม่มีความโปร่งใสในเรื่องบัญชีทรัพย์สิน ไม่พร้อมให้ตรวจสอบ เมื่อนายกฯอ้างเรื่องธรรมาภิบาลก็ต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ขอให้นายกฯเลิกกล่าวโจมตีโดยไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริง
พท.แถลงคำสั่ง คสช.ขัด รธน.
ช่วงเช้าที่พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมแกนนำ พรรค ร่วมแถลงคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ประกอบมาตรา 5 โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวคำแถลงการณ์ว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทยเห็นว่าคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นการละเมิดสิทธิ จึงใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัย มีประเด็นสำคัญดังนี้ 1.คำสั่งดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรา 44 เนื่องจากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐสภา คือ สนช. และ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ผ่านความเห็นชอบของ สนช. และพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว การที่หัวหน้า คสช.ออกคำสั่งแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเท่ากับเป็นการลบล้างกระบวนการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ หัวหน้าคสช.เป็นเพียงผู้ได้รับอำนาจมาจากรัฐธรรมนูญอีกทอด จึงไม่อาจใช้อำนาจที่ขัดหรือแย้ง หรือนอกเหนือไปจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ได้
ยื่นผ่าน 3 ช่องทางถึงศาล รธน.
นายภูมิธรรมกล่าวว่า 2.การที่หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจโดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ออกคำสั่งที่มีผลเป็นการลบล้างสมาชิกภาพของสมาชิกพรรค การเมือง จึงกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล และเป็นการออกกฎหมายที่มีผลย้อนหลังเป็นโทษแก่บุคคล จึงขัดต่อหลักนิติธรรม และยังเพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และยังขัดต่อหลักความเสมอภาค พรรคเพื่อไทยจึงเตรียมยื่นคำร้องใน 3 ช่องทาง คือ 1.ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินในนามพรรค 2.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญในนามนิติบุคคล และ 3.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญในนามสมาชิกพรรค โดยในส่วนนี้จะมีแกนนำพรรคลงนาม 13 คน คือ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายโภคินพลกุล นายภูมิธรรม เวชยชัย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายชัยเกษม นิติสิริ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายนพดล ปัทมะ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายสามารถ แก้วมีชัย และนายวัฒนา เมืองสุข
ต่อมาเวลา 15.00 น. นายวัฒนา เตียงกูล ทนาย ความในฐานะผู้แทนพรรคเพื่อไทย นำคำร้องของพรรคเพื่อไทย และของสมาชิกพรรคเพื่อไทย 13 คน เข้ายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน
เอาเปรียบคนอื่นหวังสืบอำนาจ
นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวไม่มีความเสมอภาค เลือกปฏิบัติ ไม่สุจริต ไม่ชอบและขัดรัฐธรรมนูญ ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปรองดองอย่างที่ คสช.กล่าวอ้าง รวมถึงการปลดล็อกการเมืองเมื่อไร เป็นไปตามอำเภอใจของ คสช.
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำลายพรรคการเมือง สร้างความได้เปรียบให้ คสช.อยู่ในอำนาจต่อไป เพราะคำสั่งนี้จะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป และ คสช.จะกลับเข้าสู่อำนาจอีกภายหลังการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ เท่ากับ คสช.มีอำนาจเหนือศาลรัฐธรรมนูญ และทุกองค์กร ถือเป็นการทำลายระบบกฎหมาย
“อ๋อย” อัดผู้นำทำลายคำไทยๆ
นายจาตุรนต์ยังกล่าวถึงท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ระบุถึงเรื่องประชาธิปไตยไทยนิยม รวมถึงการใช้งบประมาณในพื้นที่ต่างๆว่า เป็นมาตรการชุดเดียวกันกับอีกหลายเรื่องที่ต้องการบรรลุจุดมุ่งหมายของการมีรัฐบาลที่ คสช.ยังควบคุมได้ หรือสืบทอดอำนาจได้ต่อไป หมายความว่ามันไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นระบบการปกครองที่เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมา ประกอบกับการใช้มาตรการและวิธีการต่างๆ เพื่อให้ คสช.ยังคงเป็นรัฐบาลได้อีก ทำให้การเลือกตั้งไม่มีความหมาย แต่จะยอมรับว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายถึงต้องเรียกว่าประชาธิปไตยไทยนิยม ความจริงแล้วคนพวกนี้ชอบทำลายความหมายของคำว่าไทยๆ และตอนนี้กำลังทำลายความหมายของคำว่าไทยนิยมอีก
ปชป.จ่อยื่นผู้ตรวจส่งศาล รธน.
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการยกร่างคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ว่า น่าจะยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ภายในสัปดาห์นี้ โดยจะสรุปอีกครั้งว่าจะยื่นในนามหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเป็นการยื่นของสมาชิกพรรค เพราะได้รับผลกระทบทั้งคู่ เหตุผลที่เห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญเพราะคำสั่งดังกล่าวสร้างความเสียหาย ทำให้มีภาระเกินสมควรแก่เหตุจากกรณีให้สมาชิกพรรคต้องยืนยันความเป็นสมาชิกต่อหัวหน้าพรรคภายใน 30 วัน เป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะต้องดำเนินการ
กมธ.ส่อโละวิธีเลือกไขว้ ส.ว.
ที่รัฐสภา พล.ร.อ.ธราธร ขจิตสุวรรณ โฆษกกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญการได้มาซึ่ง ส.ว. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า มีประเด็นที่ สนช.ขอแปรญัตติส่วนใหญ่ ได้แก่มาตรา 11 เรื่องการแบ่งกลุ่มอาชีพของผู้สมัคร ส.ว. ที่เห็นว่าควรปรับลดเหลือ 5-10 กลุ่มอาชีพ จากเดิมที่มี 20 กลุ่มอาชีพ และมาตรา 40-42 เรื่องวิธีเลือกไขว้ในกลุ่มอาชีพของผู้สมัคร ส.ว.มีผู้แปรญัตติหลายคน อาทิ นายสมชาย แสวง–การ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ เสนอให้ใช้วิธีเลือกกันเองในแต่ละกลุ่มอาชีพแทนวิธีการเลือกไขว้ กมธ.กำลังรับฟังเหตุผลเพื่อชั่งน้ำหนักว่าจะปรับเปลี่ยนตามคำแปรญัตติหรือไม่ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ยืนตามหลักการที่ กรธ.เสนอมา วันที่ 18 ม.ค. กมธ.จะหารือประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง คาดว่าวันที่ 22 ม.ค.จะได้ข้อสรุป เพื่อส่งร่าง พ.ร.บ.เข้าสู่ที่ประชุม สนช.ในวันที่ 25 ม.ค.
ยืนกรานไม่ขัดหลักการ รธน.
ผู้สื่อข่าวถามว่าหาก กมธ.เปลี่ยนวิธีการเลือก ส.ว. จากวิธีเลือกไขว้มาเป็นการเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ จะไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือเจตนารมณ์ของกรธ. ที่ยืนยันให้ใช้วิธีเลือกไขว้มาตลอดหรือ พล.ร.อ.ธราธรตอบว่า ไม่ขัด เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ระบุชัดเจนถึงการเลือก ส.ว.ให้ใช้วิธีเลือกกันเอง ไม่ได้บอกให้เลือกไขว้ ถ้ามีการแก้ไขวิธีการเลือก ส.ว. ไม่ถือเป็นการหักหน้า กรธ. เพราะเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ หากต้องเปลี่ยนวิธีมาเป็นการเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ อาจต้องลดกลุ่มอาชีพเหลือไม่ถึง 20 กลุ่ม โดยมีผู้แปรญัตติว่าอาจ ให้สมัครโดยอิสระ หรือสมัครโดยกลุ่มองค์กรเป็นผู้เสนอชื่อมา
“มีชัย” เตือน สนช.เสี่ยงขัด รธน.
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า หากมีการปรับแก้ตามคำแปรญัตติของ สนช.จริง คิดว่าจะทำให้เกิดการฮั้ว หรือบล็อกโหวตได้ และยังง่ายต่อการทุจริต เพราะผู้สมัครจะรู้ว่าใครอยู่กลุ่มใด เพียงส่งคนของตนมาสมัครในกลุ่มอีก 100 คน ก็สามารถบล็อกโหวตได้แล้ว หากยังมีช่องทางให้เกิดการทุจริตในการเลือกตั้งได้จะถือว่าไม่ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม เหตุที่ กรธ.บัญญัติให้มี 20 กลุ่มอาชีพ เพื่อให้ ส.ว.มีที่มาหลากหลาย แต่หาก สนช.มีเหตุผล กรธ.พร้อมยอมรับ แต่ต้องเปิดช่องให้ทุกกลุ่มอาชีพสมัครเข้ามาได้
26 สนช.ยื่นตีความต่ออายุ ป.ป.ช.
นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สมาชิก สนช.กล่าวถึงกรณีสมาชิก สนช. เตรียมเข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ออกบทเฉพาะกาลมาตรา 178 ต่ออายุให้กรรมการ ป.ป.ช.ที่มีลักษณะต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ว่า คาดว่าจะได้รายชื่อ สนช.ครบตามจำนวน 25 คน เพื่อยื่นต่อนายพรเพชร วิชิตชัย ประธานสนช. ได้ในวันที่ 18 ม.ค. แต่จะยื่นในนาม สนช. ไม่ได้ยื่นในนาม สนช.เสียงข้างน้อย 26 คน ที่ไม่เห็นด้วยกับการลงมติมาตรา 178 เหตุผลที่ยื่นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและกระจ่างในข้อกฎหมาย เพื่อให้การทำงานของ ป.ป.ช.ไม่เกิดปัญหาในอนาคต ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวอย่างไร
ต่อมานายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. ในฐานะเลขานุการวิป สนช. กล่าวว่า มี สนช.เข้าชื่อร่วมกันจำนวน 26 คน เป็นที่เรียบร้อย ถือว่าเลยเกณฑ์ที่กำหนดเสนอต่อประธาน สนช. ขอให้ส่งร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยว่ากรณียกเว้นลักษณะต้องห้าม ป.ป.ช. ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยช่วงเช้าวันที่ 18 ม.ค. จะมีสมาชิกมาร่วมลงชื่อเพิ่มเติมอีกประมาณ 3-4 คน
“มาร์ค” เอาคืนฟ้องกลับ “บิ๊กโอ๋”
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงคำพิพากษาศาลฎีกาสั่งให้เพิกถอนคำสั่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม ที่ปลดออกจากราชการทหารย้อนหลัง 23 ปีเศษ ว่า รู้สึกดีใจที่เรื่องนี้ยุติลงแล้ว เป็นไปอย่างที่ได้ขอความเป็นธรรมมาตลอด เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ใช้อำนาจไม่ชอบ จากนี้จะนำคำพิพากษาศาลฎีกามาพิจารณาเพื่อดำเนินการร้องไปยัง ป.ป.ช. ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.เคยยกคำร้องไปโดยอ้างคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วเป็นเหตุที่จะทำให้ ป.ป.ช.หยิบยกขึ้นมาทบทวนใหม่ได้ แต่ต้องรอคำพิพากษาฉบับเต็มเพื่อความสมบูรณ์อีกครั้ง ฝากไปถึงผู้ใช้อำนาจว่าต้องใช้ด้วยความเป็นธรรม อย่าใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
“ส.ศิวลักษณ์” รอดคดี ม.112
ช่วงเช้า ที่ศาลทหารกรุงเทพ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ พร้อมทนายความเดินทางเข้ารับฟังคำสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้อง จากอัยการทหาร ในข้อหาความผิดตามมาตรา 112 (หมิ่นพระนเรศวร) จากการเป็นวิทยากรในงานเสวนา “ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการชำระและการสร้าง” เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2557 นายสุลักษณ์กล่าวภายหลังเข้าพบอัยการศาลทหารว่า อัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้อง ด้วยพยานหลักฐานไม่พอฟ้องทั้ง 2 ข้อหาคือ ข้อหาผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และจากการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ผ่านมามีการขอร้องให้อยู่เงียบๆ ตนจะยืนอยู่บนความถูกต้อง ความจริง แม้จะติดคุกก็ยอม แต่ในเมืองนี้คนมีอำนาจทำอะไรก็ไม่มีผิด คนมีนาฬิกาเรือนละสี่แสนก็ไม่ผิด อย่างไรก็ตาม คดีตนยุติได้เชื่อว่าเพราะพระบารมี ปกเกล้าปกกระหม่อมของในหลวงรัชกาลที่ 10

ไม่มีความคิดเห็น: