PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

28112558 เจาะใจทูตจีน...มังกรมองไทย



28112558 เจาะใจทูตจีน...มังกรมองไทย
โดย : กาแฟดำ
ผมนั่งสนทนากับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย หนิงฟู่ขุ่ย
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าด้วยทุกประเด็นที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองประเทศ... ที่ท่านเน้นในตอนท้ายของการซักถามคือ การคบหากันระหว่างประเทศนั้นต้องมีทั้งเรื่อง “ผลประโยชน์” และ “คุณธรรม”
ที่สำคัญคือจะต้องไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง ความสัมพันธ์จึงจะราบรื่นและยั่งยืน
ผมคิดว่าในการพูดคุยที่ยาวกว่าหนึ่งชั่วโมงนั้น เห็นได้ชัดว่าท่านทูตต้องการจะสร้างผลงานของการประสานความสัมพันธ์ให้แนบแน่น และการที่จีนจะทำอะไรร่วมกับไทยนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยเรียกร้องต้องการ ฝ่ายจีนไม่อาจยัดเยียดเฉพาะในสิ่งที่ตนต้องการได้
ยิ่งประเทศจีนยิ่งใหญ่ขึ้น มีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จีนก็ยิ่งต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์และความรู้สึกของชาติต่าง ๆ ต่อจีน เพราะการเป็นมหาอำนาจนั้นจะจีรังยั่งยืนได้ต้องทำให้ประเทศอื่น ๆ เคารพนับถือและยำเกรงในบารมีเพราะความดีและความเผื่อแผ่สำหรับประเทศอื่น
จีนคงไม่ต้องการถูกประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะรอบ ๆ บ้านซุบซิบนินทาว่าพอใหญ่แล้วก็วางก้ามข่มเหงรังแกชาติที่เล็กกว่า หรือถูกมองว่าเอาเปรียบในการต่อรองเจรจา หรือไม่สนใจความรู้สึกของประเทศอื่น
โดยเฉพาะจีนคงไม่ต้องการให้ประเทศเพื่อนบ้านที่คบหาด้วยบอกว่าจีน “เขี้ยว” ในการเจรจากับประเทศอื่น ๆ
ดังนั้น ท่านทูตหนิงฟู่ขุ่ย จึงตอกย้ำในทุกหัวข้อของการสนทนาว่า จีนเคารพในการติดต่อไปมาหาสู่กับไทย ทำทุกอย่างต้องให้ได้ประโยชน์ทั้งสองประเทศที่เรียกว่า “วิน-วิน” เสมอ
ผมถามเรื่อง One Belt, One Road ของจีน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับโครงการรถไฟที่จีนจะมาช่วยสร้างในไทย, เรื่องการที่ไทยส่งคนจีนกลับประเทศ, จีนจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้อย่างไร โดยไม่ถูกมองว่าเป็นพี่เบิ้มที่ไม่ฟังเสียงน้อง ๆ, ตลอดไปถึงเรื่องอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มจะลดลงไปสู่แนวที่เรียกว่า New Normal และคำแนะนำสำหรับนักธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนในจีนที่เผชิญกับอุปสรรคไม่น้อย
วันเดียวกับที่ผมสัมภาษณ์ท่านทูตจีน ก็มีข่าวว่านายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงความกังวลในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีถึงปัญหาความล่าช้าในโครงการความร่วมมือลงทุนก่อสร้างรถไฟไทย-จีนเส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-มาบตาพุด และเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ
ข่าวบอกว่านายกฯ ได้สอบถามว่าทำไมจึงไม่คืบหน้าทั้ง ๆ ที่ประชุมตัวแทนระหว่างรัฐบาลไทยและจีนไปแล้ว 8 ครั้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมของปีนี้ ทำไมจึงยังไม่สามารถสรุปให้เริ่มก่อสร้างได้
รัฐมนตรีช่วยคมนาคมคุณ ออมสิน ชีวะพฤกษ์ บอกนักข่าวว่าหนึ่งในปัญหาที่ยังสรุปไม่ได้คือฝ่ายจีนเสนอมูลค่าโครงการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่ไทยเคยประเมินไว้ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท
อีกประเด็นหนึ่งคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จีนเสนอมาที่ 2.5% ขณะที่ไทยขอให้อยู่ที่ไม่เกิน 2% (ขณะที่มีคนเอาไปเปรียบกับอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นในโครงการช่วยเหลือที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.5% หรือต่ำกว่านั้น)
ทูตหนิงฟู่ขุ่ยรู้ว่านี่เป็นประเด็นที่จะต้องตอบ จึงอธิบายว่า ความจริงถ้าแปลงเงินกู้ก้อนนี้ที่เป็นดอลลาร์เป็นเงินเยน อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 0.4% เท่านั้น และยืนยันว่าเป็นอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนที่จีนไปแสวงหาจากแหล่งเงินทั่วโลก
แต่ท่านทูตก็ยืนยันว่า “ในฐานะเป็นเพื่อนและหุ้นส่วนกัน เราก็พร้อมจะฟังความเห็นของฝ่ายไทย และเราก็จะพิจารณาอย่างยืดหยุ่นได้...”
นี่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ข้อที่ผมได้แลกเปลี่ยนกับท่านทูตจีน จะเข้าใจให้ลึกซึ้งได้ต้องฟังคำถามคำตอบและการซักถามระหว่างบรรทัดด้วย
จึงเชิญชวนให้ท่านชมรายการ Timeline Suthichai Yoon 22.30 น. วันเสาร์ และวันอาทิตย์นี้ ทาง Nation TV
ฟังความทุกด้านแล้วจะเข้าใจว่าทุกอย่างมีคำอธิบายของตนเอง.... อยู่ที่เราจะประเมินด้วยตนเอง ว่าอะไรเป็นประโยชน์กับคนไทยมากที่สุดเท่านั้น

เอาจริง! สหรัฐฯ เตรียมเสริมกำลัง “หน่วยปฏิบัติการพิเศษภาคพื้นดิน” ลุยขยี้ไอเอสในอิรัก-ซีเรีย

เอาจริง! สหรัฐฯ เตรียมเสริมกำลัง “หน่วยปฏิบัติการพิเศษภาคพื้นดิน” ลุยขยี้ไอเอสในอิรัก-ซีเรีย

โดย MGR Online
2 ธันวาคม 2558 09:35 น. (แก้ไขล่าสุด 2 ธันวาคม 2558 10:17 น.)
เอาจริง! สหรัฐฯ เตรียมเสริมกำลัง “หน่วยปฏิบัติการพิเศษภาคพื้นดิน” ลุยขยี้ไอเอสในอิรัก-ซีเรีย
แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
        เอเอฟพี - แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยต่อคณะกรรมการกิจการกองทัพแห่งสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (1 ธ.ค.) ว่า เพนตากอนเตรียมที่จะส่ง “กองกำลังพิเศษเพื่อโจมตีเป้าหมายในต่างแดน” (specialized expeditionary targeting force) ไปยังอิรัก เพื่อสนับสนุนทหารเคิร์ดเปชเมอร์กาและกองทัพแบกแดด พร้อมเรียกร้องให้ชาติมหาอำนาจอื่นๆ ยกระดับการมีส่วนร่วมต่อสู้ไอเอส
      
       กลุ่มติดอาวุธไอเอสได้บุกยึดดินแดนและเมืองสำคัญไว้ได้หลายแห่งในอิรักและซีเรีย ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรก็ได้ส่งฝูงเครื่องบินขับไล่เข้าไปทิ้งระเบิดเพื่อหวังปราบนักรบกลุ่มนี้ให้ราบคาบ
      
       ประสบการณ์จากสงครามอิรักทำให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยืนกรานปฏิเสธที่จะส่งทหารภาคพื้นดิน (boots-on-the-ground) ในช่วงแรกๆ และเน้นที่ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วง ซึ่งก็มีหลายชาติที่ร่วมมือกับวอชิงตันส่งเครื่องบินไปทิ้งบอมบ์เป้าหมายไอเอสตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีที่แล้ว
      
       อย่างไรก็ดี เพนตากอนเริ่มยอมรับความจริงที่ว่า สหรัฐฯ ไม่อาจบดขยี้ไอเอสได้อยู่หมัดหากปราศจากกองกำลังภาคพื้นดินเข้าช่วยเสริมอีกแรง
      
       เมื่อเดือน ต.ค. สหรัฐฯ ประกาศส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 50 นายเข้าไปยังซีเรียเพื่อช่วยนักรบท้องถิ่นที่ต่อสู้ไอเอสอยู่ และรวบรวมข่าวกรองเพื่อ “ชี้เป้า” ให้แก่เครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร
      
       คาร์เตอร์ เลี่ยงที่จะให้คำตอบชัดเจนเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงจำนวนหน่วยรบพิเศษที่สหรัฐฯ จะส่งไปเพิ่มเติม โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง แต่ระบุว่าจะ “มากกว่า” ทหาร 50 นายที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในซีเรียแน่นอน
      
       สหรัฐฯ มีทหาร 3,500 นายประจำการอยู่ในอิรักขณะนี้ แต่ภารกิจของพวกเขาถูกจำกัดไว้แค่การ “ฝึกฝนและให้คำแนะนำ” แก่กองกำลังท้องถิ่นเท่านั้น
      
       เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม บอกกับเอเอฟพีภายหลังว่า หน่วยรบพิเศษที่สหรัฐฯ จะส่งไปเพิ่มเติมน่าจะอยู่ที่ราวๆ 200 นาย 
เอาจริง! สหรัฐฯ เตรียมเสริมกำลัง “หน่วยปฏิบัติการพิเศษภาคพื้นดิน” ลุยขยี้ไอเอสในอิรัก-ซีเรีย
        แม้หน่วยปฏิบัติการพิเศษชุดใหม่จะมีฐานอยู่ในอิรัก แต่ก็มีศักยภาพที่จะจู่โจมข้ามพรมแดนไปถึงตอนเหนือของซีเรีย
      
       “กองกำลังพิเศษชุดนี้จะสามารถจู่โจม ช่วยเหลือตัวประกัน รวบรวมข่าวกรอง และล่าตัวบรรดาแกนนำไอเอส” คาร์เตอร์กล่าว
      
       “พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติภารกิจฝ่ายเดียวข้ามไปยังเขตแดนซีเรีย”
      
       คาร์เตอร์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนที่ 4 ภายใต้รัฐบาลโอบามา ระบุว่า ยุทธวิธีใหม่ของสหรัฐฯ จะทำให้พวกแกนนำไอเอสต้อง “หวาดผวา”
      
       “คุณไม่มีทางรู้ว่าจะมีใครโผล่เข้ามาทางหน้าต่างในตอนกลางคืน... นั่นคือความรู้สึกที่เราต้องการให้เกิดขึ้นกับแกนนำไอเอส และสมุนของพวกเขา”
      
       คาร์เตอร์ยังเอ่ยถึงกรณีที่หน่วยรบพิเศษสหรัฐฯ และทหารเคิร์ดเปชเมอร์กาบุกเข้าไปยังคุกไอเอสในเมืองฮาวิยาห์ทางตอนเหนือของอิรัก เมื่อเดือน ต.ค. และสามารถช่วยชีวิตตัวประกันราว 70 คนที่กำลังจะถูกไอเอสสังหาร ซึ่งการจู่โจมครั้งนั้นทำให้สหรัฐฯ ต้องสูญเสียชีวิตทหารไป 1 นาย
      
       บอสใหญ่เพนตากอนยังกล่าวเป็นนัยๆ ว่า อาจจะมีการส่งหน่วยรบพิเศษเข้าไปเพิ่มเติมในซีเรีย นอกจาก 50 นายที่มีการเปิดเผยแล้ว
      
       “เราพร้อมที่จะทำมากกว่านี้... ผมมีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่า ท่านประธานาธิบดีจะอนุญาตและอนุมัติให้เราทำได้เมื่อมีโอกาส”
      
       คาร์เตอร์ยังเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรเพิ่มขีดความสามารถในการทำลายกลุ่มไอเอส
      
       “ประชาคมโลกรวมถึงชาติพันธมิตรและหุ้นส่วนของเราจำเป็นต้องยกระดับการต่อสู้ ก่อนที่จะเกิดเหตุโจมตีเหมือนในปารีสอีก” 

โลกใหม่สำหรับนักธุรกิจจากนี้ไป

30112558 โลกใหม่สำหรับนักธุรกิจจากนี้ไป
โดย : ดร.บัณฑิต นิจถาวร
เดือนที่แล้ว ผมต้องไปประชุมและพูดในต่างประเทศบ่อย ตามคำเชิญจากหลายเวที ทำให้มีโอกาสพบปะผู้คนมาก
ทั้งเพื่อนใหม่ในวงการธรรมาภิบาลสากล และเพื่อนเก่าในวงการตลาดการเงินโลก ได้คุยกันหลายเรื่อง และเรื่องหนึ่งที่ผมกับเพื่อนๆ ได้คุยกัน และดูเหมือนจะมีความเห็นตรงกันก็คือ โลกธุรกิจจากนี้ไปจะยาก และแตกต่างจากที่เราเห็นในปัจจุบันมาก ทำให้นักธุรกิจจากนี้ไปจะต้องเข้มแข็งอดทน และต้องให้ความสำคัญกับจริยธรรมในการทำธุรกิจมาก เพื่อฟันฝ่าความท้าทายที่จะมีมากขึ้น โดยเฉพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่จะต้องอาศัยทั้งความสามารถ และความดีหรือจริยธรรมเป็นปัจจัยสร้างตัวและสร้างความสำเร็จ วันนี้จึงขอแชร์ความคิดในเรื่องนี้
ธุรกิจช่วงห้าถึงสิบปีข้างหน้า โดยเฉพาะสำหรับบัณฑิตใหม่ที่จะเข้าสู่โลกธุรกิจครั้งแรก จะยากและท้าทายมากจากแนวโน้มต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น และมีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อการทำธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต
แนวโน้มแรก คือ เศรษฐกิจ ที่เศรษฐกิจโลกระยะต่อไปจะขยายตัวในอัตราที่ลดลงกว่าในอดีต ส่วนหนึ่งเป็นผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ยังแก้ไขไม่จบ และอีกส่วนเป็นผลจากการก่อหนี้ที่ได้เพิ่มสูงขึ้นหลังปี 2008 โดยเฉพาะหนี้บริษัทธุรกิจ ทำให้ภาคเอกชนจะต้องลดการใช้จ่ายเพื่อลดความเป็นหนี้ ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก เรื่องนี้หลายคนที่ผมได้พูดคุยด้วยมองคล้ายกันว่า เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในสู่ภาวะทางเศรษฐกิจที่ทางวิชาการเรียกว่า Debt deflationหรือการลดหนี้ที่นำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ และเมื่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดต่ำลง ก็จะกระทบการมีงานทำและการจ้างงาน ทำให้บัณฑิตที่จบใหม่จะหางานยากขึ้น เป็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นทั่วไปในสังคมโลก
แนวโน้มที่สองคือ เทคโนโลยี ที่นับวันจะมีบทบาทมากทั้งต่อนวัตกรรม การแข่งขัน และกระบวนการทำธุรกิจของภาคเอกชน หลายๆ อย่างจะทำผ่านระบบงานที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น มีการติดต่อตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย (Face to face) น้อยลง ธุรกิจจะทำผ่านกลไกอินเทอร์เน็ต โดยปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ที่ให้ความสะดวกและเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน ด้านการผลิตสินค้า ก็จะมีการใช้เครื่องจักรและหุ่นยนต์ในกระบวนการผลิตมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพ
เชื่อหรือไม่หนังสือธุรกิจที่ขายดีที่สุดปีนี้ ลงคะแนนโดยหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ของอังกฤษ และเป็นหนังสือที่จะมีอิทธิพลต่อวงการธุรกิจทั่วโลกต่อไปอีกนานก็คือ หนังสือเรื่อง The Rise of the Robotsหรือเมื่อหุ่นยนต์เป็นใหญ่ เขียนโดย มาร์ติน ฟอร์ด (Martin Ford)ที่มองบทบาทเทคโนโลยีในอนาคตทั้งบวกและลบ คือ ในลักษณะที่จะช่วยให้มนุษย์ไม่ต้องใช้เวลามากในการทำสิ่งที่เคยทำ มีเวลามากขึ้นที่จะพักผ่อนดูแลสุขภาพ และค้นคว้าหาความรู้ เพราะงานที่เคยทำจะมีหุ่นยนต์ทำแทน ซึ่งเรื่องนี้คงเกิดขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะในสังคมที่จะมีผู้สูงอายุมาก เช่นญี่ปุ่น มีคนเล่าให้ฟังว่าคนญี่ปุ่นเลือกหุ่นยนต์ให้ทำงานแทน มากกว่าที่จะเลือกแรงงานอพยพจากต่างประเทศ เมื่อถูกถามว่าจะเลือกอย่างไร กรณีที่กำลังคนวัยหนุ่มสาวของญี่ปุ่นในอนาคตร่อยหรอลง
แต่บทบาทเทคโนโลยีที่มีมากขึ้น ก็จะทำให้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ตกงานไม่มีงานทำ เพราะเครื่องจักรจะมาทำแทน ขณะที่คนส่วนน้อยที่มีงานทำและสามารถอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ ก็จะได้ประโยชน์และมีโอกาสมาก ที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง จากการทดแทนที่เกิดขึ้น มีการพูดถึงสังคมที่จะเหลื่อมล้ำมากขึ้นจากผลดังกล่าว เพราะคนส่วนใหญ่ประมาณเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ อาจจะไม่ได้ประโยชน์เลย ในแง่ความมั่งคั่งจากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ขณะที่ประโยชน์และความมั่งคั่งจะตกอยู่กับประชากรประมาณหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ที่จะร่ำรวยไปกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ สร้างความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจโลกให้ยิ่งรุนแรงขึ้น
แนวโน้มที่สาม คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่ช่วงสิบปีข้างหน้าที่หลายประเทศจะเจอปัญหานี้รวมถึงไทย ที่อัตราส่วนของประชากรในวัยทำงานจะลดลง ทำให้ประชากรแรงงานในอนาคตต้องทำงานหนักขึ้น ทั้งเพื่อยกมาตรฐานความเป็นอยู่ของตนเอง เพื่อหารายได้เลี้ยงดูประชากรสูงวัยที่ไม่ทำงาน และเพื่อชำระหนี้ที่คนรุ่นปัจจุบันได้สร้างไว้ให้ นับเป็นโชคที่ไม่ดีเลยของคนรุ่นใหม่ที่ต้องมีภาระมาก
สิ่งเหล่านี้เป็นแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น และเป็นแนวโน้มที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ที่เห็นชัดเจนก็คือ
หนึ่ง ความสามารถของบุคลากร หรือทรัพยากรมนุษย์ หรือ Talent ได้กลายเป็นทรัพย์สินที่หายาก และมีค่าที่สุดในระบบธุรกิจ มากกว่าเงินทุนหรือเครื่องจักร เพราะประชากรวัยทำงานจะมีน้อยลงในหลายประเทศ บวกกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว จะทำให้คนที่เก่งจริง มีความสามารถสูงมากจริงๆ จะมีจำนวนน้อยลงตามไปด้วย ดังนั้น ในโลกธุรกิจข้างหน้า การศึกษาและความขยันอย่างเดียว จะไม่เพียงพอต่อการสร้างอนาคตสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะทุกๆ คนก็จะมีสองสิ่งนี้ แต่ความสำเร็จที่โดดเด่นจะมาจากความฉลาดและ Talent ที่เหนือคนอื่นที่คนส่วนใหญ่ไม่มี ที่เป็นตัวเปลี่ยนเกมทางธุรกิจ บริษัทธุรกิจจะเสาะหาคนเหล่านี้ และรักษาคนเหล่านี้ในฐานะทรัพย์สินที่มีค่า
สอง ความสำคัญของบริษัทในฐานะหน่วยธุรกิจจะค่อยๆ หายไป เพราะบริษัทในโลกธุรกิจใหม่จะเปลี่ยนแปลงช้าและมีต้นทุนสูง บทบาทเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสารที่รวดเร็ว จะทำให้โมเดลธุรกิจดั้งเดิมที่เคยประสบความสำเร็จ เช่น ธนาคารพาณิชย์จะล้าสมัย ถูกทดแทนด้วยการให้บริการตรง ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล และโทรศัพท์มือถือ ผลก็คือบทบาทนำของบริษัทในฐานะองค์กรธุรกิจ จะถูกทดแทนโดยการทำธุรกิจด้วยตัวเอง หรือ Entrepreneurshipที่จะมีบทบาทมากขึ้นในเศรษฐกิจโลก เพราะความสามารถที่จะปรับใช้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ให้เข้ากับการทำธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับแนวโน้มที่สินค้าในเศรษฐกิจโลกในอนาคต จะแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก คือ สินค้าที่ยิ่งวัน ยิ่งถูก จากผลของเทคโนโลยี อีกกลุ่มคือสินค้าที่ยิ่งวัน ยิ่งแพง เพราะเกิดจากความคิดและการใช้ทักษะของมนุษย์ ในการประดิษฐ์หรือให้บริการ กลุ่มหลังนี้ก็เช่น บริการด้านสุขภาพ อาหาร การศึกษา ศิลปะและบันเทิง ที่ปัจจุบันราคานับวันจะแพงขึ้นๆ และเป็นกลุ่มสินค้าที่จะดึงบุคลากรที่เก่งมีความสามารถ ให้ออกจากบริษัทธุรกิจ เข้าไปสู่ความเป็นเจ้าของกิจการ (Entrepreneurship)และการประกอบธุรกิจเหล่านี้ด้วยตนเอง
สาม ก็คือ ในโลกธุรกิจจากนี้ไป เงินหรือสภาพคล่อง จะไม่ใช่ปัจจัยหายากของภาคเอกชน เพราะเงินหรือสภาพคล่องจะมีอยู่ตลอด ในเศรษฐกิจที่จะไม่เติบโตหรือขยายตัวมาก แต่สิ่งที่จะหายากก็คือ ความไว้วางใจในการทำธุรกิจ เพราะการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นเร็ว จะทำให้โจทย์ธุรกิจยากขึ้น คนจะแข่งขันกันมาก และวางใจกันได้น้อยลง ขณะที่การติดต่อธุรกิจที่จะทำผ่านเครื่องมือสื่อสารหรือระบบดิจิทัลก็จะมีมากขึ้น แทนการพบแบบ Face to faceทำให้การตัดสินใจต่างๆ ต้องเร็ว สิ่งเหล่านี้ทำให้ความไว้วางใจจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ เพราะคนต้องการความไว้วางใจทั้งในระบบ ในตัวบุคคลที่ติดต่อด้วย และในการกำกับดูแลธุรกิจ
นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น ที่จะมีผลอย่างสำคัญต่อโลกธุรกิจ ต่อการทำธุรกิจจากนี้ไป

กองทัพพม่าพร้อมถ่ายโอนอำนาจ ให้กับอองซานซูจีแค่ไหน?

01122558 กองทัพพม่าพร้อมถ่ายโอนอำนาจ ให้กับอองซานซูจีแค่ไหน?
โดย : กาแฟดำ
ผู้นำทหารพม่าจะเอายังไงกับอองซานซูจี เมื่อเธอมี “อาณัติ” จากประชาชน
จากผลการเลือกตั้งอย่างล้นหลาม?
ซูจีประกาศว่าพร้อมจะนั่งลงคุยกันกับผู้นำกองทัพ เพื่อนำพาประเทศเพื่อให้ช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น
และเธอก็ยอมรับว่าการจะเดินหน้าต่อไปไม่มีทหารมาร่วมด้วยไม่ได้
ผู้นำทหารสูงสุดคนปัจจุบันของพม่าคือนายพลมินอ่องหลาย ปกติจะไม่ปริปากแสดงความเห็นเรื่องอย่างนี้กับสื่อ
แต่วันก่อนนักข่าวหนังสือพิมพ์ Washington Post ที่ชื่อ Lally Weymouth ซึ่งสัมภาษณ์อองซานซูจีก่อน และได้ถาม-ตอบกับนายพลมินอ่องหลายด้วยบอกว่าผู้นำทหารคนนี้บอกว่า “พร้อมจะพูดจากับอองซานซูจี” และเคารพในผลของการเลือกตั้ง
ผมอ่านคำถามคำตอบระหว่างนักข่าวฝรั่งกับนายพลพม่าคนนี้แล้ว ก็ยังเห็นว่ามีอะไรที่ต้องทำความเข้าใจระหว่างสองฝ่ายอีกไม่น้อย
โดยภาษาทางการ นายพลมินอ่องหลายบอกว่าพร้อมจะพูดคุย แต่เป็นคำตอบสั้น ๆ ห้วน ๆ ที่ไม่ได้สะท้อนถึงความพร้อมใจเต็มที่นัก
เรียกว่ายังกั๊ก ๆ อะไรอยู่หลายอย่าง
ถามว่าจะพบกับอองซานซูจี เพื่อพูดจาเรื่องการถ่ายโอนอำนาจ จากทหารไปสู่พรรค NLD เมื่อไหร่?
เขาบอกว่าในเดือนธ.ค.นี้ คือเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการนับคะแนนของ กกต. แล้ว
ซูจีเองบอกกับนักข่าวคนเดียวกันนี้ว่าได้ขอนัดพบกับนายพลมินอ่องหลาย และประธานาธิบดีเต็งเส่งแล้ว ยังไม่ได้คำตอบ “หรือพวกเขาจะรอ 45 วันเพื่อให้เสร็จพิธีกรรมการนับคะแนนก่อนหรือเปล่าไม่ทราบ” เธอตั้งข้อสังเกต
ผมก็ได้แต่สงสัยว่าจำเป็นอะไรที่จะต้องรอให้ กกต. ทำงานเสร็จ ในเมื่อทุกฝ่ายก็ยอมรับผลการเลือกตั้ง ไม่มีการร้องเรียนว่ามีประเด็นอะไรที่จะทำให้ต้องคิดว่าผลจะออกมาเป็นอย่างอื่น
ความจริง ผู้นำทหารพม่าที่ได้ออกมาแสดงความยินดีกับชัยชนะของเธอ แล้วก็น่าจะนัดหมายพูดจากันแม้จะไม่เป็นทางการ เพื่อปูทางไปสู่การสร้างความปรองดองในประเทศ
แต่เมื่อมีการรีรออย่างนี้ก็ยังต้องวิเคราะห์ต่อว่านายพลทั้งหลายกำลังจะ “ตั้งหลัก” หรือ “จัดระเบียบ” แห่งโครงสร้างอำนาจใหม่อย่างไร
นักข่าวถามว่าทหารทำงานร่วมกับอองซานซูจีได้ไหม?
นายพลมินอ่องหลายตอบสั้น ๆ ว่า : “ทำไมจะไม่ได้”
ถามว่าทหารไว้วางใจอองซานซูจีหรือไม่?
เขาตอบว่า “ถ้าเป็นผลดีต่อประเทศ เราก็ทำงานร่วมกันได้ การจะร่วมมือกันมีหลายวิธี”
ทหารจะปรองดองกับซูจียากหรือไม่?
“ถ้าเป็นผลดี เราก็เจรจาต่อรองกันได้”
ถามว่าเขาพร้อมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 59F เพื่อให้ซูจีสามารถเป็นประธานาธิบดี หลังจากผลการเลือกตั้งให้พรรคเธอชนะท่วมท้นหรือไม่?
นายพลมินอ่องหลายหลบหลีกไปตอบว่า
“ผมตัดสินคนเดียวไม่ได้ ภายใต้มาตรา 12 รัฐสภาเป็นผู้ตัดสินเรื่องจะแก้ไขหรือไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง”
ถามต่อว่าส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับการแก้ไขหรือไม่? ที่นั่งในสภาร้อยละ 25 เป็นโควตาของทหาร แต่เมื่อซูจีได้เสียงประชาชนล้นหลามอย่างนี้ จะไม่ยุติธรรมหรือที่เธอควรจะได้เป็นประธานาธิบดี?
นายพลตอบว่า “กฎหมายของเราไม่ได้ออกมาเพื่อคนใดคนหนึ่ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามกระบวนการที่วางเอาไว้”
ถามต่อว่า “อย่างนี้แปลว่าท่านไม่เห็นด้วยใช่ไหม ท่านเซย์ No ใช่ไหม ท่านไม่ต้องการเห็นเธอเป็นประธานาธิบดีใช่ไหม?”
เขาตอบว่า “เปล่า ผมไม่ได้เซย์ No นี่เป็นเรื่องของกฎหมาย”
จับน้ำเสียงและเนื้อหาของการสัมภาษณ์อย่างนี้แล้ว ยังต้องถือว่าสถานการณ์การเมืองของพม่ายังอยู่ในจุดเปราะบาง และแต่ละย่างก้าวจากนี้ไปยังต้องวิเคราะห์อย่างถ้วนถี่กันต่อไป
- See more at:http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/636261

ข่าวลืออียูคว่ำบาตรไทยกดดันเลือกตั้ง ทุบหุ้นไทยร่วงแรงกว่า 17 จุด

วันที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18:37:55 น มติชน


http://www.matichon.co.th/online/2015/12/14490532671449056253l.jpg

ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ว่า ในการซื้อขายหุ้นวันที่ 2 ธันวาคม พบความผิดปกติหลังเปิดการซื้อขายหุ้นในช่วงบ่าย โดยดัชนีหุ้นร่วงลงแรงทันทีที่เปิดตลาด ขณะที่การซื้อขายหุ้นในช่วงเช้า ดัชนียังอยู่ในแดนบวก ดัชนีหุ้นในภาคบ่ายร่วงลงกว่า 17 จุด ต่ำสุดของวันที่ 1,339.30 จุด โดยเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดกระแสข่าวในโลกออนไลน์ว่าสหภาพยุโรป(อียู)ประกาศคว่ำบาตรประเทศไทยในทุกๆด้านจนกว่าไทยจะจัดให้มีการเลือกตั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะให้สัมภาษณ์ปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง แต่ดัชนีหุ้นกลับไม่ดีดตัวขึ้นมารับข่าว ปิดที่ 1,339.45จุด ลดลง 17.56 จุด หรือ 1.29%

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากที่สุดในภูมิภาค เพราะมีปัจจัยกดดันมากกว่าประเทศอื่น ทั้งเรื่องผลกระทบจากกรณีเอฟเอเอลดอันดับการบินไทย ความกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ขึ้นดอกเบี้ย และมีข่าวลือเรื่องการคว่ำบาตรของอียูมากระทบ ซึ่งการซื้อขายหลุด 1,350 จุด ที่เป็นแนวรับสำคัญ ทำให้นักลงทุนเห็นถึงความชัดเจนว่าหุ้นไทยจะเป็นขาลงมากขึ้น

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวลือดังกล่าวว่า ยังไม่ได้รับทราบหรือรับรายงานใดๆเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และเมื่อค่ำวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ในงานสัมนาของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ได้พบทูตหลายประเทศ ทั้งเยอรมัน รัสเซีย อังกฤษ เป็นต้น ยังพูดคุยเรื่องการค้าขายระหว่างกัน

นายกฯ ขออย่าขยายความ FAA ลดระดับการบินไทย อย่านำไปเล่นการเมือง


นายกฯ ขออย่าขยายความ FAA ลดระดับการบินไทย อย่านำไปเล่นการเมือง ยันรัฐบาลแก้ปัญหาเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้รับความเชื่อมั่น โยนเพราะปัญหาขัดแย้งภายในชาติ รับ กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล วอนทุกคนต้องช่วยกัน ทำให้บ้านเมืองสงบ อย่าทะเลาะกัน เพราะความขัดแย้งไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากวิกฤต วิกฤตจะแก้ไขอย่างไรก็เสียเวลาเปล่า แล้วจะมาบอกว่าทำไม่สำเร็จ เพราะไม่ช่วยกัน
กลับจาก ฝรั่งเศส แล้ว เช้ามืดวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกาFAA ประกาศลดอันดับมาตราฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยจากประเภทที่ 1 มาเป็นประเภทที่ 2 เนื่องจากมาตรฐานการบินของไทยไม่เป็นไปตามมาตราขององค์การการบินพลเรือนรเหว่างประเทศICAO ว่า รัฐบาลกำลังตรวจสอบอยู่และรอให้คณะกรรมการดำเนินการในเรื่องนี้
"ขออย่านำเรื่องนี้ไปขยายความให้เกิดความขัดแย้ง"
ทั้งนี้ เบื้องต้น ได้สั่งการไปเมื่อ 2 วันก่อนที่ได้ทราบเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเรื่องนี้กระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาล ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ อย่าทะเลาะกัน เพราะความขัดแย้งไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากวิกฤต แต่วิกฤตซึ่งแม้จะแก้ไขอย่างไรก็เสียเวลาเปล่า แล้วจะมาบอกว่าทำไม่สำเร็จเพราะไม่ช่วยกัน
"ดังนั้นหากมีการขยายความกันต่อและทะเลาะกันอยู่แบบนี้ จะไม่มีใครเชื่อวิธีการแก้ปัญหาของไทยอีกต่อไป เพราะมีการทะเลาะกันทั้งประเทศของคนเพียงไม่กี่คน ทำให้กระทบกับคนยากจน ไม่อยากให้มองทุกอย่างเป็นการเมือง"

นายกฯ ส่งสัญญาณ ให้"พลเอกอุดมเดช"ตัดสินใจเอง จะลาออก มั้ย ตอนไหน



นายกฯ ส่งสัญญาณ ให้"พลเอกอุดมเดช"ตัดสินใจเอง จะลาออก มั้ย ตอนไหน รอผลสอบของกก.กห.ก่อนหรือไม่ ให้พิจารณาตัวเอง ยันไม่กระทบ คสช. เพราะมีถึง 4 เหล่าทัพ เหน็บบางพวกคิดไม่เป็น ขออย่านำไปเปรียบเทียบกับคดีอื่นเพราะทุกคดีมีขั้นตอน ไม่ใช่ตัดสินทันท่
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กลับจากฝรั่งเศส ถึงไทย เมื่อ05.45 น.กล่าวถึงกระแสกดดันให้พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ลาออก ว่า ให้เรื่องนี้เป็นไปตามขั้นตอน
"พลเอกอุดมเดช คิดเองเป็น ต่างกับบางคนที่คิดไม่เป็น กฏหมายยังไม่รับ ดังนั้นรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน เพราะทุกอย่างมีขั้นตอน
ขออย่านำไปเปรียบเทียบกับอีกคดี ที่มีขั้นตอนเช่นกัน ไม่ใช่ดำเนินคดี แล้วเอาผิดทันที "
ส่วนจะรอให้ผลการตรวจสอบจะออกมาก่อนแล้วค่อยลาออกหรือไม่นั้น นายกฯ กล่าวว่าแล้วแต่ ตัวของ พลเอกอุดมเดช จะพิจารณาตัวเอง
เมื่อถามว่า หากพลเอกอุดมเดชลาออกจะกระทบกับ คสช. หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่กระทบ เพราะ คสช. มีถึง 4 เหล่าทัพ

"พลเอกประวิตร" ยัน รัฐบาลไทย ไม่รู้ว่า 2 ชาวจีน ได้สถานะผู้ลี้ภัย แล้ว จึงส่งกลับจีน บอกผิดปกติ



"พลเอกประวิตร" ยัน รัฐบาลไทย ไม่รู้ว่า 2 ชาวจีน ได้สถานะผู้ลี้ภัย แล้ว จึงส่งกลับจีน บอกผิดปกติ ถูกจับ2วัน ได้สถานะผู้ลี้ภัยแล้ว ส่วนพวกโดนจับเป็นปี กลับไม่ได้ ติงมันไม่เท่ากัน เผย เหมือนไทยเรา ก็อยากได้ พวกที่หนีไป ตปท. ไปด่าอยู่ข้างนอก
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสำนักข่าวต่างประเทศ เสนอข่าวว่า รัฐบาลไทยส่งนักเคลื่อนไหวชาวจีน 2 คน กลับประเทศ ทั้งๆที่รู้ว่า เป็นผู้ลี้ภัย ว่า ไม่จริง
“เพราะเราไม่รู้ เพราะว่าเราจับมาได้เพียง 2 วัน ใครจะรู้ว่า ได้เป็นผู้ลี้ภัยแล้ว เร็วมาก เพราะคนที่ถูกจับมาแล้วเกือบปี กลับไม่ได้สถานะผู้ลี้ภัยซึ่งเขาเหล่านั้นก็รอกันอยู่หลายคนเลย"พลเอกประวิตร ตั้งข้อสังเกตุ
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ข้อมูลส่วนนี้ทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) รายงานมาให้ทราบ โดยคนที่ถูกจับมาเกือบปียังไม่ได้สถานะผู้ลี้ภัย แต่ 2 คนนี้ถูกจับเพียง 2 วันกลับได้สถานะผู้ลี้ภัย ซึ่งมองว่ามันไม่เท่ากัน ซึ่งมีความผิดปกติ
รวมถึงทั้ง 2 คนนี้มีเรื่องกับรัฐบาลจีน มีคดีค้ามนุษย์ด้วย โดยทางรัฐบาลจีน ก็ได้ยืนยันมาเพราะเป็นบุคคลที่ทำให้ประเทศเขาเสียหาย” พล.อ.ประวิตร กล่าว
พล.อ.ประวิตร กล่าวด้วยว่า ก็เหมือนเรา ที่เราก็อยากได้คนของเราที่อยู่ข้างนอกนั้น เราก็อยากได้คืนนะ แต่ขอเท่าไรก็ไม่ได้คืน โดยเฉพาะพวกที่ออกไปด่าอยู่ข้างนอก ตั้งเยอะแยะหลายคน แต่ก็ไม่ได้ นี่ก็สืทธิมนุษยชนเหมือนกันใช่มั้ย

บิ๊กป้อม ยัน เร่งแก้ปัญหา FAA ลดระดับมาตรฐานการบิน การบินไทย ยอมรับ มีเวลาน้อย

บิ๊กป้อม ยัน เร่งแก้ปัญหา FAA ลดระดับมาตรฐานการบิน การบินไทย ยอมรับ มีเวลาน้อย ตั้ง ศบ.ปพ.ช้าไปหน่อย รอลุ้นผล EASA 10ธค.นึ้ หวังทางที่ดี ICAO-EASA
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ/ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยโยบายคสช. กล่าวว่า ไม่เป็นไร รัฐบาลพยายามแก้ไข เพราะมันเป็นเริ่องที่ไม่เคยแก้ไขกันมาก่อนเลย แต่รัฐบาลจะต้องทำให้ได้ โดยตนจะประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อน คสช. เพิ้อแก้ไข
พลเอกประวิตร กล่าวว่า เรามีเวลาน้อยในการแก้ไข เรื่อง FAA นี้ เพราะ เราเพิ่งตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาการบินพลเรือน(ศบ.ปพ.) ที่มี ผบทอ.เป็นประธาน เมื่อ กย. ที่ผ่านมา นี่เอง ช้าไป มีเวลาแค่ 2เดือน เวลาน้อย แต่เราจะพยายาม เพราะตอนนี้ ยังมีทั้ง EASA และICAO ด้วย ที่เราทำตามที่เขาเสนอแนะให้แก้ไขทั้งหมด อาจมีบางอย่างที่ยังทำไม่ได้
"แม้เราจะหวังผล ให้ออกมาในทางที่ดี โดยเฉพาะEASA ที่จะประเมินเร็วๆนึ้ แต่ก็ประมาท ไม่ได้" พลเอกประวิตร กล่าว
พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ./ผบ.ศบปพ. เผยจะเร่งแก้ปัญหาหลังFAAลดระดับมาตรฐานการบิน การบินไทย เผยมีเวลาน้อย ในการแก้ปัญหา ที่มีมายาวนาน
ส่วนการประเมินผลของEASA นั้น จะมีในวันที่ 10ธค.นี้ เราก็ได้แต่หวังในทางที่ดี

ผบ.ทอ.รอลุ้นผล EASA ประเมินผล การบินฯ 10ธค.นึ้


ผบ.ทอ.รอลุ้นผล EASA ประเมินผล การบินฯ 10ธค.นึ้ หวังทางที่ดี ICAO-EASA ขอบคุณที่เข้าใจ เวลาน้อย แก้ปัญหาที่มีมายาวนาน /บิ๊กป้อม ยัน เร่งแก้ปัญหา FAA ลดระดับมาตรฐานการบิน การบินไทย ยอมรับ มีเวลาน้อย ตั้ง ศบ.ปพ.ช้าไปหน่อย
พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ./ผบ.ศบปพ. เผยจะเร่งแก้ปัญหาหลังFAAลดระดับมาตรฐานการบิน การบินไทย เผยมีเวลาน้อย ในการแก้ปัญหา ที่มีมายาวนาน
ส่วนการประเมินผลของEASA นั้น จะมีในวันที่ 10ธค.นี้ เราก็ได้แต่หวังในทางที่ดี
ส่วนการที่มีเวลานัอย ในการแก้ปัญหาที่มีมายาวนาน และไม่เคยแก้มาเลย ทำให้แก้ยากหรือไม่ ผบ.ทอ. กล่าวว่า ขอบคุณที่เข้าใจ แต่จะพยายามทำให้ได้
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ/ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยโยบายคสช. กล่าวว่า ไม่เป็นไร รัฐบาลพยายามแก้ไข เพราะมันเป็นเริ่องที่ไม่เคยแก้ไขกันมาก่อนเลย แต่รัฐบาลจะต้องทำให้ได้ โดยตนจะประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อน คสช. เพิ้อแก้ไข
พลเอกประวิตร กล่าวว่า เรามีเวลาน้อยในการแก้ไข เรื่อง FAA นี้ เพราะ เราเพิ่งตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาการบินพลเรือน(ศบ.ปพ.) ที่มี ผบทอ.เป็นประธาน เมื่อ กย. ที่ผ่านมา นี่เอง ช้าไป มีเวลาแค่ 2เดือน เวลาน้อย แต่เราจะพยายาม เพราะตอนนี้ ยังมีทั้ง EASA และICAO ด้วย ที่เราทำตามที่เขาเสนอแนะให้แก้ไขทั้งหมด อาจมีบางอย่างที่ยังทำไม่ได้
"แม้เราจะหวังผล ให้ออกมาในทางที่ดี โดยเฉพาะEASA ที่จะประเมินเร็วๆนึ้ แต่ก็ประมาท ไม่ได้" พลเอกประวิตร กล่าว

ด่วน! หมายจับ ม.112 "พ.ต.ท." รองผกก.ปคม. ร่วมแอบอ้างสถาบันฯรีดค่าโฆษณา

วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16:47:30 น

วันที่ 1 ธันวาคม มีรายงานข่าวแจ้งว่า เวลา13.00 น. พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม(บก.ป.)เดินทางไปขอศาลทหารออกหมายจับ  โดยศาลทหารอนุมัติหมายจับที่ 61/2558 ให้จับกุม พ.ต.ท.ธนบัตร ประเสริฐวิทย์ รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์  (รองผกก.1 บก.ปคม.) ในข้อหาร่วมกันทำความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123 ว่าด้วยเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหน้าที่ทั้งที่มิได้มีตำแหน่งหน้าที่นั้น

ทั้งนี้กรณีพนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานพบว่า พ.ต.ท.ธนบัตร ร่วมกับ พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา อดีตรองผกก.2 บก.ป. ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับไปแล้ว แอบอ้างเบื้องสูงกระทำการเรียกรับค่าหัวคิวส่วนแบ่งโฆษณาประชาสัมพันธ์กิจกรรมสำคัญทางโทรทัศน์จากผู้ประกอบการภาคเอกชนหลายแห่ง ทั้งนี้ศาลอนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.ธนบัตร ในช่วงเย็นวันนี้

ก.ล.ต. เปรียบเทียบปรับ”ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์” 30 ล้าน – “อธึก อัศวานันท์” 1.4 ล้าน ทำผิดใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น MAKRO



2 ธันวาคม 2015
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่มาภาพ : https://www.cpall.co.th
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
ที่มาภาพ : https://www.cpall.co.th
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต. )เปิดเผยกรณีคณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบ (1) นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (2) นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุลกรรมการผู้จัดการ บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) (3) นายพิทยา เจียรวิสิฐกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ (4) นายอธึก อัศวานันท์ รองประธานกรรมการและหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านกฎหมาย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด กรณีอาศัยข้อมูลภายในซื้อหุ้นบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO) เป็นเงินรวม 33,339,500 บาท และเปรียบเทียบ (5) นายสมศักดิ์ เจียรวิสิฐกุล และ (6) นางสาวอารียา อัศวานันท์ ซึ่งให้การช่วยเหลือสนับสนุน เป็นเงินรายละ 333,333.33 บาท
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า บุคคลตาม (1) – (4) ได้ซื้อหุ้น MAKRO โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น MAKRO ที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชน โดยพบการซื้อหุ้นในบัญชีบุคคลดังกล่าวหรือผู้สนับสนุนระหว่างวันที่ 10 – 22 เมษายน 2556 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) เจรจาตกลงจะซื้อหุ้น MAKRO ที่บริษัท เอสเอชวี เนเธอร์แลนด์ บี.วี. (SHV) ถืออยู่ทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวน 154,429,500 หุ้น หรือเท่ากับร้อยละ 64.35 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ MAKRO ที่ราคาหุ้นละ 787 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดในขณะนั้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นเหตุให้ CPALL ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น MAKRO ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นการทั่วไป (Tender Offer) ที่ราคาเดียวกัน
บุคคลทั้ง 4 อาศัยข้อมูลภายในซึ่งบางรายล่วงรู้จากการร่วมในคณะผู้บริหารของ CPALL ที่เข้าร่วมเจรจากับผู้ขายในธุรกรรมดังกล่าว และบางรายล่วงรู้เนื่องจากการเป็นกรรมการและผู้บริหารของ CPALL โดยพบการซื้อหุ้น MAKRO ในบัญชีของนายก่อศักดิ์ จำนวน 118,300 หุ้น และบัญชีของนายปิยะวัฒน์ จำนวน 5,000 หุ้น ส่วนกรณีนายพิทยาพบการซื้อผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายสมศักดิ์ซึ่งเป็นน้องชาย จำนวน 7,500 หุ้น และกรณีนายอธึก พบการซื้อผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวอารียาซึ่งเป็นบุตรสาว จำนวน 6,000 หุ้น
การกระทำของนายก่อศักดิ์ นายพิทยา นายปิยะวัฒน์ และนายอธึก ซึ่งเป็นบุคคลวงในเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สำหรับการกระทำของนายสมศักดิ์ และนางสาวอารียา เข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนการกระทำผิดของนายพิทยาและนายอธึก เป็นความผิดตามมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 6 ราย ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ คณะกรรมการเปรียบเทียบจึงได้เปรียบเทียบปรับนายก่อศักดิ์ เป็นเงิน 30,228,000 บาท นายปิยะวัฒน์ เป็นเงิน 725,000 บาท นายพิทยา เป็นเงิน 979,500 บาท นายอธึก เป็นเงิน 1,407,000 บาท และเปรียบเทียบปรับนายสมศักดิ์ และนางสาวอารียา เป็นเงินรายละ 333,333.33 บาท

บิ๊กป้อม–บิ๊กต๊อก เข้าพบนายกฯ ตามหลังบิ๊กหมูอีก คาดถกปมราชภักดิ์

วันที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17:56:25 น.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 13.35 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อรายงานการดูแลความสงบเรียบร้อยและสถานการณ์ทางการเมืองในห้วงที่พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปต่างประเทศ จากนั้นเวลา 13.45 น. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เข้ามาเพื่อรายงานสภาวะด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งกรณีที่กรณีองค์กรการบินพลเรือนของสหรัฐอเมริกา หรือ FAA ประกาศลดระดับมาตรฐานการบินพลเรือนไทย โดยใช้เวลาหารือกว่า 1.30 ชั่วโมง ก่อนที่นายสมคิดจะออกจากตึกไทยคู่ฟ้าในเวลา 15.09 น.

จากนั้นเวลา 15.15 น. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ โดยคาดว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ไพบูลย์ หารือกันถึงประเด็นปัญหาการทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งมีกระแสกดดันให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานโครงการ รับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ พล.อ.ไพบูลย์ เดินทางออกจากตึกไทยคู่ฟ้าในเวลา 15.50 น. ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ได้หารือเป็นการส่วนตัวกับพล.อ.ประยุทธ์ต่อ ก่อนจะเดินทางออกจากตึกไทยคู่ฟ้าในเวลา 16.07 น.

!!ศาลฎีกาฯนักการเมืองไม่อนุญาต"ยิ่งลักษณ์"ออกนอกประเทศร่วมถกรัฐสภายุโรป




http://www.matichon.co.th/online/2015/12/14490490011449052298l.jpg

จากกรณีรัฐสภายุโรปส่งหนังสือเชิญถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม หรือเมืองสตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ตามแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะสะดวก


ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม  แหล่งข่าวศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เปิดเผยว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีโครงการรับจำนำข้าว มอบอำนาจให้ทนายความมายื่นคำร้องพร้อมหลักฐานเป็นหนังสือเชิญจากรัฐสภายุโรป ต่อศาลฎีกาฯนักการเมือง เพื่อขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศตามหนังสือที่ได้รับเชิญ ต่อมาองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แล้วเห็นว่ากรณียังไม่มีเหตุอันควร ไม่อนุญาตตามคำร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 15 มกราคม 2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนพยานโจทก์ครั้งแรกในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด(ในขณะยื่นฟ้อง) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ส่งผลให้รัฐได้รับความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท 

//////////////
ศาลไทยรู้ทัน
ศาลฎีกาฯไม่อนุญาต"ยิ่งลักษณ์"เดินทางออกนอกประเทศhttps://t.co/Akh2Q0fFQe
#‪#‎kook‬ kai
วันนี้ 2 ธ.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีรับจำนำข้าวได้ส่งทนายความไปยื่นคำร้องพร้อมหนังสือเชิญจากรัฐสภายุโรป ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศตามหนังสือที่อ้างว่าได้รับเชิญจากรัฐสภายุโรปไปเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย ณ.กรุงรัสเซล หรือเมืองสตราสบูร์ก ซึ่งต่อมาองค์คณะศาลฎีกาฯนักการเมืองพิจารณา กรณียังไม่มีเหตุอันควร ไม่อนุญาตตามคำร้อง.

cr...Thai post

ขมวดปมหัวคิวโรงหล่อ! สรุป 'เซียนพระอุ๊' มีเอี่ยวจริงหรือ? หาตัวมาแถลงชัดๆได้ไหม?

2ธันวาคม 2558 อิศรา

"...กลุ่มคนที่น่าจะรู้ดีว่า 'เซียนพระอุ๊' ไปอยู่ที่ไหนในเวลานี้ได้ดีที่สุด คงจะหนีไม่พ้นฝ่ายทหาร เพราะถูกระบุว่าเป็นฝ่ายที่สามารถติดตามเงินคืนกลับมาได้ ซึ่งการติดตามเงินทั้งหมด ก็น่าจะต้องมีการพูดคุยหรือพบปะ เซียนอุ๊ ตัวเป็นๆ ก่อน..."  
picdggtdddw2 12 15
นับเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ ที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ใช้กระบวนการทำข่าวเชิงสืบสวน เพื่อตรวจสอบและติดตามปัญหาความผิดปกติในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์อย่างใกล้ชิด โดยเริ่มต้นจากการลงพื้นที่ไปดูงานก่อสร้างสถานที่จริง ถึง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และตามมาด้วยการติดตามตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกโรงหล่อทั้ง 6 แห่ง ที่เข้ามารับงานหล่อองค์พระรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ และล่าสุดกับการตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวน 63 ล้านบาท สำหรับงานก่อสร้างส่วนประกอบต่างๆ เช่น งานปรับพื้น แท่นหินอ่อน ลานสักการะบูชา เป็นต้น 
ทั้งนี้ จากการสัมภาษณ์ความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับเหมาที่เข้ามารับงานก่อสร้างทั้งในส่วนของงานหล่อองค์พระรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ และงานก่อสร้างส่วนประกอบอื่นๆ หลายราย
ทำให้ขณะนี้ สามารถยืนยันข้อมูลได้ชัดเจนแล้วว่า งานหล่อองค์พระรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ มีปัญหาในเรื่องการเรียกรับเงินค่าหัวคิวก่อสร้างงานเกิดขึ้นจริง
พิจารณาได้จากข้อมูลดังต่อไปนี้ 
1. ในสำนวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐว่า เจ้าของโรงหล่อหลายแห่ง ได้รับการติดต่อจากเซียนพระรายหนึ่ง ในเข้ามารับงานหล่อองค์พระรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ และมีการจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนให้กับเซียนพระรายนี้เป็นจำนวน 10 % ของราคางานก่อสร้าง (มูลค่ารวมหลายล้านบาท)
2. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ประธานจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ยอมรับว่า มีบุคคลแอบอ้างเรียกรับหัวคิวโรงหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ แต่ได้ดำเนินการแก้ปัญหาไปก่อนหน้านี้แล้ว  
3. นายเอนก หงษ์มณี เจ้าของโรงหล่อประติมา ไฟน์ อาร์ท ซึ่งเข้ามารับงานจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ของอุทยานราชภักดิ์ วงเงินจำนวน 44 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า โรงหล่อหลายแห่งมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับเซียนพระจริง แต่สำหรับตนเอง จ่ายให้เป็นค่าตอบแทนในการเข้ามาช่วยเหลืองานให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ ไม่คิดว่าเป็นค่าหัวคิว 
ก่อนจะยอมรับว่า เคยได้รับการติดต่อจากทหาร ว่า สามารถติดตามเงินส่วนนี้ที่จ่ายให้กับเซียนพระกลับมาได้แล้ว ทางฝ่ายโรงหล่อต้องการเงินส่วนนี้คืนหรือไม่ แต่ไม่มีใครรับคืนมา และพร้อมใจกันบริจาคเป็นเงินรวมสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งในขั้นตอนทางทหารได้ออกใบเสร็จรับเงินจำนวนนี้ให้ด้วย
4. นางสาว พรนภา สิกขะมณฑล กรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัท  สยามสโตนอาร์ต จำกัด ได้รับการว่าจ้างงานก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์จริง ทั้งในส่วนงานปูพื้นหินลานสักการะ , บันได และลานชั้นบน รอบแท่นพระบรมรูป อุทยานราชภักดิ์ วงเงิน 34,980,200 บาท และ งานติดตั้งหินอ่อนรอบแท่นพระบรมรูป 7 รัฐกาล วงเงิน 11,963,600 บาท (รวมวงเงินว่าจ้างทั้งสิ้น 46,943,800 บาท) ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราเช่นกันว่า ปัญหาเรื่องการเรียกเก็บหัวคิวโรงหล่อ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานาน ก่อนกลุ่มหมอหยองจะถูกดำเนินคดีเสียอีก   
จากข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปให้เห็นภาพชัดเจน คือ ในการดำเนินงานหล่อองค์พระรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ มีปัญหาการเรียกรับหัวคิวเกิดขึ้นจริง โดยมีเซียนพระเป็นผู้ดำเนินการ และเมื่อปัญหาเกิดขึ้น ทหารก็เข้าไปตรวจสอบตามเงินกลับคืนมา ก่อนที่เงินจำนวนนี้ จะถูกนำมาบริจาคสร้างอุทยานราชภักดิ์ต่อไป  
สำหรับเซียนพระ ที่ถูกกล่าวหาว่า เข้าไปเรียกรับเงินจากกลุ่มโรงหล่อ นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมา สามารถยืนยันข้อมูลได้ในระดับหนึ่งว่า น่าจะเป็น นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์" หรือ "อุ๊ กรุงสยาม"
ส่วนคำถามที่ว่า เซียนพระอุ๊ เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานนี้ได้อย่างไร สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากคนในวงการพระว่า 'อุ๊ กรุงสยาม' เป็นผู้กว้างขวางในวงการพระ และมีผลงานองค์พระขนาดใหญ่มาหลายงาน เช่น ก่อสร้างพระหลวงพ่อทวดเนื้อบรอนซ์นอกองค์ใหญ่ หน้าตัก 24 เมตร ประดิษฐาน ณ พุทธสถาน หลักกิโลเมตรที่ 44 ถนนสายเอเซีย ต.บ้านใหม่ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา  
และที่สำคัญ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง กับเซียนพระอุ๊ (ในฐานะคณะทำงานก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ผู้ต้องหาคดี 112 ปัจจุบัน เสียชีวิตไปแล้ว) ก็มีความสนิทสนมใกล้ชิดกันมาก
ในช่วงต้นปี 2558 เซียนพระอุ๊ เคยได้รับเชิญจาก นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง ไปออกรายการสัมภาษณ์เรื่องราวชีวิตมาแล้ว
จึงเป็นไปได้ว่าการเข้ามารับงานของ 'เซียนพระอุ๊' อาจจะได้รับการชักชวนจาก 'หมอหยอง' นั้นเอง 
pppwwweeeeddd
(ดูคลิปสัมภาษณ์ ระหว่างหมอหยอง กับ เซียนพระอุ๊ ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=ba_CJmFyVH4)
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับ 'เซียนพระอุ๊' พบว่า ปรากฎชื่อเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท สยามปุระ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2544 มีทุนปัจจุบัน 50 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 115 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แจ้งประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายสินค้า พระเครื่อง พระพุทธรูป รับจ้างทำสื่อโฆษณาทุกชนิด
แต่เมื่อติดต่อไปยังบริษัทฯ ได้รับการยืนยันว่า 'เซียนพระอุ๊' ไม่ได้อยู่ที่นี่
และเมื่อโทรศัพท์ติดต่อไปยังบ้านพักส่วนตัว ตามที่อยู่ที่แจ้งไว้ คือ บ้านเลขที่ 161 หมู่ 4 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (บ้านเลขที่อยู่ละแวกเดียวกับที่ตั้ง บริษัท สยามปุระ จำกัด ) แจ้งเบอร์โทรศัพท์หมายเลข 035-610-9XX แต่ไม่สามารถติดต่อได้ สัญญาณโทรศัพท์คล้ายถูกยกหูโทรศัพท์ออก
คำถามที่น่าสนใจ คือ ขณะนี้ 'เซียนพระอุ๊'  ไปอยู่ที่ไหนกันแน่? 
เบื้องต้น สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากผู้รับเหมาบางราย กล่าวอ้างว่า ภายหลังจากที่เซียนอุ๊ เข้ามาช่วยทำงานก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ไม่นาน ก็ไปออกรถยนต์หรูยี่ห้อหนึ่งมาใช้งาน แต่หลังจากงานหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ถูกตรวจสอบพบว่ามีปัญหา ต้องแก้ไขงานหลายรอบ ก็ไม่มีใครพบเห็นตัวเซียนพระรายนี้อีกเลย
ท่ามกลางกระแสข่าวที่ดังขึ้นหนาหูในหมู่ ผู้รับเหมา ว่า "เขาหนีไปแล้ว"  
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาข้อมูลจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายเอนก หงษ์มณี เจ้าของโรงหล่อประติมา ไฟน์ อาร์ท ที่ยืนยันว่า เคยได้รับการติดต่อจากทหาร ว่า สามารถติดตามเงินส่วนนี้ที่จ่ายให้กับเซียนพระกลับมาได้หมดแล้ว ทางฝ่ายโรงหล่อต้องการเงินส่วนนี้คืนหรือไม่ แต่ไม่มีใครรับคืนมา และพร้อมใจกันบริจาคเป็นเงินรวมสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งในขั้นตอนทางทหารได้ออกใบเสร็จรับเงินจำนวนนี้ให้ด้วย 
ซึ่งสอดค้องกับ คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ประธานจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ยอมรับว่า มีบุคคลแอบอ้างเรียกรับหัวคิวโรงหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ แต่ได้ดำเนินการแก้ปัญหาไปก่อนหน้านี้แล้ว  
ดังนั้น กลุ่มคนที่น่าจะรู้ดีว่า 'เซียนพระอุ๊' ไปอยู่ที่ไหนในเวลานี้ได้ดีที่สุด คงจะหนีไม่พ้นฝ่ายทหาร เพราะถูกระบุว่าเป็นฝ่ายที่สามารถติดตามเงินคืนกลับมาได้ ซึ่งในขั้นตอนการติดตามเงินทั้งหมด ก็น่าจะต้องมีโอกาสการพูดคุยหรือพบปะ เซียนพระอุ๊ ตัวเป็นๆ ก่อน  
แต่ถ้าไม่ได้พบ เซียนพระอุ๊ ตัวเป็นๆ และยังสามารถติดตามเงินกลับมาคืนได้ทั้งหมด
อาจทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตประเด็นใหม่ได้ว่า เงินที่นำมาจ่ายคืนจากปัญหาเรื่องการเรียกเก็บหัวหิวโรงหล่อ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้มาจาก  'เซียนพระอุ๊'?  อาจเป็นเงินจากแหล่งอื่น? 
ซึ่งข้อสังสัยทุกอย่างน่าจะได้รับการคลี่คลายทั้งหมด หากสาธารณชนได้รับฟังความจริงจากปาก 'เซียนพระอุ๊' เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง
เว้นก็แต่ว่า จนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีใครสามารถยืนยันข้อมูลได้ชัดเจน แม้แต่กองทัพบกเอง ว่า ปัจจุบัน 'เซียนพระอุ๊' ไปอยู่ที่ไหนกันแน่? 
ดังนั้น การติดตามตัว 'เซียนพระอุ๊' กลับมา จึงถือเป็นหน้าที่โดยตรงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด 
และเมื่อเราได้เจอตัวเซียนพระอุ๊ อาจทำให้ปริศนาหลายส่วนได้รับการคลี่คลาย โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่า เซียนพระอุ๊ ไปเรียกรับเงินจริงหรือไม่? ลงมือคนเดียว หรือ มีกลุ่มบุคคลอื่น ร่วมมือและคอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังด้วย?
เพราะเรื่องนี้ มันใหญ่เกินกว่า แค่คำว่า เอาเงินมาบริจาคคืน แล้วให้ทุกอย่างจบๆ กันไปเหมือนไม่เคยมีอะไรขึ้น
แบบที่กำลังพูดถึงกันอยู่ในขณะนี้  

FAA ปรับตกไทยสู่ CAT 2 – ย้อนรอยการตรวจสอบ – แก้ไข



2 ธันวาคม 2015
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2558 องค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Aviation Administration: FAA)ได้ “ประกาศลดอันดับไทยอยู่ให้อยู่ใน Category 2” ผ่านทาง www.faa.gov เนื่องจากไม่สามารถแก้ไข 36 ข้อบกพร่องได้ครบตามกำหนด โดยประกาศดังกล่าวระบุว่าองค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FAA ได้ประกาศลดอันดับไทยให้อยู่ใน Category 2 เนื่องจากไทยยังไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานของ ICAO (International Civil Aviation Organization)ได้
ทั้งนี้ หน่วยงานด้านการบินของสหรัฐฯ และไทยทำงานร่วมกันมาเป็นระยะเวลานาน และความร่วมมือของทั้งสองประเทศเป็นไปเพื่อตอบสนองความท้าทายของการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยในการบิน
การจัดอันดับ Category 2 จากการตรวจสอบภายใต้โครงการการประเมินความปลอดภัยการบินระหว่างประเทศ (International Aviation Safety Assessment: IASA) หมายความว่า ประเทศนั้นขาดกฎหมายหรือกฎระเบียบที่จำเป็นในการกำกับดูแลการให้บริการทางอากาศที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลขั้นต่ำ หรือมาตรฐานที่เทียบเท่ากับมาตรฐานของ FAA อาทิ ด้านความเชี่ยวชาญทางเทคนิค, การฝึกอบรมบุคลากร, การเก็บบันทึกข้อมูลหรือขั้นตอนการตรวจสอบ
ภายใต้การจัดอันดับให้อยู่ใน Category 2 ประเทศไทยจะยังสามารถทำการบินเข้าสหรัฐฯ ได้ตามปกติ แต่จะไม่สามารเพิ่มเที่ยวบินเข้าสหรัฐฯ ได้
ทั้งนี้ ประเทศไทยเคยถูกจัดให้อยู่ใน Category 2 มาแล้วในปี 2539 และกลับสู่ Category 1 อีกครั้งในปี 2540 และได้มีการทบทวนการจัดอันดับอีกครั้งในปี 2544 และ 2551 ซึ่งไทยยังคงอยู่ใน Category 1 แต่จากการประเมินในเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยไม่สามารถปฏิบัติได้ตามมาตรฐานสากล และประกาศล่าสุดเป็นไปตามข้อสรุปที่ได้หารือกับรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558
ภายใต้โครง IASA ของ FAA หน่วยงานสามารถทำการประเมินหน่วยงานการบินพลเรือนของประเทศทั้งหมดที่มีเส้นทางการบินเข้าสหรัฐฯ หรือการดำเนินการในลักษณะการทำการบินร่วม (Code Sharing) กับสหรัฐฯ และทำการเผยแพร่ผลการประเมินต่อสาธารณะ ซึ่งผลการประเมินยึดถือตามมาตรฐานของ ICAO ไม่ใช่กฎระเบียบของ FAA
สำหรับ Category 1 หมายถึงหน่วยงานด้านการบินพลเรือนของประเทศนั้นๆ อยู่ในมาตรฐานของ ICAO ซึ่งจะสามารถบินเข้าสหรัฐฯ และทำการบินร่วมได้ตามปกติ เพื่อรักษาระดับ Category 1 หน่วยงานด้านการบินพลเรือนของประเทศต่างๆ ต้องคงมาตรฐานให้เป็นไปตาม ICAO เสมอ
(ดูประกาศFAA)

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

แม้ระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาไทยมีการพยายามแก้ไขในหลายส่วน พร้อมกันนั้นได้มีการออกกฎหมายด้านการบินเพิ่มเติม และทำการปรับโครงสร้างองค์กรการบินพลเรือนใหม่ แต่ก็ไม่เป็นผล
นายสัมพันธ์ พงศ์ไทย อดีตรองอธิบดีกรมการการบินพลเรือนฝ่ายความปลอดภัย เปิดเผยว่า “โดยรวมเราก็แก้ไปเกือบหมด เรื่องผู้ออกใบอนุญาตนักบินก็มีการจ้างเพิ่มเติมและฝึกอบรมแล้ว สำหรับ finding FAA แต่ในส่วน ICAO ที่เป็นข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญ (Significant Safety Concerns: SSC) ยังมีในส่วนที่ทำการออกใบรับรองการเดินอากาศ (Air Operator’s Certificate: AOC)ใหม่ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ แต่จะหลุดธงแดงได้ก็เมื่อทำการตรวจครบ 28 สายการบินที่ทำการบินระหว่างประเทศ และแจ้งไปยัง ICAO ซึ่งเขาจะส่งทีมมาตรวจใหม่ แต่กระบวนการออก AOC นี้ต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือนในการตรวจสายการบินหนึ่งๆ จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับการเรียกสายการบินมาตรวจ ซึ่งหากเราตรวจเร็วเกินไป ทั้ง ICAO FAA และ EASA เขาไม่เชื่อว่าเราตรวจได้มาตรฐาน เพราะทั่วโลกปกติแล้วตรวจสายการบินใหญ่ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน”
ที่มาภาพ: blog.eiqnetworks.com
ที่มาภาพ: blog.eiqnetworks.com
สำหรับประเทศที่ถูกลดอันดับจาก Category 1 มาเป็น Category 2 ผลกระทบโดยตรงที่ไทยจะได้รับนอกจากการห้ามเพิ่มเที่ยวบิน การห้ามทำ Code Sharing แล้วสายการบินของไทยที่ทำการบินเข้าสหรัฐฯ จะถูกตรวจสอบ ณ ลานจอด (Ramp Inspection) เข้มข้นขึ้น
และเนื่องจาก FAA ถือเป็นหน่วยงานด้านการบินที่หลายประเทศยึดถือเป็นมาตรวัด หากมีประเทศใดถูกลดอันดับหน่วยงานด้านการบินของประเทศต่างๆ ย่อมเคลื่อนไหว คล้ายกับเมื่อครั้งที่ไทยถูกตรวจพบข้อบกพร่องจำนวนมากจากองค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ICAO จนทำให้ประเทศต่างๆ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ งดเพิ่มเที่ยวบินจากไทย และกรณีตัวอย่างจากประเทศฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ การประกาศผลจาก FAA อาจส่งถึงผลการตรวจจาก EASA ที่เพิ่งเข้ามาทำการตรวจหน่วยงานด้านการบินพลเรือนของไทย รวมทั้งสายการบินไทยที่ยื่นขอทำการบินเข้าสหภาพยุโรป ได้แก่ บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน) และสายการบิน MJETS เมื่อวันที่ 9-13 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมาได้ทั้งบวกและลบ เนื่องจาก FAA และ EASA เองก็มีการทำ MOU ร่วมกันไว้ ซึ่ง EASA จะทำการประกาศผลในเดือนกุมภาพันธ์ 2559
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการที่ FAA ลดอันดับประเทศไทยเป็น Category 2 ไม่ส่งผลกระทบต่อการบินไทยในการทำการบินไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการบินไทยได้ยกเลิกเส้นทางบินไปยังเมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2558
ทั้งนี้ ผู้โดยสารของการบินไทยที่ประสงค์จะเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถเดินทางโดยผ่านสายการบินพันธมิตร (Codeshare/Interline Partners) ได้ตามปกติ และยืนยันว่าการบินไทยมีมาตรฐานด้านความปลอดภัย ความมั่นคงทางการบินในระดับสากล

ย้อนรอยการตรวจจาก ICAO – FAA

  • ปี 2539 ไทยถูก ICAO ตรวจครั้งแรก การเลือกประเทศเป็นลักษณะ Voluntary Program มี 88 ประเทศสมัครขอเข้ารับการตรวจ ICAO คัดเลือกเหลือ 67 ประเทศ รวมประเทศไทย (ตรวจตามภาคผนวกที่ 1 ใบอนุญาตผู้ประจำหน้าที่, ภาคผนวกที่ 6 การปฏิบัติการบินของอากาศยาน และภาคผนวกที่ 8 ความสมควรเดินอากาศของอากาศยาน ของ ICAO)
ครั้งนั้นปรากฏว่า ทุกประเทศสอบตกหมดรวมทั้งไทย เนื่องจากยังไม่มีประเทศใดเริ่มปฏิบัติตามข้อกำหนดของ ICAO ซึ่งผลการตรวจ ณ ตอนนั้นถือเป็นเรื่องความลับระหว่างประเทศจึงไม่มีการนำมาเปิดเผย แต่นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ประเทศต่างๆ เริ่มนำข้อกำหนดของ ICAO มาใช้
  • ปี 2542 ไทยถูกตรวจสอบอีกครั้ง จากโครงการที่มีการพัฒนาขึ้นจากการตรวจครั้งก่อน เรียกว่าโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight Audit Program: USOAP) ภายใต้ระบบการตรวจ Mandatory Audit Program สำหรับไทยถูกพบข้อบกพร่อง แต่ไม่ใช่ข้อสำคัญ
  • ปี 2544 ก็เป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2542 เช่นกัน ICAO พบข้อบกพร่องของไทย แต่ไม่ใช่ข้อสำคัญ
  • ปี 2548 มีการปรับโครงการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้ครอบคลุมทุกภาคผนวก ในระบบการตรวจ Comprehensive System Approach ครั้งนี้ไทยถูกตรวจพบข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญ
เนื่องจากไทยไม่มีกฎหมายด้านการบินที่นำข้อบังคับของ ICAO มาใช้เป็นกฎหมายภายใน ข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือนฉบับที่ 4 (กบร. 4) ทำเพียงเขียนโยงไปว่าให้นำภาคผนวกต่างๆ มาใช้เป็นกฎหมายภายใน เพราะภาคผนวกเหล่านี้กำหนดเพียงกรอบการปฏิบัติ ไม่มีการกำหนดบทลงโทษ ซึ่ง ICAO ต้องการให้ข้อกำหนดตามภาคผนวกเหล่านี้ถูกนำมาบังคับใช้อย่างจริงจัง ไทยจึงต้องแก้ไขเรื่องของตัวกฎระเบียบ
และในปี 2553 ทาง ICAO ได้มีการปรับระบบการตรวจสอบอีกครั้งเป็น Continuous Monitoring Approach จากต้องทำการตรวจทุกประเทศ เปลี่ยนเป็นเข้าตรวจการบินของประเทศสมาชิกโดยดูจากการเคลื่อนไหวอัปเดตข้อแก้ไขในเว็บไซต์ของ ICAO อัตราการเจริญเติบโตด้านการบิน อัตราการเกิดอุบัติเหตุด้านการบิน และผลการตรวจ ณ ลานจอดของสายการบินประเทศต่างๆ
  • ปี 2558 ที่ผ่านมาไทยถูกตรวจสอบอีกครั้งเนื่องจาก ICAO พบอัตราการเติบโตด้านการบินของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการออกใบอนุญาตให้สายการบิน (AOC) เป็นจำนวนมากภายในเวลาไม่กี่ปี ตรวจพบข้อบกพร่องทั้งหมด 580 ข้อ จาก 869 ข้อ และพบข้อที่เป็นนัยสำคัญ 3 ส่วนหลัก เมื่อแก้ไขไม่ทันตามกำหนดจึงถูกปัก “ธงแดง”
อย่างไรก็ตาม การตรวจของ ICAO มีแบ่งระหว่างเรื่อง safety และ เรื่อง security เรื่องที่ไทยถูกติดธงแดงในขณะนี้คือเรื่องของ safety ตามโครงการ USOP สำหรับเรื่อง security ส่วนนี้อีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า ICAO จะกลับมาตรวจประเทศไทยอีกครั้งกับโครงการที่เรียกว่า โครงการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัย(Universal Security Audit Programme: USAP)
ด้าน FAA ไทยเคยถูกตรวจสอบมาแล้ว 2 ครั้ง และเคยถูกลดอันดับเป็น Category 2 มาแล้ว
  • ปี 2539 เป็นปีแรกที่ FAA เข้าตรวจไทย และไทยถูกลดมาอันดับเป็น Category 2 เนื่องจากผู้ตรวจของกรมการบินพลเรือน (บพ.) มีเพียงนักบินพาณิชย์ตรี แต่นักบินเหล่าพาณิชย์ตรีนั้นต้องตรวจนักบินพาณิชย์เอกของสายการบินต่างๆ อาทิ การบินไทย ประกอบกับไทยยังไม่มีคู่มือสำหรับปฏิบัติใดๆ ซึ่งไทยสามารถทำการแก้ไขจนกลับมาเป็น Category 1 ในระยะเวลา 6 เดือน
  • ปี 2550 หลังจากมีเหตุการณ์สายการบิน One To Go ตกที่ จ.ภูเก็ต FAA จึงขอเข้าตรวจไทย และพบข้อบกพร่องของ ICAO ในปี 2548 ในเรื่อง กบร.4 ครั้งนี้ไทยไม่ถูกลดอันดับ ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี เพื่อแก้ไขโดยการออกข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือนตามมาอีกหลายฉบับ
นายสัมพันธ์กล่าวว่า การตรวจในปี 2558 นี้ ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ FAA เข้ามาตรวจไทย ซึ่งแนวทางของ FAA ไม่เคยเปลี่ยน หากมีข้อใดข้อหนึ่งไม่ผ่านก็ถือว่าตก
“สิ่งที่ทางประเทศไทยแก้ไขไปต้องบอกว่าเยอะมาก เพราะทางศูนย์ของกองทัพอากาศที่เข้ามาช่วยก็มีทั้งกองทัพอากาศ กรมการบินพลเรือน กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ ก็พยายามเข้ามาลดขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณ หรือบุคลากรที่จะต้องจ้างเพิ่ม สิ่งที่ FAA ติงเอาไว้เราก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่แนวทางของเขาคือ ตกแค่ 1 ถือว่าสอบตก” นายสัมพันธ์กล่าว
นายสัมพันธ์กล่าวต่อไปว่า การปรับโครงสร้างองค์กรการบินใหม่ และตั้ง กพท. จะช่วยให้ไทยพ้นวิกฤติการบินได้หรือไม่นั้น มีสิ่งที่ต้องทำให้ได้ใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 8 Critical Element ที่ ICAO จัดกลุ่มจากข้อตรวจพบตามโครงการ USOAP และเห็นว่ามีผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านการเดินอากาศ อีกประเด็นคือไทยจะต้องดำเนินการให้เป็นไปอนุสัญญาชิคาโก และภาคผนวกทั้ง 19 ภาคผนวก ของ ICAO