PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ส่วยกับตำรวจ

ส่วย! ตาข่ายการเงิน “ตำรวจ” คลุมธุรกิจสีเทา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
27พฤศจิกายน2557

 อาณาจักรธุรกิจมืด ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ของวงการตำรวจไทยที่ใช้หากิน สร้างความร่ำรวยตลอดมา วงในตำรวจ ระบุ ตำรวจยุคนี้ มีสภาพเป็น ‘ส่วยแบบข้าทาส’ อยู่ได้เพราะสนอง ‘มูลนาย’ ทันเวลาที่ ‘นายเคาะ’เรียก ชี้ทุกท้องที่จะมี 4 หน่วยงานสร้างรายได้ให้ตำรวจ ขณะเดียวกันยอมรับการเก็บส่วยมีการเก็บซ้ำซอน ท้องที่ก็เก็บ สอบสวนกลางยังส่งคนมาเก็บอีก แจงพวกธุรกิจสีเทา ไม่กล้าหือยอมจ่ายซ้ำซ้อน เพราะกลัวอำนาจขบวนการสีกากี
       
       ข่าวครึกโครมในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้และเป็นที่สนใจจากประชาชนในสังคม หนีไม่พ้นการทลายอาณาจักรสอบสวนกลาง หรือ บช.ภ ซึ่งมีการคุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และผู้ร่วมขบวนการในทุกระดับชั้น ด้วยข้อหาฉกรรจ์ ทั้งหมิ่นสถาบันตาม ป.อาญา ม.112 ตามด้วยข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีการขู่กรรโชกทรัพย์ รวมทั้ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
       
       ส่วนข้อหาหนึ่งที่น่าสนใจ ในเรื่องการรับส่วยน้ำมันเถื่อนจากภาคใต้และเชื่อมโยงไปสู่การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
       
       ขณะเดียวกันภาพที่ทำให้คนในสังคมต้องตกตะลึงก็คือ การนำของกลางที่ทางตำรวจยึดได้มาโชว์ทั้ง เงิน ทอง เครื่องประดับ พระพุทธรูป วัตถุโบราณ และงาช้างจำนวนมาก โดยเฉพาะตู้เซฟใต้ดินนั้น ถึงขนาดต้องนำรถแบ็กโฮ เข้าไปทำลายเพื่อตรวจสอบของกลางด้านในล้วนมีมูลค่ามหาศาล 

ส่วย! ตาข่ายการเงิน “ตำรวจ” คลุมธุรกิจสีเทา
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงเปิดทรัพย์สินของกลางที่ยึดได้จากเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 
        

        การที่ บช.ภ.สามารถจัดเก็บ ‘ส่วย’ ได้อย่างมโหฬารเป็นเพราะโครงสร้างอำนาจของ บช.ภ. ครอบคลุมทั่วประเทศ หรือเรียกได้ว่ามีอำนาจเหนือกองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือกองบัญชาการตำรวจภูธรภาคต่างๆ ที่มีสถานีตำรวจในพื้นที่ควบคุมอยู่ก็ตาม
       
       ปัจจุบันกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมีหน่วยงานระดับกองบังคับการจำนวน 12 กอง ประกอบด้วย
       
       1.กองบังคับการอำนวยการ 2.กองบังคับการปราบปราม 3.กองบังคับการตำรวจทางหลวง 4.กองบังคับการตำรวจรถไฟ.5.กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 6.กองบังคับการตำรวจน้ำ 7.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 8.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ 9.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ 10.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ 11.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค 12.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
       
       อย่างไรก็ดี โครงสร้างอำนาจและภารกิจของ บช.ภ.ที่มีกองบังคับการ 12 กอง ทำให้ บช.ภ. เข้าไปเกี่ยวข้องและเป็นที่เกรงขามของบรรดาพวกธุรกิจสีเทาทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่ธุรกิจสีเทาเหล่านี้ต้องจ่าย ‘ส่วย’ให้กับท้องที่อยู่แล้ว
       
       “ทุกพื้นที่ต้องจ่ายส่วยให้กับตำรวจท้องที่ แต่สอบสวนกลางก็จะส่งคนของตัวเองเข้ามาเก็บอีก พวกธุรกิจที่ผิดกฎหมายไม่มีใครกล้าปฏิเสธไม่จ่าย เพราะถ้าไม่จ่าย สน.ท้องที่ไม่สามารถคุ้มครองได้ พวกเรารู้ว่าจริงๆ ตำรวจกินซ้ำซ้อน”
       
       ดังนั้นส่วยจึงเป็นเสมือนตาข่ายที่ใช้ปกคลุมธุรกิจสีเทาเพื่อแสดงให้รู้อาณาเขตที่จะต้องชำระและไม่อาจปฎิเสธหากต้องการจะทำธุรกิจเหล่านี้ต่อไป
       
       ‘ธุรกิจมืด-เส้นเลือดใหญ่’ วงการตำรวจ
       
       ด้วยวัฒนธรรมอุปถัมภ์ขององค์กรตำรวจที่สืบทอดมายาวนาน และยังมีโครงสร้างที่สะท้อนให้เห็นถึง ‘ลูกน้อง’เลี้ยงนาย จึงเป็นที่มาของการส่งส่วยในวงการตำรวจ ทั้งที่หน้าที่สำคัญของตำรวจได้แก่ การรักษาความสงบเรียบร้อยแก่ประชาชน การบังคับใช้กฎหมาย และดูแลรักษาผลประโยชน์สาธารณะในเชิงป้องกันและปราบปรามความเลวทรามในสังคมในรูปของอาชญากรรม การคอร์รัปชัน และธุรกิจมืด หรือธุรกิจสีเทา
       
       แต่กลับพบว่าตำรวจพยายามหาช่องโหว่หรือหาโอกาสที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ในทุก ๆ พื้นที่ หรือทุกๆ สน.จะมีรายได้มาจาก 4 สายงาน
       
       1.สายงานปราบปราม จะเป็นงานเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมาย เช่นการจับ-ปรับ เป็นต้น
       
       2.สายงานสืบสวน ลักษณะขอบเขตความรับผิดชอบก็คือ การสืบสวนไปยังแหล่งธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ เช่น ยาเสพติด การค้าบริการทางเพศ ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นสายที่ทำรายได้สูงที่สุดในสถานีหากตำรวจงานสืบสวนขยันหาข่าวและนำโอกาสนั้นมาหาประโยชน์ได้โดยง่ายในรูปของส่วย
       
       3.สายงานจราจร มีหน้าที่ดูแลและควบคุมการจราจรให้เป็นระเบียบ ส่วนใหญ่มีรายได้มาจากค่าปรับ รวมถึงรายได้จากการขออนุญาตใช้ประโยชน์บนผิวจราจร
       
       4.สายงานสอบสวน มีหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างคู่กรณี ก่อนที่คดีความจะถูกส่งไปยังชั้นอัยการและเข้าสู่การพิจารณาโดยศาลยุติธรรม ซึ่งตำรวจถือเป็นต้นทางของกระบวนการ สามารถตัดตอนมิให้คดีความขึ้นสู่ขั้นต่อไปได้ ในรูปแบบของการไกล่เกลี่ยเจรจายอมความ รวมถึงการกระทำอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้สำนวนอ่อน ผ่อนหนักเป็นเบา เพื่อลดโทษ อำนวยความสะดวก ไปถึงตัดความรำคาญนั่นเอง 

ส่วย! ตาข่ายการเงิน “ตำรวจ” คลุมธุรกิจสีเทา
        

        “รายได้ตำรวจแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีทั้งรายได้ที่ถูกกฎหมายและรายได้นอกกฎหมายที่เขาเรียกว่าธุรกิจมืด ธุรกิจสีเทา ล้วนมาจาก 4 สายงาน แต่รายได้หลักจะมาจากบ่อนการพนัน กับจราจร”
       
       แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า รายได้ที่ตำรวจได้มาอย่างถูกกฎหมายนั้นมีน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ตำรวจมีรายได้มากคือรายได้จากธุรกิจผิดกฎหมาย หรือธุรกิจมืด ได้แก่
       
       1 ธุรกิจการพนัน ทั้งตู้ม้า หวยใต้ดิน การพนันฟุตบอล บ่อนการพนัน ยิ่งบ่อนใหญ่ตำรวจจะยิ่งมีรายได้มาก
       
       2.ธุรกิจด้านขนส่ง พวกรถตู้โดยสารเถื่อน รถบรรทุกขนอิฐ หิน ดิน ทราย ที่ใช้ในการก่อสร้าง รถบรรทุกสินค้าที่เกินน้ำหนัก
       
       3. ธุรกิจสถานบันเทิง ธุรกิจบริการทางเพศ สถานบริการอาบอบนวด ที่เปิดเกินเวลา และมีสิ่งผิดกฎหมายเข้ามาอยู่ในสถานบันเทิงแห่งนั้น หรือมียาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกบรรดาอพาร์ตเมนต์ที่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ขออนุญาต ประกอบกิจการ หรือหอพักต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะไม่รอดสายตาตำรวจได้
       
       4.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนงานต่างด้าว หรือคนที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย บรรดาเจ้าของกิจการที่มีคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาจะจ่ายให้กับตำรวจเพื่อซื้อค่าคุ้มครองซึ่งจะมีตำรวจหน่วยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ตำรวจภูธรตำรวจสันติบาล ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจน้ำ ตำรวจกองปราบและตำรวจตรวจคนเข้าเมือง
       
       ขณะที่พื้นที่ใดที่มีแหล่งที่สามารถสร้างรายได้มากๆ จะเป็นที่หมายตาของตำรวจที่ต้องการจะไปลงในท้องที่นั้น โดยพิจารณาจากแหล่งธุรกิจ ประกอบด้วย ห้างร้าน อาคารพาณิชย์ ธนาคาร ร้านทอง ซึ่งตำรวจจะสามารถเรียกเก็บค่ารักษาความปลอดภัยได้ ส่วนจะมีรายได้มากเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนความหนาแน่นของกิจการนั่นเอง
       
       นอกจากนี้จะมีที่พักอาศัยของประชาชนต่างๆ เช่น หอพัก แฟลต อพาร์ตเมนต์ สถานบริการ ซึงรวมไปถึงร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ โรงแรม สถานบันเทิง ผับ บาร์ สถานอาบอบนวด โต๊ะสนุ้กและบริเวณที่มีการตั้ง “ตู้แดง” ล้วนเป็นแหล่งรายได้ที่จะบ่งบอกว่าพื้นที่นี้เป็นสถานีตำรวจเกรด A, B, C หรือ D เป็นต้น
       
       แหล่งท่องเที่ยว-อาชญากรข้ามชาติ ‘เหยื่อ’ จ่ายส่วย
       
       แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจ ย้ำว่า ธุรกิจต่างๆ ที่ผิดกฎหมายจะมีอยู่ในทุกๆ พื้นที่ และเมื่อมีการเก็บส่วยจาก ‘หัวเบี้ย’ ในพื้นที่ไปเก็บแล้ว ก็จะมีหน่วยงานจากสอบสวนกลางตามไปเก็บอีกที เช่นย่านพัฒน์พงษ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมของตำรวจนครบาลนั้น เชื่อว่ามีมูลค่ามหาศาล และหากเทียบกับตัวเลขการจ่ายส่วยในเมืองท่องเที่ยวอย่างจังหวัดภูเก็ต ผู้ประกอบการในย่านสถานบันเทิงที่เปิดให้บริการเกินเวลา จะมีการลงขันเพื่อจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ถึง 3 แสนบาทต่อเดือน เพื่อแลกกับผลกำไรทางธุรกิจ และไม่มีโอกาสโต้แย้งแม้จะโดนเรียกเก็บส่วยซ้ำซ้อนก็ตาม
       
       สำหรับพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยว จะมีบรรดาอาชญากรข้ามชาติที่หลบหนีเข้ามาเมืองไทยไปอาศัยกบดานอยู่ เช่น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ตนั้น เชื่อว่าตำรวจในสน.ท้องที่และกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีข้อมูลทั้งหมด แต่กลับใช้ข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่ไปแสวงหาประโยชน์กับอาชญากรดังกล่าวที่กระทำความผิด หนีมาซ่อนตัว และยังมาดำเนินธุรกิจผิดกฏหมายในพื้นที่ เนื่องจากแก๊งข้ามชาติเหล่านี้ยินยอมจ่ายส่วยแลกกับอิสรภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พัทยา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีแก๊งข้ามชาติหนีคดีมาอยู่เป็นจำนวนมาก และเข้ามาลงทุนธุรกิจต่างๆ เพื่อฟอกเงินอยู่ในประเทศไทยและ เป็นช่องทางหากินของตำรวจที่ต้องการรีดไถต่อไป
       
       อีกทั้งส่วยดังกล่าวที่ตำรวจจะได้จากนักท่องเที่ยว ก็คือพวกที่เข้ามาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว แต่ลักลอบประกอบอาชีพในเมืองไทย ซึ่งบางคนวีซ่าหมดอายุ แทนที่ตำรวจจะจับส่งตัวออกไป กลับไม่ดำเนินการและยังมีการแลกผลประโยชน์เป็นเม็ดเงินจากคนกลุ่มนี้
       
       “ไปดูได้พวกอินเดีย บังกลาเทศ ย่านพาหุรัด สำเพ็ง เต็มไปหมด ส่วนคนจีน ก็ให้ไปดูเยาวราช รัชดา เข้ามาค้าขายเปิดกิจการกันเต็มไปหมด” 

ส่วย! ตาข่ายการเงิน “ตำรวจ” คลุมธุรกิจสีเทา
แฟ้มภาพ
        

        รวมถึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเช่น พม่า กัมพูชา ลาว ที่เข้ามาทำงานแล้วไม่ต่อใบอนุญาตต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่หัวละไม่น้อยกว่า 500 บาททุกๆเดือน เพื่อแลกกับอิสรภาพและการมีงานทำที่มีรายได้สูงกว่าประเทศตัวเอง
       
       ขณะเดียวกันหากตำรวจท้องที่สืบรู้ว่าโรงงานใดมีการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย ก็จะเป็นโอกาสในการเก็บส่วยได้หลายทาง ทั้งจากคนงาน และผู้ประกอบการเจ้าของกิจการ ที่เผชิญวิกฤตขาดแคลนแรงงาน ว่ากันว่าผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการเล็กๆ ต้องจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณแสนบาทต่อเดือน
       
       ส่วยทางหลวง
       
       การเก็บส่วยลักษณะนี้ หากินกับรถบรรทุก รถผี รถตู้ ที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า รถบรรทุกสินค้าจากท่าเรือ หรือรถขนดินขนทรายที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือออกวิ่งขนส่งสินค้าในเวลาที่ห้าม ตลอดจนการตรวจจับควันดำ ซึ่งผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจเองก็มีความสนิทสนม จึงสมยอมที่จะจ่ายส่วยให้ตำรวจทางหลวงมาโดยตลอดในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งทำกันเป็นขบวนการ จนเรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
       
       เช่นเดียวกับที่เป็นข่าวครึกโครมเรื่องส่วยสติกเกอร์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงติดไว้หน้ารถเพื่อเป็นใบเบิกทางและสัญลักษณ์ว่ารถคันนี้จ่ายส่วยเป็นรายเดือนแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสจะถูกเรียกเก็บเป็นรายวันตลอดเส้นทางที่มีสน.ท้องที่คุมพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง และเป็นต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ค่อนข้างสูงสำหรับธุรกิจ ซึ่งในแต่ละปีผู้ประกอบการต้องรับภาระไม่ต่ำกว่า 500 ล้านเพื่อแลกกับความสะดวกรวดเร็ว และการเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย
       
       “ส่วยทางหลวง เมื่อวิ่งเข้าพื้นที่ สน.ใด ก็ต้องโดนเก็บเหมือนกัน ไม่ใช่ตำรวจทางหลวงจะได้หน่วยเดียว”
       
       ตำรวจ! เหยื่อขบวนการส่วย
       
       ดังนั้นพื้นที่หรือหน่วยงานใดที่จะสามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาล จึงเป็นที่หมายปองของตำรวจในทุกระดับชั้น จนเป็นที่มาของการวิ่งเต้น ซื้อตำแหน่ง ย้ายพื้นที่ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้องได้มากยิ่งขึ้น
       
       “ตำรวจก็เป็นเหยื่อ เพราะต้องการความก้าวหน้า และได้ผลประโยชน์บางส่วน จึงวิ่งเข้าหา “มูลนาย” ที่เป็นบิ๊กทั้งหลาย แต่สุดท้ายตำรวจพวกนี้กลายเป็นส่วยแบบข้าทาสกันไปหมด”
       
       แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อธิบายว่าเมื่อตำรวจกลายเป็นเหยื่อและส่วยแบบข้าทาส ก็เพราะว่าในอดีตนั้นใครอยากได้ตำแหน่งก็ต้องหาเงินสดๆ มาจ่ายก่อนได้รับตำแหน่ง และ ห้ามผ่อนภายหลังได้ตำแหน่ง แต่วันนี้บรรดาบิ๊กสีกากีทั้งหลาย เขาจะเลือกตำรวจที่วิ่งเข้าหาต้อนเข้ามาอยู่ในอาณัติหรืออาณาจักรของตัวเองก่อน
       
       จากนั้นจะมีการจัดสรรด้วยการเอาลูกน้องไปวางไว้ในตำแหน่งต่างๆ กระจายไปให้ทั่วที่เชื่อว่าจะเป็นแหล่งสร้างผลประโยชน์ได้อย่างดี เพื่อให้ตำรวจเหล่านี้มีหน้าที่ส่ง ‘ส่วย’กลับมายังตนเองได้ ในทุกๆ ครั้งที่ ‘นายเคาะ’ก็ต้องรีบดำเนินการและปฎิเสธไม่ได้เด็ดขาด
       
       “วิธีนี้จะได้ตำรวจในสังกัดได้ง่าย กว่าในอดีตที่ต้องเอาเงินมาให้เป็นก้อน 2 ล้าน 5 ล้านหรือ10 ล้านขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จะนั่ง แต่เดี๋ยวนี้ไปนั่งก่อนจ่ายทีหลัง แต่จ่ายหนักกว่าในอดีต”
       
       เมื่อมองย้อนดูวัฒนธรรมตำรวจที่ว่า ‘ลูกน้องเลี้ยงนาย’ ก็ยังปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแม้ว่าการทลายอาณาจักรสอบสวนกลางครั้งนี้ ก็อาจจะทำให้ขบวนการเก็บ ‘ส่วย’ ซบเซาลงไปชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อการจัดระเบียบลงตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขบวนการเก็บส่วยก็จะฟื้นคืนชีพและอาจมารุนแรงหรือหนักกว่าเดิมก็เป็นได้
       
       และคงปฏิเสธไม่ได้ว่านับแต่สมัยที่พลตำรวจเอกพจน์ บุณยะจินดา เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ได้กล่าวถึงการล้างบาง ถอนรากถอนโคนระบบ “ส่วย” ให้สิ้นซาก รวมทั้งนโยบายหลักของผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกยุค ทุกสมัย ก็ประกาศจะปราบส่วย ในที่สุดก็ยังไม่มีใครสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ เพราะขบวนการนี้ไม่ธรรมดา มีความซับซ้อน ทุกครั้งที่มีการตรวจสอบ มักจะสาวไส้ไปถึงผู้บงการซึ่งเป็นนายตำรวจระดับสูงที่เข้าไปมีส่วนพัวพันทั้งสิ้น
       
       ยิ่งไปกว่านั้นในทุกธุรกิจ ก็พร้อมจะเอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนกับตำรวจ แลกกับการเลี่ยงกฎหมาย ‘ส่วย’จึงกลายเป็นวงจรอุบาทว์ ที่จะอยู่คู่กับสังคมไทยตลอดไป 

งานศพ"เสธไอซ์"

เสธ.ไอ้ซ์ Never Dies

บิ๊กแอ๊ด พลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูรฯ อดีตรมว.กห. พี่เลิฟ ของ เสธ.ไอ้ซ์ นำ ตท.10 เพิ่อนๆ เสธ.ไอ้ซ์ ทหารม้า และพี่ๆน้องๆ หลายวงการ หลากสี ร่วมรดน้ำศพ เสธ.ไอ้ซ์ พลเอกไตรรงค์ อินทรทัต แน่นวัดโสมฯ ....พลเอกนพดล อินทปัญญา พลเอกวิชญ์ เทพหัสดินฯ พลเอกวัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตรอง ผบทบ.....พร้อม คนดังในวงการ มากันเพียบ....ผู้กองนัส ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ,น้องๆ สายเสธ.ไอ้ซ์ ทั้งพลเรือน ทหาร....ผู้พันตึ๋ง. เสธ.ไก่อู พลตรีสรรเสริญ น้องสายทหารม้า ของ เสธ.ไอ้ซ์ ก็มา...อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เพื่อนคท.10 ส่ง หรีดร่วมอาลัย....ผู้แทนพระองค์ อัญเชิญน้ำหลวงพระราชทานอาบศพ 17.00 น. พระราชทานเพลิงศพ 17.00 น.19 มิย.นี้





ล้างมาเฟียให้สิ้นซาก เชื่อสิ! เรื่องจริงไม่ใช่นิยาย?

ล้างมาเฟียให้สิ้นซาก เชื่อสิ! เรื่องจริงไม่ใช่นิยาย?
โดย ผู้จัดการรายวัน    
12 มีนาคม 2559 06:28 น.

 ล้างมาเฟียให้สิ้นซาก เชื่อสิ! เรื่องจริงไม่ใช่นิยาย?
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

        ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ออกลีลาท่าทางขึงขังแต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าอีเวนต์ล้างมาเฟียให้หมดไปจากแผ่นดินไทย เป็นเพียงหนังโฆษณาคั่นเวลาของมหากาพย์ทำคลอดหรือทำแท้งรัฐธรรมนูญฯ

ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยังไม่แน่ลูกผีลูกคน และมาเฟียที่ล็อกเป้าเข้าไปทำลายล้างคราวนี้ก็เชื่อขนมกินได้เลยเช่นกันว่าจะมีแต่ขาใหญ่ใต้ร่มเงานักการเมืองเป็นหลัก
     
       ส่วนมาเฟียมีสีที่เป็นทหารนั้น จะถูกฟันแรงไม่เลี้ยงอย่างที่ “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการ คสช. ส่งเสียงขู่หรือไม่ คำตอบไม่ได้ล่องลอยในสาย

ลมแต่ชัดเจนทั่วไทยอยู่แล้ว ไม่งั้น “บิ๊กหมู”จะต้องสั่งแล้วสั่งอีกทำไมให้ทหารที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลเลิกประพฤติตัวเป็นมาเฟียเสียที พี่ขอร้องอีกครั้ง นี่จะเอาจริงแล้วนะ
     
       จะว่าไปคงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า การปราบมาเฟียที่ล้มเหลวมาตลอดทุกยุคทุกสมัย และทำได้เพียงลูบหน้าปะจมูกก็เพราะคนปราบและคนถูกปราบล้วนแต่เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันและ

เป็นคนกันเองทั้งนั้น เป็นคนกันเองที่มีทั้งสีเขียว สีกากี และนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล ที่รู้ๆ กันอยู่ว่าใครเป็นใคร ในการลงมือปราบแต่ละครั้งจึงขึ้นอยู่กับว่าใครจะถูกเลือกเป็นเป้าเข้าลุยล้างสร้าง

ภาพเชือดไก่ให้ลิงดู ก็เท่านั้น
     
       คราครั้งนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ซุ้มนครปฐม เจอแจ๊กพ็อตเข้าให้ เพราะใครๆ ก็รู้ว่านี่เป็นถิ่นของขาใหญ่เพื่อไทย พรรคการเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศไทยที่ไม่ยอมทำตัวเป็น “เด็กดี” อยู่ใน

โอวาทของคสช.แถมยังชอบปล่อยให้ลิ่วล้อออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฯ ให้บิ๊ก คสช.อารมณ์เสียอยู่เรื่อย และไม่ใช่แค่ซุ้มนครปฐมเท่านั้น อดีตส.ส.เถื่อนถ่อยระดับตัวพ่อของพรรคเพื่อไทย

“เก่ง- การุณ โหสกุล” แห่งทุ่งดอนเมือง ก็มีชื่ออยู่ในบัญชีที่จะเจอดีพร้อมกับ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือเสธ.ไอซ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก และเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับนาย

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่มีชื่อหลุดออกมาด้วย ก่อนที่บิ๊ก คสช. จะปฏิเสธในภายหลังว่าไม่มี ไม่มี ไม่ได้ขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพล “เก่ง-การุณ”กับ “เสธ.ไอซ์” และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

ทหารนอกราชการ แต่อย่างใด
     
       “ไม่มี ไปเอามากันจากไหน” พล.อ.ธีรชัย กล่าวปฏิเสธในการตอบคำถามผู้สื่อข่าว
     
       หากนับตั้งแต่ยึดอำนาจบริหารประเทศ คสช.ได้ชิมลางลุยล้างอิทธิพลมาแล้วในหลายพื้นที่หลายวงการตามนโยบายจัดระเบียบสังคม ทั้งหวย บ่อน ซ่อง วินมอเตอร์ไซค์ รถตู้ แท็กซี่ ทางเท้า ฯลฯ

ซึ่งมีทั้งสำเร็จและล้มเหลว ได้ทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ มีทั้งเสียงสรรเสริญและก่นด่า ละเว้นพวกเดียวกันบ้าง เคาะกะลาบ้าง กระชับอำนาจสร้างฐานบารมีของกลุ่มอำนาจใหม่บ้าง ผลงานด้านการจัด

ระเบียบสังคมปราบมาเฟียที่ออกมาจึงเป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ ไม่สุดซอย จนต้องเรียกความเชื่อมั่นว่าคราวนี้เอาจริงแบบเข้มข้นแน่ แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่วันก็แผ่วตามท่าทีที่คล้ายแข็งกร้าวแต่ผ่อนปรน

เหมือนการแสดงปาหี่ที่กลับไปกลับมาของบิ๊ก คสช.
     
       ดูจาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ทำท่าขึงขังรายชื่อผู้มีอิทธิพลที่มีทุกจังหวัดทุกอำเภอได้ส่งรายชื่อไปแล้ว แต่ละพื้นที่ก็

จะดำเนินการ ยืนยันเจ้าหน้าที่จะดำเนินการหมด ไม่ว่าจะเป็นสีไหน ข้าราชการฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ก็ว่ากันไป ใครทำให้ประชาชนเดือดร้อน เข้าข่าย 16 ฐานความผิดสำหรับผู้มีอิทธิพล

หมด ยืนยันว่าจำนวนรายชื่อผู้มีอิทธิพลทั้ง6,000 รายชื่อ ที่ออกมานั้น มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน และไม่ได้เจาะจงไปยังกลุ่มหัวคะแนนของนักการเมือง
     
        แต่เมื่อถามถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใครอย่าง พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต(เสธ.ไอซ์) อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก พล.อ.ประวิตร กลับอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า “ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำเรื่องอะไร เมื่อไหร่ บางที

อาจจะไม่ผิด หรือว่าผิดนิดหน่อย บางทีตัวเขาอาจจะไม่ได้ทำอาจจะเกี่ยวพันกับลูกน้องเขา เดี๋ยวคงมีการออกมาชี้แจงเอง...”
     
       ส่วนเส้นตายที่ “บิ๊กป้อม” บอกว่า รัฐบาลจะพยายามปราบผู้มีอิทธิพลให้หมดภายใน 2 เดือน ก็แบ่งรับแบ่งสู้ต่อว่าแต่หากทำไม่สำเร็จก็จะต้องขยายเวลาออกไปแต่จะเร่งรัดให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

และไม่จำเป็นต้องตักเตือน เพราะทุกคนต้องวางมือจากการกระทำทั้งหมดอยู่แล้ว
     
       เป็นท่าทีเช่นเดียวกันกับ “บิ๊กหมู”พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่บอกว่า การจัดการกับผู้มีอิทธิพลจากนี้จะมีความ

เข้มข้นมากขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้มีการตั้งกรอบเวลาว่าจะต้องเสร็จสิ้นภายในกี่เดือน
     
       “เราจะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด เพียงแต่จะเน้นให้มีความเข้มข้นในช่วง 6 เดือนตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงระบุ แต่ไม่ใช่ว่าครบ 6

เดือนแล้วจะหยุด เพราะเราจะทำต่อเนื่องเพื่อให้ผู้มีอิทธิพลหมดไปจากประเทศนี้....” “บิ๊กหมู” บอกเล่าความฝันกลางวันในหน้าแล้ง และยืนยันว่าการปฏิบัติในทุกพื้นที่และทุกหน่วย ไม่มีแบ่งฝ่าย

ตามที่ฝ่ายการเมืองโจมตี และไม่เจาะจงว่าต้องเป็นการเมือง หรือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลที่อยู่กับฝ่ายการเมือง
     
       ส่วนที่สั่งการให้ทุกหน่วยไปตรวจสอบกำลังพลที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลนั้น “บิ๊กหมู” ได้เน้นย้ำไปแล้ว หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะทหารจะไม่มีเตือน แต่จะดำเนินการ

แบบแรงทันทีเพราะสั่งการไปหลายครั้งแล้ว ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานอื่นได้ส่งรายชื่อไปต้นสังกัดเรียบร้อยแล้ว
     
       สำหรับบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพล นอกจากจะอยู่ในมือ “บิ๊กป้อม” 6,000 รายชื่อแล้ว ยังมีอยู่ในมือของ “บิ๊กต๊อก” อีกจำนวนหนึ่ง
     
       ถามว่า กระทรวงยุติธรรม มีบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลหรือไม่ “บิ๊กต๊อก” ตอบว่า ก็ต้องบอกว่า มี เพราะเขาทำกันไว้ก่อนหน้านี้ เป็นฐานข้อมูลเดิม เพราะทำกันมานานแล้ว แต่จำนวนตัวเลขเท่าไหร่

ยังไม่ทราบ อีกทั้งยืนยันไม่ได้ว่าตัวเลข 3,000 รายชื่อ ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าถามว่ามีรายชื่อกลุ่มผู้มีอิทธิพลหรือไม่ ก็ตอบได้ว่ามี
     
       การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลในส่วนของกระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ ได้สั่งให้ดำเนินการตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยเป็นกลุ่มที่อยู่ในอำนาจหน้าที่

การทำงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มฐาน

ความผิดเกี่ยวกับการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ ยาเสพติดในเรือนจำ การลักลอบหนีภาษี หนี้นอกระบบ และกลุ่มต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว
     
       พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแลปัญหาอาชญากรรมพิเศษ ให้รายละเอียดว่า รายชื่อผู้มีอิทธิพลได้มีการรวบรวมรายชื่อมีมาเป็นปีแล้ว จากหน่วยงานที่เกี่ยว

ข้องของกระทรวงยุติธรรม คือ ดีเอสไอ ป.ป.ท. และ ป.ป.ส.โดยจำแนกออกเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีรายชื่อผู้มีอิทธิพลมากน้อยต่างกันไป เชื่อว่า รายชื่อที่กระทรวงยุติธรรม ไม่ซ้ำกับหน่วยงาน

อื่นที่มีอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลในการดำเนินชั้นความลับสูง ไม่จำเป็นต้องส่งให้ใครไปดำเนินการ เนื่องจากหน่วยงานของเรามีศักยภาพตามกฎหมายอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องมีการใช้มาตรานั้นมาตรานี้มา

จัดการ เพราะในกลุ่มเหล่านี้มีการกระทำความผิดที่ชัดเจนอยู่แล้ว
     
       ขณะที่ความเคลื่อนไหวฟากฝั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เด้งรับนโยบายปราบมาเฟียอย่างคึกคัก โดย “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

พร้อมกับ “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. รับผิดชอบงานฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ที่ปรึกษา (สบ.10) นำทีมประชุม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9

ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนใต้ (ศชต.)กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขีดเส้นภายใน 2 เดือน กลุ่มผู้มีอิทธิพล จะต้องลดลง 60-70 เปอร์เซ็นต์
     
        ตามมาตรการปราบมาเฟียของ สตช.จะมีคณะกรรมการคัดเลือกรายชื่อบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลราว 1,000 - 6,000 คน โดยจัดอยู่ในกลุ่มฐาน 16 ความผิด ประกอบ

ด้วย 1.ยาเสพติด2.ฮั้วประมูลงาน 3.การเรียกรับผลประโยชน์จากโรงงานและสถานบริการ 4.คิวมอเตอร์ไซค์ รถรับจ้างที่ผิดกฎหมาย 5.ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน 6.บ่อนการพนัน หวยใต้

ดิน 7.ลักลอบค้าหญิงและเด็ก 8.หลอกลวงคนไปทำงานต่างประเทศ9.ลักลอบนำเข้า-ออกประเทศ 10.หลอกลวงต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว 11.มือปืนรับจ้าง12.ทวงหนี้ ข่มขู่ 13.ค้าอาวุธ 14.บุกรุกที่ดิน

สาธารณะ15.เรียกค่าคุ้มครองในที่สาธารณะ เส้นทางหลวงหรือเก็บส่วย16.นายทุนปล่อยกู้นอกระบบ โดยพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดเป็นโซนสีแดงที่ต้องจับตามากที่สุดคือ เขตภาคกลางที่จัดว่ามีกลุ่ม

ผู้มีอิทธิพลมากที่สุด
     
       “.... การปราบปรามจะต้องเห็นผล ไม่เพียงแต่ปราบปรามผู้มีอิทธิพลอย่างเดียว แต่ตำรวจก็ต้องปัดกวาดถูบ้านของตัวเองด้วย” “บิ๊กแป๊ะ”สารภาพชัด คล้ายจะบอกต่อสังคมว่าตำรวจไม่ได้

ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เท่านั้น แต่มีงานพาร์ตไทม์ที่ทำรายได้ดีกว่างานประจำเสียอีกคือเป็นผู้มีอิทธิพลด้วย เป็นคำสารภาพเดียวกันกับที่ บิ๊ก คสช. ที่ว่าถึงเวลาทหารต้องเลิกเข้าไปยุ่ง

เกี่ยวหรือทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลได้แล้ว
     
       เป็นคำสารภาพต่อสังคมว่า คนในเครื่องแบบสีกากี สีเขียว นี่แหละคือ กลุ่มผู้มีอิทธิพล ที่ล้างเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
/////////
วันที่ 31 มีนาคม 2559 | เปิดดู 4,753 ครั้ง  
ทหารปราบมาเฟีย : อำนาจครอบจักรวาล
พิกัดข่าวเช้า
กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางสำหรับคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 13/2559 ที่ให้อำนาจทหารตั้งแต่สัญญาบัตร ลงไปจนถึงประทวน และอาสาสมัครทหารพราน มีอำนาจหน้าที่ในการปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล แม้นโยบายนี้จะมีความสำคัญและโดนใจพี่น้องประชาชน แต่การให้อำนาจทหารแบบครอบจักรวาลผ่านกฎหมายถึง 27 ฉบับ จะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ ไปติดตามได้จากรายงานพิเศษของทีมพิกัดข่าว NOW26

คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2559 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทําลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ // ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่ใช่คำสั่งฉบับแรกที่ คสช.ให้เจ้าหน้าที่ทหาร เข้ามามีอำนาจตรวจค้น จับกุมบุคคล และตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอาญาได้
เพราะเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 ก็เคยมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงแห่งชาติ ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเสมือนเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในร่างเดียวมาครั้งหนึ่งแล้ว
ครั้งนั้นชัดเจนว่าเป็นการคงอำนาจของฝ่ายทหารให้คงอยู่ต่อไปภายหลังจากยกเลิกกฎอัยการศึกทั่วประเทศ จากที่ประกาศไว้ในวันที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง
คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เป็นการให้อำนาจทหารชั้นสัญญาบัตร ยศร้อยตรี เรือตรี และเรืออากาศตรี ขึ้นไป เป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนทหารยศต่ำกว่านั้น หรือที่เรียกว่า “ชั้นประทวน” เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย
ขณะที่คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 13/2559 ที่เพิ่งประกาศล่าสุด ให้อำนาจทหารชั้นสัญญาบัตรเป็น “เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” ส่วนทหารชั้นประทวน เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม
คำสั่งหัวหน้า คสช.ทั้ง 2 ฉบับ ยึดหลักการเดียวกัน คือให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหาร ทำการเหมือนตำรวจ และฝ่ายปกครอง คือ สืบสวน สอบสวน เรียกตัว จับกุม คุมตัว ตรวจค้น และยึดทรัพย์ได้
แต่ความต่างก็คือ อำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่มอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร มีมากน้อยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง // โดยคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ให้อำนาจทหารปฏิบัติการได้ในความผิดเพียง 4 ฐาน คือ ความผิดต่อสถาบันเบื้องสูง // ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร // ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธสงคราม // และความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช.
พิจารณาแล้วก็พอยอมรับได้ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นงานของทหาร
แม้ต่อมา คสช.จะออกคำสั่งเพิ่มอำนาจให้ทหารจัดการกับขบวนการบุกรุกป่า ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และขบวนการค้ายาเสพติด แต่อำนาจหน้าที่ที่มอบให้ก็ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่บ้าง
แต่สำหรับคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2559 แม้จะอ้างว่ามุ่งจัดการกับมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล ตามที่ระบุไว้ในเหตุผลของการออกคำสั่งก็ตาม // แต่การกำหนดฐานความผิดอาญาแนบท้ายคำสั่ง ประกอบด้วยกฎหมายมากมายถึง 27 ฉบับ ไม่เว้นแม้กระทั่งกฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ // ทางหลวง // พระราชบัญญัติรถยนต์ // การขนส่งทางบก // หรือแม้แต่พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต และศุลกากร // ทำให้มองได้ว่านี่เป็นการมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ทหารชนิดที่เรียกว่า “ครอบจักรวาล” ถึงขนาดไม่ต้องมีหน่วยปกติรับผิดชอบการทำงานแล้วก็ได้
ขณะที่ผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่เป็นทหารชั้นประทวน ก็ครอบคลุมไปถึงระดับ “อาสาสมัครทหารพราน” กันเลยทีเดียว
ที่สำคัญการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างครอบจักรวาลนี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายปกครอง และไม่ต้องรับผิดทั้งแพ่งและอาญา หากกระทำโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และพอสมควรแก่เหตุ
เรียกว่าปิดช่องฟ้องกลับแทบทุกกรณี และไม่มีองค์กรใดตรวจสอบถ่วงดุลได้!
เมื่อไล่เรียงดูอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะคนที่รู้กฎหมาย ล้วนแสดงความวิตกต่อการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารมากมายขนาดนี้
ที่สำคัญเมื่อย้อนดูผลจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ที่มุ่งปราบปรามแก๊งหมิ่นสถาบัน และกลุ่มที่เคลื่อนไหวกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ // จะพบว่าแม้ทหารจะได้อำนาจในการจัดการแบบเฉียบขาด // แต่การดำเนินการกับกลุ่มที่กระทำผิดกฎหมาย ก็ไม่ได้ปรากฏผลสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจนแต่อย่างใด
และที่น่าวิตกไปกว่านั้นก็คือ ดีกรีความขัดแย้งของคนในชาติแทบไม่ลดน้อยลงเลย // เพราะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเองก็ยังบ่นผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติอยู่แทบทุกสัปดาห์
คำถามที่ทุกฝ่ายต้องนำไปขบคิดก็คือ นี่เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ?
     

แนะตร.สังกัดมท.หลัง"ปฏิบัติการสังขร"

cr FB ปรีย์ มาลากุล

ก่อนอื่นต้องขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรี และ ให้หัวใจทั้งดวงกับ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย ที่จัดการเรื่องนี้ ได้อย่างเด็ดขาด และขอแนะนำให้โอนกรมตำรวจมาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยแทนที่จะอยู่ภายใต้สำนักนายกฯ โดยด่วนที่สุด เอาเลยครับ โดยกรณีที่เจ้าหน้าที่จากกรมการปกครอง กว่า 40 คนและเจ้าหน้าที่ทหารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นำกำลังเข้าตรวจค้นการค้าประเวณี ภายใต้ "ปฏิบัติการ สังขร" ในสถานบริการ นาตาลี อาบ อบ นวด ย่านรัชดาภิเษก 

โดย นายณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้อำนวยการส่วนกำกับและตรวจสอบ สำนักการตรวจสอบและนิติกร กรมการปกครอง เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ใช้เวลานานตั้ง 3 เดือน ในการสืบหาข้อมูลจนแน่ชัด ก่อนเข้าตรวจค้นและทำการล่อซื้อ
ปฏิบัติการครั้งนี้สะเทือนไปทั่ว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวระดับ 9 ตามมาตราริกเตอร์ใจกลางพระนคร และผมนั่งรออาฟเตอร์ช็อคจากกระทรวงมหาดไทยว่าจะมาอีกเท่าไร
การตรวจค้นครั้งนี้ ไม่ได้ทำง่ายๆ ต้องยกย่องการเอาจริงเอาจังของ กระทรวงมหาดไทย ที่ น้อยครั้งจะเห็นเดินเกมรุก ทลายขบวนการค้ามนุษย์แบบนี้
สถานบริการดังกล่าว มีนายบอล รับว่าเป็นผู้ดูแลมานาน มีหญิงสาวที่ทำงานค้าบริการกว่า 400 คนหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาทำงาน
สำหรับการพบสมุดบัญชีรายชื่อที่มีการโอนเงินให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงานนั้น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งมาร่วมตรวจสอบด้วย จะเป็นผู้พิจารณาดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป (ห้ามฮั้ว) ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า บัญชีส่วยได้ระบุถึงหน่วยงานสำคัญ ๆ หลายหน่วยงาน แต่ไม่มีข้าราชการกระทรวงมหาดไทยเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรับผลประโยชน์ด้วย
พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น. 1 ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงให้พวกเดียวกัน!!!!!! พร้อมกับสั่งให้ข้าราชการตำรวจ 4 นายในพื้นที่ สน.ห้วยขวาง ให้ย้ายไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.บช.น.1 ประกอบด้วย 1. พ.ต.อ.กิตติพงศ์ วิเศษสงวน ผกก. สน.ห้วยขวาง 2. พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ รอง ผกก.ป. สน.ห้วยขวาง 3. พ.ต.ท.จีระพล ประพันธ์จันทร์ สว.สส. สน.ห้วยขวาง 4. พ.ต.ท.ศุภภัทร สวัสดี สวป. สน.ห้วยขวาง
การปฏิบัติการครั้งนี้ ถ้าจะวิเคราะห์แบบตรงไปตรงมา หน่วยงานทั้งหมดคงไม่พ้นจากกรมตำรวจ
อ่านมาแล้วช่วยออกความเห็นกันหน่อย เพื่อให้ชาติมีความมั่นคง ถ้าเห็นด้วยก็กด like มามากๆ อาจจะได้อย่างที่เราต้องการ คือเอากรมตำรวจไปขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต จะได้มีผู้นำที่ใจเด็ดอย่างเช่น พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และขอฝากความคารวะมา ณ ที่นี้ด้วย

เร่งเครื่องปราบการค้ามนุษย์ในธุรกิจค้าประเวณี เข้ากวาดจับ “นาตารี” เป็นแห่งแรกในกทม.

เร่งเครื่องปราบการค้ามนุษย์ในธุรกิจค้าประเวณี เข้ากวาดจับ “นาตารี” เป็นแห่งแรกในกทม. เจ้าหน้าที่ 5 นายโดนโยกย้าย

นายมานะ สิมมา ผู้อำนวยการส่วนการสอบสวนคดีอาญา กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเผยว่า กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินนโยบายป้องกันและปรามปรามการค้ามนุษย์ โดยดำเนินการมาแล้ว 19 กรณีในต่างจังหวัด แต่เพิ่งดำเนินการในกรุงเทพฯ ที่ “นาตารี” เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. หลังจากสืบสวนและหาข้อมูลมาเป็นเวลากว่า 3 เดือนและถือเป็นกรณีที่มีผู้เกี่ยวข้องมากที่สุด โดยเปรียบเทียบกับการปฏิบัติการในต่างจังหวัด จะใช้เวลาสืบสวนราวๆ 1 เดือนครึ่ง และจะเร่งเดินหน้าแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในสถานประกอบการที่มีการลักลอบค้าประเวณีต่อไปเนื่องจากเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
นายมานะ อธิบายว่ากรณีการลงพื้นที่จับกุมผู้ให้บริการและผู้ดูแลสถานประกอบการ นาตารีเอ็นเตอร์เทนเมนท์ อาบอบนวด ถนนรัชดาภิเษก แขวงและเขตดินแดง กรุงเทพฯ ว่า เป็นการดำเนินการของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (สมาชิก อส.) กระทรวงมหาดไทย โดยอาศัยอำนาจที่มีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ให้เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองมีอำนาจในการจับกุมได้ แต่หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวนต่อไป
สำหรับความคืบหน้าของคดี บ่ายนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนและคัดแยกผู้ต้องหาข้อหาค้าประเวณี พบว่า 77 ราย เป็นชาวต่างชาติ หญิงสาวจำนวน 57 รายถูกนำมาฝากขังที่ศาลอาญา รัชดา โดย พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า ช่วยราชการสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางระบุว่าทั้งหมดเป็นบุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานในราชอาณาจักร และได้นำตัวหญิงสาวอีก 20 รายไปฝากขังที่ศาลแขวงพระนครเหนือ โดยระบุว่าเป็นบุคคลที่ทำงานไม่ตรงตามประเภทที่ได้รับอนุญาตโดยพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากเป็นบุคคลไม่มีที่พำนักเป็นหลักแหล่ง เกรงว่าจะหลบหนี
พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ระบุว่าจากการสอบสวนพบว่ามีหญิงสาว 9 รายเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจากการถูกหลอกมาค้าประเวณี โดยได้ส่งตัวให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลแล้ว และมีหญิงสาว 12 รายที่ต้องตรวจพิสูจน์อายุว่าเป็นเยาวชนหรือไม่โดยคาดว่าจะทราบผลในสัปดาห์หน้า ที่เหลือเป็นหญิงสาวชาวไทยที่มีอายุเกิน 18 ปี ถูกเปรียบเทียบปรับและปล่อยตัวไปแล้ว
สำหรับนายพงษ์อนัน คณะเขตต์ ผู้ดูแลร้าน กับพวกรวม 5คนยังอยู่ระหว่างถูกสอบปากคำโดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ และร่วมกันเป็นธุระจัดหาให้ที่พักพิงแรงงานต่างด้าว
ภายหลังการบุกจับผู้ที่อาจเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีและค้ามนุษย์ที่สถานประกอบการนาตารี สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย ประจำสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง เพื่อดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในส่วนของการลักลอบค้าประเวณีและการจ่ายสินบนต่อไป
ภาพประกอบ: ผู้ต้องหาบางส่วนถูกนำตัวมาฝากขังที่ศาลอาญา รัชดา

บทแห่งกรรมคือ "เจตนาสมีโย" : เปลว สีเงิน "นักการเมืองขี้โกง"..........

บทแห่งกรรมคือ "เจตนาสมีโย" : เปลว สีเงิน
"นักการเมืองขี้โกง"..........
โดยเฉพาะแก๊งเข้าไปเล่นการเมืองด้วยทัศนคติ "โกงไม่เป็นไร ได้แล้วเอามาแบ่งกัน"
เจริญ "ราชทัณฑ์สติ"
คุกหนอ...คุกหนอ..รอไว้นะ!
นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในปฐมยุคแห่งรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ย่านปทุมธานี
และนายวิทยา เทียนทอง อดีตเลขาฯ รมว.เกษตรฯ ผู้เป็นน้องชาย "นายเสนาะ เทียนทอง" ผู้ยิ่งใหญ่ย่านสระแก้ว-ปราจีนบุรี
ด้วยศรัทธาและยึดมั่นในระบอบทักษิณ "โกงไม่เป็นไร ได้แล้วเอามาแบ่งกัน"
๘ มิ.ย.๕๙ วานซืนนี้เอง........
เข้าไปแบ่งกันอยู่ในคุกเรียบร้อยแล้ว โดย "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง"
ตัดสินขังคุก "คนละ ๖ ปี"
ฐานทุจริต-คอร์รัปชัน ฮั้วประมูลจัดซื้อปุ๋ย!
บน "มาตรฐานเดียวกัน" อย่างที่ขบวนการระบอบทักษิณชื่นชอบ และแหกปากตะโกนโหยหามาตลอด
ก็อีกหลายคนมิใช่หรือ?
ทั้งหญิง-ทั้งชาย ทั้งที่ชอบเสื้อดอกและดอกเองโดยสันดาน เห็นกำลังทยอยเข้าคิวรออยู่ที่ศาลอาญาบ้าง ศาลฎีกานักการเมืองบ้าง
เตรียมฟิตร่างกายกันไว้นะ....
เมื่อกฎกรรมและกฎหมายทำงานดังนี้ ราวๆ ปลายปีนี้-ต้นปีหน้า บางคนอาจโชคดี
ได้เข้าไปอยู่ร่วม-กินร่วม-นอนร่วม กับ "ชูชีพ-วิทยา" จะได้ไปอยู่แบบเฮลธี้ไงล่ะ!
เมื่อวงจร "โกงแล้วแบ่งกัน" กำลังบรรจบลักษณะนี้ ก็คงต้องแข่งกันหน่อย........
ว่าทีมไหน จะได้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นก่อนกัน ระหว่างทีมที่ไปสุมหัวเห่าอยู่อเมริกา กับพวกที่กำลังถูก "เรียกเก็บตัว" เข้าไปฟอร์มทีมในคุก ทีละคน-สองคน?
เรื่องกรรมและเรื่องกฎหมาย ทำหน้าที่ "เที่ยงตรง" เสมอ
ไม่เลือกหน้า-ไม่เว้นใคร ไม่ว่า "หัวดำ-หัวโล้น".........
ถ้าระยำ ด้วยโกงกิน อลัชชี ผิดศีล ขั้นครุกาบัติ ในยุคดาวอะไรมิต่ออะไรทั้งอม ทั้งคาย ทั้งชนกัน สับสนนัวเนีย อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ผมไม่ทราบ
ทราบอย่างเดียว..........
พวก "ดาวโจร" ทั้งหัวโล้น-หัวดำ" เมื่อสังคมชาติถึงยุคปฏิรูป "คือล้าง" ที่เละ มุ่งสู่อนาคตใหม่ที่เรี่ยมเร้
มนุษย์ประเภท "ฉิบหายแล้วจากความดี" ทั้งหลาย-ทั้งปวง จะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่สำนึก ไม่ปรับตัว
"ต้องไป......" สถานเดียว!
ไปอยู่ที่ใหม่ จะเป็นคุก-ตะราง หรือเป็น ๙ ขุมนรก นั่นขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคน
จากที่ "ปทุมธานี" เหมือนกัน แต่คนละสถานะ มาดูทาง "สมีโย" เจ้าลัทธิธรรมกายบ้าง ว่ายังอยู่ดีหรือไม่ดีไฉน?
กรรม คือการกระทำ ทาง "กาย-วาจา-ใจ"
ตัวใจ คือ "มโนกรรม" นี่แหละ เป็น "ตัวกรรม" แท้จริง พระบรมศาสดาเจ้าตรัสว่า "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
แปลว่า....ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนา คือ กรรม"
เจตนาคือ ความคิด ความตั้งใจ ที่สั่งกาย สั่งวาจานั่นแหละ ถ้าสั่งด้วยเจตนาดี คิดดี ตั้งใจทำดี พูดดี
แบบนี้ ไม่ต้องตั้ง "ศูนย์ปราบโกงในโกงกูเอง" ก็ถือว่าประกอบกรรมดี มีผลเป็นสุขกาย-สุขใจ เทวดาและมนุษย์สรรเสริญแล้ว
แต่ถ้าสั่งด้วยเจตนาร้าย
ทุกอย่างจะตรงข้าม คือใช่ว่าคนพวกนี้ "ในความเป็นคน" จะไม่รู้จักชั่ว-ไม่รู้จักดี เสียเลย
รู้เต็มอก.......
แต่ด้วยความเป็นคนฉิบหายแล้วจากความดีนั่นแหละ คือดีไม่ได้-ดีไม่เป็น เหมือนหนอน มีแต่ขี้เท่านั้นหอม เป็นอาหารชื่นชอบ อย่างอื่นเหม็นหมด
"มโน" คือเจตนา จึงสั่งแต่ ให้กายเคลื่อน-ปากขยับ ด้วยคิดร้าย พูดร้าย-ทำร้าย มุ่งจ้องทางจะไปกินขี้สถานเดียว
ปกตินั้น ทางกาย ทางวาจา ทำอะไรลงไป ยังไม่ถือว่าเป็นกรรม
ต่อเมื่อ "ทำ-พูด" ด้วยเจตนาอย่างใด-อย่างหนึ่ง นั่นแหละ จึงถือเป็นกรรม!
เข้าใจตรงนี้กันไว้บ้างก็ดี แม้ทางกฎหมายบ้านเมือง การกระทำ จะเป็นโทษหรือไม่เป็น ก็ต้อง "ยึดเจตนา" เป็นหลักเช่นกัน
คนอดข้าวหลายวัน เราสงสาร เอาข้าวไปป้อน เจตนาดี หวังให้เขาหายหิว มีชีวิตอยู่ได้
แต่กินปุ๊บ ลมสว้านตีขึ้น เขาตายคาข้าวที่เราป้อน......
แบบนี้ ไม่บาป ไม่ติดคุกหรอก เพราะช่วยเขาด้วยเจตนาดี หวังให้อยู่ มิใช่หวังให้ตาย!
เมื่อมีหลักในการพิจารณาอย่างนี้แล้ว ก็ไปดูการไม่ยอมมอบตัวของสมีโย รวมทั้งการไม่ยอมให้แพทยสภาเข้าไปตรวจอาการ "ป่วยปางตาย" ด้วยโรค ๘ โรคบ้าง
การไม่ยอมมอบตัวแต่แรกก็ดี
การแสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่อกฎหมาย ขัดขืน-ขัดขวาง การเข้าไปจับกุมของ DSI ที่วัด ก็ดี
และตัวเอง ไม่ยอมให้แพทย์โรงพยาบาลเข้าตรวจอาการ แต่ไปร้องขอให้ "แพทยสภา" ตั้งคณะแพทย์มาตรวจที่วัด
เพื่อยืนยันว่า "ป่วยหนัก-ตีนโตจริง" ไม่สามารถออกจากวัดไปมอบตัวกับ DSI ได้ มิใช่เล่นเล่ห์ หลีกเลี่ยง การถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด นั่นก็ดี
เมื่อพิจารณาเรื่องราวบนความต่อเนื่อง จะเห็นตัว "มโนกรรม" คือ "ตัวเจตนา" ของสมีโย ชัดเจน
เจตนาสั่งกายให้เจ้าเล่ห์ "หลบเลี่ยง-หลบซ่อน" ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย
เจตนาสั่งวาจา ให้สาวกเรียงหน้าไปกะล่อนปล้อนปลิ้น "พระเดชพระคุณหลวงพ่อบริสุทธิ์...พระเดชพระคุณหลวงพ่ออาพาธหนัก"
หวังถ่วงดึง ยื้อเวลา และการเข้าค้นจับของ DSI ไปเรื่อยๆ ชนิดให้นานที่สุด
จนกว่า "อำนาจรัฐ" จะเปลี่ยน เป็นระบอบทักษิณ ประมาณนั้น!?
อย่างนี้ถือเป็นกรรม เกิดจาก "เจตนา" ชัด.......
การคิดชั่ว ตั้งใจทำชั่ว เรียกว่าเป็น "กรรมชั่ว" นี้ มีผลแล้ว ถึงใครไม่เห็น จิตใจตัวเองก็รู้-ก็เห็น ยังไม่ได้รับโทษทางกฎหมาย แต่โทษทางใจ ได้รับแล้ว
คือ กิน-เดิน-นั่ง-นอน เหมือนอยู่ในทะเลเพลิง-ทะเลหนาม เร่าร้อน เป็นทุกข์ ต้องซอกซอน-ซุกซ่อนอยู่ เรียกว่า "ตกนรกทั้งเป็น"
คนภายนอกไม่เห็น ผี เทวดา ก็เห็น.........
กระทั่งยมบาล เห็นชัดแจ๋ว ป่านนี้ บันทึกกรรมชั่วนี้ ใส่หนังหมาไว้เรียบร้อยแล้ว!
จากหนังสือ "คณะแพทย์รักษาพระธัมมชโย" ซึ่งก็คือบรรดาสาวกที่ออกมาเคลื่อนไหวแทนสมีโย แจ้งให้ "ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา" นายกแพทยสภา ทราบ ด้วยใจความว่า
"ขอให้แพทยสภาเลื่อนการตรวจอาการอาพาธของพระธัมมชโยออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้ออกหมายจับไปแล้ว
การเข้าไปตรวจของแพทยสภา ก็ไม่ได้มีผลต่อรูปคดี ก็ไม่จำเป็นต้องส่งแพทย์เข้าไปตรวจอีก"
นี่เท่ากับตัวเอง "จับโกหก" ตัวเอง!
จับทั้งโกหกคณะแพทย์สมีโย จับโกหกทั้งตัวสมีโย ว่าทั้งหมดที่แถลง-แกล้งทำ ป่วยหนัก ๘ โรค ถึงขั้นเป็น-ตาย ๕๐-๕๐
และที่ทำเป็นนอนให้หมอตรวจตีนเน่า-ตีนบวมออกโทรทัศน์โชว์นักข่าว เพื่อยืนยันว่า ป่วยหนัก เดินไม่ได้จริงๆ นั้น
"ต้มคนทั้งโลก"!
คือแพทย์แก๊งสมีโยเอง เมื่อสังคมจับผิดได้ ถึงขั้นโรงพยาบาลต้นสังกัดยืนยันใบรับรองแพทย์มิใช่ของโรงพยาบาล
ก็ไปยื่นขอแพทยสภา ให้ส่งคณะแพทย์ไปตรวจ พูดง่ายๆ นั่นคือเล่ห์ หวังใช้แก้หน้า-กู้สถานการณ์
โดยอาศัยยี่ห้อ "แพทยสภา" หวังให้คนเข้าใจ แบบนี้ แสดงว่าสมีโยป่วย "ปางตัด-ปางตาย" จริงๆ ไม่งั้น ไม่กล้าท้าพิสูจน์
แล้วนี่...คืออะไร?
".........เนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้ออกหมายจับไปแล้ว การเข้าไปตรวจของแพทยสภา ก็ไม่ได้มีผลต่อรูปคดี ก็ไม่จำเป็นต้องส่งแพทย์เข้าไปตรวจอีก"
สรุปชัด การไปขอให้แพทยสภาตรวจ นั่นไม่ใช่ต้องพิสูจน์เพื่อยืนยันว่าสมีโยป่วยจริง
หากแต่หวังใช้ภาพแพทยสภาเป็น "ยันต์กัน DSI บุกเข้าไปจับ" เท่านั้นเอง!
แล้วตอนนี้ พอ DSI ไม่บุกเข้าไปค้น-ไปจับ.....
สมีโยหายป่วย หายตีนเน่า-ตีนโตฉับพลัน ประหนึ่งแม่ชีปัดระเบิดมาเป่า ทำหนังสือแจ้งแพทยสภาทันที
"ไม่ต้องส่งคณะแพทย์เข้าไปตรวจแล้ว"!?
นี่แหละ "มโนกรรม" คือเจตนาชั่ว เป็นตัวกรรม กรรมลวงโลกชัดแจ้ง มนุษย์ ผีสาง นางไม้ เทวดา ยังไม่ทัน "จับมั่น" ก็มีผลทันตา
โดยตัวเอง "คั้นตัวเอง" ให้ชั่วนั้น เป็นหางปรากฏ!
จะไม่กล่าวทาง DSI แต่ให้คอยดู ในเดือนนี้ จากสัปดาห์หน้าไป
DSI จะ I love YO.