PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เฟซบุ๊ก "วิทยุไทยพีบีเอส" โดนหามั่วภาพข่าว "ปูโดนคราบน้่มันที่เสม็ด" !



 วันที่ 30 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กทางการของวิทยุไทยพีบีเอส นำเอาภาพ "ปู" ที่อยู๋บริเวณชายฝั่งแห่งหนึ่ง โดนคราบน้ำมันที่ซัดเข้าฝั่งเกาะจนตัวกลายเป็นสีดำมะเมื่อม พร้อมกับเขียนข้อมูลประกอบภาพดังกล่าวว่า เป็นภาพปูโดนน้ำมันเคลือบที่อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ซึ่งหน่วยราชการและบริษัทปตท. กำลังแก้ไขปัญหาอยู่ในขณะนี้

 อย่างไรก็ตาม ต่อมาปรากฎว่ามีนักท่องอินเตอร์เน็ตสืบค้นข้อมูลพบว่า ภาพปูเคลือบน้ำมันดังกล่าวเป็นภาพเก่าที่นำเสนออยู่ในเว็บไซต์ต่างประเทศ (http://www.w739.com/91.html) โดยเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นที่เกาะเสม็ดของไทยแต่อย่างใด

 ล่าสุด มีนักท่องเน็ตและสมาชิกเฟซบุ๊ก เข้าไปเขียนข้อความวิพากษ์วิจารณ์การลงภาพข่าวและข้อมูลผิดพลาดของทางวิทยุไทยพีบีเอส ทั้งยังคลิปแชร์ข้อมูลการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ดูแลเฟซบุ๊กวิทยุไทยพีบีเอส โพสต์ข้อความขอโทษระบุว่า "ThaiPBS Radio : ทีมงามขอน้อมรับและขออภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นค่ะ"

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายกิตติสิงหาปัดผู้ประกาศข่าวชื่อดัง รายการข่าว 3 มิติ ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวอ้างถึงการนำเสนอภาพผิดพลาดของเฟซบุ๊กวิทยุไทยพีบีเอสด้วยโดยทวีตว่า"พวกที่เอาภาพคราบน้ำมันที่ประเทศอื่นมาโพสต์ว่าเป็นที่เสม็ดนี่ไม่รู้หรือครับว่ามันทำร้ายคนบนเกาะเขา"

 วันเดียวกัน  นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 31 ก.ค. ตนจะเดินทางไปเกาะเสม็ดเพื่อพูดคุยกับผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวของเกาะเสม็ด เนื่องจากได้รับการร้องเรียนถึงปัญหาเฉพาะหน้าจากเหตุการณ์น้ำมันรั่ว ซึ่งเขาเดือดร้อนมากเพราะถึงขณะนี้จำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดทุกหาดในเกาะเสม็ด เพราะนักท่องเที่ยวยกเลิกการจองห้องพัก จองทัวร์ทั้งหมด ถือเป็นผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ของการท่องเที่ยวเพราะขณะนี้เกาะเสม็ดมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าเวลา 09.30 น. ตนจะหารือร่วมกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯก่อนเนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำข้อมูล รูปภาพทั้งหมดเพื่อรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้ที่ประชุมทราบ 




กรรมเป็นเครื่องบ่งชี้ มีวันนี้เพราะได้กระทำ

ขยายปมร้อน โดยศรายุทธ สายคำมีและทีมข่าวความมั่นค

เป็นไปตามคาดที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี จะบอกว่า คลิปขู่สังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นไม่ใช่คลิปปลอม หรือคลิปตัดต่อ

แต่การที่พูดว่า คลิปที่ว่านั้นเป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง ของคนบางกลุ่มในประเทศ ที่ไม่อยากให้บ้านเมืองสงบและต้องการล้มรัฐบาล โดยร่วมมือกับกลุ่มบุคคลในต่างประเทศ แล้วก็ทำอุบไต๋ไม่ขอเปิดเผยว่ามาจากประเทศใดนั้น ดูเหมือนเลือกที่จะให้ "ไฟ" โชนแสงแต่ภายในบ้านเท่านั้น และยังเลือกวางกรอบไปที่ปรปักษ์ทางการเมือง

คลิปที่ว่านั้นถูกอัพลงเว็บไซต์ดัง ยูทูบ เป็นชาย 3 คน อ้างว่าเป็นกลุ่มอัล-ไกดา มีการเปิดหน้าเปิดตาให้เห็นกันชัดๆ ประกาศตามล่าเอาชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นศัตรูกับชาวมุสลิม โดยมีต้นเหตุจากการสังหารหมู่ในมัสยิดกรือเซะ เมื่อปี 2547 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แม้จะยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า ชายทั้ง 3 เป็นแกนนำกลุ่มอัล-ไกดาจริงหรือไม่ เพราะหลัง บินลาเดน ถูกสังหารแล้ว อัล-ไกดาแตกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่หลายฝ่ายก็ยังแปลกใจว่า เหตุใดถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากอัล-ไกดาต่อกรณีนี้เลย

จึงทำให้มีบางฝ่าย รวมทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคงบางหน่วยมองว่า อาจเป็นคลิปที่ทำขึ้นมาเพื่อหวังประโยชน์บางอย่าง รวมทั้งทางการเมือง เนื่องเพราะยังมองไม่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไปสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้จนทำให้ อัล-ไกดาแค้นเคืองได้ขนาดนั้น

บางรายถึงกับวิเคราะห์ "สำเนียง" ของคนที่แถลงว่า ยังไม่ชัดว่าเป็นภาษายาวี หรือมุสลิม ซึ่งหากเป็น "ยาวี" ก็เป็นไปได้ว่า เกิดจากกรณีการพูดคุยระหว่าง สมช.กับบีอาร์เอ็น แต่หากคลิปนั้นทำขึ้นที่ตะวันออกกลางก็เป็นเรื่องที่น่าคิดไม่น้อย

ถ้ามองในแง่ร้าย อาจจะมีคนภายในประเทศไทยส่งข้อมูลไปถึงกลุ่มดังกล่าว เพื่อให้คนที่อยู่ในคลิปออกมาพูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ฆ่าพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ แต่ถ้าจะล่ากันจริง เหตุใดถึงเพิ่งจะมาประกาศเอาในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้เช่นกันว่า คนกลุ่มนี้อาจต้องการยกระดับกลุ่มตนเองขึ้นมา เพราะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้ที่ผลักดันให้เกิดการเจรจาระหว่าง สมช.กับกลุ่มบีอาร์เอ็น

ขณะที่ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตนายทหารผู้คร่ำหวอดด้านการข่าว เชื่อว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเจรจากันระหว่าง ตัวแทนฝ่ายไทยกับตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็น โดยมีมาเลเซียเป็นคนกลาง

ก่อนหน้านี้โลกภายนอกแทบไม่รู้จักกลุ่มบีอาร์เอ็น แต่มาเลเซียรู้ดี เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ว่า มาเลเซีย "คุยได้" นายกฯ นาจิบ ราซัค ของมาเลเซีย กำลังอยู่ระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง จึงใช้ความสนิทสนมส่วนตัวร้องขอให้เป็นมาเลเซียเป็นตัวกลาง

ท่ามกลางความเชื่อมั่นว่า เหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้น่าจะดีขึ้น เพราะเชื่อว่ามีเพียงการเจรจาเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งสันติ และการเปิดตัวเพื่อพูดคุยกันก็คือหนทางที่จะเดินไปสู่จุดนั้น

"ผมเตือนเรื่องนี้ไปหลายหนแล้วว่า มันจะเป็นการยกระดับกลุ่มบีอาร์เอ็นให้โลกรับรู้ ทั้งโลกที่อยู่ในแง่ที่ต้องป้องกันตนเองอย่างสหรัฐอเมริกาที่ต้องระวังภัยก่อการร้าย และกลุ่มก่อการร้ายเองก็ต้องบันทึกศึกษาว่า บีอาร์เอ็นคือใคร เคลื่อนไหวเพื่ออะไร สุดท้ายบีอาร์เอ็นก็อยู่ในทำเนียบ" พล.ท.นันทเดช กล่าว

ไม่ว่าคลิปกลุ่มชายฉกรรจ์ 3 คนจะเป็นสมาชิกอัล-ไกดาหรือไม่ ไม่ว่าเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ แต่การประกาศให้โลกมุสลิมรับรู้เจตจำนงของพวกเขา มันได้เกิดขึ้นแล้ว

"ถ้าใช่นะ ลำพังเรื่องตากใบ อัล-ไกดาคงไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะถือเป็นเรื่องภายในของเรา แต่เรื่องมัสยิดเขาถือเป็นเรื่องใหญ่ ถล่มอิสราเอล ถล่มสหรัฐ ก็เพราะไปบุกมัสยิดเขานั่นแหละ เรื่องนี้ละเอียดอ่อน แต่เรามักไม่ค่อยจำกัน" อดีตนายทหารด้านการข่าวระบุ

เขายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เงียบจนผิดบุคลิกเดิม มีเพียงทนายความส่วนตัวเท่านั้นที่ออกมาชี้แจงว่า สบายๆ แต่ส่วนลึกแล้ว มีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้นที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถูกปิดเป็นความลับว่าจะเดินทางไปที่ใด แต่ก็มีรายงานข่าวว่า ได้กลับเข้าดูไบแล้วตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม

พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นข่าวใหญ่ล่าสุดในกรณีที่ คลิปลับ "นายพลถั่งเช่า" หลุดออกมาและถูกสื่อนำไปเสนอข่าวว่า เสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ สนทนากับอดีตนายทหาร เพื่อวางแผนให้ได้เดินทางกลับประเทศด้วยการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม แต่ต้องไปขอแรงกองทัพให้รับรู้เรื่องด้วย

หากคำขู่ของกลุ่มอัล-ไกดาเป็นจริง ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะยากลำบากมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เป็นการยืนยันสัจธรรมที่ว่า ทุกสิ่งนั้นล้วนแต่เกิดจากผลของการกระทำ 

แฉ “สมีคำ” สึกที่วัดลาวในแคลิฟอร์เนีย พบวางแผนไปอยู่อเมริกานานแล้ว"

 ศรีสะเกษ- “พระครูตุ่น” ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลห้วยทับทันเขต 2 ศรีสะเกษ เผย “สมีคำ” สึกที่วัดลาวในรัฐแคลิฟอร์เนีย แฉวางแผนไปปักหลักอยู่สหรัฐอเมริกามานานแล้ว พร้อมขนเงินไปซื้อบ้านพร้อมที่ดินไว้ และซื้อรถถวายพระผู้ใหญ่ในอเมริกา เร่งหาภาพ “ไอ้คำ” สึกมายืนยันให้ชาวไทยได้เห็น ขณะพระลูกศิษย์เหงาเฝ้ารอวันลูกพี่กลับ 31 ก.ค.นี้

เมื่อเวลา 16.45 น. วันนี้ (30 ก.ค.) พระครูสุริวิมลสารธรรม หรือพระครูตุ่น ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลห้วยทับทันเขต 2 อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า จากการที่วันนี้ (30 ก.ค.) ได้ติดต่อกับพระไทยที่เป็นหมู่คณะอยู่ที่สหรัฐอเมริกาทางอีเมล ได้รับการยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์แล้วว่า อดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ.ยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ สึกจากความเป็นพระเรียบร้อยแล้ว โดยนายวิรพลได้ไปสึกที่วัดลาวแห่งหนึ่งในเขตมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ทาง ดร.ริชาร์ด ไชยสมร นักข่าว mv tv news ชาวไทยประจำสหรัฐอเมริกา ร่วมกับพระไทยในสหรัฐอเมริกากำลังร่วมกันติดตามหารูปภาพของนายวิรพลช่วงทำพิธีลาสิกขามาเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้รับทราบความจริง และคาดว่าจะได้ภาพสำคัญนี้ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากมีพระไทยรูปหนึ่งและฆราวาสได้ถ่ายภาพเอาไว้ด้วย

พระครูสุริวิมลสารธรรมกล่าวต่อว่า “ในช่วงปี 2551 ถึงต้นปี 2556 ระหว่างที่อาตมาภาพไปปฏิบัติภารกิจช่วยหมู่คณะเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและเพิ่งเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ได้ทราบว่าเมื่อช่วงประมาณ ปี 2553-2554 อดีตหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก และคณะ ได้วางแผนไปสร้างวัดอยู่ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยไปซื้อบ้านพร้อมที่ดินไว้ พร้อมซื้อรถยนต์ไปถวายพระผู้ใหญ่หลายรูปที่แคลิฟอร์เนียด้วย เพื่อวางรากฐานขอความเมตตาจากพระผู้ใหญ่ในการที่จะไปสร้างวัด ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากพระผู้ใหญ่ด้วย”

นอกจากนี้ยังพบว่ามีพุทธศาสนิกชนพากันนำเอาเงินและทองคำมาถวายอดีตหลวงปู่เณรคำเป็นจำนวนมาก ซึ่งพระไทยที่อยู่สหรัฐอเมริกาต่างพากันประหลาดใจที่อดีตหลวงปู่เณรคำมีเงินทองมากมายและพกเงินติดตัวเป็นจำนวนมาก และเมื่อมีเรื่องราวนี้เกิดขึ้นมาจึงเป็นการยืนยันชัดเจนว่าอดีตหลวงปู่เณรคำวางแผนที่จะไปอยู่สหรัฐอเมริกามานานแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันที่ที่พักสงฆ์ขันติธรรม หรือวัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งในวันนี้เป็นวันพระ ปรากฏว่ามีชาวบ้านยาง และบ้านดู่ ยาง อ.กันทรารมย์ ซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักสงฆ์ขันติธรรม จำนวนประมาณ 10 คน พากันมาทำบุญปฏิบัติธรรมกันตามปกติ โดยไม่มีชาวบ้านคนใดพูดถึงอดีตหลวงปู่เณรคำแต่อย่างใด

ขณะที่บรรดาพระลูกศิษย์ของอดีตหลวงปู่เณรคำต่างพากันเฝ้ารอรับอดีตหลวงปู่เณรคำที่มีข่าวว่าจะเดินกลับมาในวันที่ 31 ก.ค.นี้ด้วยบรรยากาศที่เงียบเหงา เนื่องจากบรรดาพระลูกศิษย์ได้ติดตามข่าวทางสื่อสารมวลชนแล้วมีแนวโน้มว่าอดีตหลวงปู่เณรคำอาจไม่เดินทางกลับประเทศไทยในห้วงระยะเวลาดังกล่าว

http://astv.mobi/AzuzdhV


น่าจดจำ

โดย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน

วิกฤตการณ์ทางการเมืองของประเทศอียิปต์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการที่ครองอำนาจมานานมาเป็นระบอบประชาธิปไตย แล้วก็ถูกทหารปฏิวัติอีก ทำให้นึกถึงว่่าไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในสมัย 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งกว่าการเมืองจะมีเสถียรภาพได้ก็ต้องพัฒนากันอีกหลายปี และก็ได้แต่หวังว่าประเทศไทยจะพัฒนาและก้าวข้ามปัญหาการเมืองเหล่านี้ไปแล้วและไม่ย้อนไปให้เกิดความวุ่นวายอีก 

ความวุ่นวายทางการเมืองในอียิปต์ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งๆที่อียิปต์ไม่ได้เป็นผู้ผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ เพียงแต่อยู่ในตะวันออกกลางและเกรงกันว่าความวุ่นวายจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในตะวันออกกลางด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ไม่มั่นใจว่าเป็นความตั้งใจที่จะปั่นราคาน้ำมันเพื่อเก็งกำไรของกองทุนข้ามชาติระดับใหญ่หรือไม่ เพราะกองทุนพวกนี้มักจะหาเหตุปั่นราคาเพื่อทำกำไรเป็นอาชีพอยู่แล้ว พอจะปั่นราคาให้ขึ้นหรือให้ลงก็อ้างเหตุผลได้ทุกอย่าง

มีสื่อมวลชนหลายท่านมาสอบถามผู้เขียนว่าในภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนเช่นนี้ รัฐบาลควรจะใช้กองทุนน้ำมันเข้าสนับสนุนราคาน้ำมันก๊าซโซฮอลล์หรือไม่ เพราะปัจจุบันหลังจากที่ได้ยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91แล้ว น้ำมันเบนซินที่จำหน่ายก็จะเป็นก๊าซโซฮอลล์เกือบทั้งหมดยกเว้นเบนซิน 95ที่ยังพอมีจำหน่ายอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนราคาดีเซลก็มีการยกเลิกการเก็บภาษีสรรพสามิตอยู่แล้วและยังกำหนดราคาไม่ให้เกิน 30 บาท 

จึงอยากขอเรียนว่า การรักษาเสถียรภาพราคาของน้ำมันไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปหรือต่ำลงเร็วเกินไปในภาวะผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นหน้าที่หลักของกองทุนน้ำมันอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันกองทุนน้ำมันถูกนำไปใช้ผิดประเภทโดยถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนราคาก๊าซ LPG ปีหนึ่งๆเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท 

ซึ่งในเดือนกันยายนนี้กระทรวงพลังงานจะเริ่มขั้นตอนในการปรับราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนแต่ยังคงช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันใช้เงินสนับสนุนราคาก๊าซ LPG ลดลง และนำเงินมาทำหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องไม่เข้าไปสนับสนุนราคาก๊าซโซฮอลล์นานจนเกินไปจนทำให้กองทุนติดลบมาก โดยหวังว่าเหตุการณ์ในอียิปต์จะสงบโดยเร็ว และราคาน้ำมันในตลาดโลกจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ถ้าในระยะยาวราคาน้ำมันไม่ลดลงก็อาจจะต้องทะยอยปรับขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ปรับตัว และเรื่องนี้ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ประเทศไทยต้องเร่งเพิ่มการสำรองน้ำมันดิบในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศที่ไม่สามารถจะควบคุมได้ 

แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงและแปลกใจกับข่าวที่ว่าการผลิตเอทานอลอาจจะไม่เพียงพอกับการใช้ผสมน้ำมันเป็นก๊าซโซฮอลล์ถึงกับจะมีการลดส่วนผสม ซึ่งผู้เขียนต้องขอกระตุ้นไปที่กระทรวงพลังงานให้เร่งแก้ปัญหานี้โดยด่วนซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ 

เพราะกำลังผลิตเอทานอลในประเทศน่าจะอยู่ที่วันละ 4-5 ล้านลิตรต่อวัน โดยปัจจุบันใช้อยู่วันละประมาณ 2.6 ล้านลิตร อีกทั้งแผนงานของรัฐบาลจะต้องสนับสนุนให้ใข้เอทานอลถึงวันละ 9 ล้านลิตรในปี 2564 

นอกจากน้ำมันแล้ว ราคาทองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะลดลงตลอด โดยมีการปล่อยข่าวว่าประเทศจีนจะมีการปรับเปลี่ยนการถือครองทุนสำรองของประเทศกระจายจากเงินดอลล่าร์มาเพิ่มเป็นทองคำ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการยืนยันจากจีน 

ซึ่งหากเป็นจริงก็อาจจะทำให้ราคาทองคำมีเสถียรภาพและมีราคาเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็อาจจะเป็นการปั่นราคาของกองทุนขนาดใหญ่เพื่อทำกำไรก็เป็นได้อีกเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่คิดจะลงทุนจะต้องระมัดระวังและติดตามข่าวให้ดี


หันกลับมามองความผันผวนในเรื่องเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้าออกประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ตอนนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มไม่แน่นอนทำให้แนวโน้มเริ่มจะมีเงินทุนไหลเข้าอีกแล้ว ดังนั้นกระทรวงการคลังและธปท.จะตัองเตรียมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้


โดยเฉพาะธปท. ที่ท่านประธาน ดร. วีรพงษ์ รามางกูรจะครบอายุในไม่ช้านี้ ท่านได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยมของ ธปท. โดยท่านอยากเห็น ธปท. ปรับการดำเนินการให้ทันต่อเหตุการณ์ในการรับมือกับสภาวะการเงินของโลกที่ผันผวน แต่ดูเหมือนจะทำได้ไม่ง่ายนัก ในขณะที่ ท่านผู้ว่าการธปท. 

ดร.ประสาร ที่จะครบเทอมในปีหน้านี้เช่นกัน และเหมือนกับผู้ว่าฯธนาคารกลางของสหรัฐ นายเบน เบอร์นันเก้ ก็จะครบเทอมในเร็วๆนี้ ซึ่งนายเบน เบอร์นันเก้ก็จะถูกจดจำได้เฉพาะเรื่อง QE เท่านั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือน ผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐในอดีต ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก 

ดังนั้นท่านผู้ว่าฯประสารอยากจะถูกจดจำในเรื่องใดก็น่าจะได้เร่งดำเนินการก่อนที่จะครบวาระ และคงจะดีไม่น้อยหากว่าท่านจะถูกจดจำว่าเป็นผู้สามารถวางรากฐานสร้างระบบการเงินของไทยให้รองรับกับการผันผวนของการเงินโลกในทศวรรษนี้ได้ ดีกว่าที่จะถูกจำได้แค่ว่าแม้ค่าบาทจะแข็งที่ 27 บาทต่อดอลล่าร์ ไทยก็ยังโตได้ 4% นี่ขนาดตอนนี้อยู่ที่ 30 บาทกว่า 4% ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่าเล

การเมืองกัมพูชาพลิก : ฮุนเซนสิ้นอำนาจเบ็ดเสร็จ

กาแฟดำ 

30ก.ค.2556

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


    สัญญาณเตือนภัยสำหรับนายกฯ ฮุนเซน ของกัมพูชา มีมาให้เห็นตั้งแต่ผลการเลือกตั้ง ของสิงคโปร์และมาเลเซีย

    ตลอดปีที่ผ่านมาแล้ว เพียงแต่ว่าผู้นำเขมรไม่เคยคิดว่าคนกัมพูชาจะกล้าลงคะแนนให้ฝ่ายค้านได้มากมายเพียงนี้

    ผลการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ของกัมพูชาตอกย้ำอีกครั้งว่า ผู้นำที่กุมอำนาจเกือบเบ็ดเสร็จผ่านพรรคการเมืองพรรคเดียวมายาวนานนั้น กำลังจะหมดความสามารถที่จะครอบงำประชาชนชนชั้นกลาง และคนรุ่นใหม่ที่ใช้ social media เพื่อสื่อสารและสะท้อนความต้องการ ความเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดขึ้นอย่างปราศจากความสงสัยแล้ว

    ความเปลี่ยนแปลงผ่านการหย่อนบัตรเลือกตั้งในประเทศเอเชียอาคเนย์ (ที่เกิดขึ้นแล้วที่อินโดนีเซียและพม่า เช่นกัน) ไม่เหมือนรูปแบบการปรับเปลี่ยนรุนแรงเหมือน Arab Spring ที่ประชาชนผู้หงุดหงิดงุ่นง่านออกมาเดินขบวนกลางถนนเพื่อกดดันให้เปลี่ยนผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จยาวนาน

    กระบวนการเลือกตั้งของเอเชีย ก็สะท้อนความต้องการที่จะเปลี่ยนทั้งตัวบุคคล และระบบการปกครองได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ญี่ปุ่น ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เพิ่งสะท้อนให้เห็นเช่นกัน

    พรรค “ประชาชนกัมพูชา” หรือ Cambodian People’s Party (CPP) ของฮุนเซนได้ที่นั่งครั้งนี้เพียง 68 ต่อ 55 ของพรรคฝ่ายค้านที่มีชื่อ “พรรคกู้ชาติ” หรือ Cambodian National Rescue Party (CNRP) ที่มี สม รังสี เป็นแกนนำ
    เป็นครั้งแรกใน 15 ปีที่พรรคของฮุนเซน สูญเสียเสียง 2 ใน 3 ในรัฐสภา เพราะก่อนหน้านี้ CPP เคยมีที่นั่ง 90 และฝ่ายค้านมีเพียง 29 เท่านั้น
    พรรค FUNCINPEC ที่เคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมี 2 ที่นั่ง คราวนี้ไม่ได้แม้แต่ที่นั่งเดียว
    การที่ ฮุนเซน เสียที่นั่งไปถึง 22 ที่นั่งครั้งนี้ ตอกย้ำว่าคนเขมรรุ่นใหม่ตัดสินใจที่จะไม่เอาพรรค CPP ที่ปกครองประเทศด้วย “กำปั้นเหล็ก” ตั้งแต่การเลือกตั้งที่สหประชาชาติเป็นผู้บริหารเมื่อปี 1993
    และที่น่าสังเกตอย่างยิ่ง คือ จำนวนที่นั่งที่พรรครัฐบาลเสียไปคราวนี้ 12 ที่นั่งอยู่ในเขตเลือกตั้งในเมืองหลวงพนมเปญเสียด้วย นั่นย่อมแปลว่าคนเมืองและปัญญาชนเริ่มจะเอาตัวออกห่างจากฮุนเซนแล้วอย่างชัดเจน
    ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือ พรรคฝ่ายค้านชนะพรรครัฐบาลในสี่จังหวัดสำคัญ นั่นคือ พนมเปญ, กัมปงจัม, เปรเวียง และ คันดัล
    อีกทั้งยังสามารถเจาะเข้าไปในฐานเสียงสำคัญๆ ของพรรค CPP ได้ทุกเขตเลือกตั้งทีเดียว
    ต้องไม่ลืมว่า 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ มีอายุต่ำกว่า 30 ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในระบอบประชาธิปไตยอย่างมีความหมายในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
    นี่ขนาดมีรายงานการฉ้อฉลและกลโกงการหย่อนบัตรในหลายๆ เขตเลือกตั้ง ซึ่งแปลว่า หากการเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมจริงๆ ฮุนเซน อาจจะกลายเป็นฝ่ายค้านไปแล้วก็ได้
    คณะกรรมการเลือกตั้งของกัมพูชา แม้จะเป็น “อิสระ” ตามกฎหมาย แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าคนสำคัญๆ ขององค์กรนี้ มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับคนในรัฐบาลนั่นเอง
    ณ คูหาเลือกตั้งบางแห่ง ความรุนแรงระเบิดขึ้น เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งประท้วงว่ามีการนำเอาชาวเวียดนาม เข้ามาใช้สิทธิ มีการกล่าวหาเรื่อง "บัญชีผี" และ "ไพ่ไฟ" ไม่ต่างอะไรกับที่เราเคยพบเห็นในการเลือกตั้งของไทยเช่นกัน
    ผลการเลือกตั้งออกมาให้ฝ่ายค้านได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นนั้น เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี ถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง ด้วยข้ออ้างว่าเขากลับประเทศไม่ทันเส้นตายการลงทะเบียนผู้สมัคร หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพียงสองสัปดาห์ก่อนการหย่อนบัตร
    หากว่า สม รังสี เป็นหัวหอกในบัญชีรายชื่อผู้สมัครของพรรคกู้ชาติกัมพูชา ก็น่าสงสัยว่าผลการเลือกตั้งจะยิ่งทำให้พรรครัฐบาลอ่อนปวกเปียกกว่าที่ออกมาหรือไม่
    การที่ฝ่ายค้านได้ที่นั่งถึง 55 จากจำนวนที่นั่งในสภาทั้งหมด 123 นั้น เกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ทั้งหลายโดยสิ้นเชิง เหตุหนึ่งเป็นเพราะความเสื่อมทรุดของฮุนเซน เอง ที่ถูกกล่าวหาว่ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ปล่อยให้มีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงในรัฐบาลอย่างกว้างขวาง และอัตราคนว่างงานของคนหนุ่มคนสาวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะหลัง
    อีกทั้งชาวบ้านเขมรที่ถูกหน่วยงานรัฐบาลแย่งและยึดที่ดินทำกิน และมีการเวนคืนที่อย่างไม่เป็นธรรม ทำให้เกิดการประท้วงกันอย่างกว้างขวางในหลายๆ จังหวัด
    ดังนั้น คำประกาศเรียกร้องให้ “Change” ของผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี ที่ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศถึง 4 ปี หลังจากถูกศาลตัดสินจำคุก 11 ปี ด้วยข้อหาสร้างความแตกแยกและให้ข้อมูลบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศนั้น จึงอาจจะเป็นเสียงเรียกร้องของคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางเขมรอย่างชัดเจนอีกด้วย
    จากวันนี้...เป็นต้นไป การเมืองเขมร จะไม่เหมือนเดิมอีก...อย่างแน่นอน