PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

"บิ๊กป้อม" บิน " 'ปินส์" ประชุม ADMM รมว.กห.อาเซียน. และกับประเทศคู่เจรจา 22 -24 ต.ค.นี้

"บิ๊กป้อม" บิน " 'ปินส์" ประชุม ADMM รมว.กห.อาเซียน. และกับประเทศคู่เจรจา 22 -24 ต.ค.นี้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม จะเดินทางไปร่วมประชุม รมว.กห.อาเซียน ครั้งที่ 11 และ ร่วมการประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 4 ระหว่าง 22 -24 ต.ค. 60 ที่ ฟิลิปปินส์

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกห. เปิดเผยว่า การประชุมรมว.กห.อาเซียน. จัดหมุนเวียนประเทศเจ้าภาพทุกปี เพื่อรับทราบและหารือถึงพัฒนาการความร่วมมือด้านการทหาร และความมั่นคงของภูมิภาค ซึ่งการประชุม รมว.กห.อาเซียนครั้งที่ 11 นี้ ได้กำหนดให้มีการเปิดระบบการติดต่อสื่อสารด้านความมั่นคงสายตรงอาเซียน และลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วมของรมว.กห.อาเซียน ด้านความร่วมมือ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและการมีส่วนร่วมกับโลก
สำหรับ การประชุมรมว.กห.อาเซียน กับรมว.กห.ประเทศคู่เจรจา ( 8 ประเทศ ) ครั้งที่ 4 ในห้วงเวลาต่อเนื่องกันนี้ เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน ถึง ความท้าทายด้านความมั่นคงในภูมิภาค และการริเริ่มความร่วมมือใหม่ เพื่อให้ภูมิภาคอาเซียน สามารถเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงร่วมกับภูมิภาคต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยประเทศคู่เจรจา 8 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐฯ รัสเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์. อินเดีย จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ทบ.แจง ใช้15 ล้าน สร้างห้องน้ำและร้านค้า"อุทยานราชภักดิ์"โปร่งใส

ทบ.แจง ใช้15 ล้าน สร้างห้องน้ำและร้านค้า"อุทยานราชภักดิ์"โปร่งใส เป็นเหตุเป็นผล เสร็จกุมภาพันธ์ ปีหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนที่มาเยี่ยมชม อุทยาน กว่าวันละหมื่นคน/ ทบ.มอบ "ศร." ดูแล ในนามมูลนิธิฯ
บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.
ในฐานะประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ฯ สั่งการให้กองทัพบกชี้แจงเรื่องการจัดสร้างห้องน้ำและร้านค้า ที่ใช้งบประมาณกว่า 15 ล้านบาท
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวว่า มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ที่ กองทัพบกโดย ศูนย์การทหารราบเป็นผู้ดูแล ซึ่งปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งสำคัญของ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดยมีพี่น้องประชาชนมาเยี่ยมชม และสักการะพระบรมรูป ณ บริเวณอุทยานทุกวันจำนวนมาก บางวันมีมากถึงกว่า หมื่นคน นั้น
แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีระบบร้านค้า และห้องน้ำ. ไว้รองรับและ บริการผู้มาเยี่ยมชมภายในบริเวณพื้นที่อุทยาน
ดังนั้นเมื่อช่วงต้นปี2560 ทางมูลนิธิฯ จึงได้ให้มีการดำเนินการการก่อสร้างอาคารร้านค้า เเละห้องน้ำ ไว้เพื่ออำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนที่มาเคารพสักการะ หรือเที่ยวชมอุทยาน
โดยรูปแบบการก่อสร้าง มีลักษณะรูปลักษณ์ที่เหมาะสมสอดรับตามภูมิสถาปัตย์.
โดยภายในอาคารจะประกอบด้วย ร้านค้า 5 ห้อง และห้องน้ำ จำนวน 52 ห้อง แบ่งห้องเป็นห้องน้ำชาย 21 ห้อง ห้องน้ำหญิง 27 ห้อง และห้องน้ำคนพิการ 4 ห้อง
ด้วยงบประมาณของทางมูลนิธิฯ ประมาณ 15 ล้านบาท ความคืบหน้าปัจจุบันประมาณ 80% คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จสามารถให้บริการ ปชช.ได้ราว เดือน กุมภาพันธ์ 2561
พ.อ.วินธัย กล่าวถึงความโปร่งใส การใช้งบกว่า 15 ล้านบาท ในการสร้างห้องน้ำและร้านค้า ว่า คนที่ตั้งข้อสงสัย ยังไม่ทราบรายละเอียด ลักษณะของงาน ในการรองรับปริมาณคนที่มาเที่ยวชมจำนวนมาก
เมื่อถามว่า งบประมาณกว่า 15 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่าใช่หรือไม่ พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ต้องดูตามขอบเขตของงาน รูปแบบ ขนาด วิธีการจัดซื้อจัดจ้าง มีราคากลาง บริษัทไหนให้ข้อเสนอที่ดี ก็เลือกบริษัทนั้น ถึงแม้ว่างบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างจะมาจากเงินบริจาคของประชาชน แต่ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามระบบการจัดซื้อจัดจ้าง
"เชื่อว่าเจ้าของเงิน คือ ผู้ที่มีจิตศรัทธา คาดหวังจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างขึ้นในอุทยานราชภักดิ์ สมพระเกียรติ จึงต้องมีการเลือกแบบ และมีความละเอียดในการก่อสร้างพอสมควร คงไม่ใช่ห้องน้ำสาธารณะทั่วไป ที่เราพบเห็น อย่างเช่น ตามสถานีรถไฟ ห้องน้ำขนส่ง"
ส่วนเรื่องงบประมาณก็เป็นไปตามเหตุตามผล. ตามรูปแบบ คุณภาพ และขนาด ที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับภาพรวมของสถานที่. แม้ว่าเป็นงบของมูลนิธิ แต่ก็มีการดำเนินกรรมวิธีจัดซื้อจัดจ้างด้วยรูปแบบมาตรฐาน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน " พ.อ.วินธัย กล่าว

สรุปสาระสำคัญคำกล่าวของนายสีจิ้นผิง ในที่ประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีน

สรุปสาระสำคัญคำกล่าวของนายสีจิ้นผิง ในที่ประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วประเทศครั้งที่19



ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ขณะกล่าวเปิดประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มหาศาลาประชาคม ในกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม (เอเอฟพี)
สถานีวิทยุซีอาร์ไอรายงานว่า เช้าวันที่ 18 ตุลาคม การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วประเทศครั้งที่ 19 หรือ “สมัชชาฯ 19” เริ่มขึ้นที่กรุงปักกิ่ง นายสีจิ้นผิง กล่าวรายงานต่อที่ประชุมในฐานะผู้แทนคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 18 และวางแผนการทำงานเพี่อการพัฒนาในอนาคตของจีน

ผู้แทนในที่ประชุมสมัชชาฯ 19 มีจำนวนกว่า 2,000 คน ซึ่งถูกคัดเลือกจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วประเทศกว่า 89 ล้านคน โดยจะพิจารณาตรวจสอบรายงานของนายสีจิ้นผิง และรายงานการปฏิบัติงานของคณะกรรมการตรวจวินัยของคณะกรรมการกลางพรรคฯ พิจารณาระเบียบข้อบังคับของพรรคคอมมิวนิสต์จีน(ฉบับแก้ไขปรับปรุง) รวมถึงเลือกตั้งคณะกรรมการกลางพรรคฯ และคณะกรรมการตรวจวินัยชุดใหม่

พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคบริหารปกครองประเทศจีน และเป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งการประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคฯ ทั่วประเทศที่จัดขึ้นทุก 5 ปีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการประชุมผู้แทนพรรคระดับชาติ และคณะกรรมการกลางพรรคฯ อันเป็นหน่วยงานการนำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

นายสีจิ้นผิง ระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า พรรคคอมมิวนิสต์จีนยืนหยัดแนวคิดใหม่ในการพัฒนาของตน และปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนา ทำให้เศรษฐกิจจีนพ้นจากความยากลำบากและประสบผลสำเร็จที่สำคัญหลายประการ จีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านล้านหยวน ซึ่งนับเป็นคุณูปการต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวตามสูงขึ้นกว่า 30% นอกจากนี้โครงสร้างทางเศรษฐกิจยังได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิตอลมีการพัฒนาอย่างคึกคัก เกษตรกรรมพัฒนาเป็นแบบทันสมัยอย่างต่อเนื่อง การสร้างสรรค์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ประสบผลสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด และมีการเปิดตัวผลงานทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเด่นๆ มากมาย
อาทิ ห้องทดลองอวกาศ “เทียนกง” ยานดำน้ำสำรวจทะเลลึกพร้อมมนุษย์ “เจียวหลง” กล้องโทรทรรศน์วิทยุฟาสต์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จนได้สมญานามว่า “ดวงตาแห่งจักรวาล” ดาวเทียม “อู้คง” ที่ค้นหาอนุภาคของสสารมืด ดาวเทียมทดลองควอนตัม “โม่จื่อ” ดวงแรกของโลก การผลิตเครื่องบินขนาดใหญ่ และการก่อสร้างตามแนวหินโสโครกในทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ การค้าต่างประเทศ การลงทุนในต่างประเทศ และการสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนล้วนอยู่แนวหน้าของโลก

นายสีจิ้นผิง ระบุอีกว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนปฏิบัติตามแนวคิดการพัฒนาที่ถือมนุษย์เป็นที่ตั้ง ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โครงการช่วยเหลือผู้ยากจนประสบผลสำเร็จที่น่ายินดี ทำให้ประชากรกว่า 60 ล้านคนพ้นขีดความยากจน เฉลี่ยแล้วมีประชากรพ้นจากความยากจนมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี จนอัตราความยากจนของจีนลดลงจาก 10.2% เป็นน้อยกว่า 4%

จีนเริ่มโครงการช่วยเหลือผู้ยากจนขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา แต่หลังเริ่มศตวรรษนี้เป็นต้นมา เฉลี่ยแล้วแต่ละปีจีนประชากรยากจนลดจำนวนลงกว่า 6 ล้านคน และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ลดลงปีละกว่า 10 ล้านคน นับเป็นผลงานโดดเด่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การต่างประเทศของประเทศใหญ่ที่มีเอกลักษณ์ของจีนพัฒนาอย่างรอบด้าน ครบวงจร มีระดับที่หลากหลาย และเป็นแบบสามมิติ เข้าร่วมปฏิบัติตามข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” มีการเปิดธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย(เอไอไอบี) โดยมุ่งหวังให้เกิดประชาคมที่มีความสมานฉันท์ ขณะเดียวกันยังขยายอิทธิพล ชื่อเสียง และภาพพจน์ทางสากลของจีนให้ดียิ่งขึ้น นับได้ว่าเป็นการสร้างคุณูปการใหม่เพื่อสันติภาพและการพัฒนาของโลก

นายสีจิ้นผิง ยังกล่าวอีกว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนยืนหยัดแก้ปัญหาการควบคุมบริหารพรรคฯที่หย่อนยาน มุ่งหวังให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวดอย่างจริงจัง และยึดมั่นแนวคิดของพรรคฯ โดยมีการปรับปรุงระบบกฎข้อบังคบของพรรคฯให้สมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง แก้ปัญหาที่ประชาชนส่งเสียงสะท้อนมา และสิ่งที่เป็นการคุกคามต่อพื้นฐานการบริหารประเทศของพรรคฯ มากที่สุดตลอด 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังทุ่มเทกำลังและใช้มาตรการต่างๆ ในการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นอย่างเต็มที่ ทำให้พรรคฯได้รับผลงานคืบหน้าด้านนี้อย่างมาก

นายสีจิ้นผิง ประกาศว่า หลังจากใช้ความพยายามเป็นเวลายาวนาน สังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีนย่างเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ นี่เป็นทิศทางและตำแหน่งการพัฒนาใหม่เชิงประวัติการณ์ของการพัฒนาประเทศ
“หมายความว่า จีนบรรลุซึ่งการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่ หลังจากประชาชาติลุกขึ้นหยัดยืนสถาปนาประเทศเป็นต้นมา สร้างความมั่งคั่งจนเข้มแข็ง แม้จีนจะเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่ก็ได้ขยายช่องทางการพัฒนาสู่ความทันสมัยต่างๆ จนเกิดทางเลือกใหม่สำหรับประเทศและชนชาติที่ปรารถนาทั้งการพัฒนาและดำรงเอกราชของตนเองไว้ได้ พร้อมนำเสนอวิธีคิดและแผนปฏิบัติงานของจีนในการแก้ปัญหาของมนุษยชาติ”

นายสีจิ้นผิง ระบุว่า ยุคสมัยใหม่ของการพัฒนาสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีน เป็นยุคสมัยแห่งการช่วงชิงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เป็นยุคสมัยแห่งการสร้างสรรค์สังคมพอกินพอใช้ให้เสร็จสมบูรณ์อย่างรอบด้าน จนกระทั่งประเทศมีความเข้มแข็งที่ทันสมัยในแบบสังคมนิยม เป็นยุคสมัยที่ประชาชนจีนทั่วทั้งประเทศบรรลุความมั่งคั่งไปพร้อมๆ กัน เป็นยุคสมัยที่ความฝันของจีนเป็นที่ประจักษ์ และมีการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองของประชาชาติจีน เป็นยุคสมัยที่จีนเดินเข้าไปยืนกลางเวทีโลกเพื่อสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นแก่มวลมนุษย์อย่างต่อเนื่อง

นายสีจิ้นผิง ระบุอีกว่า ความขัดแย้งหลักในสังคมจีนยุคใหม่คือความต้องการที่จะดำรงชีวิตอย่างสุขสบายของประชาชนกับการพัฒนาที่ไม่สมดุล ซึ่งอีกไม่นาน จีนจะสร้างสังคมพอกินพอใช้อย่างรอบด้านให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ได้ ประชาชนมีความต้องการชีวิตความเป็นอยู่ทั้งทางวัตถุและจิตใจที่มีระดับสูงขึ้น และต้องการประชาธิปไตย การปกครองตามกฎหมาย ความยุติธรรม ความเที่ยงธรรม ความมั่นคง และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ปัญหาโดดเด่นของจีนคือ การพัฒนาไม่สมดุลและไม่เต็มที่ ซึ่งกลายเป็นปัจจัยจำกัดต่อความต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายของประชาชน สภาพความเป็นจริงในขณะนี้ของจีนอยู่ในช่วงขั้นตอนการพัฒนาสังคมนิยมขั้นแรกและยังมีหนทางอีกยาวไกล และสถานะในประชาคมโลกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของโลกนั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นายสีจิ้นผิง ระบุต่อว่า ตั้งแต่การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 เป็นต้นมา ได้เกิดแนวคิดสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีนในยุคใหม่ ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำหนดทิศทางการปฏิบัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประชาชนจีนในการบรรลุซึ่งความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติจีน โดยจะต้องยืนหยัดและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

แนวคิดดังกล่าวมีการรับรู้และความเข้าใจต่อกฎเกณฑ์การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ กฎเกณฑ์การสร้างสรรค์ของสังคมนิยม และกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมมนุษย์ในทัศนวิสัยใหม่ โดยเสนอว่า บนพื้นฐานการบรรลุสังคมพอกินพอใช้อย่างรอบด้านในปี 2020 นั้น จีนจะพัฒนาเป็นประเทศสังคมนิยมแบบประชาธิปไตยที่ทันสมัย เข้มแข็ง มั่งคั่ง กลมกลืน และสวยงามในกลางศตวรรษนี้

แนวคิดดังกล่าวยังเรียกร้องให้พรรครัฐบาลต้องยึดมั่นการพัฒนาที่ถือประชาชนเป็นที่ตั้ง ส่งเสริมการพัฒนาในทุกด้าน ให้ประชาชนทั้งปวงมีชีวิตมั่งคั่งด้วยกัน นอกจากนี้ ยังกำหนดรายละเอียดของโครงสร้างภาครวมของกิจการสังคมนิยม ยุทธศาสตร์ และทิศทางการพัฒนา หลักประกันทางการเมืองที่มีเอกลักษณ์ของจีน

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า จีนต้องบรรลุการเป็นประเทศเข้มแข็งทางสังคมนิยมที่ทันสมัยในช่วงกลางศตวรรษที่ 21 บนพื้นฐานการสร้างสังคมพอกินพอใช้ในปี 2020 และจนถึงปี 2035 จีนจะบรรลุซึ่งการเป็นประเทศสังคมนิยมที่มีความทันสมัย ซึ่งเศรษฐกิจของชาติ พลังทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และวัฒนธรรมต่างจะมีการพัฒนาอย่างมาก การปกครองประเทศ การบริหารรัฐบาลและสังคมด้วยกฎหมายจะสำเร็จเสร็จสิ้น ระบบการบริหารและความสามารถด้านการบริหารจะเป็นแบบทันสมัย นอกจากนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมีความมั่งคั่งมากขึ้น อัตรากลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่องว่างระหว่างตัวเมืองกับชนบทและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนลดลงอย่างมาก บรรลุซึ่งการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ภาวะนิเวศปรับเปลี่ยนดีขึ้น และเป้าหมายที่ดีงามของจีนบรรลุเป็นจริง ถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 21 จีนจะกลายเป็นประเทศสังคมนิยมที่มีความเข้มแข็ง ทันสมัย มีอารยธรรมสมบูรณ์และกลมเกลียวกัน กลายเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลในโลก ประชาชนต่างมีชีวิตที่มีความสุขและมั่งคั่งร่วมกัน ประชาชาติจีนจะมีภาพลักษณ์ที่แข็งแรงและเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นในเวทีโลก

การประชุมครั้งนี้ นายสีจิ้นผิง นำเสนอยุทธศาสตร์สร้างสรรค์เขตชนบทให้เจริญรุ่งเรืองเป็นครั้งแรก ซึ่งครอบคลุมถึงการสร้างกลไกและนโยบายที่ผสมผสานการพัฒนาเมืองและชนบทให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เร่งผลักดันความทันสมัยด้านการเกษตร ตอกย้ำระบอบการบริหารจัดการขั้นพื้นฐานในเขตชนบทให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขยายเวลาการรับเหมาเช่าที่ดินนานต่ออีก 30 ปีเมื่อครบกำหนดเวลาเดิม ลงลึกในการปฏิรูประบอบกรรมสิทธิ์รวมหมู่ในชนบท ประกันสิทธิประโยชน์ทางทรัพย์สินของเกษตรกร ขยายตัวเศรษฐกิจรวมหมู่ สร้างสรรค์ระบบอุตสาหกรรมการเกษตร ระบบการผลิต และระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัย ปรับระบบการสนับสนุนและคุ้มครองเกษตรกรรมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สนับสนุนและส่งเสริมเกษตรกรหารายได้เสริมหรือประกอบธุรกิจส่วนตัว เพิ่มช่องทางการมีรายได้ของเกษตรกร และพัฒนาระบบบริหารจัดการเขตชนบทให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

นายสีจิ้นผิง ระบุว่า จีนจะประกาศใช้ระบบบัญชีรายชื่อต้องห้ามเข้าสู่ตลาดอย่างรอบด้าน ปรับแก้และยกเลิกข้อกำหนด และปฏิบัติการต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการรวมตลาดให้เป็นเอกภาพและอำนวยให้เกิดการแข่งขันอย่างเสมอภาค สนับสนุนให้วิสาหกิจเอกชนพัฒนาตนเอง กระตุ้นความคึกคักขององค์กรตลาดต่างๆ แก้ไขการผูกขาดทางการตลาด และผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเข้าตลาดของธุรกิจการบริการ

นายสีจิ้นผิง เสนอว่า จะต้องถือการสร้างสรรค์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” เป็นงานสำคัญ ปฏิบัติตามหลักการร่วมหารือสร้างสรรค์และแบ่งปันกัน ส่งเสริมการเปิดประเทศและความร่วมมือ เสริมขีดความสามารถทางนวัตกรรม สร้างโครงสร้างการเปิดสู่ภายนอกที่เชื่อมต่อทั้งทางบกและทางทะเลระหว่างจีนกับต่างประเทศ อำนวยผลประโยชน์แบบทวิภาคีระหว่างประเทศตะวันออกกับประเทศตะวันตก ส่งเสริมการสร้างประเทศที่เข้มแข็งทางการค้า ใช้นโยบายการค้าระดับสูงและอำนวยความสะดวกให้กับการลงทุนแบบเสรี ใช้ระบบให้นักลงทุนต่างชาติมีสิทธิเท่าเทียมกับพลเมืองจีนในช่วงจัดตั้งและขยายตัวของวิสาหกิจทุนต่างชาติ และระบบบริหารบัญชีรายชื่อต้องห้าม ผ่อนคลายเงื่อนไขการอนุมัติเข้าตลาดให้มากขึ้น ขยายการเปิดสู่ภายนอกของอุตสาหกรรมการบริการ คุ้มครองสิทธิประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติ วิสาหกิจที่ลงทะเบียนในดินแดนจีนทั้งหมดจะต้องใช้นโยบายเดียวกัน และให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ให้เขตนำร่องการค้าเสรีมีเสรีภาพมากขึ้นในการปฏิรูป สร้างท่าเรือการค้าเสรี ส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพการผลิตระหว่างประเทศ สร้างเครือข่ายการค้า การสมทบทุน การผลิต และการบริการที่มุ่งต่อทั่วโลก
นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะจัดตั้งทีมนำที่ปกครองประเทศตามกฎหมายทุกด้าน ส่งเสริมการปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพื่อผลักดันงานพิจารณาตรวจสอบการปฏิบัติตามและรักษาอำนาจของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ รายงานของนายสีจิ้นผิง ยังเรียกร้องให้องค์การพรรคคอมมิวนิสต์ระดับต่างๆ และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ทุกคนเป็นแบบอย่างในการให้ความเคารพ ศึกษา รักษา และใช้กฎหมาย ไม่ว่าบุคคลหรือองค์กรใดๆ มิอาจมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญได้

นายสี จิ้นผิง กล่าวเน้นว่า การสร้างสรรค์ประเทศให้มีระบบการศึกษาที่เจริญเข้มแข็งนั้น เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองของประชาชาติจีน จึงจำเป็นต้องยกภารกิจด้านการศึกษาให้มีความสำคัญเป็นอันดับแรก ผลักดันการพัฒนาการศึกษาภาคบังคับทั้งในเมืองและชนบทเป็นแบบแผนเดียวกัน ให้ความสำคัญระดับสูงต่อการพัฒนาการศึกษาภาคบังคับในเขตชนบท จัดทำการศึกษาก่อนวัยเรียน การศึกษาสำหรับผู้พิการ และการศึกษาทางอินเตอร์เน็ตให้ดี ส่งเสริมการศึกษามัธยมปลายให้ทั่วถึง เร่งพัฒนาสร้างสรรค์มหาวิทยาลัยและหลักสูตรชั้นนำ ปรับปรุงระบบการให้ความช่วยเหลือแก่นักเรียนนักศึกษาให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ทำให้แรงงานที่เพิ่มขึ้นใหม่ทั้งในเมืองและชนบทส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาระดับมัธยมปลาย พร้อมเพิ่มจำนวนคนที่ได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้มากขึ้น

นายสีจิ้นผิง เน้นว่า ต้องทำให้ประชากรในชนบทพ้นจากสภาพความยากจนให้หมด อำเภอยากจนในขณะนี้ก็ต้องหลุดพ้นจากความยากจนได้หมด แก้ปัญหาในภาพรวมจนพ้นจากความยากจนอย่างแท้จริง
เพื่อการนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะรณรงค์ให้สมาชิกพรรคฯ ทุกคนยืนหยัดการช่วยเหลือผู้ยากจนให้ตรงเป้า ยืนหยัดกลไกการทำงานที่คณะกรรมการกลางพรรคฯ กำหนดไว้ โดยให้ระดับมณฑลรับผิดชอบโดยรวม ระดับเมืองและอำเภอลงมือปฏิบัติ ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้รับผิดชอบหลัก กระตุ้นให้เกิดความตั้งใจและการใช้สติปัญญา

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า จะต้องสร้างระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานที่มีเอกลักษณ์ของจีน มีระบบประกันสุขภาพและระบบให้บริการการรักษาพยาบาลและสาธารณสุขที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูง ส่งเสริมการสร้างระบบบริการการรักษาพยาบาลและสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน และสร้างทีมแพทย์สามัญประจำบ้าน ยกเลิกการขายยาในราคาสูงเพื่อเพิ่มรายได้ของโรงพยาบาล ปรับปรุงระบบประกันยารักษาโรคให้สมบูรณ์แบบ ป้องกันและควบคุมโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรง ใช้ยุทธศาสตร์การรักษาความปลอดภัยของอาหาร ส่งเสริมการเชื่อมต่อนโยบายการให้กำเนิดบุตรกับนโยบายเศรษฐกิจและสังคมที่เกี่ยวข้อง รับมือกับสังคมผู้สูงอายุอย่างแข็งขัน สร้างบรรยากาศสังคมและระบบการดูแลผู้ชราภาพ เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมผู้สูงอายุ

นายสีจิ้นผิง กล่าวอีกว่า จีนจะเร่งรัดจัดตั้งระบบกฎหมายและแนวนโยบายด้านการผลิตและบริโภคสีเขียว จัดตั้งระบบเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียนแบบคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการเงินสีเขียว การบำบัดรักษามลพิษ เช่น อากาศ น้ำ และที่ดิน ยกมาตรฐานควบคุมการปล่อยมลพิษ การเข้าร่วมแก้ไขภาวะแวดล้อมโลก ลงมือแก้ปัญหาภาวะแวดล้อมอย่างจริงจัง ดำเนินโครงการรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศวิทยา จัดตั้งกลไกส่งเสริมระบบนิเวศวิทยาที่ดีอย่างด้าน จัดตั้งองค์การบริหารและกำกับดูแลทรัพยากรธรรมชาติและนิเวศวิทยาของรัฐ จัดตั้งระบบบุกเบิกและรักษาดินแดนแห่งชาติ จัดตั้งระบบรักษาธรรมชาติ โดยมุ่งเน้นที่ไปสวนสาธารณะต่างๆ ของรัฐเป็นหลัก

รายงานยังคาดว่า ระบบนิเวศวิทยาของจีนจะเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างมากในปี 2035 และจะบรรลุซึ่งเป้าหมายการเป็นประเทศที่สวยงามแบบจีน

นายสีจิ้นผิง ระบุว่า งานการป้องกันประเทศและการพัฒนากองทัพของจีนต้องตอบสนองแนวโน้มการพัฒนาของการปฏิวัติด้านการทหารใหม่ของโลก และความต้องการด้านความมั่นคงของประเทศ ก่อนสิ้นปี 2020 ต้องมีผลคืบหน้าที่สำคัญยิ่งในการบรรลุการใช้เครื่องยนต์(Mechanization) และความเป็นสารสนเทศในขั้นพื้นฐาน เพิ่มศักยภาพด้านยุทธศาสตร์ขนานใหญ่ ผลักดันทฤษฎีด้านการทหาร รูปแบบการจัดตั้งกองทัพและการพัฒนาบุคลากรด้านการทหาร และการพัฒนาความทันสมัยของอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกด้าน พยายามบรรลุความทันสมัยทั้งในด้านการป้องกันประเทศและการพัฒนากองทัพก่อนปี 2035 และสร้างสรรค์กองทัพระดับชั้นนำของโลกให้สำเร็จในช่วงกลางศตวรรษที่ 21

นายสีจิ้นผิง เน้นว่า ระบอบหนึ่งประเทศสองระบบ เป็นระบอบที่ดีที่สุดที่รักษาความมั่นคงและความรุ่งเรืองระยะยาวของฮ่องกงและมาเก๊า สนับสนุนให้ทางการเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมาเก๊า และผู้ว่าฯ บริหารงานตามหลักรัฐธรรมนูญ สร้างผลการทำงานอย่างแข็งขัน ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ผลักดันประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ รักษาความมั่นคงของสังคม มีความรับผิดชอบด้านรัฐธรรมนูญในการพิทักษ์อธิปไตยเหนือดินแดน ความมั่นคง และการพัฒนาของประเทศ กำหนดนโยบายและมาตรฐานให้ชาวฮ่องกงและมาเก๊ามีโอกาสพัฒนาที่จีนแผ่นดินใหญ่

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า ต้องยืนหยัดหลักการให้ชาวฮ่องกงที่รักชาติบริหารฮ่องกง และชาวมาเก๊าที่รักชาติบริหารมาเก๊า เพิ่มกำลังการรักชาติ ส่งเสริมให้พี่น้องชาวฮ่องกงและมาเก๊ามีจิตสำนึกรักในความเป็นชาติบ้านเมือง

นายสีจิ้นผิง ชี้แจงว่า “หลักการจีนเดียว” เป็นพื้นฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน ส่วน “ฉันทามติปี 1992” สะท้อนให้เห็นถึงหลักการจีนเดียวเป็นจุดสำคัญในการประกันการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบอย่างสันติ เพียงยอมรับ “ฉันทามติปี 1992” ว่าเป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์เท่านั้น สองฝ่ายจึงจะสามารถจัดการพูดคุยเจรจากันได้ และการไปมาหาสู่กันระหว่างพรรคการเมืองหรือองค์การต่างๆ ของไต้หวันกับแผ่นดินใหญ่ก็จะไม่มีอุปสรรคด้วย รายงานเน้นว่า แผ่นดินใหญ่มีเจตนารมณ์ที่หนักแน่น มีความมั่นใจอย่างเต็มที่ และมีขีดความสามารถอันเพียงพอในการทำลายแผนแบ่งแยก และ “ให้ไต้หวันเป็นเอกราช” ไม่ว่าในรูปแบบใด

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า จีนยืนหยัดนโยบายที่เป็นอิสระเสรีและวิธีทางการทูตอย่างสันติมาโดยตลอดในยุคใหม่ เคารพประชาชนประเทศต่างๆ ในการเลือกหนทางการพัฒนา รักษาความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมระหว่างประเทศ คัดค้านการยัดเยียดความคิดตนให้ผู้อื่น คัดค้านการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ และใช้อำนาจแข็งแกร่งของตนข่มขู่ผู้ที่อ่อนแอ

จีนจะไม่ทำลายผลประโยชน์ของประเทศอื่นๆ เพื่อมาพัฒนาตัวเองอย่างเด็ดขาด และจะไม่สละสิทธิและผลประโยชน์ที่เที่ยงธรรมของตนเองด้วย ไม่ว่าใครก็อย่าคิดฝันว่าจะให้จีนยอมรับผลร้ายที่ทำลายผลประโยชน์ตนเอง จีนจะยืนหยัดนโยบายการป้องกันประเทศที่เน้นป้องกันตนเอง การพัฒนาของจีนจะไม่คุกคามประเทศใดๆ ไม่ว่าจีนพัฒนาไปถึงระดับไหน ก็จะไม่คิดจะครองโลกและจะไม่แทรกแซงประเทศอื่นใดอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

นายสีจิ้นผิง กล่าวเน้นว่า ประชาชนเกลียดชังโกรธแค้นการทุจริตคอรัปชั่นมากที่สุด และการทุจริตคอรัปชั่นเป็นภัยคุกคามร้ายแรงสุดที่พรรคคอมมิวนิสต์กำลังเผชิญหน้าอยู่ เกี่ยวกับการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะยึดมั่นหลักการที่ไม่มีพื้นที่ยกเว้น ต้องครอบคลุมทั่วถึงหมด และไม่ยอมรับพฤติกรรมทุจริตใดๆ แม้เพียงน้อยนิด ยืนหยัดการตรวจสอบสืบสวนทั้งผู้ให้และผู้รับสินบน ป้องกันไม่ให้เกิดกลุ่มคณะที่มีผลประโยชน์ร่วมกันภายในพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดขาด จัดตั้งระบอบการตระเวนตรวจสอบในคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนระดับเมืองและอำเภอ เพิ่มขีดความสามารถในการปราบปรามและปรับบทลงโทษปัญหาทุจริตคอรัปชั่นที่อยู่ใกล้ตัวประชาชน ไม่ว่าผู้ทุจริตคอรัปชั่นจะหลบหนีไปอยู่ที่ไหน ก็ต้องไล่จับกลับมาดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมาย ผลักดันให้บัญญัติกฎหมายต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นแห่งชาติ และสร้างสรรค์เวทีแจ้งความที่ครอบคลุมระบบการตรวจสอบระเบียบวินัยและการตรวจการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างทั่วถึง

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า จีนจะสร้างและปรับปรุงระบบตรวจสอบควบคุมพรรคและประเทศให้สมบูรณ์ กำหนดกฎหมายว่าด้วยการตรวจสอบควบคุม จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบควบคุมระดับประเทศ มณฑล เมืองและอำเภอ ให้ทำงานร่วมมือกับหน่วยงานตรวจวินัยระดับนั้นๆ เพื่อให้การตรวจสอบควบคุมครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจทั้งหมด มอบหมายอำนาจและวิธีการตรวจสอบให้กับคณะกรรมการควบคุม ส่งเสริมการควบคุมโดยองค์การพรรคฯ ส่งเสริมการตรวจสอบควบคุมตามหลักประชาธิปไตย ส่งเสริมให้หน่วยงานระดับเดียวกันควบคุมซึ่งกันและกัน ส่งเสริมการตรวจสอบควบคุมเป็นประจำ และส่งเสริมการตรวจสอบทางการเมืองในระดับลุ่มลึก

นายสีจิ้นผิง ระบุว่า จีนจะเพิ่มการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลด้านกฎหมาย ภาวะนิเวศ การตรวจสอบ และการทหาร รวมถึงจะจัดตั้งหน่วยงานนำการปกครองประเทศตามกฎหมายของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพิ่มกำลังในการชี้นำการสร้างสรรค์ประเทศจีนตามกฎหมาย จัดตั้งองค์กรบริหารทรัพยากรธรรมชาติและการกำกับดูแลภาวะนิเวศของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลประชาชนที่เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมด กำกับดูแลการใช้ผืนดินทั้งหมด และการอนุรักษ์ฟื้นฟูภาวะนิเวศ กำกับดูแลการปล่อยมลภาวะประเภทต่างๆ ในเมืองและชนบท และการบริหารจัดการตามกฎหมาย จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ 4 ระดับคือ รัฐ มณฑล เมือง และอำเภอ ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมด ใช้ระบบตระเวนตรวจสอบของคณะกรรมการพรรคระดับเมืองและอำเภอ เพิ่มกำลังในการจัดการปัญหาคอรัปชั่น จัดตั้งองค์กรบริหารและสร้างหลักประกันให้ทหารที่ปลดประจำการ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของทหารและสมาชิกครอบครัว

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนนำประเทศจีนภายใต้ระบอบสังคมนิยมที่มีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน ดังนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องเพิ่มความสามารถด้านการบริหารต่างๆ รวมทั้ง ความสามารถด้านการนำทางการศึกษา การเมือง การปฏิรูป นวัตกรรมใหม่ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การปกครองประเทศตามกฎหมาย การนำประชาชน การปฏิบัติด้านต่างๆ และการแก้ไขความเสี่ยง โดยเน้นย้ำว่า พรรคการเมืองต้องมีความคิดทางกลยุทธ์ นวัตกรรม วิภาษวิธี การปกครองประเทศตามกฎหมาย และแนวคิดนอกกรอบ

ยุทธศาสตร์ คสช. พลิกอ่อน เป็นแข็ง พลิก”โลกล้อมไทย”

ยุทธศาสตร์ คสช. พลิกอ่อน เป็นแข็ง พลิก”โลกล้อมไทย”


จุดอ่อนสำคัญประการหนึ่งของ คสช. และรัฐบาลชุดปัจจุบัน

คือปฏิกิริยาการตอบรับจากต่างประเทศ

ยังจำได้หรือไม่ว่า ท่าที “เฉยชา” จากสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ภายหลังการรัฐประหารใหม่ๆ เมื่อปี 2557 เป็นอย่างไร

และทำไมนโยบายต่างประเทศของไทยถึงเอนเอียงเข้าไปหา “จีน” มากเป็นพิเศษในระยะหลัง

แต่ “เวลา” นั้นเป็นยาวิเศษเสมอ

ยิ่งเมื่อประกอบเข้ากับ “ผลประโยชน์” ด้วยแล้ว

ยิ่งเป็นยาวิเศษอันเอกอุ

ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ

ว่าเหตุไฉนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงเปิดประตูต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. อย่างอบอุ่น

หากไม่มีการสั่งซื้อถ่านหินคุณภาพดีจำนวน 155,000 ตันของเครือซิเมนต์ไทยเป็นแรงหนุน

หากไม่มีการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านบาท และสร้างงานในรัฐโอไฮโอกว่า 8,000 ตำแหน่งของ ปตท.โกลบัล เคมิคัลเป็นอีกแรงผลักดัน

หากไม่มีการลงทุนข้ามชาติเพื่อผลิตชิ้นส่วนให้รถยนต์ไฟฟ้าเทสลาโดยกลุ่มไทยซัมมิตเพิ่มเข้าไปอีกแรง

รวมทั้งหากไม่มีแรงกดดันให้เปิดตลาดเนื้อ และเครื่องในหมูจากสหรัฐเข้ามาด้วยแล้ว
มิตรไมตรีที่หยิบยื่นให้จะซาบซึ้งซาบซ่าเช่นนี้ละหรือ

จากคิวของสหรัฐอเมริกา

ต้นปี 2561 พล.อ.ประยุทธ์ยังมีแนวโน้มจะเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ

จะมีช่วงเวลาไหนที่เหมาะสมไปกว่านี้อีกเล่า

อังกฤษเพิ่งลงมติแยกตัวจากสหภาพยุโรป

กระบวนการในการโดดเดี่ยวตนเองนั้นยุ่งยากมากมาย และมีแรงบีบคั้นจากรอบด้าน

ความต้องการมิตรย่อมมากกว่าปกติ

และในขณะที่อังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรป

สกอตแลนด์ก็ตั้งท่าว่าจะขอแยกตัวจากอังกฤษ เพื่อกลับเข้าไปรวมกับสหภาพยุโรปแทน

ความยุ่งยากใจและยุ่งยากในการทำงานยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ช่วงเวลาไหนเล่าที่ต้องการมิตร

และเป็นเวลาอันควรถกถึงประโยชน์ร่วมไปมากกว่านี้

กระนั้น แนวทาง “โลกล้อมไทย” ที่ คสช.พยายามเปลี่ยนจุดอ่อนให้กลับมาเป็นจุดแข็ง

อาศัยแรงจากภายนอก เข้ามาสร้างเสถียรภาพและค่านิยมภายใน มิได้จำกัดอยู่แต่ในเฉพาะภาครัฐ
17 ตุลาคม

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวที่นายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเฟซบุ๊ก จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย

และเข้าพบหารือในวันที่ 30 ตุลาคมว่า

การเดินทางมาเยือนและพบกับตนเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นการเดินทางมาดำเนินการในส่วนของเขา
เป็นการขอเข้าพบและหารือร่วมกันในการแสวงหาความร่วมมือ เรื่องป้องกันแก้ไขปัญหาผลกระทบของอาชญากรรมข้ามชาติ

ว่าจะมีมาตรการและแผนการป้องกันอย่างไร ไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิดปัญหา

“ขอร้องว่าการพบกันครั้งนี้อย่าไปยึดโยงกับเรื่องนั้นเรื่องนี้เลย ถือเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

“ก็ดีกว่าไม่ได้พูดกันเลย”

แน่นอนว่าหลังการมาเยือนของนายซักเคอร์เบิร์ก

รัฐบาลไทย และ คสช.กวาดคะแนนจากคนไทยและต่างประเทศอีกส่วนหนึ่งไปแล้ว

หากพิจารณาว่านายซักเคอร์เบิร์กคือหนึ่งใน “ผู้นำโลกยุคใหม่”

หากพิจารณาว่านายทรัมป์ยังเป็นหนึ่งในผู้นำของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งสองของโลก

คำถามคือรัฐบาล และ คสช.มีความสามารถในการแปลงภาพพจน์ที่เป็นบวกนี้ให้เป็น “รูปธรรม” ที่จับต้องได้อย่างไร

การซื้อสินค้าจากสหรัฐ หรือการส่งออกเงินลงทุนไปยังสหรัฐอเมริกา

ยังไม่ใช่ผลประโยชน์ที่จับต้องได้ของสังคมไทย

เช่นเดียวกับการพบปะหารือกับเจ้าของเฟซบุ๊ก ผ่านแล้วก็จบเลย

จะติดตามมาด้วยการลงทุนสร้าง “ดาต้า เซนเตอร์” หรือศูนย์รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของเฟซบุ๊กขึ้นในเมืองไทยหรือไม่

การลงทุนที่ไม่ใช่แต่ได้รับเงินทุน หรือเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้เป็นกระดานหก หรือแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากกิจการชั้นนำอื่นๆ ของโลก

ทั้งหมดนี้ยังรอการ ซ.ต.พ.

'สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์'

พระเมรุมาศ
ดุจจะดั่งวิมานจากสวรรค์ ณ ชั้นดุสิต ล่องลอยลงมาสถิต ณ ท้องสนามหลวง
วานนี้............
พุธที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีระกา "เวลา ๑๗.๑๙ นาฬิกา"
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร"
ทรงประกอบพิธียกนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ............
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร"
ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งในการนี้..........
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" และ "พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์" โดยเสด็จด้วย
ผมมั่นใจว่าเกือบทุกท่านได้ชมแล้วทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ซึ่งถ่ายทอดไปทั่วโลก
สำหรับคนไทยเรา ก็ทราบว่า ภาพที่เห็นนั้น ณ ท้องสนามหลวง
แต่สำหรับคนต่างบ้าน-ต่างเมืองที่ได้ชม จะต้องตื่นตะลึงว่า ที่เห็นนั้น
เมืองแมนแดนมนุษย์แน่หรือ.........
หรือแดนฟ้า-แดนสวรรค์ในเทพนิยายกันแน่?
และเขาจะเชื่อสนิทใจหรือไม่ เมื่อบอกว่า พระเมรุมาศที่เห็นนั้น คือเมืองมนุษย์ เมืองไทยนี่เอง
และมิใช่จากองค์พระวิษณุกรรมรังสรรค์
หากแต่ สถาปนิก วิศวกร และช่างศิลปกรรมไทย กรมศิลปากรทั้งหมด-ทั้งสิ้น รังสรรค์โดยแท้
โดยถอดหัวใจถวายสืบสายลายศิลป์เอกลักษณ์ไทย "หนึ่งเดียวในโลก" รองรับพระเกียรติ พระผู้ผ่านฟ้า
"พ่อของแผ่นดิน"...........
องค์พระภูมินทร์ "พระมหาภูมิพล" พระองค์นั้น
เมื่อ "นพปฎลมหาเศวตฉัตร" ขึ้นสู่ยอดพระเมรุมาศแล้ว นั่นคือ ทั้งหลาย-ทั้งปวง ที่เริ่มลงมือมาตั้งแต่เดือนกุมภา
๑๘ ตุลา การก่อสร้างพระเมรุมาศ "เสร็จสิ้น" สมบูรณ์ทุกประการ
โครงเหล็ก-นั่งร้าน ทั้งหมดจะถูกรื้อออก
และนับจากวันนี้ (๑๙ ต.ค.) เป็นต้นไป...........
พระเมรุมาศประกอบประติมากรรมและศาลาราย กรมศิลปากรรังสรรค์ ดั่งจะลอยองค์ลงมา
"สนามหลวง" หายไป........
แดนสวรรค์ชั้น "ดุสิต" ของพ่อ เพริศแพร้ว สถิตแทน!
ก็เข้าใจละ ที่บุราณพร่ำกล่าว แดนฟ้า-แดนสวรรค์ มีแต่คนดี คนมีศีล มีธรรม
ไม่แก่งแย่ง ไม่โลภโมโทสัน ไม่ทำร้ายกัน พูดจาไพเราะต่อกัน มีความรักต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตาและแบ่งปันกัน
ก็เมืองฟ้า-เมืองสวรรค์ อบร่ำมนต์แห่งมหาบารมีผู้เพ็ญพำนัก แผ่คลุมเป็นลมหายใจทิพย์เช่นนี้แหละหนอ
คนใจสว่าง จึงเห็น และได้รับทางเข้าถึง
คนใจมืดบอด ต่อให้ตาเห็น ด้วยโมหะแห่ง "คนมากเวร" ทำให้เห็นดอกบัวเป็นกงจักร
ควรทราบกันไว้ "พระเมรุมาศ" ปานองค์วิษณุกรรมรังสรรค์ "สมพระเกียรติ" ยิ่งนี้
นายช่างการก่อสร้างพระเมรุมาศ, สิ่งปลูกสร้างประกอบ, การบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ หัวเรี่ยว-หัวแรงในงาน ประกอบด้วย
-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
-พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ประธานฝ่ายจัดสร้าง
-นายวีระ โรจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม รองประธาน
-นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และเลขาฯ จัดสร้าง
-นายธีรชาติ วีรยุทธานนท์ สถาปนิกออกแบบ
-นายก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรมออกแบบ
-นายเจษฎา ชีวะวิชวาลกุล วิศวกรผู้ออกแบบโครงสร้าง
-นางวิจิตร ไชยวิชิต ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่
ยังประกอบด้วยช่างแขนงต่างๆ อีกมากมาย ที่ร่วมกันถอดหัวใจสร้างพระเมรุมาศ
และที่สำคัญสูงสุด การก่อสร้างทั้งหมดนี้.......
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ทรงเป็นองค์ที่ปรึกษา
กว่าจะเป็น "พระเมรุมาศ" เป็นมาอย่างไร และองค์ประกอบทั้งหมดมีอะไรบ้าง ทุกคนอยากรู้แน่
ผมเอง "จนปัญญา" ถึงอ่านจากที่แถลงเป็นข่าว ก็ไม่ได้บรรยากาศ จึงไม่อยากยกมา
จะให้ได้เข้าถึงทั้งบรรยากาศ ทั้งจิตวิญญาณ ต้องจากปากคนออกแบบเอง คือ "คุณก่อเกียรติ ทองผุด"
ศิษย์เอก "พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น" ศิลปินแห่งชาติด้านทัศนศิลป์ผู้ออกแบบพระเมรุมาศถวายเจ้านายชั้นเจ้าฟ้ามาแล้ว ๓ พระองค์
ผมไม่มีความสามารถเข้าถึง แต่อ่านที่ "ไทยพับลิกา" สัมภาษณ์ไว้แต่เดือนธันวา ๕๙
ด้วยเคารพในสิทธิไทยพับลิกา ผมขออนุญาตตรงนี้ ขอนำบางตอนมาเป็นประโยชน์ร่วมกันในกาลนี้ด้วย
......................๑๔ ชั่วโมงของการคิดและออกแบบ ต้องแข่งกับเวลาทุกวินาที เพื่อให้ทันถึงมือ “อธิบดีกรมศิลปากร” ภายใต้โจทย์ที่ต้องยึดตามพระราชประเพณี สมพระเกียรติ และไม่เหมือนที่เคยมีมา ได้แบบพระเมรุมาศ ๓ แบบ
แบบแรกที่เกิดขึ้นในค่ำวันนั้น คือ “พระเมรุมาศทรงบุษบก ๑ ยอด” ผ่านแนวคิด พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
แบบที่ ๒ “พระเมรุมาศทรงบุษบก ๕ ยอด” คล้ายกับพระเมรุมาศของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๕ เนื่องจากยุคนั้น เป็นครั้งแรกที่มีการสร้างพระเมรุมาศทรงบุษบกถวายแด่พระมหากษัตริย์
และสุดท้ายเป็นแบบ “พระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ยอดพิเศษ” อันหมายถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙
“ทั้ง ๓ แบบนี้เสร็จประมาณ ๐๓.๐๐ น.เศษ คืนนั้น มีคุณธีรชาติ วีรยุทธานนท์ สถาปนิกชำนาญการ มาร่วมกันออกแบบกันที่บ้านของผม ไม่ได้กินน้ำกินข้าว เพราะต้องช่วยดูเรื่องรายละเอียดต่างๆ ซึ่งก็ลงความเห็นกันว่าแบบที่ ๓ ที่เป็นทรงบุษบก ๙ ยอดพิเศษดูสมพระเกียรติ แต่ยังไม่สมบูรณ์พอ ตอนนั้นเริ่มเหนื่อยล้ากันพอสมควรแล้ว”
แบบพระเมรุมาศ ทรงบุษบก ๙ ยอด ศึกษาและออกแบบตามหลักโบราณราชประเพณีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จำลองเขาพระสุเมรุอย่างสมพระเกียรติ
กระทั่ง ๐๔.๐๐ น.ในขณะที่แรงกายใกล้หมด-หนังตาใกล้ปิด “พระเมรุมาศแบบที่ ๔” ก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของ “ก่อเกียรติ”
“พระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ยอด” พระเมรุมาศเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ ๖๐ เมตร สูง ๕๐.๔๙ เมตร ประกอบด้วย ตรงกลางเป็นบุษบกใหญ่ยอดปราสาท ๗ เชิงกลอน รายรอบด้วยบุษบกขนาดเล็กลงมาที่มุมทั้ง ๔ วางลดหลั่นกันลงมา
บุษบกที่วางลดหลั่นดังกล่าวให้ความรู้สึกถึงการถวายพระเกียรติ โดยมีทั้งหมด ๔ ชั้น
ชั้นล่างสุด คือลานพื้นอุตราวรรตสำหรับการเดินเวียนซ้าย ส่วนที่เหลือเป็นชั้นชาลาที่ ๑ ชั้นชาลาที่ ๒ ชั้นชาลาที่ ๓ และชั้นชาลาที่ ๔ โดยชั้นชาลาที่ ๔ เป็นที่ตั้งจิตกาธาน ประดิษฐาน "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ"
แนวคิดการจัดวางยอดมาจากพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วัดที่สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี เมื่อปี ๒๕๓๙
หลักใหญ่ในการออกแบบพระเมรุมาศวางอยู่บนพื้นฐานที่ว่า บุษบกใหญ่ที่อยู่กึ่งกลางเปรียบดัง “เขาพระสุเมรุ” หมายถึงศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล ตามคติความเชื่อแบบพราหมณ์ อันเป็นที่อยู่ของสิ่งมีวิญญาณในภพภูมิต่างๆ และองค์ทวยเทพ
บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของป่าหิมพานต์ มีสัตว์หิมพานต์น้อยใหญ่และสระอโนดาต ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ๕ สาย ส่วนบุษบกน้อยใหญ่ที่รายล้อมนั้น เปรียบได้กับทิวเขาทั้ง ๗ รายรอบ เรียกว่า “สัตบริภัณฑ์คีรี”
และหากกล่าวถึง “พระมหากษัตริย์” ตามความเชื่อพราหมณ์นั้น ก็ทรงเป็นสมมติเทพ สถิตบนเขาพระสุเมรุที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์ เมื่อสวรรคต ก็มีการจัดพระราชพิธีส่งดวงพระวิญญาณกลับสู่เขาพระสุเมรุดังเดิม
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านเป็น ๒ นัยยะคือ พระนารายณ์อวตาร ในพระนามเต็มของพระองค์ใช้คำว่า รามาธิบดี และพระองค์ทรงเป็น พระโพธิสัตว์ ที่เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ตอนนี้ เรากำลังสร้างเขาพระสุเมรุ เพื่อส่งพระองค์ไปยังสวรรค์ชั้นดุสิต ยอดของพระเมรุมาศจะเป็นประติมากรรม มีพระโพธิสัตว์รายรอบ
เราพยายามเทียบเคียงกับคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง และรูปแบบนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน”
งานศิลปกรรมประกอบพระเมรุมาศเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ให้ความสำคัญ “สระอโนดาตเสมือนจริง” จะถูกขุดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีงานประดับฉากบังเพลิงด้านนอกด้วยสีชมพูอมทอง ด้านหน้าเขียนภาพจิตรกรรมโครงการพระราชดำริ ด้านในเขียนภาพดอกไม้ เขียนโดยช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร
โดย "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" มีพระราชปรารภว่า
อยากให้สอดแทรกโครงการพระราชดำริอยู่ในฉากบังเพลิง จึงแบ่งเป็น ๔ หมวด ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เบื้องต้น โครงการที่นำมาวาด ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ ไบโอดีเซล โครงการแกล้งดิน โครงการชั่งหัวมัน กังหันชัยพัฒนา โครงการฝนหลวง
“แบบพระเมรุมาศครั้งนี้ ถือเป็นสถาปัตยกรรมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยแท้จริง ผสานกับสถาปัตยกรรมร่วมสมัยรัชกาลที่ ๙ ดังนั้น สีพระเมรุมาศจะมีทั้งสิ้น ๕ สี
ได้แก่ สีทอง เป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ สีขาว คือธรรมแห่งการปกครอง สีน้ำเงิน แทนพระมหากษัตริย์ สีชมพู เสริมความมงคล และ สีเขียว หมายถึงทรงนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่แผ่นดินไทย"
ครับ....กราบขอบคุณ ที่ทำสิ่งนี้ "สมพระเกียรติ" สมบูรณ์ และขอบคุณไทยพับลิกาอีกครั้ง.

ปูทางตีกรรเชียงก่อน

ปูทางตีกรรเชียงก่อน

เฮเก้อ ผิดหวังเล็กน้อย

ในอารมณ์ที่นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง รีบตั้งโต๊ะแถลงข่าวเคลียร์กระแสข่าวลือรัฐบาลจะเพิ่มวงเงินใน “บัตรคนจน” ซื้อสินค้าร้านธงฟ้าเป็น 700–800 บาท

ยืนยันว่าไม่จริง เกิดจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน

เพราะยังเป็นแค่การศึกษาความเป็นไปได้ จากการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแนวทางในการเพิ่มวงเงินบัตรคนจน โดยเฉพาะคนต่างจังหวัดที่ไม่ได้ใช้รถเมล์ ขสมก.และรถ บขส.

อาจเพิ่มเป็นเงินใช้จ่ายสินค้าให้แทน ตามแผนที่ตั้งเป้าไว้คือ 500 บาท

ปลัดคลังต้องขอโทษที่ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดเข้าใจผิด

กลายเป็นจังหวะสะดุดนิดหน่อย เกือบทำงานกร่อย ท่ามกลางกระแสความคึกคักของโครงการบัตรคนจน ประชาชนจำนวนมากรับรู้ถึงโครงการที่รัฐบาลช่วยเหลือคนจนผู้มีรายได้น้อย

ทีมงาน “นายกฯลุงตู่” กำลังออกหมัดชกได้เข้าเป้า โดนใจชาวบ้าน แต่ข่าวเพิ่มวงเงินเป็น 800 บาท ทำให้คนสับสน นั่นไม่เท่ากับเขี่ยลูกไปเข้าเหลี่ยมของนักการเมืองอาชีพที่จ้องเตะตัดขาโครงการบัตรคนจนอยู่แล้ว รีบตีปี๊บประจานการเพิ่มวงเงินบัตรคนจนของรัฐบาล

อ้างเป็นแผนการให้เงินไหลเข้ากระเป๋าผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากบัตรคนจน ได้น้ำได้เนื้อและไวกว่าเดิมขึ้นอีกหลายเท่า

เอาเป็นว่า ยิ่งบัตรคนจนของรัฐบาลชกเข้าเป้าเท่าไหร่

แรงกระแทกกลับ “บิ๊กตู่–สมคิด” ก็จะแรงมากเท่านั้น

ตามรูปการณ์เดิมพันฟื้นคุณภาพชีวิตคนยากคนจนที่พร้อมถูกผูกเงื่อนเป็นปมการเมืองได้ตลอดเวลา
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่นักการเมืองไม่มีทางยอมให้ทีมงาน “ลูงตู่” ตีกินคะแนนได้ง่ายๆ

ที่แน่ๆมันท้าทายอาการ “เปราะบาง” ของ “มืองาน” ในทีมเศรษฐกิจที่ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ
ถูกบีบ ถูกกดดันหนักๆ ฝ่อได้ทุกจังหวะ

และถ้าใจเสาะ ถอดใจหนีเมื่อไหร่ ก็เท่ากับบีบเส้นทางอำนาจ “ลุงตู่” ไปต่อยากทันที

นี่แหละคือเป้าหมายของนักการเมืองอาชีพ

ขณะที่อีกด้านก็เป็นการบ้านของนายสมคิดที่ต้องตอบคำถามเชิงวิชาการที่หนีไม่พ้นเครื่องหมายคำถาม เรื่องภาระงบประมาณในโครงการกึ่งรัฐสวัสดิการ

รูปแบบไม่ต่างจากประชานิยมที่ปรนเปรอประชาชนแบมือขออย่างเดียว

แบบที่นายสมคิดยืนยันเลยว่า โครงการบัตรคนจน ธงฟ้าประชารัฐ ไม่ได้แค่ช่วยจุนเจือความช่วยเหลือเฉพาะหน้าให้ผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น

ไม่ได้แค่ให้เงินฟรีๆแล้วจบกัน แต่ระยะยาว รัฐบาลต้องช่วยสร้างรายได้ โดยที่กระทรวงการคลังจะได้ข้อมูลให้รู้ว่าแต่ละหมู่บ้านต้องการอะไรจริงๆ เพราะแต่ละหมู่บ้านความต้องการไม่เหมือนกันแน่ ต่อไปไม่ใช่แค่รับเงินสดอย่างเดียว ต้องมีโปรแกรมว่าจะพัฒนาอาชีพและต่อยอดความช่วยเหลืออย่างไร
ตามรูปการณ์ที่ “สมคิด” มั่นใจมาตรการอุ้มคนจนในทางยาวๆ

แต่ปัญหามันอยู่ที่ “บิ๊กตู่” ประกาศมัดคอตัวเองไว้แล้วจะเลือกตั้งปลายปี 2561 จึงเป็นการบ้านหนักที่รัฐบาล คสช.จะดำเนินการมัดใจประชาชนฐานรากได้ต่อเนื่องขนาดไหนในระยะเวลาที่เหลืออยู่จำกัด
อย่างไรก็ตาม จับสัญญาณแกว่งๆจาก “ครูหยุย” นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่แสดงความเป็นห่วงตัวแปรเรื่องการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. อาจจะต้องเสียเวลาไปแก้ไขเนื้อหาที่เป็นปัญหา ทำให้การเลือกตั้งต้องช้าออกไป

ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะโต้โผใหญ่รัฐบาล ก็ยืนกรานเสียงแข็ง กำหนดเลือกตั้งต้องแปรผันตามการแล้วเสร็จของกฎหมายลูก

และล่าสุด “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แบะท่ายอมรับตามตรงเลยว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดนทักท้วงเยอะแทบทุกมาตรา

ยอมรับสภาพเป็นนัย กระบวนการกฎหมายลูกมีแนวโน้มล่าช้าคุมเกมไม่ได้

เรื่องของเรื่อง เหมือน “ซือแป๋” ก็เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงในการเร่งเกมกฎหมายลูกมัดคอ “นายกฯลุงตู่” รีบประกาศเลือกตั้ง เตะลูกไปเข้าทางเหลี่ยมถนัดของยี่ห้อ “ทักษิณ”

ได้ยินเสียงคนกันเองค่อนแคะ ทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเองทำไม.

ทีมข่าวการเมือง