PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

'สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์'

พระเมรุมาศ
ดุจจะดั่งวิมานจากสวรรค์ ณ ชั้นดุสิต ล่องลอยลงมาสถิต ณ ท้องสนามหลวง
วานนี้............
พุธที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีระกา "เวลา ๑๗.๑๙ นาฬิกา"
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร"
ทรงประกอบพิธียกนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ............
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร"
ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งในการนี้..........
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" และ "พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์" โดยเสด็จด้วย
ผมมั่นใจว่าเกือบทุกท่านได้ชมแล้วทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ซึ่งถ่ายทอดไปทั่วโลก
สำหรับคนไทยเรา ก็ทราบว่า ภาพที่เห็นนั้น ณ ท้องสนามหลวง
แต่สำหรับคนต่างบ้าน-ต่างเมืองที่ได้ชม จะต้องตื่นตะลึงว่า ที่เห็นนั้น
เมืองแมนแดนมนุษย์แน่หรือ.........
หรือแดนฟ้า-แดนสวรรค์ในเทพนิยายกันแน่?
และเขาจะเชื่อสนิทใจหรือไม่ เมื่อบอกว่า พระเมรุมาศที่เห็นนั้น คือเมืองมนุษย์ เมืองไทยนี่เอง
และมิใช่จากองค์พระวิษณุกรรมรังสรรค์
หากแต่ สถาปนิก วิศวกร และช่างศิลปกรรมไทย กรมศิลปากรทั้งหมด-ทั้งสิ้น รังสรรค์โดยแท้
โดยถอดหัวใจถวายสืบสายลายศิลป์เอกลักษณ์ไทย "หนึ่งเดียวในโลก" รองรับพระเกียรติ พระผู้ผ่านฟ้า
"พ่อของแผ่นดิน"...........
องค์พระภูมินทร์ "พระมหาภูมิพล" พระองค์นั้น
เมื่อ "นพปฎลมหาเศวตฉัตร" ขึ้นสู่ยอดพระเมรุมาศแล้ว นั่นคือ ทั้งหลาย-ทั้งปวง ที่เริ่มลงมือมาตั้งแต่เดือนกุมภา
๑๘ ตุลา การก่อสร้างพระเมรุมาศ "เสร็จสิ้น" สมบูรณ์ทุกประการ
โครงเหล็ก-นั่งร้าน ทั้งหมดจะถูกรื้อออก
และนับจากวันนี้ (๑๙ ต.ค.) เป็นต้นไป...........
พระเมรุมาศประกอบประติมากรรมและศาลาราย กรมศิลปากรรังสรรค์ ดั่งจะลอยองค์ลงมา
"สนามหลวง" หายไป........
แดนสวรรค์ชั้น "ดุสิต" ของพ่อ เพริศแพร้ว สถิตแทน!
ก็เข้าใจละ ที่บุราณพร่ำกล่าว แดนฟ้า-แดนสวรรค์ มีแต่คนดี คนมีศีล มีธรรม
ไม่แก่งแย่ง ไม่โลภโมโทสัน ไม่ทำร้ายกัน พูดจาไพเราะต่อกัน มีความรักต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตาและแบ่งปันกัน
ก็เมืองฟ้า-เมืองสวรรค์ อบร่ำมนต์แห่งมหาบารมีผู้เพ็ญพำนัก แผ่คลุมเป็นลมหายใจทิพย์เช่นนี้แหละหนอ
คนใจสว่าง จึงเห็น และได้รับทางเข้าถึง
คนใจมืดบอด ต่อให้ตาเห็น ด้วยโมหะแห่ง "คนมากเวร" ทำให้เห็นดอกบัวเป็นกงจักร
ควรทราบกันไว้ "พระเมรุมาศ" ปานองค์วิษณุกรรมรังสรรค์ "สมพระเกียรติ" ยิ่งนี้
นายช่างการก่อสร้างพระเมรุมาศ, สิ่งปลูกสร้างประกอบ, การบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ หัวเรี่ยว-หัวแรงในงาน ประกอบด้วย
-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
-พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ประธานฝ่ายจัดสร้าง
-นายวีระ โรจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม รองประธาน
-นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และเลขาฯ จัดสร้าง
-นายธีรชาติ วีรยุทธานนท์ สถาปนิกออกแบบ
-นายก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรมออกแบบ
-นายเจษฎา ชีวะวิชวาลกุล วิศวกรผู้ออกแบบโครงสร้าง
-นางวิจิตร ไชยวิชิต ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่
ยังประกอบด้วยช่างแขนงต่างๆ อีกมากมาย ที่ร่วมกันถอดหัวใจสร้างพระเมรุมาศ
และที่สำคัญสูงสุด การก่อสร้างทั้งหมดนี้.......
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ทรงเป็นองค์ที่ปรึกษา
กว่าจะเป็น "พระเมรุมาศ" เป็นมาอย่างไร และองค์ประกอบทั้งหมดมีอะไรบ้าง ทุกคนอยากรู้แน่
ผมเอง "จนปัญญา" ถึงอ่านจากที่แถลงเป็นข่าว ก็ไม่ได้บรรยากาศ จึงไม่อยากยกมา
จะให้ได้เข้าถึงทั้งบรรยากาศ ทั้งจิตวิญญาณ ต้องจากปากคนออกแบบเอง คือ "คุณก่อเกียรติ ทองผุด"
ศิษย์เอก "พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น" ศิลปินแห่งชาติด้านทัศนศิลป์ผู้ออกแบบพระเมรุมาศถวายเจ้านายชั้นเจ้าฟ้ามาแล้ว ๓ พระองค์
ผมไม่มีความสามารถเข้าถึง แต่อ่านที่ "ไทยพับลิกา" สัมภาษณ์ไว้แต่เดือนธันวา ๕๙
ด้วยเคารพในสิทธิไทยพับลิกา ผมขออนุญาตตรงนี้ ขอนำบางตอนมาเป็นประโยชน์ร่วมกันในกาลนี้ด้วย
......................๑๔ ชั่วโมงของการคิดและออกแบบ ต้องแข่งกับเวลาทุกวินาที เพื่อให้ทันถึงมือ “อธิบดีกรมศิลปากร” ภายใต้โจทย์ที่ต้องยึดตามพระราชประเพณี สมพระเกียรติ และไม่เหมือนที่เคยมีมา ได้แบบพระเมรุมาศ ๓ แบบ
แบบแรกที่เกิดขึ้นในค่ำวันนั้น คือ “พระเมรุมาศทรงบุษบก ๑ ยอด” ผ่านแนวคิด พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
แบบที่ ๒ “พระเมรุมาศทรงบุษบก ๕ ยอด” คล้ายกับพระเมรุมาศของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๕ เนื่องจากยุคนั้น เป็นครั้งแรกที่มีการสร้างพระเมรุมาศทรงบุษบกถวายแด่พระมหากษัตริย์
และสุดท้ายเป็นแบบ “พระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ยอดพิเศษ” อันหมายถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙
“ทั้ง ๓ แบบนี้เสร็จประมาณ ๐๓.๐๐ น.เศษ คืนนั้น มีคุณธีรชาติ วีรยุทธานนท์ สถาปนิกชำนาญการ มาร่วมกันออกแบบกันที่บ้านของผม ไม่ได้กินน้ำกินข้าว เพราะต้องช่วยดูเรื่องรายละเอียดต่างๆ ซึ่งก็ลงความเห็นกันว่าแบบที่ ๓ ที่เป็นทรงบุษบก ๙ ยอดพิเศษดูสมพระเกียรติ แต่ยังไม่สมบูรณ์พอ ตอนนั้นเริ่มเหนื่อยล้ากันพอสมควรแล้ว”
แบบพระเมรุมาศ ทรงบุษบก ๙ ยอด ศึกษาและออกแบบตามหลักโบราณราชประเพณีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จำลองเขาพระสุเมรุอย่างสมพระเกียรติ
กระทั่ง ๐๔.๐๐ น.ในขณะที่แรงกายใกล้หมด-หนังตาใกล้ปิด “พระเมรุมาศแบบที่ ๔” ก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของ “ก่อเกียรติ”
“พระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ยอด” พระเมรุมาศเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ ๖๐ เมตร สูง ๕๐.๔๙ เมตร ประกอบด้วย ตรงกลางเป็นบุษบกใหญ่ยอดปราสาท ๗ เชิงกลอน รายรอบด้วยบุษบกขนาดเล็กลงมาที่มุมทั้ง ๔ วางลดหลั่นกันลงมา
บุษบกที่วางลดหลั่นดังกล่าวให้ความรู้สึกถึงการถวายพระเกียรติ โดยมีทั้งหมด ๔ ชั้น
ชั้นล่างสุด คือลานพื้นอุตราวรรตสำหรับการเดินเวียนซ้าย ส่วนที่เหลือเป็นชั้นชาลาที่ ๑ ชั้นชาลาที่ ๒ ชั้นชาลาที่ ๓ และชั้นชาลาที่ ๔ โดยชั้นชาลาที่ ๔ เป็นที่ตั้งจิตกาธาน ประดิษฐาน "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ"
แนวคิดการจัดวางยอดมาจากพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วัดที่สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี เมื่อปี ๒๕๓๙
หลักใหญ่ในการออกแบบพระเมรุมาศวางอยู่บนพื้นฐานที่ว่า บุษบกใหญ่ที่อยู่กึ่งกลางเปรียบดัง “เขาพระสุเมรุ” หมายถึงศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล ตามคติความเชื่อแบบพราหมณ์ อันเป็นที่อยู่ของสิ่งมีวิญญาณในภพภูมิต่างๆ และองค์ทวยเทพ
บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของป่าหิมพานต์ มีสัตว์หิมพานต์น้อยใหญ่และสระอโนดาต ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ๕ สาย ส่วนบุษบกน้อยใหญ่ที่รายล้อมนั้น เปรียบได้กับทิวเขาทั้ง ๗ รายรอบ เรียกว่า “สัตบริภัณฑ์คีรี”
และหากกล่าวถึง “พระมหากษัตริย์” ตามความเชื่อพราหมณ์นั้น ก็ทรงเป็นสมมติเทพ สถิตบนเขาพระสุเมรุที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์ เมื่อสวรรคต ก็มีการจัดพระราชพิธีส่งดวงพระวิญญาณกลับสู่เขาพระสุเมรุดังเดิม
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านเป็น ๒ นัยยะคือ พระนารายณ์อวตาร ในพระนามเต็มของพระองค์ใช้คำว่า รามาธิบดี และพระองค์ทรงเป็น พระโพธิสัตว์ ที่เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ตอนนี้ เรากำลังสร้างเขาพระสุเมรุ เพื่อส่งพระองค์ไปยังสวรรค์ชั้นดุสิต ยอดของพระเมรุมาศจะเป็นประติมากรรม มีพระโพธิสัตว์รายรอบ
เราพยายามเทียบเคียงกับคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง และรูปแบบนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน”
งานศิลปกรรมประกอบพระเมรุมาศเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ให้ความสำคัญ “สระอโนดาตเสมือนจริง” จะถูกขุดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีงานประดับฉากบังเพลิงด้านนอกด้วยสีชมพูอมทอง ด้านหน้าเขียนภาพจิตรกรรมโครงการพระราชดำริ ด้านในเขียนภาพดอกไม้ เขียนโดยช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร
โดย "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" มีพระราชปรารภว่า
อยากให้สอดแทรกโครงการพระราชดำริอยู่ในฉากบังเพลิง จึงแบ่งเป็น ๔ หมวด ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เบื้องต้น โครงการที่นำมาวาด ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ ไบโอดีเซล โครงการแกล้งดิน โครงการชั่งหัวมัน กังหันชัยพัฒนา โครงการฝนหลวง
“แบบพระเมรุมาศครั้งนี้ ถือเป็นสถาปัตยกรรมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยแท้จริง ผสานกับสถาปัตยกรรมร่วมสมัยรัชกาลที่ ๙ ดังนั้น สีพระเมรุมาศจะมีทั้งสิ้น ๕ สี
ได้แก่ สีทอง เป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ สีขาว คือธรรมแห่งการปกครอง สีน้ำเงิน แทนพระมหากษัตริย์ สีชมพู เสริมความมงคล และ สีเขียว หมายถึงทรงนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่แผ่นดินไทย"
ครับ....กราบขอบคุณ ที่ทำสิ่งนี้ "สมพระเกียรติ" สมบูรณ์ และขอบคุณไทยพับลิกาอีกครั้ง.

ไม่มีความคิดเห็น: