PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“วสันต์” ยื่นลาออกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีผล 1 ส.ค.นี้


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กรกฎาคม 2556 18:07 น.

“วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์” ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีผล 1 ส.ค.นี้ ส่งผลให้พ้นจากตำแหน่งประธานศาล รธน.เจ้าตัวเผยทำตามสัญญาอยู่จนกว่าจะเสร็จภารกิจ เผยจะลาออกตั้งแต่ 2 พ.ค.แต่แก๊งวิทยุเสื้อแดงป่วน ไม่อยากเป็นประเด็นการเมือง
       
       วันนี้ (16 ก.ค.) ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีรายงานข่าวแจ้งว่า นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีหนังสือแจ้งต่อสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า ขอลาออกจากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.เป็นต้นไป และได้มีการแจ้งต่อที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทราบแล้วในการประชุมเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา

       โดยเมื่อผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยังนายวสันต์ ถึงกระแสข่าวว่าจะลาออก นายวสันต์ กล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่มีนะ ถึงเวลาก็รู้เองแหละ อย่าเดาเลย แล้วผมนะถ้าจะออกกลับไปนอนบ้านเลย ไม่ใช่ออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้วยังเป็นตุลาการไม่ใช่นะ ไปเลย”
       
       ทั้งนี้ มีกระแสข่าวเกิดขึ้นตลอดทั้งวันว่า นายวสันต์ ได้ลาออกจากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อสอบถามไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนอื่นๆ ก็ไม่รับโทรศัพท์ ขณะที่ นายจรัญ ภักดีธนากุล ระบุเพียงว่าให้สอบถามจากนายวสันต์เอง และยังไม่พบว่ามีการส่งหนังสือแจ้งไปยังสำนักเลขาธิการวุฒิสภา ว่ามีตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่างลง
       
       อย่างไรก็ตาม ภายหลัง นายวสันต์ เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ตนได้ทำหนังสือแจ้งต่อสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอลาออกจากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีผลเป็นทางการในวันที่ 1 ส.ค.นี้ เหตุผลที่ลาออก เนื่องจากก่อนที่จะได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 26 ต.ค.2554 ตนได้ให้คำมั่นสัญญากับคณะตุลาการฯว่า จะดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญไม่เกิน 2 ปี หรือจนกว่าจะเสร็จภารกิจด้านงานคดีต่างๆ ทั้งที่จริงแล้วตนจะลาออกตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่เห็นว่าในขณะนั้นมีกลุ่มเสื้อแดงมาชุมนุมในนามกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีการโจมตีการทำงานของคณะตุลาการฯ ไม่อยากให้เป็นประเด็นทางการเมือง จึงเลื่อนการส่งหนังสือลาออกมาเป็นวันที่ 1 ส.ค.เพราะเป็นเวลาที่เหมาะสม อีกทั้งก็เสร็จสิ้นภารกิจที่ตั้งใจไว้ อย่างไรก็ตามการลาออกจากตำแหน่งไม่ใช่เป็นการลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว แต่เป็นการลาออกจากศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ในวันที่ 17 ก.ค.ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะแถลงให้ทราบในรายละเอียดอีกครั้ง
       
       แหล่งข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า การลาออกของนายวสันต์ เป็นไปตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับคณะตุลาการฯเมื่อครั้งได้รับเลือกจากที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 1 ปีเศษ หากจัดวางระบบต่างๆ ในเรื่องของการจัดการคดีที่คั่งค้างให้คลี่คลายและเบาลงแล้ว ก็จะลาออก โดยในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา นายวสันต์ ก็ได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะตุลาการฯให้ทราบแล้วครั้งหนึ่งว่า ภารกิจที่ตั้งใจไว้เสร็จสิ้นแล้ว และจะลาออกตามที่ได้ให้สัญญาไว้
       
       แต่เนื่องจากขณะนั้นมีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในนามกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และมีการโจมตีการทำงานของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ นายวสันต์ ในกรณีการจัดทำคำวินิจฉัยคดีชิมไปบ่นไป ซึ่งผู้ชุมนุมต้องการให้ลาออก ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ตุลาการฯ ส่วนใหญ่จึงเห็นว่า หากนายวสันต์ลาออกขณะนั้น ก็จะทำให้สังคม หรือผู้ชุมนุมกลุ่ม กวป.เข้าใจว่าเพราะทนการกดดันไม่ไหว รวมทั้งทัดทานไม่อยากให้นายวสันต์ลาออก อยากให้ดำรงตำแหน่งตุลาการฯ และเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญต่อไป จึงทำให้นายวสันต์ดำรงตำแหน่งต่อมา จนมีการยื่นหนังสือลาออกดังกล่าว
       
       สำหรับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ เข้าดำรงเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2551 มีวาระการดำรงตำแหน่งรวม 9 ปี โดย นายชัช ชลวร เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อนายชัชลาออกจากการเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมคณะตุลาการฯเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2554 มีมติเป็นเอกฉันท์ เลือกนายวสันต์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายวสันต์ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 26 ต.ค.2554 ซึ่งหากนายวสันต์ลาออกจากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หลังวันที่ 1 ส.ค.นี้ ทางประธานวุฒิสภาก็จะต้องจัดให้มีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 206 ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง โดยจะต้องเป็นการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากสายผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านนิติศาสตร์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210(3) เนื่องจากนายวสันต์ได้รับการสรรหามาจากสายดังกล่าว
       
       ส่วนคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เหลืออีก 8 คน ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาคดีต่างๆ ได้ โดยหากการลาออกของนายวสันต์ มีผลในวันที่ 1 ส.ค.จริง การประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ จะถือว่าเป็นนัดประชุมสุดท้ายที่นายวสันต์จะเข้าร่วมเป็นองค์คณะ
       

"ศาลไต่สวน"ฮิโรยูกิ" ช่างภาพญี่ปุ่นถูกยิงตายแยกคอกวัว-พยานเห็นชุดดำ 5 คนพร้อมอาวุธ"..

ศาลอาญาใต้ไต่สวน "ฮิโรยูกิ" ช่างภาพญี่ปุุ่น-ผู้ชุมนุมแดง ถูกยิงเสียชีวิตแยกคอกวัว 10 เม.ย.2553 พยานระบุเห็นชายชุดดำ 5 คน พร้อมอาวุธสงคราม ขับรถตู้หลบหนี หลังยิงปะทะทหาร

วันนี้ (16 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 403 ศาลอาญากรุงเทพฯใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตคดีหมายเลขดำ ช.1/2555ที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้1 ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรพลิกศพ นายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น สำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เสียชีวิตขณะถ่ายภาพข่าวการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายวสันต์ ภู่ทอง อายุ 39 ปี และนายทศชัย เมฆงามฟ้า อายุ 44 ปี สองผู้ชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งทั้งสามคนถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ ใกล้สี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร ในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

โดยในวันนี้อัยการนำ ร.ต.ชัยวัฒน์ ตะเพียรทอง อายุ 53 ปี ขึ้นเบิกความสรุปว่า ตนเป็นอดีตพลขับรถขนทหาร กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่21 รอ.โดยเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลา 14.00 น. ทหารเริ่มปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ โดยเดินคืบหน้าไปตามถนนประชาธิปไตย มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้ชุมนุมจึงถอยร่นไป ซึ่งทหารหน่วยของพยานมีโล่กับกระบองและสวมชุดปราบจลาจล แต่ไม่มีอาวุธปืน ส่วนผู้ชุมนุมถือไม้ เหล็ก ก้อนอิฐ และไม้เหลาแหลม แต่ไม่เห็นว่ามีอาวุธปืนหรือไม่ หลังปฏิบัติการผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง มีทหารบาดเจ็บถูกหามเข้ามา สอบถามทราบว่าโดนตีด้วยเหล็กท่อน้ำที่เทปูนลงไปให้มีความแข็งแรงมากขึ้น พยานจึงช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น หลังจากนั้นก็มีทหารบาดเจ็บจากการโดนก้อนอิฐปาและโดนตี แต่ไม่พบว่ามีทหารคนใดบาดเจ็บจากการถูกยิง ต่อมาเวลา 18.00 น. ได้รับคำสั่งทางวิทยุว่าให้หยุดเคลื่อนกำลังพล และถอนกลับไปที่กองบัญชาการกองทัพบก บริเวณแยก จปร. ขณะรอกำลังพลอยู่ที่รถ กระทั่งเวลา 19.30 น. ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากแนวทหารที่อยู่ทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมาเวลาประมาณ 20.30 น. เห็นแสงไฟวาบในกลุ่มทหารและตามด้วยเสียงระเบิดหลายครั้ง จากประสบการณ์คาดว่าเป็นระเบิดเอ็ม 79 จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังตามมาอีกหลายนัด สักพักมีทหารบาดเจ็บถูกหามออกมาหลายนาย และเห็นพลทหารพากันวิ่งหนีออกมา พยานจึงช่วยหามไปขึ้นรถพยาบาล แต่ขณะรถพยาบาลเคลื่อนออกไป ก็ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงขวางรถและไล่ตีทหารที่บาดเจ็บ

ร.ต.ชัยวัฒน์ เบิกความต่อว่า กระทั่งเวลา 22.00 น.เศษ กำลังพลส่วนใหญ่เริ่มทยอยออกมา พยานจึงกลับรถที่สี่แยกวันชาติ และหันหน้ารถมุ่งหน้าไปทางกองบัญชาการกองทัพบก ขณะจอดรอกำลังพลมีรถตู้สีขาววิ่งสวนมาเฉียดกับรถพยานประมาณ 1 ช่วงแขน จากนั้นผู้โดยสารในรถตู้เปิดกระจกชะโงกมาด่าว่า "เป็นยังไงบ้างไอ้พวกเหี้ย" ชายคนดังกล่าวใส่ชุดคลุมสีดำ เสื้อแจ็คเก็ตสีดำ สวมหมวกไหมพรมคลุมศีรษะ เห็นแต่ดวงตา ซึ่งในรถมีอยู่ประมาณ 5 คน รวมคนขับ บางคนใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก บางคนสวมไอ้โม่ง พยานเห็นอาวุธปืนอาก้า 1 กระบอก วางอยู่บนเบาะนั่งแถวที่สอง ส่วนที่พื้นรถเห็นอาวุธปืนเอ็ม 16 ประมาณ 4 กระบอก โดยรถคันดังกล่าวถอดเบาะนั่งแถวหน้าออก แต่ไม่ทราบว่ารถตู้คันดังกล่าวจะมุ่งหน้าไปทางใด ในช่วงเกิดเหตุไม่ได้มองเห็นเหตุการณ์ขณะผู้ตายทั้ง 3 ถูกยิง เนื่องจากอยู่ไกลจากที่เกิดเหตุ แต่ภายหลังทราบจากข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตหลายรายจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไป วันที่ 17 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

ภาพจากแฟ้มภาพ
http://astv.mobi/A521vJ9

ม็อบขึ้นทางด่วน เดินเท้าไปทำเนียบประท้วงรัฐบาล ทำรถติดหนึบ

16 กรกฎาคม 2556


16.00 น. @js100radio ภาพม็อบเกษตรกร เดินเท้าขึ้นทางด่วนไปทำเนียบฯ รถติดหนักสุดๆ


…………………………………………….


12.00 น.  ม็อบเกษตรกรนับพัน เดินเท้าขึ้นทางด่วนไปทำเนียบประท้วงรัฐบาล ทำรถติดหนึบยาวหลายกิโลเมตร ขณะที่เจ้าหน้าที่แนะเลี่ยงเส้นทาง

มีรายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา (16ก.ค.) ได้มีกลุ่มม็อบเกษตรกรที่ปักหลักชุมนุมอยู่ที่กระทรวงการคลัง ถนนพระราม 6 นับพันรายเดินเท้าขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 จากด่านคลองประปา 2 มุ่งหน้าไปลงด่วนยมราช เพื่อเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลหวังประท้วงรัฐบาล

ภาพจาก@TonMahidol

ซึ่งจากเหตุดังกล่าวส่งผลให้การจราจรบนทางด่วนติดหนึบยาวหลายกิโลเมตร ไม่สามารถขยับเคลื่อนที่ได้ ส่วนความคืบหน้าอื่นๆ ทาง MThai News จะติดตาม และรายงานให้ทราบต่อไป

ภาพจาก@Ku Tomm Yamm

ภาพจาก@Poriko KibKib


ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก mthai

ผลทดสอบข้าวถุง




เขียนโดย ฉลาดซื้อ เพื่อผู้บริโภค   
แถลงข่าว วันที่ 16 กรกฎาคม 2556

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค - มูลนิธิชีววิถี ร่วมแถลง ข้าวถุงร้อยละ 26.1 ไม่พบสารเคมีตกค้าง ส่วนอีกร้อยละ  73.9 ตรวจพบสารรมควันข้าวเมธิลโบรไมด์หลายระดับทั้งระดับน้อยจนสูงเกินมาตรฐานระหว่างประเทศ (0.9 – 67 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) เรียกร้องรัฐบาลตรวจสอบโรงสีและผู้ผลิตที่มีปัญหา - เร่งผลักดันให้เกิดองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อดำเนินการและสนับสนุนเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นจริง โดยสามารถระบุชื่อสินค้าหรือบริการหรือชื่อของผู้ประกอบการได้  เช่น ชื่อข้าวถุงที่ตรวจสอบ รวมทั้งมีระบบที่ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการติดตามและรายงานความปลอดภัยด้านอาหารอย่างเป็นรูปธรรม 

วันนี้ (16 ก.ค. 56) เวลา 13.30 น. ณ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กทม. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี (biothai) และศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ รายงานผลการตรวจข้าวสารถุงจำนวน 46 ตัวอย่าง พบข้าวสารถุงร้อยละ 26.1 หรือจำนวน 12 ยี่ห้อไม่พบสารตกค้างทุกกลุ่ม แต่มีมากถึง 34 ยี่ห้อหรือร้อยละ 73.9 ที่พบสารรมควันข้าวเมทธิลโปรไมด์ ตั้งแต่ 0.9-67 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

นางสาวสารี  อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า การเปิดเผยข้อมูลผลการทดลองในวันนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะและเพื่อการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในการได้รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอในการบริโภค สิทธิในการเลือกซื้อสินค้า และสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค เฉพาะการตรวจสารเคมีในข้าวสารบรรจุถุง จากยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต, ยากันรา (fungicide)  และสารรมควันข้าวเมธิลโบรไมด์เท่านั้น เนื่องจากสารพิษจากเชื้อรา และคุณภาพข้าวถุงนั้น ยังไม่แล้วเสร็จ โดยผลทดสอบข้าวสารบรรจุถุงจำนวนทั้งสิ้น 46 ตัวอย่าง

พบว่าทั้ง 46 ตัวอย่างไม่พบการตกค้างของยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต รวมทั้งไม่พบการตกค้างของยากันรา (fungicide)
"มีข้าวถุงจำนวน 12 ตัวอย่างหรือคิดเป็นร้อยละ 26.1 ที่ไม่พบการตกค้างของสารเคมีทางการเกษตรชนิดใดๆ  ได้แก่ 1.ลายกนก ข้าวหอมมะลิแท้ 100%, 2.ข้าวพันดี ข้าวขาว 100% ชั้นดีพิเศษ, 3.ธรรมคัลเจอร์ ข้าวหอมคุณภาพคัดพิเศษ, 4.รุ้งทิพย์ ข้าวขาวเสาไห้, 5.บัวทิพย์ ข้าวหอม, 6.ตราฉัตร ข้าวขาว 15%, 7.ข้าวมหานคร ข้าวขาวคัดพิเศษ, 8.สุพรรณหงส์ ข้าวหอมสุรินทร์, 9.เอโร่ ข้าวขาว 100%, 10.ข้าวแสนดี ข้าวหอมทิพย์, 11.โฮมเฟรชมาร์ท จัสมิน ข้าวหอมมะลิ 100% และ 12.ชามทอง ข้าวขาวหอมมะลิ 100%
ขณะที่ผลการทดสอบสารรมควันข้าว – เมธิลโบรไมด์ พบการปนเปื้อนถึง 34 ตัวอย่าง หรือคิดเป็นร้อยละ 73.9  ของจำนวนตัวอย่างที่นำมาทดสอบปริมาณของสารเมธิลโบรไมด์ที่พบการตกค้างในตัวอย่างที่นำมาทดสอบอยู่ที่ระดับ 0.9–67 มิลลิกรัม/กิโลกรัม โดยตัวอย่างข้าวสารบรรจุถุงที่พบการปนเปื้อนสูงที่สุด คือตัวอย่าง ยี่ห้อ โค – โค่ ข้าวขาวพิมพา พบการปนเปื้อนสูงถึง 67.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ(codex) ที่กำหนดไว้ให้มีการตกค้างได้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

นอกจากนี้ยังมีพบอีก 5 ตัวอย่าง ที่ตกค้างไม่เกินมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ แต่พบการตกค้างสูงกว่า 25 มิลลิกรัม/กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ประกอบด้วย ข้าวแสนดี ข้าวหอม พบการปนเปื้อน 41 มิลลิกรัม/กิโลกรัม, ข้าวตราดอกบัว ข้าวเสาไห้ พบการปนเปื้อน 29.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม, ข้าวตราดอกบัว ข้าวตาแห้ง พบการปนเปื้อน 28.9 มิลลิกรัม/กิโลกรัม, สุรินทิพย์ ข้าวหอมมะลิ พบการปนเปื้อน 27.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และข้าวถูกใจ ข้าวขาว พบการปนเปื้อน 27.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม" 
ทางด้านนายวิฑูรย์  เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า แม้ว่าการตกค้างส่วนใหญ่ที่พบจะไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานของ codex หากก็พบว่าในหลายประเทศมีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานที่สูงกว่า codex เช่น อินเดียกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 25 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ ประเทศจีน ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศคู่ค้าข้าวรายสำคัญของประเทศไทย กำหนดปริมาณการตกค้างของเมธิลโบรไมด์ในข้าวไว้ที่ไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แต่เมื่อดูจากผลทดสอบครั้งนี้กลับพบตัวอย่างข้าวสารบรรจุถุงที่มีการตกค้างของเมธิลโบรไมด์เกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัมมีจำนวนถึง 13 ตัวอย่างที่ไม่สามารถส่งออกไปประเทศจีนได้

"ประเทศไทยไม่เคยมีประกาศเรื่องเกณฑ์ เมธิลโบรไมด์ ซึ่งเป็นสารที่นิยมใช้รมข้าวก่อนบรรจุถุงเพื่อป้องกันมอดและแมลง ทั้งๆ ที่เราเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวส่งออกลำดับต้นๆของโลก ทำให้การตรวจสอบต้องยึดมาตรฐานระหว่างประเทศ ส่งผลเสียต่อตลาดส่งออกข้าวและมาตรฐานข้าวในประเทศ และน่าสังเกตว่า หากพบว่ามีการตกค้างของสารรมข้าวเกินค่ามาตรฐาน codex จะสามารถดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ประกอบการได้หรือไม่ ทั้งนี้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งตรวจสอบโรงสีและผู้ประกอบการที่มีปัญหาการปนเปื้อน แม้ไม่สูงเกิน CODEX แต่ก็สูงเกินที่จะส่งออกไปจีนเพื่อรักษาชื่อเสียงของข้าวไทยและสุขภาพของประชาชนไทยดังนั้น หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลควรให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพข้าวสารในประเทศให้มากขึ้น มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานการปนเปื้อนสารเคมี เพื่อยกระดับการผลิตให้มีคุณภาพมากขึ้น"

เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งผลักดันองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งเรียกร้องหน่วยงานรัฐทั้ง อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้เปิดเผยรายละเอียดชื่อยี่ห้อของข้าวที่พบการปนเปื้อนหรือตัวอย่างยี่ห้อที่ตรวจแล้วปลอดภัยไม่พบการปนเปื้อน ซึ่งจะส่งผลต่อการกำหนดทิศทางการผลิตสินค้าและการบริโภคของประเทศในอนาคต และการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐครั้งต่อๆไป ควรมีองค์กรผู้บริโภคร่วมด้วย

"หากมีแจ้งข้อมูลดังกล่าวผู้บริโภคก็จะสามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อข้าวสารบรรจุถุงมารับประทานเพราะฉะนั้นหากมีการสุ่มตรวจทดสอบเรื่องของความปลอดภัยในอาหาร หน่วยงานของรัฐอย่าง อย. หรือ กรมวิทยฯ ควรมีการเปิดเผยชื่อตัวอย่างที่นำมาทดสอบเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค พร้อมเสนอให้มีการตรวจสอบดูแลเรื่องของอาหารปลอดภัยอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงเวลาที่เกิดปัญหาเป็นกระแสสังคมเท่านั้น ทั้งนี้ภาคประชาสังคมพร้อมจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบและเฝ้าระวังเรื่องความปลอดภัยในอาหาร และพร้อมดำเนินการสุ่มตรวจเรื่องความปลอดภัยทั้งในข้าวสารและอาหารอื่นๆ เป็นระยะ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้บริโภค และพร้อมร่วมมือกับผู้ประกอบการในการพัฒนาคุณภาพข้าวถุง"

สำหรับการตรวจสอบข้าวสารบรรจุถุงครั้งนี้ นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้าศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวเรื่องความไม่ปลอดภัยของข้าวสาร ทางสื่อมวลชน สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในคุณภาพของข้าวสารถุงว่าจะมีความปลอดภัยกับผู้บริโภคหรือไม่ นั้น รวมทั้งได้มีการเรียกร้องจากผู้บริโภคมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคให้ทดสอบหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ทางศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อจึงได้ร่วมกับโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ไทยแพน) มูลนิธิชีววิถี เก็บตัวอย่างข้าวสารถุงที่มีการจำหน่าย ระหว่างวันที่ 19 – 27 มิถุนายน 2556 ทุกยี่ห้อจากซูเปอร์มาเก็ต และห้างโมเดิร์นเทรด ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง 6 แห่ง ได้แก่ ห้างเทสโก้ โลตัส, ห้างบิ๊กซี, ห้างแมคโคร, ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ฟู้ดแลนด์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, และโฮมเฟรชมาร์ท, กับร้านสะดวกซื้อ 1 แห่ง คือ เซเว่นอีเลฟเว่น รวม 7 แห่ง ได้ข้าวถุงจำนวน 46 ตัวอย่าง แบ่งเป็น ข้าวหอมมะลิ 100% จำนวน 15 ตัวอย่าง และข้าวขาวกับข้าวหอมอื่น ๆ อีก 31 ตัวอย่าง โดยส่งตรวจคุณภาพข้าวสารถุงที่จำหน่ายในท้องตลาดใน 5 ด้านที่สำคัญ คือ 1)การตรวจคุณภาพข้าวสารถุง ตามมาตรฐานข้าวสาร กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ 2)สารเคมีทางการเกษตร ยาฆ่าแมลง 2 กลุ่ม ได้แก่ ออร์กาโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต 3)ยากันรา (fungicide) 4) สารรมควันข้าวเมธิลโบรไมด์ 5)สารพิษจากเชื้อรา – อะฟลาท็อกซิน ซึ่งการตรวจสอบทั้งหมดดำเนินการโดยศูนย์ทดสอบที่ได้รับมาตรฐานถูกต้อง ทั้งนี้ผู้บริโภคสามารถดูรายละเอียดและติดตามข่าวการทดสอบสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคได้ที่ www.ฉลาดซื้อ.com อีกทางหนึ่ง

ชิดชนก แผ่นสุวรรณ มือปาไข่ใส่ คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง โดนสั่งย้าย


    ชิดชนก แผ่นสุวรรณ

  • ชิดชนก แผ่นสุวรรณ

    ชิดชนก แผ่นสุวรรณ


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก CiNNtv3 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

               ชิดชนก แผ่นสุวรรณ มือปาไข่ใส่ คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ล่าสุด ชิดชนก แผ่นสุวรรณ โดนสั่งย้าย จากผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ มาเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ 


              จากกรณีที่ นางสาวชิดชนก แผ่นสุวรรณ อายุ 42 ปี ผู้พิพากษาประจำสำนักงานศาลยุติธรรม ช่วยทำงานชั่วคราวผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ขับรถยนต์ส่วนตัวบุกเข้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้วนำข้าวไข่เจียวซึ่งอยู่ในกล่องโฟมปาใส่รถยนต์ประจำตำแหน่งของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก่อนที่จะตะโกนด่าทอการทำงานของตำรวจที่ไม่ยุติธรรม ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นำแผงเหล็กมากั้นไม่ให้ออก นางสาวชิดชนกก็ไม่สนใจ ขับรถพุ่งชนแผงเหล็กหลบหนีไป ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น (12 กรกฎาคม 2556)

              ล่าสุด เมื่อวานนี้ (15 กรกฎาคม 2556) นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ในวันที่ 19 กรกฎาคม จะนำเสนอเรื่องนี้ในที่ประชุมเรื่องวาระทั่วไป โดยจะตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว เนื่องจากนางสาวชิดชนกกระทำการที่หมิ่นเหม่ต่อวินัยตุลาการ ขณะที่มีการแจ้งความดำเนินคดีอาญาเกิดขึ้นแล้ว
              นอกจากนี้ นายสิทธิศักดิ์ ยังเสนอมาตรการตรวจสอบสภาพร่างกายและจิตใจ และมาตรการบำบัดรักษาหากพบว่าเกิดจากความเครียดขณะลงมือทำ และก็ต้องดูกันว่าขณะที่ลงมือทำนางสาวชิดชนกมีสติสัมปชัญญะหรือไม่ ซึ่งผลดำเนินการเป็นอย่างไร คงต้องรอฟังมติในวันที่ 19 กรกฎาคม อีกครั้ง


    ชิดชนก แผ่นสุวรรณ

    ชิดชนก แผ่นสุวรรณ


              พร้อมกันนี้ นายสิทธิศักดิ์ ระบุว่า นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้มอบหมายให้ ทำหนังสือเสนอประธานศาลฎีกา พิจารณาให้นางสาวชิดชนกย้ายจากการปฏิบัติหน้าที่ประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาอุทธรณ์ มาเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการสำนักงานศาลยุติธรรมแทน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการทำสำนวนและคดีความใด ๆ รวมไปถึงการพบปะประชาชน เพื่อเป็นการลดภาวะความเครียดของนางสาวชิดชนกด้วย 

              นายสิทธิศักดิ์ อธิบายต่อว่า การย้ายตำแหน่งงานของนางสาวชิดชนกไม่ได้มีการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด แต่ทำไปตามข้อเท็จจริงและเหตุผล สำหรับการกระทำของนางสาวชิดชนกนั้น ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กร หรือเรื่องสีเสื้อการเมือง เพราะเป็นการกระทำโดยส่วนตัวเท่านั้น ส่วนผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความ ก็ถือว่าเป็นสิทธิตามกฎหมายของเขาเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม



โฆษณาหนัง Jobs เปิดตัวบน Instagram

โฆษณาหนัง Jobs เปิดตัวบน Instagram

Home> News> Technology> โฆษณาหนัง Jobs เปิดตัวบน Instagram


ภาพยนตร์ประวัติของ Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple เปิดตัว Trailer หรือตัวอย่าง 15 วินาที บน Instagram 

กลยุทธ์โฆษณาบนโซเซียลเน็ตเวิร์กก้าวไปอีกขั้น เมื่อล่าสุดภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ 2 เรื่อง พร้อมใจกันเปิดตัวตัวอย่างภาพยนตร์สั้นๆบนไมโครบล็อกกิ้งเน็ตเวิร์ก 2 เจ้าที่เป็นคู่แข่งกัน โดยเรื่องแรก The Wolverine 3D เปิดตัวตัวอย่างเพียง 6 วินาที บน Vine ของ Twitter ขณะที่ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง Jobs ก็เปิดตัวบน Instagram ที่เป็นของ Facebook ซึ่งน่าจะปลุกกระแสการโฆษณาบนโซเชียลเน็ตเวิร์กในลักษณะเดียวกันนี้ให้บูมมากยิ่งขึ้น โดย Pete Cashmore เจ้าของเว็บไซต์ Mashable.com สื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในระดับโลก โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่าการใช้วิดีโอเป็นเครื่องมือทางการตลาดแบบใหม่ที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง Jobs ที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับประวัติของ Steve Jobs ซึ่งคนรุ่นใหม่ทั่วโลก โดยเฉพาะ"เน็ตติเซ่น" ยึดเป็น ไอดอล แห่งยุคดิจิทัลในปัจจุบัน

ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Jobs บน Instagram