PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มหาวิปโยคครั้งที่ 2

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ใกล้จะถึงจุดที่วิกฤตที่สุด

ผู้จุดชนวนแห่งวิกฤตคือพรรคเพื่อไทย โดยนายวรชัย เหมะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ และคณะ ซึ่งกำลังจะเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมต่อสภาผู้แทน ราษฎร ที่จะเปิดประชุมในวันพุธที่ 7 สิงหาคมนี้ โดยจะให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาเป็นอันดับแรก ก่อนร่างกฎหมายอื่น ๆ

ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ นายวรชัยอ้างว่าหากออกมาเป็นกฎหมาย จะทำให้ผู้ต้องหา และจำเลยในคดีสำคัญหลายคนและหลายคดีพ้นโทษเป็นอิสระทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก นปช. หรือพันธมิตร แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะจากพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะทำให้ผู้ต้องหา และจำเลยในคดีสำคัญหลายคนและหลายคดีพ้นผิด

กลุ่มที่มิใช่นักการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับที่กล่าว และได้นัดหมายจะชุมนุม แสดงความเห็นคัดค้านที่สวนลุมพินีในวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคมนี้ ได้แก่กลุ่มกองทัพประชาชนโค่น ระบอบทักษิณ และ “คณะ เสนาธิการร่วม” ซึ่งประกอบด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่นอกราชการ หลายคน กลุ่มสันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (สปท.) กลุ่มหน้ากากขาว เป็นต้น กลุ่ม สปท.นั้นจะส่ง “กองกำลังอาสาพิทักษ์ประชาชน” เข้าให้ความปลอดภัยแก่ผู้ที่จะไป ชุมนุมด้วย กลุ่มเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เบื้องต้นที่กว้างกว่า คือไม่ยอมรับระบอบทักษิณ และต้องการ ให้รัฐบาลลาออก แต่ได้รวมเอาการคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าไว้ด้วย

ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ประกาศว่า หากสภาดึงดัน พิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมไป จนถึงวาระที่ 3 และลงมติรับร่างนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็จะออกไปร่วมแสดงการคัดค้านกับกลุ่มอื่น ๆ นอกสภา

ปฏิกิริยาของบุคคลในคณะรัฐบาลในชั้นแรกเป็นไปในเชิงดูหมิ่น เช่นบอกว่าจำนวนผู้ที่จะ ชุมนุมประท้วงคงมีไม่กี่พันคน แต่แล้วรัฐบาลก็ประกาศใช้พระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ให้มีผลบังคับในเขตพระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย และดุสิต ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม ห้ามใช้ถนนหลายสายที่ผ่านหรือไปสู่รัฐสภา และเรียกระดมกำลังตำรวจทั้งใน กรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด ทางด้านกระทรวงมหาดไทยได้เรียกสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) 350 คนไปรักษาความสงบเรียบร้อยในกระทรวงด้วย

ในขณะเดียวกัน เมื่อวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม ก็มีการประชุมแกนนำ นปช.จำนวนประมาณ 3 พันคนที่วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เพื่อแสดงจุดยืนและกำหนดแนวทางการดำเนินงานของ นปช. ที่ ประชุมประณามฝ่ายที่ต่อต้านการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมว่าขาดความชอบธรรม แสดงการไม่ ยอมรับกระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมรับการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และ ใช้วิธีการอื่นเพื่อล้มล้างกระบวนการในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้กลุ่มตนเองขึ้นสู่อำนาจทางการ เมืองการปกครอง

แถลงการณ์ของ นปช.อ้างว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจสุ่มเสี่ยง ทำให้เกิดรัฐประหารโดยกอง ทัพ จึงจะเตรียมพร้อมในที่ตั้งทั่วประเทศ และให้รอฟังการส่งสัญญาณจาก นปช.ส่วนกลาง

เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาตั้งแต่วันพุธที่ 7 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป จึงเป็นช่วงที่สถานการณ์จะ วิกฤตยิ่งขึ้น เป็นที่คาดหมายว่าจำนวนคนที่จะไปร่วมชุมนุมแสดงการคัดค้านกับกองทัพประชาชนจะ มากขึ้นเรื่อย ๆ และนอกจากกลุ่มต่าง ๆ ที่กล่าวแล้ว สมาชิกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา ธิปไตยก็คงจะไปร่วมด้วย แม้ว่าแกนนำ อาทิ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองจะอยู่ในระหว่างประกันตัว และ ถูกศาลห้ามมิให้เคลื่อนไหวปลุกระดมก็ตาม 

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ หากผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากสวนลุมพินีไปที่ใดก็ตาม แล้วถูกเจ้าหน้าที่ ห้ามและสะกัดกั้น ทั้งสองฝ่ายก็อาจจะปะทะกัน เจ้าหน้าที่อาจใช้เครื่องมือปราบจลาจล เช่น แก๊ส น้ำตา และอาจจะหนักถึงกับยิงด้วยกระสุนหัวยาง ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เหตุก็อาจจะลุกลามออกไป เป็นการจลาจล

ที่เคยปรากฏมาแล้ว อย่างในกรณีวันมหาวิปโยคเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งมีการปะทะกันระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เป็นจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้แถลงการณ์เสนอทางออก โดยจะเปิดเวทีระดมความคิดเห็น เชิญตัวแทนจากฝ่ายรัฐบาล นปช. พันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย สมาชิกวุฒิสภา องค์กรอิสระเอกชน และนักวิชาการ ไปร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ “ออกแบบประชาธิปไตย” ของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง และความเปลี่ยน แปลงที่ออกจากวงจรแห่งความขัดแย้ง

แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีดูเหมือนจะสะท้อนความปรารถนาดี แต่โดยเนื้อหาเป็นการ เริ่มต้นสิ่งที่ควรจะทำมานานแล้ว และยังจะต้องใช้เวลา ในขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้พูดว่า จะระงับการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่ หรือว่าจะปล่อยให้ดำเนินต่อไป

หากไม่มีคำตอบเกี่ยวกับกฎหมายนิรโทษกรรม ฝ่ายที่คัดค้านก็คงจะไม่รับข้อเสนอของ นายกรัฐมนตรี และการคัดค้านก็คงจะดำเนินต่อไปอย่างยืดเยื้อ โอกาสที่จะเกิดการปะทะกัน ระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ก็ยังจะมีอยู่ และไม่มีใครทำนายได้ว่า จะรุนแรงจนปะทุขึ้นกลายเป็น การจลาจลนองเลือดครั้งใหม่อีกครั้งหนึ่งหรือไม่.

พล.อ.ประยุทธ์ :ลดข่าวลือ

"พล.อ.ประยุทธ์" ตำหนิ ม๊อบ พาดพิงในหลวง-ราชินี ”อ้าง พระสยามเทวาธิราชลั่น”ปฏิวัติ”แค่ข่าวลือ ซัดคนปล่อยข่าวทำลายชาติ ชี้ไม่เป็นธรรมโยง ในหลวง ราชินี เสด็จหัวหิน โยงปฏิวัติ ยันทหารยืนข้างปชช.-สถาบัน ไม่ทำผิดกฎหมาย วอนหยุดขยายข่าวลือ หวั่นศก.ไทยพัง ประนามคนไม่รัก”ในหลวง”ไม่ใช่คนไทย ถาม ไม่อยากมีประเทศอยู่หรือ ขอช่วยกันหยุดคนไทยรบกันเอง ยันทหารพร้อมออกมาดูแลประชาชน หากบาดเจ็บ

ที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ(จปร.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกระแสข่าว การปฏิวัติว่า อย่าไปขยายข่าวลือ ข่าวลือก็คือข่าวลือ "อยากให้ทุกพวก ทุกคน ทุกฝ่าย ไม่ว่า จะเป็นพวกไหนก็ตามต้องมีสติไม่ว่า จะกระทำอะไรก็ตาม หรือรับฟังอะไรก็ตามต้องมีสติ และแยกแยะให้ออกว่า อะไรคือ เรื่องจริง อะไรไม่จริง " ผบ.ทบ. กล่าว

พล. อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากยืนยันว่า ทหารมีหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชนโดยรวมทั้งหมด การพูดจาใดๆก็ตาม ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรได้มากนัก เพราะเกรงว่า จะมีผลกระทบต่อบุคคลหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

"อยากยืนยันว่า ทหารทำหน้าที่ของทหาร เรามีบทบาทที่แน่นอน ชัดเจน สิ่งใดก็ตามที่เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เรามีกระบวนการตรวจสอบและดำเนินการอยู่แล้ว แม้จะติดขัดและขรุขระอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดกฎหมายจะเป็นตัวแก้ไขปัญหาทุกอย่าง "

"ด้วยความห่วงใยและอยากเป็นกำลังใจให้ประชาชนทุกพวก ขอให้ปลอดภัยในการทำหน้าที่ของท่าน ทหารเป็นประชาชนเหมือนกัน แต่ติดด้วยเรื่องระเบียบวินัยต่างๆ ผมยังยืนยันอยู่ว่า ทหารอยู่ในบทบาทของทหาร" ผบ.ทบ. กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนคิดว่า เหตุการณ์ในประเทศเป็นเรื่องที่คนไทยต้องร่วมมือแก้ปัญหา แต่ไม่ทราบว่า ต้องแก้ด้วยวิธีไหน ต้องไปหาวิธีการมา โดยไม่ให้เสียทั้งกฎหมาย และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
"การที่คนลือกัน เกรงว่า จะทำให้ประเทศชาติเสียหาย ทำให้ต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น และประชาชนตื่นตระหนกเสียขวัญกลายเป็นผลประโยชน์ให้คนที่ปล่อยข่าว การปล่อยข่าวว่า ให้มีการกักตุนอาหาร คิดว่า เกินไปในการหาประโยชน์กับประชาชน "

"การไปพูดจาให้ร้าย กล่าวอ้างถึงสถาบัน คนเหล่านี้แย่มาก ผมเคยบอกเสมอว่า พระองค์ท่านไม่เคยลงมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง เพราะทุกคน คือ ประชาชนของพระองค์ท่านทั้งนั้น ท่านไม่สามารถจะไปตัดสินได้ในความเชื่อของท่าน ท่านไม่เคยบังคับใครอยู่แล้ว เพราะเป็นความเชื่อ สิ่งที่ทุกคนคิดต้องหาเจอกันให้ได้ พระองค์ท่านอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ดังนั้นจะไปลือว่า ท่านเสด็จไปประทับที่หัวหิน เพื่อโน้นเพื่อนี่ ผมว่า ไม่เป็นธรรมกับพระองค์ท่าน ผมบอกแล้วว่า เป็นข่าวที่ปล่อยออกมา ก็ไปหาตัวว่า ใครเป็นคนปล่อยข่าว”ผบ.ทบ.กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ตนพยายามสร้างความเข้าใจกับสังคมอยู่ว่า ทหารทำหน้าที่ของทหาร ถ้าบอกว่า บ้านเมืองมีภัย ทำไมทหารไม่ออกมา ถามว่า กฎหมายยังมีอยู่หรือไม่ ถ้าทหารออกมาแสดงว่า ไม่มีกฎหมายแล้ว และไม่ต้องใช้กฎหมาย ไม่อยากให้ทุกคนไปมุ่งหวังเช่นนั้น ไม่ใช่ว่า เราไม่รับผิดชอบ แต่เราต้องตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง และต้องนำพาประเทศชาติและประชาชนไปในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งใดที่เป็นปัญหาต้องไปหาต้นเหตุ สาเหตุแห่งปัญหาให้เจอ หาวิธีแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง โดยอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายไทย

" วันนี้ขอร้องให้ลดข่าวลือ เพราะทำให้ประเทศชาติเสียหาย หลายประเทศประกาศไม่ให้มาเที่ยวประเทศไทยในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ดังนั้นต้องช่วยวิธีช่วยกันลดและแก้ปัญหา"


เมื่อถามว่า มีการปล่อยข่าวว่า รัฐบาลจะปฏิวัติตัวเอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงไม่มีรัฐบาลไหนในโลกทำเช่นนั้น ใครช่างคิดได้ทุกอย่าง คิดเล็กคิดน้อย คิดซับซ้อนเกินไปหรือเปล่า

พล.อ.ประยุทธ์ มองว้า ตอนนี้ มีการทำสงครามข่าวสาร แต่ทำไมจะต้องให้เป็นสงครามข่าวสาร ทำไมต้องมารบกัน เมื่อเราเป็นคนไทยด้วยกัน เราไม่ต้องการให้ไปถึงจุดนั้น ผมมีจุดยืนของผม คือ ยืนเคียงข้างประชาชน และอยู่กับสถาบัน สิ่งใดที่ละเมิดกฎหมาย ยังใช้กฎหมายดำเนินการ เพราะไม่สามารถใช้วิธีอื่นได้ ตราบใดที่เราเป็นองค์กรของรัฐและเจ้าหน้าที่ ถ้าทำผิดกฎหมายเสียเองจะแก้ปัญหาไม่ได้

" แต่ถ้าประชาชนเดือดร้อน บาดเจ็บสูญเสีย ทหารพร้อมจะดูแล แต่ตนไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น การที่บอกว่า จะเกิดเหตุการณ์ แล้วทหารจะออกไปทำอะไร ขอบอกว่า ถ้าทหารจะออกมาก็ออกมาดูแลประชาชน ขอให้ทุกคนสบายใจ ทหารยังอยู่กับท่านเสมอ อย่ากันทหารออกไปโน่นไปนี่ ขอให้ทหารอยู่ในจุดที่อยู่ได้ดีที่สุดดีกว่า เมื่อถึงเวลาบ้านเมืองเดือดร้อน ถ้าท่านทำลายเครดิตทหารแล้วทหารจะไปอยู่ตรงไหน " พล อ ประยุทธ กล่าว

“วันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงแข็งแรงขึ้น และทรงเสด็จไปประทับที่วังไกลกังวล คนทั้งประเทศรู้สึกดีใจ ผบ.ต่างประเทศถามผมเรื่องสุขภาพของพระองค์ท่านตลอดว่า แข็งแรงขึ้นหรือยัง บางประเทศพอรู้ว่า พระองค์ท่านออกจากโรงพยาบาลได้ก็ดีใจกับเรา แต่ไม่เข้าใจว่า คนในประเทศ บางคนเป็นโรคอะไรของมัน ต่างชาติรักพระเจ้าอยู่หัว แต่บางคนในประเทศไม่รักพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านไม่เคยให้ผมบังคับใคร แต่ผมอยากประนามคนเหล่านี้ที่เขียนพันไปหมด โดยไม่มีความพอเหมาะพอควร

"ซึ่งในการชุมนุมหลายพื้นที่เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมามีการพูดถึงพระสยามเทวาธิราช และพระมหากษัตริย์ คิดว่า ไม่เป็นการสมควร ประเทศไทยอยู่ทุกวันนี้ได้ เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นมิ่งขวัญของประชาชนทั้งประเทศ ไม่เข้าใจว่า คนบางประเภทเป็นอะไร รบกันเองไม่พอยังทำร้ายสถาบัน ทำร้ายทหาร ผมไม่เข้าใจ หรือต้องการให้มันไม่มีประเทศจะอยู่ ขณะนี้สถานการณ์รอบบ้านดีหมด เว้นแต่ในประเทศ หรือคนในประเทศไม่ใช่คนไทย”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีการเสนอทางออกของประเทศ โดยให้มีการปฏิรูปการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องหาวิธีดำเนินการ ส่วนจะส่งคนไปร่วมหรือไม่นั้น ต้องดูว่า รัฐบาลเขาเชิญเราหรือยัง

เครดิต ภาพและข่าว คุณวาสนา นาน่วม

"อุทัย"ตอบรับร่วมเวทีสภาปฏิรูปของนายกฯ แต่ยื่นจดหมายเปิดผนึกให้ถอนพ.ร.บ.นิรโทษออกจากสภา



ผู้สื่อข่าวรายงานว่าความเคลื่อนไหวในความพยายามสร้างความปรองดองจากฝ่ายรัฐบาลตามแนวทางของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีการแถลงเชิญทุกภาคส่วนเข้าร่วมเวทีปฏิรูปเพื่อให้เกิดความปรองดองของคนในชาติ ซึ่่งก่อนหน้านี้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรมช.เกษตรเเละสหกรณ์ เป็นตัวแทนนายกรัฐมนตรีเดินทางไปเชิญบุคคลต่างๆมาร่วมนั้น ช่วงบ่ายวันนี้นายพงศ์เทพ และนายวราเทพ เดินทางต่อไปยังชั้น21 อาคารเอทาวเวอร์(อโยธยาเดิม) ซอยรัชดาภิเษก18 ซึ่งเป็นสำนักงานของนายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาฯ เพื่อส่งเทียบเชิญให้นายอุทัยมาร่วมในเวทีสภาปฏิรูปฯ

โดยทั้งหมดได้พบปะพูดคุยกันในห้องทำงานของนายอุทัยเป็นเวลานานเกือบ 1ชั่วโมง และได้ร่วมแถลงข่าวพร้อมกัน แต่ก่อนการแถลงนายอุทัยได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงข้อกังวลเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและร่างพ.ร.บ.ปรองดองที่อยู่ในสภา ที่ต้องการให้ถอน2วาระนี้ออกไป ทั้งนี้นายอุทัยส่งมอบจดหมายเปิดผนึกให้กับนายพงศ์เทพเพื่อส่งต่อให้ถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี พร้อมกันนี้นายอุทัย ยังกล่าวว่า ตนมีหนังสือเปิดผนึกนี้ถึง ส.ส. ส.ว.และตุลาการด้วย

จากนั้น นายอุทัย กล่าวว่า ตนฟังนายกฯแถลงทางทีวีตนก็คิดว่าเป็นแนวทางที่ดี ถ้านายกฯเปิดใจกว้างที่จะเอาคนทั่วไปที่ไม่ใช่แค่ส.ส.และส.ว. ที่มีงานการเมืองอยู่แล้ว แต่เอาคนข้างนอกที่เคยผ่านงานการเมืองมาแล้วที่ไม่มีตำแหน่งแต่มีประสบการณ์ด้านการบริหารประเทศด้านอื่นมาร่วมเป็นคณะ ซึ่งตนก็ยินดี

"ถ้าถามว่ารับไหมก็คือรับ ถ้าเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ท่านรองนายกฯบอก เอาว่ารับเพื่อจะแก้ปัญหาเเพื่อหาทางออกให้บ้านเมือง แต่ไม่ขอรับตำแหน่งทางการเมือง ส่วนปัญหาที่จะหารือกันก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง เวลานี้ปัญหามันมีเยอะอยู่ แต่ก็ถือโอกาสฝากว่าปัญหาเฉพาะหน้าเราก็มีคือเรื่องปัญหาของกฎหมายที่เข้าสภาที่เนื้อความเป็นไปตามจดหมายก็ลองพิจารณาดู"นายอุทัย กล่าว

ย้อนดูข้อเสนอเครือข่าย"กดไลท์ไม่ใช่อาชญากรรม"


สืบเนื่องจาก ตำรวจมีการ ดำเนินคดี กับ บก.TPBS และ ชาวสังคมโซเชียลมีเดีย ที่ใช้ เฟสบุ๊ค กรณี การแชร์ข้อมูลด้านความมั่นคงออกไป ในขณะที่ รมว.ไอซีที.ได้ออกมา ย้ำถึงการกระทำผิดกฎกมาย กรณี แชร์ หรือ กดไลท์ ข้อมูล ที่ส่งผลกระทบความมั่นคง ลองไปดู ข้อมูลจาก เครือข่ายพลเมืองเน็ต ที่เคย รณรงค์และยื่นข้อเรียกร้องส่งไปยัง รมว.ไอซีที.ขอให้ทบทวน มาตรการจัดการ ต่อเฟสบุ๊คหมิ่น เมื่อช่วงปี ๒๕๕๔ กัน
////
เครือข่ายพลเมืองเน็ต: กดไลค์ ไม่ใช่อาชญากรรม กระทรวงไอซีทีต้องทบทวนมาตรการจัดการ “เฟซบุ๊กหมิ่น” และ ข้อแนะนำต่อพลเมืองเน็ตเมื่อเจอหน้าเว็บที่ไม่ถูกใจ
จากกรณี น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้กล่าวเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 ว่าการกดถูกใจ (Like) หรือแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊ก ถือเป็นการเผยแพร่เนื้อหาทางอ้อม อาจต้องรับผิดเช่นเดียวกับผู้เขียน และกล่าวด้วยว่า ทางกระทรวงกำลัง “ขอความร่วมมือ” ไปยังเฟซบุ๊กและยูทูบ เพื่อปิด “เพจหมิ่น” “วิดีโอหมิ่น” และสืบหาตัวผู้เขียนเนื้อหา

นอกจากนี้ ต่อมาในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 น.ส. มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้เสนอให้ปิดเฟซบุ๊กและยูทูบทั้งเว็บไซต์ หากกระทรวงไอซีทีไม่สามารถจัดการไม่ให้มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันกษัตริย์ในเว็บไซต์ดังกล่าวได้

ท่าทีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ มีปัญหาต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้เน็ตหลายประการ ดังนี้

1. กดไลค์ ไม่ใช่อาชญากรรม

1.1 รัฐธรรมนูญไทยรับรองสิทธิของประชาชนในการแสดงออกถึงความคิดความรู้สึก

ข้อความที่อาจ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อาจถูกตัดสินโดยศาลว่าผิดตามมาตรา 112 แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา แต่การแสดงออกถึงความรู้สึกต่อข้อความดังกล่าว ไม่ผิดกฎหมายใดๆ พลเมืองไทยมีสิทธิที่จะแสดงออกถึงการชอบ ไม่ชอบ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ทุกประการ

1.2 อินเทอร์เน็ตคือการลิงก์ รัฐต้องไม่เอาผิดการแบ่งปันลิงก์

ในประเทศที่กฎหมายปกป้องสิทธิพลเมือง เช่น แคนาดา ศาลได้พิพากษาว่า การแบ่งปันลิงก์ไม่นับเป็นการสร้างหรือเผยแพร่เนื้อหา และไม่ต้องถูกระวางโทษ เพราะเนื้อหาในลิงก์อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอโดยผู้แบ่งปันไม่สามารถควบคุมได้ ผู้แบ่งปันลิงก์จึงได้รับการปกป้องออกจากความรับผิด

ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายตีความว่าการแบ่งปันลิงก์คือการเผยแพร่ข้อมูล และต้องรับผิด ซึ่งสมควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

การทำลิงก์ ส่งลิงก์ และเผยแพร่ลิงก์ เป็นหัวใจสำคัญของอินเทอร์เน็ต การเชื่อมโยงในเครือข่ายจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีลิงก์ การทำให้การแบ่งปันลิงก์เป็นอาชญากรรม จึงเป็นการขัดขวางหลักการพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต และกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ

1.3 เครือข่ายสังคมออนไลน์ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ ผู้ใช้ไม่สามารถล่วงรู้และควบคุมการใช้งานได้ทั้งหมด

เครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก มีซอฟต์แวร์ที่ทำการคัดเลือกเนื้อหาและลิงก์ เพื่อแสดงในหน้าเว็บกลาง (วอลล์: wall) และหน้าส่วนตัว (โพรไฟล์: profile) โดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องอนุมัติหรือรับรู้ อีกทั้งการคัดเลือกดังกล่าวพิจารณาจากองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมวิธีได้ โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กจะทราบดีว่า ซอฟต์แวร์ของเฟซบุ๊กนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

การระวางโทษกับการกดถูกใจ แสดงความเห็น หรือการกระทำอื่นใด ซึ่งผู้ใช้ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะทำให้เกิดการเผยแพร่ต่อหรือไม่ จึงขัดกับธรรมชาติของระบบ ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ในความกลัว และไม่สามารถใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ได้อย่างปกติ

2. รัฐไทยควรจัดการอย่างไร เมื่อเจอหน้าเฟซบุ๊กหรือคลิปวิดีโอ ที่เห็นว่าไม่เหมาะสม

2.1 ตระหนักถึงราคาที่สาธารณะต้องจ่ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับความพยายามที่ไม่สามารถสำเร็จได้

ไม่มีการปิดกั้นแบบใดที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า แม้รัฐบาลไทยจะลงทุนระดับ The Great Firewall ของประเทศจีน ซึ่งเริ่มต้นด้วยงบประมาณราว 24,000 ล้านบาท ก็ไม่สามารถปิดกั้นให้เนื้อหาใด ๆ ให้หายไปจากอินเทอร์เน็ตได้ ในขณะเดียวกัน การกีดขวางการจราจรอินเทอร์เน็ต ยังกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมอีกด้วย

2.2 ต้องใช้วิธีตามกฎหมาย หยุดการ “ขอความร่วมมือ” อย่างไม่เป็นทางการจากผู้ให้บริการ

วัฒนธรรมการ “ขอความร่วมมือ” อย่างไม่เป็นทางการ ส่งผลเสียในทางปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากหลักฐานการขอความร่วมมือและข้อมูลที่ได้ จะไม่ถูกจัดเก็บในสารบบของราชการ ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิ เช่น สิทธิตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ เพื่อขอข้อมูลเพื่อตรวจสอบการทำงาน ทำให้การพิทักษ์สิทธิของประชาชนเป็นไปได้ยาก และเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล

2.3 หากรัฐยืนยันว่าจำเป็นต้องปิดเว็บไซต์หรือข้อความที่ “ไม่เหมาะสม” การกระทำดังกล่าวควรเป็นไปโดยไม่สร้างภาระความรับผิดที่เกินสมควรให้กับตัวกลางหรือผู้ให้บริการ

เครือข่ายพลเมืองเน็ตขอเสนอข้อปฏิบัติในภาพรวมดังนี้

แยกชนิดผู้ให้บริการและผู้ดูแล ออกเป็นส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหาและไม่เกี่ยวกับเนื้อหา
กำหนดให้ผู้ให้บริการและผู้ดูแลที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา (“ท่อข้อมูล”) ไม่ต้องมีความรับผิด
กำหนดระดับชั้นของผู้ให้บริการและผู้ดูแลที่เกี่ยวกับเนื้อหา ตามความใกล้กับเนื้อหา
จำกัดขนาดของผลกระทบต่อผู้ไม่เกี่ยวข้องให้เล็กที่สุด ในการส่งหนังสือเพื่อให้ระงับการเข้าถึงเนื้อหาชั่วคราว ควรแจ้งไปที่ผู้ให้บริการหรือผู้ดูแล ในระดับที่ใกล้กับเนื้อหาที่สุด ก่อนจะไล่ไปสู่ผู้ให้บริการหรือผู้ดูแลระดับที่ห่างออกไป เนื่องจากผู้ให้บริการหรือผู้ดูแลระดับที่ใกล้เนื้อหาที่สุดจะมีความสามารถในการจัดการเนื้อหาได้ง่ายกว่า และผลจากการกระทำมีโอกาสน้อยกว่าที่จะกระทบผู้ใช้บริการรายอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง
ต้องถือว่าการระงับการเข้าถึงเป็นมาตรการบรรเทาความเสียหาย ในลักษณะการคุ้มครองชั่วคราว คำสั่งปิดกั้นจะมีได้ต่อเมื่อมีการแจ้งความหรือฟ้องคดี ระยะเวลาการปิดกั้นต้องมีวันสิ้นสุด (สามารถขยายได้ อย่างมีขอบเขต)
ในการระงับการเข้าถึงเนื้อหา ผู้ให้บริการต้องแสดงหมายเลขคำสั่งที่ชัดเจนบนหน้าเว็บ เพื่อให้สาธารณะตรวจสอบได้
การปิดกั้นต้องสิ้นสุดทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่ไม่ส่งฟ้อง หรือศาลยกฟ้อง หรือคดีสิ้นสุดโดยศาลพิพากษาว่าเนื้อหาไม่ผิดกฎหมาย หลังจากนั้นรายละเอียดของคำสั่งทั้งหมดต้องเผยแพร่สู่สาธารณะ
3. พลเมืองเน็ตควรจัดการอย่างไร เมื่อเจอหน้าเฟซบุ๊กหรือคลิปวิดีโอ ที่เห็นว่าไม่เหมาะสม

3.1 พิจารณาว่า เนื้อหาดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างแท้จริงหรือไม่

ควรไตร่ตรองว่าเนื้อหาดังกล่าวเข้าตามเกณฑ์ในดังต่อไปนี้
ก) การวิพากษ์วิจารณ์ (criticism)
ข) การแสดงความดูหมิ่น เกลียดชัง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ลดค่าความเป็นมนุษย์ (hate speech)
ค) การยุยงให้ใช้ความรุนแรงหรือทำร้ายร่างกาย (fighting speech)
ง) ข้อมูลส่วนบุคคลที่เมื่อเปิดเผยแล้วอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลดังกล่าว (sensitive personal data)

ข้อความในข้อ (ค) และ (ง) เท่านั้น ที่อาจจะสามารถทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ และจำเป็นต้องจัดการอย่างทันท่วงที ส่วนข้อความในข้อ (ข) แม้เป็นการละเมิดสิทธิเช่นกัน แต่ก็มีวิธีอื่นในการจัดการได้ โดยไม่จำเป็นต้องระงับการเข้าถึง

พลเมืองเน็ตควรตระหนักว่า อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่สำหรับความรู้และความคิดเห็นอันหลากหลาย อินเทอร์เน็ตมีทุกสิ่งที่ใครคนหนึ่งเกลียด การปิดสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งทนไม่ได้ จะนำไปสู่การปิดทุกอย่างในอินเทอร์เน็ต วิธีที่เหมาะสมกับความเป็นจริงที่สุด เมื่อเจอสิ่งที่คุณไม่ชอบในเน็ต คือ อดทนกับมัน

3.2 รายงานเนื้อหาที่เห็นว่าไม่เหมาะสม ไปยังผู้ให้บริการ ด้วยเหตุผลที่ชัดเจน

เครือข่ายสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ รวมถึงเฟซบุ๊กและยูทูบ ใช้แนวคิด “notice and takedown” ซึ่งหมายถึง การเปิดให้สร้างเนื้อหาอย่างเสรี แต่หากมีรายงานการละเมิดสิทธิ ผู้ให้บริการก็จะพิจารณาลบเนื้อหาดังกล่าว

การรายงานการละเมิดจึงควรเป็นไปด้วยความรับผิดชอบ รายงานให้ตรงหรือใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และไม่พยายามปั่นระบบรายงาน เพื่อลดภาระแก่ผู้ให้บริการและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น

หากท่านต้องการรายงานว่าหน้าเฟซบุ๊กใด “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” เนื่องจากเฟซบุ๊กไม่มีเหตุผลดังกล่าวให้เลือก ขอแนะนำให้เลือกเหตุผลที่ใกล้เคียงที่สุดคือ “มันก่อกวนเพื่อนของฉัน: It harrasses my friend” คือเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตัวผู้รายงาน

การระดมคนเพื่อรายงานซ้ำๆ อาจทำให้ผู้ให้บริการไม่สามารถตอบสนองต่อรายงานกรณีอื่น ๆ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความไม่ปลอดภัยในชีวิตของผู้อื่นได้อย่างทันท่วงที (เทียบได้กับกรณีคนโทรไปป่วน 191)

อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ทางสังคมที่เราทุกคนอยู่ร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ผู้ให้บริการ และพลเมืองเน็ตจะต้องมีบทบาทร่วมกันในการรักษาพื้นที่นี้เพื่อประโยชน์สาธารณะ บนพื้นฐานของการรักษาสิทธิพลเมืองและปกป้องสิทธิมนุษยช

เครือข่ายพลเมืองเน็ต
30 พฤศจิกายน 2554
contact@thainetizen.org

ความเห็น Jk กรณีเสริมสุข สู้ถึงที่สุด เพื่อเสรีภาพสื่อ !

ความเห็นของประธานสภาการนสพ.แห่งชาติ ต่อกรณีคุณเสริมสุขhttps://www.facebook.com/photo.php?fbid=4806325210602&set=a.1346532077936.45674.1670314090&type=1&theater …
ความเห็นกรณีเสริมสุข

ไม่ว่าคำสั่งแท้จริง ที่อยู่เบื้องหลังพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ระบุความผิดของคุณเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ จะมาจากผู้ใด แต่ผมมีความเห็นทั้งในข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่ยืนยันว่าคุณเสริมสุข ต้องปฎิเสธการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบในครั้งนี้ทุกกรณี และยืนยันว่านี่เป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพของสื่อ ไม่ใช่บุคคลใด

โดยหตุผลดังนี้

๑.ความผิดที่พนักงานสอบสวน ใช้เป็นฐานในการเตรียมแจ้งข้อหากับคุณเสริมสุข คือ ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๑ (๒) ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าข้อความใดที่คุณเสริมสุขโพสต์จะเป็นความผิด เพราะเป็นการอ้างถ้อยคำจากแผ่นปลิว ซึ่งคุณเสริมสุข ขยายความต่อมาว่า เขาไม่เห็นด้วย กรณีจึงไม่ครบองค์ประกอบคือทั้งเจตนาภายนอกในการแสดงออกซึ่งข้อความ และเจตนาภายในในการแพร่กระจายข้อความอันจะกระทบต่อความมั่นคง

๒.เมื่อมีความชัดเจนว่า การกระทำดังกล่าวไม่เข้าองค์ประกอบความผิด และโดยสามัญสำนึกพนักงานสอบสวนย่อมรู้ดีว่ากรณีมิใช่การกระทำความผิด กรณีจึงน่าจะเป็นตรงกันข้าม คือพนักงานสอบสวนกำลังกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๐ คือการกระทำที่จะแกล้งให้บุคคลต้องรับโทษ ซึ่งมีโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งกฎหมายต้องการคุ้มครองผู้สุจริต เป็นประเด็นหนึ่งที่น่าคิดว่า ผู้ถูกกระทำจะต่อสู้เพื่อป้องกันตัวเองในเรื่องนี้ได้หรือไม่ อย่างไร

๓.พนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายจับ กรณีที่มีหมายเรียกสองครั้งแล้ว ผู้ต้องหายังไม่ได้มารายงานตัว และมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงจะไปขออำนาจศาลออกหมายจับ แต่อาการลุกลี้ลุกลน คล้ายจะออกหมายจับในทันทีโดยยังไม่มีเหตุตามกฎหมาย เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับ และไม่ควรปฎิบัติตามอำนาจที่ไม่ชอบธรรม

๔.หากพนักงานสอบสวน ยืนยันที่จะทำตามหน้าที่ ก็ขอให้มาสอบสวน ณ ที่ทำการของผู้ต้องหา ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ทนายความ และเพื่อนสื่อมวลชน เพื่อให้กระบวนการยุติธรรม ดำเนินไปด้วยความโปร่งใส เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถทำได้

“เสริมสุข” ยันโพสต์เรื่องปฏิวัติแค่วิเคราะห์ข่าวลือ เชื่อ ปอท.อ่านไม่หมด-ท้าถามเพื่อนในเฟซบุ๊ก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์5 สิงหาคม 2556 18:34 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เสริมสุข กษิติประดิษฐ์

บก.ไทยพีบีเอส ยันโพสต์เฟซบุ๊กเรื่องปฏิวัติเป็นการวิเคราะห์ความเห็น ไม่ใช่ปล่อยข่าวลือ เชื่อตำรวจอ่านข้อความไม่หมด แค่ฟังรายงานต่อกันมา ท้าให้สอบถามเพื่อนในเฟซบุ๊ก เผยยังไม่ได้หมายเรียกจาก ปอท.แต่ยืนยันจะไปให้ข้อมูล
      
       วันนี้ (5 ส.ค.) นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ให้สัมภาษณ์กับ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ถึงกรณีที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เตรียมแจ้งข้อกล่าวหา หลังจากระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้กระทำความผิดในการโพสต์ข้อความที่เป็นเท็จ ในเรื่องของการปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาล เพื่อชี้นำให้ประชาชนตื่นตระหนกโดยการกักตุนอาหารและน้ำ อีกทั้งยังโพสต์ข้อความที่อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายของบ้านเมือง ระบุว่า ขณะนี้ทางตำรวจยังไม่ได้ออกหมายเรียกมา เพียงแต่ว่าวันนี้มีการแถลงข่าวแล้วจะมีการออกหมายเรียกชี้แจงในเรื่องการตั้งข้อสังเกต ก็คงต้องไปให้ข้อมูล
      
       ทั้งนี้ ข้อความที่ตนเองโพสต์ออกมาในเฟซบุ๊กนั้น เป็นการนำข้อความซึ่งเป็นการกระจายข่าวเกี่ยวกับเหตุความไม่สงบที่จะเกิดขึ้นแล้วมีการโพสต์ ซึ่งเราก็บอกว่าเป็นข่าวลือที่มีการโพสต์ มีการพูดคุยกันในวงข้างนอก เราก็นำข้อความเหล่านั้นขึ้นไปเพื่อให้เพื่อนๆ ที่อยู่ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นเพื่อนของตนในนั้นกว่า 5 พันคนให้รับรู้ ซึ่งในเฟซบุ๊กนั้นปกติจะพูดคุยกันเรื่องของปัญหาบ้านเมือง ซึ่งบทบาทตรงนี้เป็นคนละเรื่องกับการทำหน้าที่สื่อในไทยพีบีเอส หลายเรื่องหลายเหตุการณ์ที่พูดคุยในนั้นเป็นเรื่องที่เราไปรายงานในสถานี ซึ่งตนทำงานอยู่ แต่เป็นการพูดคุยให้เพื่อนๆ ในนั้นรับรู้ข้อมูลข่าวสารในสิ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งที่ตนทำ เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร สถานการณ์ภาคใต้ แม้กระทั่งเรื่องการเมือง เรื่องในกองทัพ ปัญหาการซื้อเรือเหาะของอดีตผู้บัญชาการกองทัพบก ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เราคุยกันผ่านโซเชียลมีเดีย
      
       นายเสริมสุข กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องสถานการณ์ล่าสุด ก็เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลประกาศใช้กฎหมาย พ.ร.บ.ความมั่นคง ส่วนหนึ่งทำให้ผู้คนตื่นตระหนกตกใจว่า บ้านเมืองเกิดอะไรขึ้น ต้องใช้กฎหมายตัวนี้ต่อการชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เมื่อวานนี้ ซึ่งชี้ชัดว่าไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงอะไร รัฐบาลก็เห็นว่าสถานการณ์แบบนั้นคงจะต้องประกาศสถานการณ์ตรงนั้น ซึ่งก็เป็นที่มาของข่าวลือที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นข่าวที่ตนโพสต์ในหน้าเฟซบุ๊ก ซึ่งในนั้นตนก็ยังเขียนไปว่า โดยส่วนตัวแล้วตนไม่เชื่อข่าวลือว่าจะทำปฏิวัติตัวเองได้ เพราะตนมองว่าถ้าจะมีการปฏิวัติตัวเอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จะต้องเอาด้วย ไม่เช่นนั้นก็ทำลำบาก และในสถานการณ์เหล่านี้ตนก็ยังเชื่อว่าผู้นำกองทัพไม่น่าที่จะเห็นชอบกับแนวคิดที่จะปฏิวัติตัวเองอย่างที่มีข่าวลือออกมา ส่วนที่บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกล้าทำหรือไม่ ในสถานการณ์ตรงนั้นตนก็เขียนแซวไปว่ากล้าหรือในช่วงที่มีอำนาจอยู่ ตอนนั้นก็ยังโดนปฏิวัติ ซึ่งโดยสรุปก็คือในสิ่งที่ตนโพสต์บอกว่ามีข่าวลือเรื่องของการปฏิวัติตัวเอง ตนก็เขียนอธิบายไปก่อนว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถ้าผู้บัญชาการทหารบกไม่เอาด้วย ก็เป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นเลย
      
       “อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นการพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในเฟซบุ๊ก ซึ่งผมคิดว่าเพื่อนผมที่อยู่ในเฟซบุ๊กเขาก็รับรู้ข่าวสารส่วนหนึ่ง ก็อย่างที่ผมเขียนในเฟซบุ๊ก ถ้าไม่ได้อ่านเฟซบุ๊ก ถ้าไม่ได้อ่านข่าวก็ตื่นตกใจว่าเราไปโพสต์ข่าวลือ หรือยุยงให้มีการปฏิวัติรัฐประหารอย่างที่ตำรวจตั้งข้อสังเกต” นายเสริมสุข กล่าว
      
       เมื่อถามว่า เจตนาที่ต้องการจะสื่อสารคือ การวิเคราะห์สถานการณ์มากกว่าการปล่อยข่าวสร้างความแตกตื่นใช่หรือไม่ นายเสริมสุข กล่าวว่า ใช่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาของการเอาข่าวขึ้นหน้าเฟซบุ๊กตนเป็นแบบนี้ตลอด ก็จะมีการวิเคราะห์ มีการพูดถึงสถานการณ์ และความเห็นของตนในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องนี้มาจากข่าวลือที่บอกว่าคนเสื้อแดงกระทำ ตนก็บอกว่า เฮ้ย มันมีข่าวลือขึ้นนะ อย่างที่ออกมา เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับออกมากล่าวหาว่าตนเป็นคนแพร่ข่าวลือให้เกิดความตื่นตระหนก ตนก็ยังสงสัยว่าทางตำรวจเขาได้อ่านข้อความทั้งหมดที่ถูกโพสต์ในหน้าเฟซบุ๊กหรือเปล่า ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องดูต่อไป เพราะต้องไปชี้แจงกับทางตำรวจว่าจะตั้งข้อหาหรืออะไรยังไง แต่ก็คงจะชี้แจงแบบนี้
      
       เมื่อถามว่า ทางตำรวจมีการตั้งข้อสังเกต และแจ้งข้อกล่าวหาออกมา คิดว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุหรือไม่ นายเสริมสุข กล่าวว่า ถ้าได้อ่านข้อความทั้งหมด ตนคิดว่าตำรวจไม่น่าจะตั้งข้อหาตนในลักษณะเช่นนั้น หน้าเฟซบุ๊กตนก็มีมาหลายปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีบันทึกในนั้นหมด ตนเห็นว่าเขาน่าจะดูย้อนหลังได้เลย ข่าวทั้งหมดที่ตนโพสต์ในนั้น รวมถึงการปฏิวัติรัฐประหารที่ผ่านมา ตนก็เคยออกมาพูดเตือนเพื่อนๆ ที่มาโพสต์ว่าจะมีปฏิวัติ ตนก็บอกว่า เฮ้ย ไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น เขียนแบบนี้มันจะเกิดความเข้าใจผิดได้ ตนเห็นว่าตำรวจอาจอ่านไม่หมด ฟังรายงานขึ้นมา เหมือนพูดทั่วไปว่า ตนไปโพสต์ข้อความทำให้เกิดข่าวลือ ตนว่าต้องอ่านให้หมด อ่านให้ตลอด หรือไม่ก็ลองไปคุยกับแฟนเพจตน ต้องไปดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในหน้าเฟซบุ๊กตน ก็จะสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่มีต่อข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น

กลาโหม งัดข้อบังคับกลาโหมเตือน ขรก.ร่วมชุมนุมม็อบการเมือง



กลาโหม งัด ข้อบังคับกลาโหมว่าด้วยข้าราชการกลาโหมกับการเมือง ๒๔๙๙ คุมทหาร ในการร่วมม็อบ แต่ห้ามไปในเวลาราชการไม่แต่งเครื่องแบบทหาร ร่วมชุมน
ุมการเมืิอง ห้ามวิจารณ์รัฐบาลการเมือง แนะใช้วิจารณญาณ ในการรีบฟีงข่าวสาร

พันเอกธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่มีกลุ่มผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการปฏิบัติงานของรัฐบาล ขณะนี้หลายกลุ่ม ได้แก่กลุ่มพลังธรรมาธิปไตย, กลุ่มสภาประชาชนแห่งชาติ, กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ, เสนาธิการร่วม และกลุ่มนักรบนิรนาม
โดยบรรยากาศการชุมนุมตั้งแต่ ๔ ส.ค.๕๖ มีประชาชนทยอยมาร่วมชุมนุมร่วมกันบางส่วน ทั้งที่มาจากต่างจังหวัด และกรุงเทพฯ ได้มีการแถลงการณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ผ่านมา ได้เชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมถึงทหาร ตำรวจ ทั้งในและนอกราชการ พี่น้องประชาชนทุกสีเสื้อ ผู้รักชาติประชาธิปไตยและเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าร่วมชุมนุมเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปครั้งสำคัญแห่งประเทศไทยซึ่งถือว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นสิทธิในการแสดงความเห็นต่างทางการเมืองและเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่สามารถแสดงออกได้ตามระบอบประชาธิปไตย แต่จะต้องไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพและความเดือดร้อน

"ในส่วนของข้าราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม อันได้แก่ ข้าราชการประจำการ ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ทั้งทหารและพลเรือน เว้นแต่ข้าราชการประเภทการเมือง, นักเรียนทหาร , ทหารกองประจำการ และลูกจ้างประจำ และพนักงานราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม มีสิทธิเสรีภาพทางการเมืองทำนองเดียวกับประชาชนทั่วไป"
แต่ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเหมาะสมต่อสถานะของข้าราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม และไม่ขัดต่อ“ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยข้าราชการกลาโหมกับการเมือง พุทธศักราช ๒๔๙๙ ” กระทรวงกลาโหม จึงขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้กำลังพลและครอบครัวได้รับทราบ และปฏิบัติ ดังนี้
๑.อย่าตื่นตระหนกและควรใช้วิจารณญาณในการรับฟังข่าวสารจากสื่อทุกแขนง
๒.ขอให้ข้าราชการกระทรวงกลาโหมได้ยึดถือข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยข้าราชการกลาโหมกับการเมือง โดยมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้
-ข้อ ๖ ข้าราชการกลาโหมจะเข้าร่วมประชุมอันเป็นการประชุมของพรรคการเมืองเป็นการส่วนตัวก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องมิใช่ในเวลาราชกา
-ข้อ ๗ ข้าราชการกลาโหมจะต้องปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือเกี่ยวกับประชาชน ด้วยการวางตัวเป็นกลางโดยไม่มุ่งหวังประโยชน์ของพรรคการเมืองโดยเฉพาะ แต่ทั้งนี้ต้องปฏิบัติ ตามนโยบายรัฐบาล และไม่กระทำการให้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง และแบบธรรมเนียมของทหาร
-ข้อ ๘ ข้าราชการกลาโหมจะต้องไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้าม ดังต่อไปนี้
(๑)ไม่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลให้ปรากฏแก่ประชาชน
(๒) ไม่แต่งเครื่องแบบซึ่งทางราชการกำหนดไว้ไปร่วมประชุมพรรคการเมืองหรือไปร่วมประชุมในที่สาธารณะใดๆ อันเป็นการประชุมที่มีลักษณะทางการเมือง
(๓) ไม่ประดับเครื่องหมายของพรรคการเมืองในสถานที่ราชการหรือในเวลาราชการ หรือในเวลาสวมเครื่องแบบ ซึ่งทางราชการกำหนดไว้
(๔) ไม่แต่งเครื่องแบบของพรรคการเมืองเข้าไปในสถานที่ราชการทุกๆ แห่ง
(๕) ไม่บังคับผู้อยู่ในบังคับบัญชาหรือประชาชนทั้งโดยตรงหรือโดยปริยายให้เป็นสมาชิกในพรรคการเมืองใด และไม่กระทำการในทางให้คุณหรือโทษเฉพาะเหตุที่ผู้อยู่ในบังคับบัญชาหรือประชาชนนิยมหรือเป็นสมาชิกในพรรคการเมืองใด ที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย

เสียงสุดท้ายอิหม่ามปัตตานี..ยะโก๊ป หร่ายมณี ก่อนถูกยิงเสียชีวิตวันนี้

บทสัมภาษณ์สุดท้ายของอิหม่ามยะโก๊ปในเว็บอิศราก่อนตกเป็นเหยื่อ ถูกยิงเสียชีวิตกลางเมืองปัตตานี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปี ๕๓ เคยถูกลอบยิงมาแล้ว .... อิหม่ามยะโก๊ป ย้ำประเด็นความแตกต่างหลากหลายในพื้นที่ชายแดนใต้

/////

ยะโก๊ป หร่ายมณี...คุยกันเรื่องสันติภาพ ศีลอด และรอมฎอน

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฏาคม 2013 เวลา 21:22 น.
รอมฎอนถือเป็นเดือนแห่งบุญของพี่น้องมุสลิม แต่รอมฎอนปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ สำหรับผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในห้วง 1 ทศวรรษหลังที่เกิดเหตุร้ายรายวันขึ้น เนื่องจากเป็นปีที่รัฐบาลไทยจับมือกับกลุ่มบีอาร์เอ็นประกาศช่วยกันยุติเหตุรุนแรงทุกชนิดในช่วงเดือนรอมฎอนและ 10 วันแรกของเดือนเซาวัล รวมเวลา 40 วัน
yakob
          ด้วยเหตุนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มาร่วมกันทบทวนหลักการของรอมฎอน การถือศีลอด การละหมาดตะรอเวียะห์ และอนาคตของกระบวนการสันติภาพ โดยการพูดคุยกับผู้นำศาสนาซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในพื้นที่อย่าง นายยะโก๊ป หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี
          @ รอมฎอนคืออะไร?
          รอมฎอน คือเดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม เป็นเดือนที่มุสลิมถือศีลอดทั้งเดือน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "เดือนบวช" เป็นเดือนที่พระเจ้าทรงประทานความโปรดปราน ทรงอภัยโทษ สิ่งสำคัญที่สุดคือประตูนรกจะถูกปิด แต่ประตูสวรรค์จะเปิดอย่างกว้างขวาง และซาตานตัวมารร้ายจะถูกล่ามโซ่ ใครทำความดีในเดือนรอมฎอนก็จะได้รับผลตอบแทนมากมาย ขณะเดียวกันคนที่ทำความชั่วในเดือนรอมฎอนก็จะถูกลงโทษสาหัส
          @ วัตถุประสงค์ของเดือนรอมฎอน?
          เพื่อเพิ่มความยำเกรงพระเจ้าให้มากขึ้น ต้องการให้เราทำทานมากขึ้น รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคัมภีร์อัลกุรอานให้มากยิ่งขึ้น
          @ กิจกรรมหลักของเดือนรอมฏอน?
          มุสลิมจะต้องอดอาหารเพื่อจะได้รู้สึกถึงคนที่ไม่ได้รับการดูแลจากสังคม เช่น คนยากจน เป็นต้น และเดือนนี้ยังเป็นเดือนที่อัลกรุอานได้ถูกประทานลงมาเป็นทางนำแก่มนุษย์ มุสลิมจึงต้องอ่านอัลกุรอานเพื่อศึกษาถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้ว่าการเป็นอยู่ในโลกนี้และโลกหน้าเป็นอย่างไร และจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง
          กิจกรรมพิเศษของมุสลิมคือการละหมาดตะรอเวียะห์ในยามค่ำของเดือนนี้ ฉะนั้นเดือนรอมฎอนจึงเป็นเดือนแห่งความดี เป็นเดือนสิริมงคล เรียกได้ว่ารอมฏอนเป็นเดือนแห่งการอบรมจิตใจนั่นเอง นี่คือปัจจัยหลักของเดือนรอมฎอน
          @ การถือศีลอดคืออะไร?
          การถือศีลอดคือการที่มุสลิมงดเว้นจากการรับประทาน การดื่ม การสูบบุหรี่ จะไม่มีสารใดๆ ถูกนำเข้าสู่ร่างกายที่ถือเป็นการหล่อเลี้ยงร่างกาย รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ด้วย การถือศีลอดยังรวมถึงการงดเว้นจากเจตนาร้ายและอดทนต่อสิ่งรอบตัว ไม่ขโมย ไม่เข้าสู่สถานอบายมุขต่างๆ ไม่ดูสิ่งลามก ไม่ฟังสิ่งไร้สาระ และไม่นินทาว่าร้ายคนอื่น ทุกอย่างนี้ต้องหยุดทำหมดในช่วงการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
          @ ระยะเวลาในการถือศีลอด?
          เริ่มตั้งแต่รุ่งอรุณไปจนถึงอาทิตย์ตก ทุกวันในเดือนรอมฎอน วันละ 13 ชั่วโมง
          @ ใครที่ต้องถือศีลอดบ้าง? 
          การถือศีลอดเป็นข้อบังคับสำหรับมุสลิมทุกคน ทั้งชายและหญิงที่ถึงวัยบรรลุศาสนภาวะแล้ว
          @ บุคคลที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอนมีหรือไม่?
          มีคนเจ็บป่วย คนชรา หญิงที่มีประจำเดือน หญิงที่ตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร ผู้เดินทางไกล แต่หากคนเหล่านี้มีความสามารถก็ถือได้ หญิงที่ตั้งครรภ์และที่ให้นมบุตร กับคนที่ไม่มีความสามารถที่จะถือศีลอดนั้นต้องจ่ายเป็นทานแทน โดยจ่ายทานเป็นข้าวสารวันละ 1 ลิตร ส่วนคนเจ็บป่วยและสตรีที่มีประจำเดือน ให้ถือศีลอดชดใช้ภายหลังให้ครบหลังจากเดือนรอมฎอนผ่านพ้นไปแล้ว ตั้งแต่แสงพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า จนแสงพระอาทิตย์เริ่มตกดิน
          @ หลักการสำคัญของรอมฎอนคืออะไร?
          รอมฎอนประกอบด้วยหลัก 3 ประการ คือ การอภัยโทษ การทำทาน และการถือศีลอด ดังเช่นที่ระบุไว้ว่า "ผู้ใดก็ตามดำรงไว้ซึ่งการละหมาดยามค่ำคืนของเดือนรอมฎอนด้วยความมุ่งมั่น พระเจ้าจะตอบแทนด้วยการอภัยโทษในบาปกรรมต่างๆ ที่ทำมาจากอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน" หรือ "ผู้ใดที่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนด้วยใจที่มุ่งมั่น และหวังการโปรดปรานจากพระองค์แล้ว คนๆ นั้นจะได้รับการอภัยโทษอย่างไม่มีเงื่อนไข" นี่เป็นเกณฑ์หลักของเดือนรอมฎอน เป็นเดือนอภัยทานอย่างชัดเจน
          แต่รอมฎอนไม่ได้มีเฉพาะ 3 หลักการที่ว่าเท่านั้น เพราะยังเป็นองค์รวมทั้งหมดแห่งความดี เป็นนายของเดือนทั้งหลายของ 11 เดือนที่เหลือ และเป็นเดือนที่พระเจ้าทรงประทานพระมหาคำภีร์อัลกุรอานเพื่อเป็นทางนำและจำแนกแยกแยะความจริงกับความเท็จ การทำความดีที่ประเสริฐที่สุดก็คือการถือศีลอด การละหมาดตะรอเวียะห์ซึ่งไม่มีในเดือนอื่น มีเฉพาะเดือนรอมฎอน
          @ เดือนรอมฎอนมีความสำคัญกับพี่น้องมุสลิมอย่างไร?
          เป็นเดือนที่ให้โอกาส อัลลอฮ์ให้การ์ดทองกับมุสลิมทุกคน เหมือนเราไปซื้อของที่บิ๊กซี (ห้างค้าปลีกชื่อดัง) เรามีการ์ดทอง จากปกติ 100 บาท เราได้สิทธิลดราคาเหลือ 50 บาท แต่การ์ดทองของอัลลอฮ์ จากหนึ่งได้ร้อย
          รอมฎอนมีมาตลอด 1,400 กว่าปี แต่ชีวิตของมนุษย์นั้นไม่จีรัง พวกเราอย่างมากก็ 60-70 ปี เพราะฉะนั้นรอมฎอนมาทุกปี แต่เราจะอยู่ถึงรอมฎอนปีหน้าหรือเปล่ายังไม่มีใครรู้ ทางที่ดีที่สุดก็คือให้ทำความดีให้มากที่สุดในช่วงเดือนรอมฎอน
          @ ความสำคัญของการละหมาดตะรอเวียะห์ในเดือนรอมฎอน?
          การละหมาดตะรอเวียะห์แต่ละค่ำคืนจะได้ผลบุญแตกต่างกันไป สมมติค่ำคืนที่ 1 ผู้ละหมาดจะไม่มีบาปเหมือนกับตอนที่เขาคลอดจากท้องมารดาใหม่ๆ หรือค่ำคืนที่ 5 ได้รับผลบุญเท่ากับผู้ที่ได้ไปละหมาดที่มัสยิดฮะรอม มัสยิดนะบะวีย์ (ประเทศซาอุดิอาระเบีย) มัสยิดอัลอักซอ (กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล) เทียบเท่า 1 แสนรอกาอัต (ละหมาดที่มัสยิดทั่วไปได้ 1 รอกาอัต ละหมาดที่มัสยิดฮะรอมได้ผลบุญ 1 แสนรอกาอัต) เป็นต้น
          @ เดือนรอมฎอนมีคุณค่าและความประเสริฐอย่างไร?
          อัลลอฮ์จะทรงชำระล้างความผิดบาปทั้งหลายของบรรดาผู้ศรัทธาและจะทรงอภัยโทษมันแก่พวกเขา ใครก็ตามที่ใช้ชีวิตในเดือนรอมฎอน และเดือนรอมฎอนผ่านพ้นไปโดยที่เขาไม่สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองและไม่สามารถแสวงหาการอภัยโทษจากอัลลอฮ์ได้ ถือว่าเขาคือผู้ที่อัปยศและอับโชคที่สุด
          เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งจากเป้าหมายของเดือนรอมฎอนและการกำหนดการถือศีลอดตลอดจนการทำความดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารละศีลอดแก่ผู้ถือศีลอด การบริจาคทาน การอ่านอัลกุรอานนั้น อัลลอฮ์จะทรงเปิดโอกาสให้ปวงบ่าวของพระองค์แก้ไขปรับปรุง ขัดเกลาตนเอง และกระทำการกลับเนื้อกลับตัว นอกจากนี้ยังมีคืนลัยละตุลก็อดร์ คือการทำความดีหากไปบรรจบกับคืนนี้ จะได้รับผลบุญเทียบเท่ากับ 83 ปีกับอีก 4 เดือน
          @ อีฎิลฟิตรี หรือวันอีดของพี่น้องมุสลิมคืออะไร?
          เทศกาลที่เรียกว่า อีฎิลฟิตรี คือวันแห่งการขอบคุณและฉลองอย่างมีความสุขเมื่อเดือนรอมฎอนสิ้นสุดลง ในวันนั้นชาวมุสลิมจะทำละหมาดพิเศษร่วมกันเพื่อขอบคุณอัลลอฮ์สำหรับความโปรดปรานและความเมตตาของพระองค์
          @ รอมฎอนกับการเจรจาสันติภาพ การหยุดความรุนแรง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีหรือไม่?
          ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทุกฝ่ายจะสงบ แต่ตามหลักของศาสนาอิสลาม ใครก็ตามที่เป็นอิสลามแล้ว ด้วยจิตสำนึกและวิญญาณความเป็นมุสลิมเต็มร้อย ต้องหยุดหมดโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องไปต่อรอง เพราะเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่พระเจ้าทรงให้ความโปรดปรานกับมนุษย์ ผมพูดตามหลักศาสนา แต่ใครจะไปพูดคุยให้เกิดความสงบสุขก็เป็นการดี แต่ด้วยจิตสำนึกความเป็นอิสลามที่แท้จริงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าลืมว่าเดือนรอมฎอนเป็นเดือนแห่งความประเสริฐ เป็นเดือนที่ทำความดี ฉะนั้นเรื่องที่ไม่ดีก็ไม่ต้องไปทำ การคุยเพื่อให้เกิดสันติภาพในเดือนรอมฎอนถือเป็นเรื่องดี ขอสนับสนุนให้เกิดการพูดคุย
          @ มีความเห็นอย่างไรบ้างกับข้อเรียกร้องแต่ละข้อของฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ และรัฐเองควรมีท่าทีอย่างไรเพื่อนำไปสู่การพูดคุยและสันติสุข?
          จริงๆ ในส่วนของรัฐเอง ผมว่าน่าจะเอาคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงไปคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ประเภทต่อรองกันได้แล้วจบ ไม่ใช่พูดเสร็จแล้วกลับมาถามพี่น้องประชาชนอีก แต่ทุกอย่างต้องจบบนโต๊ะ ถือเป็นการให้เกียติรซึ่งกันและกัน
          ข้อเสนอบางข้อ (เงื่อนไขแลกยุติเหตุรุนแรงของบีอาร์เอ็น มี 7-8 ข้อ) อย่างกรณีให้อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) กระทำละหมาด คนเหล่านี้ก็ละหมาดเป็นปกติอยู่แล้ว หรือไม่ให้ขายเหล้า ถ้ามุสลิมขายเหล้าก็หะรอมอยู่แล้ว แต่คนที่ไม่ใช่มุสลิมกระทำได้ เนื่องจากเราอยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลาย คนพุทธห้ามขายหมูมันไม่ใช่ เราต้องเข้าใจว่าอัตลักษณ์ของศาสนาเป็นอย่างไร ศาสนาของเขาก็ของเขา ของเราก็ของเรา ในเรื่องวิถีชีวิต สังคม เราอยู่ร่วมกันได้ อันไหนที่ทำได้ก็ทำ อันไหนที่ขัดกับระบบอิสลามกำหนดก็มาว่ากันไป
          @ อิหม่ามเห็นด้วยกับการเจรจาหรือไม่?
          เห็นด้วย นั่นคือการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ศาสนาอิสลามเน้นย้ำเรื่องการพูดคุย ตักเตือนซึ่งกันและกัน ศาสดามูฮำหมัดไม่เคยไปรุกรานใคร การใช้กำลังถือเป็นเรื่องสุดท้าย ผมจึงบอกว่าไปศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามให้ดี อิสลามสอนอะไรกับเรา
          @ คิดว่าบีอาร์เอ็นสามารถคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้จริงหรือไม่?
          ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีหลายมิติ และมีหลายกลุ่มเกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มบีอาร์เอ็น กลุ่มอาร์เคเค เป็นต้น ถามว่าคนที่มีผลประโยชน์แต่ไม่มีอักษรย่อ พวกเรารู้จักหรือไม่ เขาจะยอมหรือเปล่าในเมื่อมีผลตอบแทนมหาศาล บางครั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐก็เข้าไปมีส่วนเสียเอง ตราบใดที่น้ำข้างบนขุ่น สกปรก กรองมากี่ชั้น เมื่อลงมาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็คงขุ่นอยู่วันยังค่ำ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คำต่อคำ นายอภิสิทธิ์ หน.ปชป.ในการปราศรัยเวทีประชาชน เดินหน้าผ่าความจริง ราชเทวี

คำต่อคำ นายอภิสิทธิ์ หน.ปชป.ในการปราศรัยเวทีประชาชน เดินหน้าผ่าความจริง ราชเทวี
05 ส.ค. 2556

คำต่อคำ นายอภิสิทธิ์ หน.ปชป.ในการปราศรัยเวทีประชาชน เดินหน้าผ่าความจริง ราชเทวี

คำต่อคำ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ในการปราศรัยเวทีประชาชน
“หยุดกฎหมายล้างผิดคิดล้มรัฐธรรมนูญ  หยุดเงินกู้ผลาญชาติ  หยุดอำนาจฉ้อฉล”
ณ  ลานกีฬา ใต้ทางด่วน สี่แยกอุรุพงษ์  เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
วันที่ 5 สิงหาคม 2556 
  
พี่น้องที่รักความจริงรักความถูกต้องที่รักความถูกต้องทุกท่านครับ กราบสวัสดีพี่น้องอีกครั้งหนึ่งครับ ขอขอบคุณพี่น้องที่วันนี้ฝ่าทั้งการจราจร ฝ่าทั้งสายฝน มาร่วมกิจกรรมเวทีผ่าความจริงที่มาอยู่ที่อุรุพงษ์ ในเย็นวันนี้ ที่จริงทราบครับ มีคนติดต่อเข้ามาไม่ขาดสายครับว่า กำลังเดินทางมา กำลังเดินทางมา เพราะว่าการจราจรติดขัดมาก เมื่อเช้าผมก็เห็นแล้วครับ เพื่อนฝูงทั้งหลายเริ่มส่งข้อความกันไปบอก วันนี้รถจะติดมาก เพราะมีการปิดถนนหลายสายซึ่งเป็นการปิดถนนโดยอาศัยการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเช้าผมต้องเดินทางไปประชุมคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่รัฐสภา ก็จะต้องเดินทางไปในเส้นทางที่เขาบอกว่าปิดนั่นแหละครับ แล้วก็ไปพบความจริงว่า เขาก็ตั้งรั้ว ตั้งสิ่งกีดขวางทั้งหลายเอาไว้ แล้วก็ปล่อยให้มีช่องแคบๆ ช่องเล็กๆ ให้รถผ่านเข้าไปได้ ซึ่งก็เป็นที่มาที่ทำให้วันนี้การสัญจรไปมาของพี่น้องประชาชนไม่สะดวก 

แต่ที่แปลกพี่น้องครับ ที่แปลกก็คือว่า เวลาเดินทางเข้าไปสู่พื้นที่ตรงนั้น เขาจะติดป้ายเอาไว้ว่า การจราจรนั้นไม่สะดวก หรือผ่านไปไม่ได้ เพราะมีเหตุชุมนุม ผมก็ผ่านเข้าไปตรงนั้นไป ผมก็ไม่เห็นมีใครชุมนุมอยู่แม้แต่คนเดียว แต่ติดป้ายทั่วไปหมดบอกมีเหตุชุมนุม ผมก็นั่งคิดว่าพวกนี้เก่งจริงๆ นะ ตอนเป็นฝ่ายค้านก็ปิดราชประสงค์ ปิดสะพานผ่านฟ้า มาเป็นรัฐบาลไม่มีอะไรทำ ปิดถนนเล่นอีก ให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อน ก็เวลานี้การชุมนุมอะไรทั้งหลาย จัดเวทีกันแบบนี้ ปราศรัย อยู่นอกเขตพื้นที่ที่ประกาศเหตุว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคงทั้งสิ้น 

แต่เป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลพยายามทุกวิถีทางขณะนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า มีคนที่จะมาก่อความวุ่นวาย ความจริงเรื่องนี้พวกเราบนเวทีผ่าความจริง พูดกันมาหลายวันติดต่อกัน เชื่อว่าพี่น้องก็คงจะเข้าใจ แต่เมื่อคืนครับ ผมก็พูดจาปราศรัยอยู่ เพิ่งทราบว่ามีแฟนรายการผ่าความจริงที่อยู่แดนไกล คือหลังจากที่ผมพูดจาปราศรัยเพราะบุคคลดังกล่าวมาทวิตเตอร์พาดพิงผม ไล่ให้ผมไปดูกฎหมายนิรโทษกรรมในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยทุกฉบับ พยายามสร้างความสับสนให้กับพี่น้องประชาชน ผมก็เลยปราศรัยบนเวทีอธิบายให้เห็นเป็นฉากๆ ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แล้วที่มากล่าวหาผม มากล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคำโกหกอย่างไร 

ปรากฏว่า บุคคลนั้นคงติดตามการปราศรัยของผม แล้วก็มีปัญหาว่า เนื้อหาสาระที่ผมอธิบายไปทั้งหมด เรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม ว่ามันแตกต่างจากฉบับที่พวกคุณเสนอกันอย่างไรนั้น แล้วก็ฝากคำถามเอาไว้พี่น้องอาจจะจำได้ ผมถามว่าเคยมีฉบับไหนมั้ยนิรโทษกรรมคนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เคยมีฉบับไหนมั้ยที่ไปนิรโทษกรรมคนที่มีเจตนาออกมาจากบ้าน ไม่ใช่เพื่อชุมนุมทางการเมือง แต่วางแผนในการประทุษร้ายประชาชน ร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของคนอื่น แล้วผมก็ถามว่า มีกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับไหนมั้ยที่คิดถึงขนาดว่าจะไปล้างผิดให้กับคนโกง 

บุคคลที่ผมตั้งคำถามไปวันนี้ ใช้ทวิตเตอร์อยู่ ผมไม่แน่ใจว่าใช้เวลานานเท่าไหร่คิด แต่รู้สึกว่าใช้เวลานานในการพิมพ์นานมาก เพราะว่ามีตั้งแต่ 2 ชม.ที่แล้ว 1 ชม.ที่แล้ว 1 นาทีที่แล้ว ใช้เวลาอยู่ประมาณ 3 ชม. ไม่สามารถตอบคำถามผมได้แม้แต่คำถามเดียว แต่เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ด่าทอ พาดพิงผม ไปถึงคุณพ่อ ไปถึงคุณแม่ ไปถึงท่านนายกชวน ไปถึงใครต่อใคร เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจจริงๆ น่าเห็นใจจริงๆ 

ผมไม่ไปตอบโต้เรื่องเหล่านั้นหรอกครับ แต่เตือนความจำนิดนึง คือเขียนว่าเป็นห่วงสุขภาพจิตผม ผมก็อยากจะบอกว่า คราวที่แล้วที่ว่าผมนั้นว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตนี่ ผมฟ้องหมิ่นประมาทไว้อยู่ที่ศาลอาญา รอมาขึ้นศาลมาแก้คดีเก่าเสียก่อน อย่าหลบหนีไป ผมบอกได้เลยว่า ไอ้ที่พยายามจะมาพูดให้คนคิดบอกผมมีสุขภาพจิตไม่ดี มีปัญหา โลภ โกรธ หลง แหม คนอื่นพูด ผมจะไม่ว่าเลย 

ถ้าพูดถึงโลภนะ ใครจะโลภได้เท่ากับคนที่โกงจนถูกยึดทรัพย์ได้ 46,000 พันล้าน ถ้าพูดถึง โกรธ หลงนะ มีผู้นำคนไหนบ้างครับ ให้นโยบายจนกระทั่งมีการฆ่าตัดตอนคนตายไปเป็นร้อย เป็นพัน แปลกมาก แล้วก็จินตนาการไปสารพัด ก็พยายามพูดซ้ำๆ เดิมๆ ว่า ประชาธิปัตย์อยากเป็นรัฐบาล ผมอยากเป็นนายกฯ แล้วที่ไปโกรธคุณทักษิณเพราะว่าแกขวางผมอยู่ แล้วก็พูดไปไกลถึงขั้นว่า ผมนี่ หลับตาก็เห็นทักษิณ ลืมตาก็เห็นทักษิณ ขอประทานโทษครับ ไม่เคยอยู่ในสายตาผม ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่น ชีวิตผมมีอะไรน่าดู และเป็นมงคลกว่าทักษิณเยอะครับ ไม่ว่าจะหลับตา หรือลืมตา 

แล้วก็ตัดพ้อบอก เอ้ อภิสิทธิ์ก็การศึกษาดี แต่ไม่เข้าใจ ก็ใช่ครับ ผมไม่เคยเห็นทักษิณเข้าใจคนไหนที่การศึกษาดีสักคน ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องห่วงผม ผมดูแลตัวเองได้ แต่ว่าผมเป็นห่วงคนที่สุขภาพจิต หรือสุขภาพกายไม่ดีไม่ทราบ วันดีคืนดีอายุปูนนี้แล้ว ไม่มีอะไรทำ มาเที่ยวชกกระสอบ หรือชกอะไรอยู่ก็ไม่ทราบ เก่งจริงๆ นะ ไอ้ชกพวกที่ชกตอบไม่ได้เนี่ย เออ 
ผมอยากจะบอกอย่างนี้พี่น้องครับ สาระสำคัญในวันนี้ ที่พวกผมมาทำนี่ จริงๆ ไม่ได้สนใจหรอกครับว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะชื่ออะไร จะชื่อทักษิณ จะชื่อวรชัย จะชื่อณัฐวุฒิ หรือจะชื่ออะไรก็แล้วแต่ ทุกอย่างที่พวกเราต่อสู้ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องตัวคน แต่เป็นเรื่องหลักการ เป็นเรื่องอุดมการณ์ เป็นเรื่องการรักษาความถูกต้องให้กับบ้านเมือง ผมรู้ดีว่า ทักษิณไม่มีทางเข้าใจความคิดแบบนี้ เห็นมั้ยครับ เวลาใครมีเรื่องกับใคร ทักษิณต้องบอก ผลประโยชน์ขัดกัน เพราะทักษิณไม่เข้าใจครับว่า คนบางคนที่เขาต้องเข้ามาสู่ความขัดแย้ง เพราะเขามีอุดมการณ์ และเขาต้องต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แปลว่าขัดแย้งกัน เป็นเรื่องผลประโยชน์ สตางค์บ้าง อำนาจบ้าง ใช่มั้ยครับ แล้วก็ไปสบประมาท คนที่มาต่อต้านว่าเป็นม็อบตังค์ทอน มันสะท้อนความคิด ของผู้พูด ผู้เขียนครับ 

เพราะฉะนั้นที่ผมพูดไว้เมื่อวาน ยืนยันเหมือนเดิมครับ น่าเสียดายครับ ขณะนี้น่าจะเป็นทางการแล้วว่า ให้รู้ว่า มีเงินเท่าไหร่ ก็ซื้อสติปัญญาไม่ได้ ตราบใดที่ซื้อไม่ได้ ก็ขอให้จ่ายสตางค์ให้ขี้ข้าที่มาหลอกตัวเองต่อไป เพราะฉะนั้นปล่อยไปเถอะครับ คนนั้น เรามาพูดถึงเรื่องสำคัญว่า ที่เราปล่อยไปไม่ได้คือเรื่องกฎหมายนี้ มันเพราะอะไร 

วันนี้เมื่อสักครู่ ผมเห็นข่าวครับ องค์กรสิทธิมนุษยชน ที่เป็นองค์กรภาคเอกชน เปิดแถลงข่าวในต่างประเทศ ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนิรโทษกรรมของนายวรชัย และพรรคเพื่อไทย เขาพูดชัดเจนครับว่า เหตุการณ์ในช่วงที่จะมีการนิรโทษกรรมตั้งแต่ 2549 จนถึง 2554 เป็นเหตุการณ์ที่มีการจงใจละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ในเรื่องของชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งประเทศที่เจริญแล้วไม่พึงที่จะนิรโทษกรรมให้ เขาแถลงชัดเจนตามหลักสากลว่า การที่มีผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐ หรือไม่ว่าจะเป็นคนที่เข้ามาแฝงตัวอยู่กับผู้ชุมนุม หรือเป็นประชาชน หรือใครก็ตาม จะมีตำแหน่งหรือไม่ จะอยู่ฝ่ายไหนต้องรับผิดชอบกับการละเมิดสิทธิของคนอื่น เขาจึงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ 

และผมก็อยากจะบอกชัดๆ อีกครั้งว่าในฐานะที่รัฐบาลก็เล่นงานกล่าวหาผมกับคุณสุเทพ ว่าไปละเมิดสิทธิของคนอื่น คืออ้างว่า ผม กับคุณสุเทพ ไปสั่งฆ่าประชาชน แล้วจะมาถามว่าผมต้องการการนิรโทษกรรมมั้ย ผมกับคุณสุเทพ ก็พูดชัด เราต้องพิสูจน์ความจริง และให้กระบวนการยุติธรรมทำงาน ทักษิณก็เพ้ออีก บอกว่าที่อภิสิทธิ์ ไม่กลัวขึ้นศาล เพราะรู้ว่าถ้าขึ้นศาลไทยจะมีคนช่วยคดีให้ ประทานโทษนะครับ ผมไม่มีใครมาช่วยหรอกครับ แล้วขี้ข้าที่จะไปทำถุงขนม ราคาซัก 2 ล้านตกก็ไม่มี แต่สิ่งที่จะช่วยผมมีอย่างเดียว คือความจริง กับความบริสุทธิ์ของผม 

เพราะไม่ว่าเป็นรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน ผมไม่เคยไปก้าวก่ายจะสั่งตำรวจ สั่งอัยการ แทรกแซงศาล ไม่เคยทำ คนที่ทำอย่าคิดว่าคนอื่นทำเหมือนตัว และเมื่อพวกคุณเสนอกฎหมายไม่มีการนิรโทษกรรมฝ่ายเจ้าหน้าที่ พวกผมก็ไม่ขอคำนิรโทษกรรม แล้วทำไมพวกคุณที่ถูกกล่าวหา หรือถูกตัดสินแล้วว่าฆ่า ว่าเผา ว่าระเบิด ทำไมถึงไม่ยอมรับผิดและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และยอมรับคำตัดสินของศาล ประเด็นมีอยู่เท่านี้ครับว่าพวกเราต้องการให้ความจริงปรากฏ ให้ใครก็ตามที่ไปละเมิดสิทธิ์คนอื่นต้องรับผิดชอบ แล้วถ้าจะมีการมาปรองดองกัน ก็ต้องไปแสวงหาทางออกที่ไม่ทำลายหลักการสำคัญของกฎหมาย 

ผมไม่ได้ไปสนใจหรอกว่า ที่ไม่ยอมนิรโทษกรรมการโกงนี้ เป็นเพราะทักษิณถูกศาลตัดสินว่าโกงแล้วยึดทรัพย์ไป 46,000 ล้าน ใครที่โกงประเทศชาติ ถูกยึดทรัพย์ ผมก็ไม่สนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมทั้งนั้น ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าในที่สุดพวกคุณก็สารภาพว่า พวกคุณกันเองนั่นแหละ ที่เอาระเบิดมายิง ที่เอาอาวุธ มาก่อเหตุ ที่ไปเผาสถานที่ต่างๆ ผมไม่ได้สนว่าพวกใคร ผมสนใจว่าการกระทำอย่างนั้นไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม 

ฉะนั้นผมต้องพูดย้ำให้พี่น้องเข้าใจ ผมไม่พูดให้ทักษิณเข้าใจหรอก เพราะผมดูแล้วโอกาสเข้าใจมีน้อย หลักการแบบนี้คือสิ่งที่เป็นความเป็นสากล ไม่งั้นองค์กรสิทธิ มนุษยชนต่างประเทศไม่แถลงในหลักการเดียวกันหรอก เราจึงบอกว่า วันนี้ตรงนี้คือปัญหาที่ทำให้เกิดปมความขัดแย้งใหม่ขึ้นมา 

แต่วันนี้ทุกสัญญาณของรัฐบาลคือเดินหน้า วิปรัฐบาลประชุมวันนี้ ยืนยันเดินหน้ากฎหมายนิรโทษกรรมวันพุธที่จะถึงนี้ เตรียมตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณา บอกด้วยให้แปรญัตติภายในกี่วัน แสดงว่ารัฐบาลเดินหน้าล้างผิดคนเหล่านี้แน่นอน 

ส่วนนายกรัฐมนตรีก็ให้สัมภาษณ์บอกจะเข้าร่วมประชุมสภาด้วย เพื่อที่จะพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม เห็นมั้ยล่ะครับ ไอ้เรื่องอื่นๆ เดือนร้อนเยอะแยะ บอกมีภารกิจสำคัญกว่า แต่พอกฎหมายล้างผิดให้พวก บอกมาแน่ 

ผมเรียนกับพี่น้องว่า ความพยายามให้คนเกิดความสับสนอะไรต่างๆ มีมากครับ ผมก็พยายามชี้แจง ไหนๆ พูดแล้ว เมื่อวานนี้ได้จดหมายฉบับนึงจากพี่น้องที่อยู่สุรินทร์ ดีนะครับ เห็นไม่ตรงกับพวกเรานี่ แต่เขียนมาพยายามให้เหตุให้ผล แล้วก็บอกว่า ดูรายการผ่าความจริง ฟังที่ผมพูดแล้ว ไม่ชอบใจ ไม่เห็นด้วยอยู่ 3 ประเด็น ผมก็บอก เขียนมาเป็นเรื่องเป็นราว ผมก็จะพยายามอธิบาย 

เช่นข้อ 1 เขาบอกว่า คดีความในศาลเยอะแยะไปหมด ก็เห็นศาลก็ให้มีการไกล่เกลี่ย ยอมความกันได้ ทำไมเรื่องแบบนี้ที่จะนิรโทษกรรมยอมกันไม่ได้ ผมก็ตอบ ด้วยความเคารพครับว่า สิ่งที่กำลังพูดอยู่ในขณะนี้ มันไม่ใช่เรื่องคนสองคนทะเลาะกัน การกระทำความผิดทั้งหลายที่กำลังจะนิรโทษกรรมในขณะนี้เป็นการกระทำความผิดต่อแผ่นดินประเทศชาติ และส่วนรวม เพราะฉะนั้นไปเทียบไม่ได้หรอกครับ ระหว่างคดีความส่วนตัว นี่คือคดีความผิดต่อแผ่นดิน เวลาที่มีการฆ่ากัน เวลาที่มีการก่อความวุ่นวาย เวลาที่มีการวางระเบิด ผู้เสียหายคือส่วนรวม เพราะความผิดเหล่านี้ทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนไม่ปลอดภัย รัฐบาลมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้องประชาชน เวลาที่มีการไปเผา ถ้าเผาอาคารของเอกชนก็ชัดอยู่แล้วครับว่า ไปสร้างความเสียหายให้กับคนอื่น เขาไม่ได้มาเป็นคู่ขัดแย้งด้วย และเวลาไปเผาสถานที่ราชการ ศาลากลางกี่แห่ง ถามว่าใครเสียหาย พี่น้องทุกคนที่นี่เสียหาย เพราะต้องจ่ายภาษีให้ไปสร้างใหม่ 

ข้อที่ 2 ครับ ท่านก็เขียนมาบอกว่า แล้วดูสิ เวลามีโอกาสำคัญๆ เช่นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ก็เห็นมีการพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษ ให้กับคนตั้งเยอะแยะ แล้วมาครั้งนี้จะบอกว่าคนเหล่านี้ไม่ทำผิดไม่ได้หรือ ผมก็ขออธิบายให้เข้าใจ ว่าการนิรโทษกรรม กับการอภัยโทษ เป็นคนละเรื่องกัน 

การอภัยโทษหมายความว่าคนกระทำความผิด ถูกตัดสินแล้วว่าผิด ยอมรับผิด รับโทษ มีสำนึกว่าตัวเองได้กระทำความผิด แล้วก็มาขออภัย พอเป็นพระราชอำนาจ ก็เป็นการขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งโดยปกติ การพระราชทานอภัยโทษก็คือ พระราชทานให้แก่บุคคลที่สำนึกผิด และรับโทษครับ แต่กฎหมายของนายวรชัย กับของรัฐบาล เขียนว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ทำผิด สำนึกผิด รับโทษ แต่เขียนว่า การกระทำของคนเหล่านี้ไม่เป็นความผิดเลย พี่น้องครับ 

พูดง่ายๆ มีอำนาจแล้วก็บอกว่า พรรคพวกตัวเองนั้น ทำอะไรผิด ถือว่าไม่ผิด ยอมได้มั้ยครับ แบบนี้ ที่ไม่ได้ยอมไม่ได้โกรธเคืองอะไรส่วนตัวกับคนเหล่านี้หรอกครับ แต่ยอมไม่ได้ เพราะถ้าเราปล่อยให้คนทำผิด ไม่มีความผิด เพียงเพราะอยู่ข้างเดียวกับผู้มีอำนาจ วันข้างหน้าประเทศชาติบ้านเมือง ไม่มีขื่อ มีแป มีระบบกฎหมาย หาความสงบสุขไม่ได้เลย 

ประการที่ 3 ที่เขาท้วงผมมา เขาบอกว่า ชอบพูดกันนักว่า มีเรื่องอื่นทำตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาทำเรื่องนี้ เขาบอกว่า สมัยผมเป็นนายกฯ ก็เห็นผมทำหลายเรื่องได้พร้อมกัน ผมก็ไม่ปฏิเสธครับ แต่ผมเห็นชัดนะครับว่า เรื่องนี้มันเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องอื่นๆ จริงๆ และมันมาบั่นทอนการแก้ปัญหาของรัฐบาลจริงๆ ทักษิณนี่ เขาทวิตบอกว่า อภิสิทธิ์เนี่ยไปเรียนเมืองนอกเลยไม่รู้จักว่าคนหาเช้ากินค่ำคิดอย่างไร 

เมื่อสักครู่มีพี่น้องขึ้นมายืนบนเวทีผมว่าคิดเหมือนกับพี่น้องคนไทย ทั้งหาเช้ากินค่ำ และคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่บอกว่า วันนี้รู้อยู่แล้วว่า เรื่องปากท้อง สำคัญกว่าเรื่องล้างผิด มีแต่พวกหาเช้ากินค่ำจากตำแหน่งของตัวเองเท่านั้นแหละครับ ที่อยากจะล้างผิดมากกว่าแก้ปากท้อง ที่จริงพวกเขาบางทีไม่หาเช้ากินค่ำหรอก กินมันตลอด 24 ชม. เลย 

พี่น้องครับ สิ่งที่ยืนยันเป็นรูปธรรมเลย ผมนึกออกเลย วันศุกร์ผมไปเสม็ด ไปดูเรื่องคราบน้ำมัน มีคนมาถาม นายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า ไม่ไปดูการขจัดคราบน้ำมันบ้างหรือ นายกฯ บอกไม่ไป เพราะสถานการณ์ในกรุงเทพฯ น่าห่วงกว่า แล้วเมื่อวานที่ผมขึ้นไปแม่สอดนี่ สส.ชัยวุฒิ นี่ตระเวนทั่ว พาผมไปดูความเสียหายทั้งหลาย แล้วก็สอบถามพี่น้องประชาชนที่นั่น ไม่เคยเห็นรัฐมนตรีแม้แต่คนเดียวขึ้นไปเลย แล้วผมเห็นนะครับ ยังมีการฟื้นฟูที่ต้องทำอีกมากมาย แล้วผมมาเห็นกำลังที่เขารวบรวมอยู่ที่ลานพระรูปบ้างตอนนี้ อยู่ทั่วกรุงเทพฯ เอากำลังเหล่านั้นไปช่วยประชาชนไม่ดีกว่าเหรอครับ 

เพราะฉะนั้นผมก็ทำใจละครับว่า มันจะมีความพยายามที่จะอ้างเหตุผล สร้างความไขว้เขวว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเรื่องแย่งชิงอำนาจ เรื่องบุคคล ผมบอกแล้ว ผมไม่ได้อยากไปเป็นรัฐบาลเลยตอนนี้ ผมอยากให้เขาเป็นจนครบ 4 ปี ขออย่างเดียว อย่าทำร้ายประเทศไทยด้วยกฎหมายเหล่านี้ ไอ้ที่ทำร้ายประเทศไทยเรื่องอื่น จะเป็นเรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องหนี้ เรื่องเงินกู้ หรือเรื่องอะไร ทำไปอีก 2 ปี ผมรอเข้าไปแก้ไขให้ได้ไม่มีปัญหา แต่กฎหมายล้างผิด ทำแล้วมันเสียหายทันที แก้ไม่ได้ 

ฉะนั้นวันนี้ เดี๋ยวมีอีกหลายท่านครับ วันนี้มากันเยอะ ผมก็ต้องทำความเข้าใจอีกครั้งว่า พวกเราที่ตั้งเวทีกันมา แล้วก็พูดจากับรัฐบาลนี่ รัฐบาลไม่ต้องบิดเบือนอีกต่อไป ไม่มีเรื่องแย่งชิงอำนาจ ไม่มีเรื่องปฏิวัติ วันนี้ในที่สุด จับแล้วนี่ครับ คนที่ปล่อยข่าวเรื่องปฏิวัติ เห็นมีเสื้อแดงอยู่ด้วยนะ ไม่ใช่พวกผมซะหน่อย 

แล้วก็เลยต้องตอบนายกฯ นายกฯ บอกว่า กำลังจะเชิญทุกฝ่ายมาคุยกัน ขอฝ่ายค้านอย่าตั้งเงื่อนไขได้มั้ย ผมไม่รู้ว่าท่านเข้าใจคำว่าเงื่อนไขหรือเปล่า กลัวท่านจะเข้าใจเงื่อนไข เหมือนเข้าใจคำว่าบูรณาการทุกภาคส่วน เงื่อนไขที่ต้องแก้ ต้องปลดวันนี้คือเงื่อนไขของความขัดแย้งในสังคม และสังคมก่อนที่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมของนายวรชัย และของบรรดาพลพรรครัฐบาลนั้น ไม่ได้มีเงื่อนไขความขัดแย้งที่เป็นที่มาของการประกาศกฎหมายความมั่นคง และความตึงเครียดในทุกวันนี้ 

ฉะนั้นไม่งั้นเราจะเถียงกันไม่จบ ผมก็พูดได้ นายกฯ อย่าตั้งเงื่อนไขสิครับว่า ต้องพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม ต่างฝ่ายต่างก็พูดได้ แต่ต้องมาวิเคราะห์ปัญหาว่าเงื่อนไขตัวจริง ความขัดแย้งมาจากใคร ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามาจากกฎหมาย ใครเสนอกฎหมาย ก็ไปหยุดคนนั้นไม่ให้เสนอกฎหมายไว้ก่อน ทุกอย่างก็แก้ไขได้ 

ฉะนั้นวันนี้ผมมายืนยันจุดยืนตรงนี้ แล้วอีกสักครู่มีอีกหลายท่านครับ วันนี้ ดร.ไตรรงค์ คุณสุเทพนะครับ เข้าใจว่าท่านนายกชวน พยายามเดินทางมาด้วยนะครับในเวทีวันนี้เพื่อที่จะมาพูดจากับพี่น้อง ผมขอบพระคุณพี่น้องครับ เราต้องเจอกันอีกวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้ เป็นวันที่เรากำลังจะเดินเข้าสู่การพิจารณากฎหมายฉบับนี้ในสภาในวันถัดไป ต้องขอให้พี่น้องยังเดินหน้าส่งข่าวให้ข้อมูล ส่งกำลังแรงใจไปยังพี่น้องคนไทยทุกคน ที่รักความถูกต้อง และเราจะร่วมกันแสดงออกและสกัดกั้นไม่ให้กฎหมายนี้ผ่านสภาให้ได้ครับ กราบขอบพระคุณครับ สวัสดีครับ 

***************************