PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รายงาน : เจตนา เป้าหมาย คสช.ร่าง รัฐธรรมนูญ แด่ พลังประชารัฐ

รายงาน : เจตนา เป้าหมาย คสช.ร่าง รัฐธรรมนูญ แด่ พลังประชารัฐ



เพียงไม่กี่นาทีภายหลังจากคำว่า “รัฐธรรมนูญดีไซน์เพื่อพวกเรา” ดังออกมาจากที่ประชุมของพรรคพลังประชารัฐ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน
ก็ได้กลายเป็น “ไวรัล” ในทางการเมือง
กลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ กลายเป็นประเด็นข่าวทางโทรทัศน์ และโซเชียลมีเดียได้นำไปเผยแพร่อย่างกว้างขวาง
ทุกสื่อล้วนให้การขานรับ
ถือเป็นการนิยามและให้ความหมายต่อ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560” ได้อย่างแจ่มชัด กระจ่างใสในทางรูปธรรม
เท่ากับเป็นการสรุปและตีตรงเป้า
ทำให้ภาพแห่งการก่อรูปขึ้นของคณะกรรมาธิการยกร่างเรื่อยไปจนถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจากยุค นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ถึงยุค นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ยืนเด่นเป็นสง่า
นั่นก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อ “พรรคพลังประชารัฐ”
ไม่ว่าคำนิยามจากพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้มีสมุหฐานมาจากอะไร จากประสบการณ์และความจัดเจนในทางการเมือง
จากความฮึกห้าว เหิมหาญ ด้วยความมั่นใจ
มั่นใจว่าไม่ว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 อันเป็นผลและความต่อเนื่องจากการรัฐประหารมีเป้าหมายเพื่อการนี้
เท่ากับยืนยันใน “เจตจำนง” อันเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ของ “คสช.”
นั่นก็คือ ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามบทเพลงที่ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงาม จะคืนกลับมา”
ไม่เพียงแต่เป็นความต้องการใน 4-5 ปีแรก

ตรงกันข้าม ยังมุ่งมั่นและมั่นใจว่าโดยการออกแบบ “รัฐธรรมนูญ” เช่นนี้ คสช.จะสามารถอยู่ในอำนาจต่อไปอีกยาวนาน
ยาวนานร่วม 10 และ 20 ปีจากปี 2557
ภายในความมั่นใจของ “คสช.” ความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งจึงสำแดงออกผ่าน 1 รัฐธรรมนูญ 1 พรรคพลังประชารัฐ และ 1 โดยการเปล่งประกาศออกมา
คำถามอยู่ที่ว่า ประชาชนจะคิดเรื่องนี้อย่างไร
คำถามอยู่ที่ว่า เวลานับจากเดือนพฤษภาคม 2557 มายังเดือนพฤษภาคม 2562 ร่วม 5 ปีนี้ประชาชนรู้สึกอย่างไร
รู้สึกชมชอบกับผลงานของ “คสช.”หรือรู้สึกว่าวิธีการบริหารจัดการกับปัญหาในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของ “คสช.” มิได้นำความสุขมาให้
ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ
สำคัญเพราะว่าหากประชาชนเขาพอใจและเห็นว่าเป็นความสำเร็จเขาก็จะเลือกพรรคพลังประชารัฐ แต่ถ้าหากเขาเห็นเป็นตรงกันข้ามประชาชนก็จะปฏิเสธ
บัตร “เลือกตั้ง” ที่อยู่ในมือจึงทรง “ความหมาย”
ถ้อยคำเพียงประโยคเดียวที่ว่า “รัฐธรรมนูญนี้ดีไซน์เพื่อพวกเรา” อันดังออกมาจากภายในพรรค
พลังประชารัฐจึงอธิบายได้อย่างยอดเยี่ยม
อธิบายถึงรัฐประหารเมื่อปี 2557
อธิบายถึงฝีมือและความสามารถในทางการบริหารราชการแผ่นดินนับจากเดือนพฤษภาคม 2557 กระทั่งเดือนพฤษภาคม 2562 ว่าเป็นอย่างไร
ควรทำต่อไป หรือควรจบได้แล้ว

รายงาน : เจตนา เป้าหมาย คสช.ร่าง รัฐธรรมนูญ แด่ พลังประชารัฐ

รายงาน : เจตนา เป้าหมาย คสช.ร่าง รัฐธรรมนูญ แด่ พลังประชารัฐ


เพียงไม่กี่นาทีภายหลังจากคำว่า “รัฐธรรมนูญดีไซน์เพื่อพวกเรา” ดังออกมาจากที่ประชุมของพรรคพลังประชารัฐ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน
ก็ได้กลายเป็น “ไวรัล” ในทางการเมือง
กลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ กลายเป็นประเด็นข่าวทางโทรทัศน์ และโซเชียลมีเดียได้นำไปเผยแพร่อย่างกว้างขวาง
ทุกสื่อล้วนให้การขานรับ
ถือเป็นการนิยามและให้ความหมายต่อ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560” ได้อย่างแจ่มชัด กระจ่างใสในทางรูปธรรม
เท่ากับเป็นการสรุปและตีตรงเป้า
ทำให้ภาพแห่งการก่อรูปขึ้นของคณะกรรมาธิการยกร่างเรื่อยไปจนถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจากยุค นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ถึงยุค นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ยืนเด่นเป็นสง่า
นั่นก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อ “พรรคพลังประชารัฐ”
ไม่ว่าคำนิยามจากพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้มีสมุหฐานมาจากอะไร จากประสบการณ์และความจัดเจนในทางการเมือง
จากความฮึกห้าว เหิมหาญ ด้วยความมั่นใจ
มั่นใจว่าไม่ว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 อันเป็นผลและความต่อเนื่องจากการรัฐประหารมีเป้าหมายเพื่อการนี้
เท่ากับยืนยันใน “เจตจำนง” อันเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ของ “คสช.”
นั่นก็คือ ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามบทเพลงที่ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงาม จะคืนกลับมา”
ไม่เพียงแต่เป็นความต้องการใน 4-5 ปีแรก

ตรงกันข้าม ยังมุ่งมั่นและมั่นใจว่าโดยการออกแบบ “รัฐธรรมนูญ” เช่นนี้ คสช.จะสามารถอยู่ในอำนาจต่อไปอีกยาวนาน
ยาวนานร่วม 10 และ 20 ปีจากปี 2557
ภายในความมั่นใจของ “คสช.” ความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งจึงสำแดงออกผ่าน 1 รัฐธรรมนูญ 1 พรรคพลังประชารัฐ และ 1 โดยการเปล่งประกาศออกมา
คำถามอยู่ที่ว่า ประชาชนจะคิดเรื่องนี้อย่างไร
คำถามอยู่ที่ว่า เวลานับจากเดือนพฤษภาคม 2557 มายังเดือนพฤษภาคม 2562 ร่วม 5 ปีนี้ประชาชนรู้สึกอย่างไร
รู้สึกชมชอบกับผลงานของ “คสช.”หรือรู้สึกว่าวิธีการบริหารจัดการกับปัญหาในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของ “คสช.” มิได้นำความสุขมาให้
ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ
สำคัญเพราะว่าหากประชาชนเขาพอใจและเห็นว่าเป็นความสำเร็จเขาก็จะเลือกพรรคพลังประชารัฐ แต่ถ้าหากเขาเห็นเป็นตรงกันข้ามประชาชนก็จะปฏิเสธ
บัตร “เลือกตั้ง” ที่อยู่ในมือจึงทรง “ความหมาย”
ถ้อยคำเพียงประโยคเดียวที่ว่า “รัฐธรรมนูญนี้ดีไซน์เพื่อพวกเรา” อันดังออกมาจากภายในพรรค
พลังประชารัฐจึงอธิบายได้อย่างยอดเยี่ยม
อธิบายถึงรัฐประหารเมื่อปี 2557
อธิบายถึงฝีมือและความสามารถในทางการบริหารราชการแผ่นดินนับจากเดือนพฤษภาคม 2557 กระทั่งเดือนพฤษภาคม 2562 ว่าเป็นอย่างไร
ควรทำต่อไป หรือควรจบได้แล้ว

ปัญหายาง 'ถามซีพีเขายัง?'

21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 00:01 น.

แจกผู้มีรายได้น้อย ๓.๘ หมื่นล้านบาท
    แจกชาวสวนยาง ๑.๘ หมื่นล้านบาท 

    นี่คือ "ปัญญาประดิษฐ์" ของรัฐบาล คสช.ใช้เลี้ยงปัญหาปากท้องคนรายได้น้อย และปัญหาราคายางตกต่ำ!
    คำถาม คือ........
    -ทำให้คนรายได้น้อยพัฒนาเป็นคนรายได้มากขึ้นมั้ย?
    -ตลาดยาง ราคามันสนองตอบเงินแจกก้อนนี้มั้ย?
    ขึ้นชื่อว่า "แจก" ดีทั้งนั้น 
    แต่การแก้โจทย์ด้วยการใช้เงิน "เลี้ยงปัญหา" ซ้ำๆ ซากๆ
    ผลหวังได้ที่ตามมา คือ.........
    "คนรายได้น้อย" กับ "เงินแจก" จะเพิ่มถาวรในเชิงขยายตัว "นิรันดร์กาล" 
    และนั่น จะเป็นปัญหาทางงบประมาณไปตลอดชาติ! 
    กรณีปัญหาราคายาง.......
    ถามว่า "ยางพารา" ยังขายได้มั้ย?
    คำตอบ คือ ยังเป็นสินค้า "ขายได้"
    แล้วปัญหายางอยู่ตรงไหน?
    อยู่ตรง "คนซื้อ" รับซื้อในราคาต่ำมาก
    ก็แสดงว่า "ยางพารา" ยังเป็นที่ต้องการของตลาดการค้าอยู่ แต่ที่ราคาต่ำมากนั่นน่ะ มาจากเหตุไหน?
    มาจากอุปสงค์-อุปทาน, จากน้ำมันถูก ตลาดจึงไปใช้ยางสังเคราะห์แทน, จากปลูกกันจนล้น, จากบริหาร-จัดการไม่ซื่อ, จากใช้คนไม่ถูกกับงาน และ ฯลฯ
    เรียกว่า ร้อยแปดพันเก้าสาเหตุ การจะแก้ให้ตรงปัญหาระดับรัฐ ต้อง "เจาะเลือด" ตรวจหาเชื้อ  เพื่อให้ยาตรงโรค
    ยางราคาตก ที่แน่ๆ.....
    สาเหตุไม่ได้มาจากชาวสวนยาง "ไม่มีเงิน"!
    ดังนั้น การเอาเงิน ๑.๘ หมื่นล้านไปแจก เหมือนคันหัว แต่ไปเกาตูด
    บอกตรงๆ เสียดาย!
    เงิน ๑.๘ หมื่นล้าน เอามากองไว้ก่อน แล้วเรียกหลายๆ ฝ่าย ทั้งฝ่ายชาวบ้าน ให้มาช่วยกันคิด แล้วเสนอซิว่า
    กับเงินก้อนนี้........
    ใครมีวิธีนำไปใช้แก้ปัญหาราคายางตกได้ดีกว่าวิธี "เอาเงินละลายน้ำแจก" ลองบอกซิ?
    ผมว่าเงินร่วม ๒ หมื่นล้านนี้ จะเกิดรูปธรรมที่ยอมรับ ทั้งจะเป็นตัวผลักดันกลไกตลาดเชิงดีมานด์-ซัพพลาย "ขยับราคายาง" ให้สูงขึ้นได้
    และทั้งเงิน ๑.๘ หมื่นล้าน จะไม่เป็นเบี้ยหัวแหลก-หัวแตกเฉพาะคนสวนยาง ๑.๔ ล้านราย กินแล้วก็ถ่ายหมดไป
    หากแต่คนในอาชีพยางทั้งหมด..........
    รวมถึงคนทั้งประเทศ จะได้อานิสงส์ในเงิน ๑.๘ หมื่นล้านถ้วนทั่ว เรียกได้ว่า "ฝนตกทั่วฟ้า" ทั้งคน-สัตว์-พืชไร่ "ได้หมด"
    ไม่ต้องคิดซับซ้อน........
    คนร้อยละ ๙๙.๙๙ เป็นหมอดูแม่นๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๖ โน่นแล้วล่ะว่า
    ใน ๖-๑๐ ปี ข้างหน้า..........
    วิบัติ-หายนะ ต้องเกิดกับราคายางประเทศไทยล้านเปอร์เซ็นต์!
    แล้วมันก็จริง จากราคาที่เคยขึ้นไปกิโลละเฉียด ๒๐๐ วันนี้ เหลือ ๓๒ บาท
    สาเหตุหลักก็คือ เมื่อปี ๒๕๔๒ ถ้าจำไม่ผิด "ยุครัฐบาลชวน"    มีมติ ว่า
    "จำกัดการขยายพื้นที่ปลูกยางพาราให้ไม่เกิน ๑๒ ล้านไร่" 
    หากจะปลูกใหม่ ให้ปลูกทดแทน "เฉพาะพื้นที่เดิม" และไม่ควรปลูกใหม่ในพื้นที่ "ภาคเหนือ"     
    พูดง่ายๆ ควบคุมปริมาณยางให้อยู่เฉพาะภาคใต้ ซึ่งสร้างผลผลิตเป็นปริมาณที่สอดคล้องความต้องการตลาดแล้ว 
    "ยุคชวน" ราคายางถึงขึ้นไปโลละร้อยกว่าบาท!
    มาปี พ.ศ.๒๕๔๖.........
    ยุครัฐบาลทักษิณ "เปลี่ยนมติ" รัฐบาลชวน จากจำกัดพื้นที่ปลูกยาง
    ให้เป็น "สามารถขยายพื้นที่ปลูกยางพาราได้ทุกภาคของประเทศ"!
    แล้วโครงการ "ยางพารา ๑ ล้านไร่" ก็เกิดขึ้น
    โดย ทักษิณ-นายกฯ, เนวิน รมช.เกษตรฯ สองแรงแข็งขันสั่งขยายพื้นที่ปลูกยางใน ๓๖ จังหวัด
    ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ ใน ๑๗ จังหวัดภาคเหนือ 
    ๗๐๐,๐๐๐ ไร่ ใน ๑๙ จังหวัดภาคอีสาน 
    ใช้งบ ๑,๔๐๐ ล้าน บอกว่า โครงการขยายพื้นที่ทั่วประเทศ ๑ ล้านไร่ ที่จากเดิมจำกัดไว้เพียง ๑๒  ล้านไร่ 
    เพื่อแก้ปัญหาความยากจน เพื่อให้มีผลผลิตสอดคล้องความต้องการยางของโลก ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๖ ต่อปี 
    ก็ต้องจำกันด้วย......
    ตอนนั้น เป็นยุคเศรษฐกิจบูม ราคาน้ำมันโลกพุ่งพรวดๆ เป็นร้อยกว่าเหรียญ/บาร์เรล
    นั่นคือ น้ำมันแพง ตลาดยางเลี่ยงจากยางสังเคราะห์ที่แพงตาม หันมาใช้ยางพาราซึ่งถูกกว่า
    บวกเศรษฐกิจโลกเป็นขาขึ้น ทักษิณจึงเห็นโอกาส "รวยแบ่งกัน" เฉพาะหน้า
    โครงการ "ทักษิณคิด-เนวินทำ" การขยายพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศล้านไร่ จึงเกิดเป็น "มรดกวิบัติ" ตกทอดถึงวันนี้ 
    แล้วใครล่ะ "รวยเฉพาะหน้า" กับโครงการนี้ด้วย?
    บริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นี่ไง!
    ได้สัญญาเป็นผู้ "ผลิตต้นกล้าพันธุ์ยางพารา" ๙๐ ล้านต้น ให้กระทรวงเกษตรฯ วงเงิน ๑,๓๙๗ ล้านบาท 
    การผลิตกล้ายางของซีพี เป็นเรื่องมหากาพย์เล่ากันไม่จบ แต่ประเด็นที่ผมจะคุยไม่ได้อยู่ตรงนี้
    หากแต่อยู่ตรงว่า........
    ทุกวันนี้ ในโครงสร้างธุรกิจ-เศรษฐกิจประเทศ แทบไม่มีตรงไหนที่ไม่มีซีพีเกี่ยวข้อง
    บาปประเทศจากปัญหายางวันนี้ ต้องยอมรับว่า นอกจาก "ทักษิณ-เนวิน" แล้ว
    "ซีพี" มีส่วนร่วมใน "บาป" นั้นด้วย!
    บาปล้างไม่ได้ แต่ทำดีให้บาปลดความเข้มข้นได้
    ผมจึงเห็นว่า...........
    ในโครงการ EEC หนึ่งแห่ง และเมืองใหม่ของเสี่ยซีพีแถวฉะเชิงเทราอีกหนึ่งแห่ง รวมถึงถ้าได้สัมปทานรถไฟฟ้าเชื่อม ๓ สนามบิน อีกหนึ่งแห่ง
    โครงการด้วยพื้นที่นับเป็นหมื่นๆ ไร่ รวมแล้วอาจเป็นแสนไร่ ต้องทำถนนหนทางทั้งนั้น
    รัฐบาล คสช.โดย "กระทรวงเกษตรฯ" นั่นแหละ ทำเป็นไขสือ เป็น "กระทรวงซีพีและสหกรณ์" มาทุกยุคสมัย
    ไปบอกให้เสี่ยซีพี "รับซื้อยางพารา" นำไปใช้ทำถนน ในโครงการของเสี่ยซีพี ช่วยชาติให้ชาวบ้านสรรเสริญบ้าง
    และในพื้นที่ EEC รัฐบาลก็ "สั่งการไปเลย" ใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมทำถนนและในพื้นที่เหมาะสม
    แค่นี้ ราคายางจาก ๓-๔ โลร้อย ด้วยดีมานด์-ซัพพลาย จะขึ้นไปกว่า ๖๐ บาทได้ด้วยซ้ำ!
    ถามว่า เอาเงินที่ไหนมาซื้อ?
    ไม่เกี่ยวกับเงินเพิ่ม เพราะแต่ละโครงการ ยังไงๆ ก็ต้องลงทุนถนนหนทางอยู่แล้ว 
    เพียงเปลี่ยนมุมคิด จากยางมะตอยหรือคอนกรีต มาเป็นยางพาราบ้างเท่านั้น
    โดยเฉพาะรัฐบาล มีอยู่แล้ว ๑.๘ หมื่นล้าน แทนที่จะแจกแล้วหมดไป
    บอกชาวสวนยาง ๑.๔ ล้านคนนั่นเลย
    อย่าแบ่งเลยนะ ทั้ง ๑.๔ ล้านคน ถือว่า "เข้าหุ้น-ร่วมทุน"
    เอาเงิน ๑.๘ หมื่นล้าน ไปลงทุน "รับซื้อยาง" ตอนนี้ เก็บไว้ขายตอนราคาขึ้น ค่อยเอาส่วนกำไรมาหารแบ่งกันสนุกๆ จะเอามั้ย?
    เนี่ย เป็นการบริหารเงิน "รวยแล้วแบ่งกัน" ของแท้ 
    ไม่ใช่แบบ "โกงแบ่งกัน" เงินต้นก็หาย กำไรก็เขมือบ เอาทั้งขึ้น-ทั้งล่อง!
    ถนนหนทาง "คมนาคม-ทางหลวง" มันของรัฐ เงินหลวง คือเงินประชาชน เห็นพูดอยู่นั่นแหละ ให้เอายางพารามาทำถนน 
    แต่ไม่เห็นมีใครทำตามนายกฯ พูด-นายกฯ สั่ง?
    อ้าง "มันแพง"........
    ที่ว่าแพงน่ะ เงินคุณมึงหรือ ก็เงินภาษีชาวบ้าน แพงไปกับซื้อผลิตผลยางของชาวบ้านมาทำถนนให้ชาวบ้าน แถมคุณภาพก็คงทนกว่า
    คุ้มเกินคุ้ม อ้างว่าแพง เพราะไปผูกขาไว้กับพ่อค้ายางมะตอยและผู้รับเหมาน่ะซี!
    องค์รัฏฐาธิปัตย์ "ทุบโต๊ะ" กับหน่วยงานรัฐให้ซื้อยางมาทำถนนไม่ได้ แล้วจะไปสั่งอะไรกับใครได้?
    เรื่องนี้ "ซีพี" ต้องช่วยซื้อยางบ้าง
    ๙๐ ล้านต้น จาก ๑ ล้านไร่ เป็นผลิตผลของซีพี ถึงคราวน้ำยางกลายเป็นน้ำตาชาวสวน
    ซีพีก็ควรช่วยเช็ดน้ำตา ก็แฟร์นะ!
    นี่ถ้าได้สัมปทานรถไฟเชื่อม ๓ สนามบิน เท่ากับได้พื้นที่มักกะสันและที่ศรีราชา 
    ถ้าซีพีประกาศ ปรับนโยบาย ใช้ "ยางพารา" ในพื้นที่เป็นถนนหนทาง
    รับรอง "เซเว่น" จะขายข้าวแกง ส้มตำ สะตอ ยำปลาร้า กระทั้งว่า "แบงก์-เมรุ" เซเว่นก็มีบริการ
    จะไม่มีใครว่า "แย่งอาชีพ" อีกเลย 
    มีแต่จะบอกว่า อยากค้า-อยากควบ-อยากอ๊วบอะไรอีก เชิญท่านซีพีตามสบาย!
    ไทยมีผลผลิตยาง ๔-๕ ล้าน/ปี มากที่สุดในโลก เหมือนข้าว ขายกันเป็นเกวียน-เป็นกิโล ด้วยผลิตผลดิบๆ อย่างนั้นมาเป็นร้อยปี
    แล้วยุทธศาสตร์ ๔.๐ ในโครงการ EEC มีอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมใช้ยางเป็นวัตถุดิบหลัก เป็นสินค้าแปรสภาพจากยางเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มอะไรบ้างล่ะ?
    และพื้นที่ปลูกยางต้องลด โดยเฉพาะที่ใช้อิทธิพลบุกร้างถางภูเขาในเหนือ-อีสาน ต้องตัดให้เหี้ยน
    "กรมวิชาการเกษตร" ถ้าปล่อยให้เป็นตัวเขาเองทำหน้าที่ เขาจะบอกชาวบ้านได้ว่า
    พื้นที่ไหน ควรปลูกพืชแบบไหน?     
    จะไม่เป็นแบบ "ทักษิณ-เนวิน" สั่งลุย ๑ ล้านไร่ "เหนือ-อีสาน" เอาปลูกยางให้หมด!
    คนใต้น่ะ "นักเลง-พูดง่าย-ใจถึง" ปัญหายาง มีทั้งจริง ทั้งทำให้เหมือนจริง 
    นายกฯ นัดวัน-เวลา-สถานที่ ลงไปนั่งกลางลานเปิดใจพูดจา กินข้าว-กินเหล้ากะเขา เอากันให้แจ้งซักวัน
    ใจถึง มันก็ถึงใจ ทุกอย่างจบ เพื่อพบกันด้วยใจ!
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้........
    "นัตถิ ตัณหา สมานที" ไม่มีแม่น้ำใดๆ เสมอเท่าความต้องการมนุษย์
    นั่นคือ "แจก" เท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์ (พรุ่งนี้-ลา ๕ วันนะครับ)!

เผลอเข้าเงี่ยง“ฮั้ว”!



แก้ไม่เยอะ เน้นแค่จังหวัดที่มีการร้องเรียนยึดเอาตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เดินสายให้ความเข้าใจสื่อ เกี่ยวกับข้อกฎหมายและกระบวนการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่กำลังจะมีขึ้น
ยืนยันเลยว่า มาตรา 44 แค่เคลียร์ปมปัญหาการแบ่งเขตเลือกตั้ง เปิดทางพรรคการเมืองหาตัวผู้สมัครได้ถึงวันเลือกตั้งเท่านั้น
จุดสำคัญ “เดดไลน์” สังกัดพรรคภายใน 90 วัน ยังล็อกปฏิทิน 26 พฤศจิกายนนี้
นั่นหมายถึง “ตลาดนัด ส.ส.” เหลือเวลาให้ต่อรองราคากันอีกไม่กี่อึดใจแล้ว
แนวโน้ม “ปิดกล่อง” เริ่มไล่นับหัว เช็กตัวเลขชัวร์ๆกันได้
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ เป้าโฟกัสจับจ้องไปที่น้องใหม่อย่างยี่ห้อพลังประชารัฐ อารมณ์แบบที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เลขาธิการพรรค ตื่นตาตื่นใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่
เมื่อดูหน้า ดูตัว เปิดไพ่ขุนศึกร่วมค่ายแล้ว ได้ลุ้นใส่แต้มล่วงหน้า
ไล่ตั้งแต่ทีมจังหวัดเลยของนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ทีมนครราชสีมา ของนายวิรัช รัตนเศรษฐ ทีมอุบลราชธานี นำโดยนายสุพล ฟองงาม เครือข่ายบ้านริมน้ำของนายสุชาติ ตันเจริญ
ฐานของยี่ห้อ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ที่จังหวัดสุโขทัย รวมกับ “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย นายมณเฑียร สงฆ์ประชา ที่ชัยนาท นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ราชบุรี บวกกับแต้มมัดจำของทีมจังหวัดกาญจนบุรี ทั้งสายทายาท “กำนันเซียะ” นายประชา โพธิพิพิธ และสายบิ๊กทหารอดีตผู้แทนฯพรรคเพื่อไทย
ไม่นับต้นทุนดั้งเดิมทีมงานของตระกูล “คุณปลื้ม” บ้านใหญ่ชลบุรี ที่เสริมพลังกับขุมข่ายในโซนจังหวัดภาคตะวันออก จันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ตีกินกระแสเมกะโปรเจกต์อีอีซี
แม้จะไม่โอเว่อร์แบบที่ “สนธิรัตน์” คุยคำโต 350 เก้าอี้
แต่ก็เป็นอะไรที่คู่แข่งไม่กล้าปฏิเสธก็แล้วกันว่าพรรคพลังประชารัฐ “มีของ” เป็นนั่งร้านแน่นๆของทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตีตั๋วต่อ
ไม่ได้ฝันตัวเลขลอยๆ แทงหวยลมๆแล้งๆ
เทียบกับโพล 290 เก้าอี้ของทีม “ทักษิณ” ปล่อยมาตีกินกระแส ท่ามกลางปรากฏการณ์ที่มวยตัวกลั่นๆของ “นายใหญ่” เก็บกระเป๋าลาบ้านเก่าพรรคเพื่อไทย ชิ่งหนี “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไปซบป้อมค่ายใหม่ยี่ห้อพรรคไทยรักษาชาติ เพื่อโอกาส
ลุ้นพื้นที่ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
ดีดลูกคิด คำนวณคะแนนตกน้ำ สลับฉาก สลับค่ายกันวุ่นวาย
แต่นั่นก็ต้องเล่นละคร “ตบตา” ให้เนียนๆระหว่างยี่ห้อ “เพื่อไทย” กับ “ไทยรักษาชาติ”
ต่างก็ชิงโอกาสเคลมแต้มเป็นพรรคของ “ทักษิณชัวร์” ขืนทะเล่อทะล่า ย่ามใจ แสดงให้เห็นว่า “ฮั้ว” กันโต้งๆ สถานการณ์ไหลไปติดกับดักเกมโหด โดนยุบพรรคหลังเดดไลน์ 90 วัน
สังกัดพรรคลงสนามไม่ทัน แพ้ฟาวล์ทันที
โดยสถานการณ์เสี่ยงพอๆกันกับเกม “โชว์ฮั้ว” แบบแสบลึก
อาการแบบที่ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กำลังจุกอก ในสถานการณ์ที่เจอมุก “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย เดินสาย “เจาะยาง” บุกตีฐานปักษ์ใต้ โดยอาศัยคนประชาธิปัตย์เป็นหัวคะแนน
อารมณ์ “แสบลึก” แบบที่นายถาวร เสนเนียม มวยใหญ่จากสงขลา ย้อนคอหอยนิ่มๆ
คนไม่มีเพื่อนไม่มีทางเข้าใจ
อาการแบบที่นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รีบมาต้อนรับทีม “ลุงกำนัน” ที่เดินสายถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยไม่สนอกสนใจเสียงนกเสียงกาในพรรค
นั่นไม่มันเท่ากับอารมณ์ “เบิ้ล” แบบ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รีบโพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวน “ลุงกำนัน” ไปถิ่นจังหวัดพิษณุโลก จะเลี้ยงดูปูเสื่อไม่อั้น
แสดงให้เห็นซึ่งๆหน้ากันเลยว่า “ไม่ยี่หระ”
ทีมหนุน “หมอวรงค์” ยังคงเดินแต้มเขย่าแรงกระเพื่อมในประชาธิปัตย์ ขยายผลจากคะแนนเลือกจ่าฝูงที่ “เดอะมาร์ค” ทิ้งห่าง “หมอวรงค์” แค่หลักไม่ถึงหมื่น แถมระบบลงคะแนนในคอมพิวเตอร์รวน ท่ามกลางเสียงโวยขบวนการไฟดับในเกมโหวตภายในคูหาประชาธิปัตย์
“อภิสิทธิ์” ชนะบนรอยแยก พร้อมแตกเป็น “งูเห่า”
แน่นอน “รอยร้าว” จะส่งผลยาวไปถึงช็อตโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา
ตามเหลี่ยมที่ “ลุงกำนัน” วางยาไว้แล้ว.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน