PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

หม่อมอุ๋ย”ยกม็อบกปปส.จุดเปลี่ยนต้านโกง! ปลุกปชช.สู้หวั่นประเทศพัง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร” ยกเหตุม็อบ กปปส. จุดเปลี่ยนการต้านคอร์รัปชั่น ชี้หากข้าราชการป้องกันทุจริตนักการเมืองไม่ได้ เป็นหน้าที่พลเมืองลุกขึ้นต่อสู้ ยันไม่มีใครอยากเห็นประเทศพัง แต่หากยังโกงต่อ ประชาชนมาอีกแน่ เชื่อไม่มีนักการเมืองคนไหนอยากเผชิญหน้ากับประชาชน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน “วิกฤติคอร์รัปชั่นไทยกับการต่อสู้ของภาคพลเมือง” เนื่องในงานรำลึก 100 ปีชาตกาล อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันพลังแห่งการต่อต้านคอร์รัปชั่นอ่อนแอลง นักการเมืองก็ได้ใจ ทำให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงมากขึ้น ทำโดยไม่อายสายตาชาวบ้าน จนกระทั่งชาวบ้านทนไหว ลุกขึ้นต่อต้าน ซึ่งชาวบ้านทุกคนไม่มีใครอยากเห็นประเทศเสียหาย หรือพังลงต่อหน้าต่อตา ดังช่วงปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557 สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าพลังของข้าราชการไม่สามารถต่อต้านคอร์รัปชั่นของนักการเมืองได้ พลังภายนอกหรือพลังประชาชนก็จะลุกขึ้นมาทำหน้าที่แทน ซึ่งในเมืองไทยประชาชนยังมีความสำนึกดีมากกว่าสำนึกชั่ว

“ดีใจที่พลังประชาชนที่ลุกขึ้นต่อต้านครั้งนี้ยืนหยัดได้นาน และกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในที่สุด เมื่อทำได้สำเร็จครั้งหนึ่ง เชื่อว่า ครั้งต่อไปจะทำได้อีก หากเกิดเหตุการณ์อย่างที่ผ่านมา” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่า หากเกิดการคอร์รัปชั่นโดยนักการเมืองแบบโจ่งแจ้ง ประชาชนจะออกมาต้านอีก เรื่องนี้สำคัญมาก สำคัญยิ่งกว่าการเพิ่มเติมบทบัญญัติป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะไม่มีนักการเมืองคนใด อยากเผชิญการประท้วงต่อต้านของประชาชน ดังที่ปรากฏแล้ว น่าจะมีผลป้องปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ไม่มากก็น้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวงจะหมดไป เพราะนักการเมืองที่หาผลประโยชน์จากเงินของแผ่นดิน ยังอยู่ในวงการเมืองปัจจุบัน และคงมีความพยายามฉ้อราษฎร์บังหลวงมิดชิด และเห็นได้ยากมากขึ้น

“การต่อต้านคอร์รัปชั่นภาคพลเมืองก่อตัวขึ้นแล้วและคงอยู่ต่อไป และข้าราชการจำเป็นต้องปรับตัว เนื่องจากการฉ้อราษฎร์บังหลวงทำแนบเนียนขึ้น จำเป็นต้องจัดกระบวนการติดตาม ส่งต่อข้อมูลอย่างทันเหตุการณ์ ความพยายามในการบรรจุกฎหมายเกี่ยวกับการประมูลจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส เป็นความพยายามที่ดี แต่ไม่น่าเพียงพอกับความเจ้าเล่ห์ของผู้ที่จะโกง” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ข้าราชการทุกคนรักชาติ ส่วนใหญ่ต้องการขจัดการคอร์รัปชั่น แต่ให้ต่อสู้ในวงข้าราชการฝ่ายเดียว ดังที่ข้าราชการรุ่นก่อนหน้าทำมา คงสำเร็จยาก เพราะเหตุการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไปมาก นักการเมืองใช้วิธีโยกย้ายข้าราชการข่มขู่ และเป็นเครื่องมือปัดให้พ้นทาง ดังนั้นหากข้าราชการต่อสู้กับอธรรม แต่ถูกย้ายออกก่อนทำได้สำเร็จ ก็มีแต่เสีย ดังนั้นการปกปิดแหล่งข้อมูลอย่างมิดชิด เป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้ข้าราชการมีความเชื่อมั่นที่จะส่งข้อมูล


คนกรุงฯเตรียมทำใจ กระเป๋าฉีก! ‘บีทีเอส’ เตรียมขึ้นค่าโดยสาร 1 มิ.ย.นี้

รถไฟฟ้า บีทีเอส เตรียมปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารอีก 5-6% ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ พร้อมเปิดเผยงบประมูลรถไฟฟ้าอีก 6 เส้นทาง รวมมูลค่ากว่า 1.23 แสนล้านบาท
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS คาดว่า จะมีการปรับขึ้นค่าโดยสาร ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้อีก 5-6% จากปัจจุบันเก็บค่าโดยสารอยู่ระหว่าง 15-42 บาท ซึ่งต่ำกว่าสิทธิที่เก็บได้ในช่วง 20-60 บาท
แต่อย่างไรก็ตามการขึ้นค่าโดยสารของ บีทีเอส จะต้องพิจารณาปัจจัย เช่นเงินเฟ้อที่ผ่านมาต่ำกว่าคาด ค่าใช้จ่าย และดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งหากจะมีการปรับขึ้นจริงจะต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบก่อน 30 วัน ทั้งนี้ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ 7 แสนคนต่อวัน

ขณะที่การลงทุนของบริษัท ได้เตรียมเงินทุนสำหรับการประมูลโครงการเดินรถไฟฟ้ารวม 1.23 แสนล้านบาทใน 6 เส้นทาง รวมระยะทางกว่า 118.5 กิโลเมตร ภายในช่วง 5 ปีนี้ (ปี 58-62) ทำรายได้จากการเดินรถได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาทในปี 2561จากปัจจุบันที่มีรายได้จากการเดินรถที่ 1,700 ล้านบาทในงวดปี 57/58 (เม.ย.57-มี.ค.58) และมีระยะทางเดินรถรวม 36.3 กิโลเมตร โดยปีนี้บริษัทฯคาดว่า จะได้งานเดินรถอีก 3 เส้นทาง คือ สายสีเขียวใต้ ช่วงแบริ่ง -สมุทรปราการสายสีเทา ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ และระบบรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา หรือ LRT บางนา-สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมเตรียมเข้าร่วมประมูลบริหารตั๋วร่วม ของสำนักงานนโยบาย และแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข.ใน 6 เดือนข้างหน้า
เพื่อต่อยอดธุรกิจบัตรแรบบิท และสามารถเดินทางทุกระบบคมนาคม คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มเข้าระบบบีทีเอสมากกว่า 1 ล้านคนต่อวัน โดยใช้วิธีการเดินรถที่มีความเสี่ยงน้อย มากการลงทุนร่วมระหว่างรัฐ และเอกชนที่ใช้เวลาอย่างน้อย 9 เดือน


ทีโอที” จ่อโละ พนง. 3,500 คน อ้างลดใช้จ่ายเตรียมเงิน 9 พันล้านจ้างพนักงานให้ออก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำโครงการเกษียณอายุก่อนครบ 60 ปีบริบูรณ์ (เออร์ลี่รีไทร์) ประจำปี 2558-2559 เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร และเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งปัจจุบันทีโอทีมีพนักงานประมาณ 16,500 คน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละ 13,900-14,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยพนักงานทีโอทีเงินเดือนเฉลี่ย 50,000 บาทต่อเดือน อายุเฉลี่ย 47 ปี อายุงานเฉลี่ย 22 ปี โดยปี 2567 ถ้าไม่มีการรับสมัครพนักงานใหม่ ทีโอทีจะเหลือพนักงานราว 10,000 คน ซึ่งแผนดังกล่าวจะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทีโอที พิจารณาในวันที่ 13 มี.ค.2558 นี้
สำหรับแผนเออร์ลี่รีไทร์ ปี 2558 ตั้งเป้าว่า จะมีพนักงานร่วมโครงการ 2,000 คน ใช้เงินงบประมาณเกือบ 6,000 ล้านบาท ปี 2559 ตั้งเป้ามีพนักงานร่วมโครงการ 1,500 คน ใช้เงิน 3,200 ล้านบาท โดยพนักงานที่เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป และมีอายุงาน 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินตอบแทนสูงสุดไม่เกิน 40 เท่าของเงินเดือนงวดสุดท้าย ส่วนพนักงานที่จะเกษียณอายุในปี 2559 จะได้เงินตอบแทน 36 เท่าของเงินเดือนงวดสุดท้าย และเกษียณอายุในปี 2560 จะได้เงินตอบแทน 28 เท่าของเงินเดือนงวดสุดท้าย ทั้งนี้ แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล เพื่อทดแทนคนเกษียณและเข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์นั้น ผู้บริหารทีโอทีได้เสนอแนวทางดังนี้ คือ ผู้บริหารระดับสูงให้ใช้วิธีการสรรหามืออาชีพ, ปรับเปลี่ยนโยกย้ายพนักงานภายในองค์กรให้เหมาะกับงาน และสรรหาผู้ปฏิบัติงานใหม่ ด้วยวิธีการให้ทุนการศึกษา เป็นต้น แต่ทั้งนี้แผนการบริหารทรัพยากรบุคคลนั้น พนักงานได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก โดยต้องการให้ฝ่ายบริหารตรวจสอบสถานะของพนักงานทุกคนว่า ทำงานจริงจังและคุ้มค่าหรือไม่ เพราะทีโอทีมีพนักงานประจำที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างที่มีระยะเวลากำหนด ลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานจ้างเหมารวมกันมากกว่า 20,000 คน ซึ่งถือเป็นภาระค่าใช้จ่ายอย่างมาก


สถานการณ์ข่าว10/3/58

ความมั่นคงระเบิด
"วินธัย" ย้ำ ไม่ประมาท เร่งตรวจสอบข้อมูล 15 มี.ค. ปรับกำลัง จนท.ต่อเนื่องเพื่อความเหมาะสมดูแลพื้นที่ ยันไม่ไมีการจัดฉาก

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกและโฆษกคณะรัษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า ฝ่ายความมั่นคง มีการปรับแผนอยู่ตลอดเวลาเพื่อความเหมาะสมในการดูแลความ

ปลอดภัยให้กับประชาชน ตลอดจนมีการประสานงานข้อมูลข่าวสารกับหน่วยงานต่าง ๆ และจัดวางกำลังนอกเครื่องแบบเฝ้าระวังในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งสถานที่ราชการ และพื้นที่ของเอกชน ส่วน
คำให้การของคนร้ายที่จะมีการก่อเหตุในวันที่ 15 มี.ค. นั้น ก็จะต้องนำมาตรวจสอบอีกครั้ง ยืนยันไม่ประมาทอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ พ.อ.วินธัย ยังกล่าวด้วยว่า ผู้บัญชาการระดับสูงรวมถึงหัวหน้า คสช. มีการพูดคุย หารือ เรื่องความมั่นคงมาโดยตลอด และรับไม่ได้กับการที่ยังมีกลุ่มไม่หวังดีก่อเหตุความรุนแรง พร้อมกับยืน

ยันหนักแน่นว่าไม่ได้มีการจัดฉากเบี่ยงประเด็นทางการเมืองเพื่อกลบประเด็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ผลอย่างแน่นอน
----------------------
เลขาฯ สมช. เผย สั่งดูแลความปลอดภัยทุกพื้นที่ มั่นใจ รบ.แก้ไขปัญหาได้ ยังไม่มีรายงานความเคลื่อนไหวคนเสื้อแดง

นายอนุสิษฐ คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการเฝ้าระวังในพื้นที่ต่าง ๆ หลังเกิดเหตุระเบิดที่ศาลอาญารัชดา ว่า มีการสั่งการดูแลความ

ปลอดภัยในพื้นที่สำคัญทุกจุด ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองหรือไม่นั้น ฝ่ายความมั่นคงอยู่ระหว่างการติดตาม แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้สั่งการและไม่ได้รับรายงานว่าผู้สั่งการ

อยู่ในต่างประเทศ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการสืบสวน

ทั้งนี้ นายอนุสิษฐ ยังระบุว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายเร่งติดตามอย่างเต็มที่ และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวและวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อ

แดงยังไม่มีรายงาน แต่คิดว่าขณะนี้คนส่วนใหญ่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้บ้านเมืองสงบสุขจนสามารถเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งที่มีการคาดหวังไว้ หากกลุ่มผู้เห็นต่างอยากแสดงออกทางความคิด

เห็นขอให้เสนอผ่านเวทีที่รัฐบาลจัดขึ้น
------------------------
พล.อ.ประวิตร ไม่รู้ระเบิดศาลอาญาโยงกลุ่มเสรีไทย ของ "จารุพงศ์" หรือไม่ ยังไม่มีรายละเอียด มั่นใจ ตำรวจดูแลสถาการณ์ได้ 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงกรณีเหตุระเบิดที่ศาลอาญารัชดา ว่า รัฐบาลรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเจ้า

หน้าที่ตำรวจดูแลความมั่นคงตลอดเวลาและดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อดูแลประชาชน พร้อมเชื่อมั่นว่าจะดูแลสถานการณ์ได้

ส่วนเหตุการณ์ดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิ มนุษยชนและประชาธิปไตย ของ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ยังไม่ทราบ

และยังไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องสอบสวนกันต่อไป
---------------------
พล.อ.อุดมเดช ขอ ปชช.อย่าตื่นตระหนกเหตุระเบิด ฝ่ายมั่นคงติดตามต่อเนื่อง จนท.เร่งขยายผล เสียใจ บางกลุ่มยังสร้างปัญหา

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบกและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดหน้าศาลอาญาถนนรัชดา ว่า ในขณะนี้กำลังติดตามขยายผลร่วมกับเจ้า

หน้าที่ตำรวจซึ่งต้องสืบหาข้อมูลต่อไป ขณะเดียวกันขอให้ประชาชนอย่าตกใจ และไว้วางใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ติดตามข่าวสารอยู่ตลอด และมีการ

บูรณาการร่วมกันเพื่อดูแลสถานการณ์ไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง

กลาโหม ได้กำชับให้ช่วยดูแลเฝ้าระวังในพื้นที่ต่าง ๆ  ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ในการให้ข้อมูล ทำให้ติดตามและคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเสียใจที่มี

กลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังก่อปัญหาซึ่งต้องพยายามทำความเข้าใจต่อไป
---------------------
นายกฯ ยัน คดีระเบิดศาลอาญาไม่กลั่นแกล้งใคร อยู่ระหว่างสอบสวน ไม่ตอบโต้ "พล.อ.ชัยสิทธิ์" ขอบคุณที่ให้กำลังใจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวว่า ในเรื่องเหตุขว้างระเบิดใส่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนว่ามี

ความเชื่อมโยงกับฝ่ายใดบ้าง ซึ่งมีแนวทางอยู่เนื่องจากในอดีตเคยเกิดเหตุลักษณะดังกล่าว โดยฝ่ายความมั่นคงกำลังติดตามอยู่ ซึ่งหากมีหลักฐานชัดเจนก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมยืน
ยันว่าไม่มีการกลั่นแกล้งฝ่ายใด และจะให้ความเป็นธรรม ส่วนกรณีที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ส่วนตัวให้เกียรติและไม่ตอบโต้ ซึ่งถือว่ามี

สิทธิ์ชี้แจงได้และขอบคุณที่ให้กำลังใจในการทำงาน ขณะเดียวกันได้กำชับให้ฝ่ายความมั่นคงระมัดระวังเรื่องการก่อเหตุรุนแรง พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ช่วยกันเฝ้าระวัง
------------------------
นายกฯ ชมฝ่ายความมั่นคง กำชับดำเนินการตามกฎหมายเอาผิดทุกคนที่เชื่อมโยง อย่ากลัวอิทธิพล สั่งคลังทำความเข้าใจ ปชช.ภาษี

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ชมเชยฝ่ายความมั่นคงเรื่องการปรับแผนดูแลความปลอดภัยหลังเกิดเหตุปา

ระเบิดที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอาผิดกับบุคคลหากพบข้อมูลหลักฐานที่เชื่อมโยงกับการก่อเหตุให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่โดยไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพล

และขอให้ประชาชนมั่นใจการทำงานของเจ้าหน้าที่และให้ความร่วมมือในการชี้เบาะแส ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมฝึกอบรมความรู้เฉพาะทางในช่วงปิดภาค

เรียนฤดูร้อน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และไม่ให้เป็นภาระของผู้ปกครองที่ต้องดูแลและภาระด้านค่าใช้จ่าย

ส่วนการจัดเก็บภาษี นั้น นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังทำความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีทั้งระบบ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าหากรัฐสามารถจัดเก็บราย

ได้น้อยจะพัฒนาประเทศได้ช้า โดยขอให้ประชาชนทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการพัฒนาประเทศ โดยคำนึงรายได้ของประชาชนให้เสียภาษีตามสัดส่วน รวมถึงภาษีบ้านและที่ดินที่ต้องคำนึง

ถึงความเป็นจริงไม่เป็นภาระกับประชาชน และให้กระทรวงการคลังนำไปดำเนินการต่อไป
------------------------
พล.อ.อุดมเดช ป้อง ผบ.พล.1 รอ.ยันไม่ได้พูดเพื่อชี้นำ ย้ำ จะฟ้องใครต้องเป็นไปตามหลักฐาน 

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เตรียมฟ้องเจ้าหน้าที่ทหารกรณี

ถามนำผู้ต้องหาคดีปาบึ้มศาลอาญา ว่า ในส่วนของผู้บัญชาการกองพลที่1รักษาพระองค์( ผบ.พล.1) รอ. ไม่ได้ไปพูดเพื่อชี้นำ ส่วนจะไปฟ้องผู้หนึ่งผู้ใดก็เป็นไปตามหลักฐาน ซึ่งการปฏิบัติงานตลอด

จนถึงการสอบสวนทหารทำร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทหารก็ดำเนินการไปตามขอบเขตเมื่อมีเหตุการณ์รุนแรงก็จำเป็นจะต้องใช้กฎหมายพิเศษ ก่อนที่จะให้ตำรวจดำเนินการต่อ ยืนยันว่าทุกอย่าง

เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายตามอำนาจหน้าที่มี ผบ.พล.1 รอ. ถือเป็นผู้ปฏิบัติงานภายใต้คำสั่งของแม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)  และก็รับคำ

สั่งมาจากผู้บัญชาการทหารบกอีกทอดหนึ่ง /
-----------------------
ผบ.ทบ. ยัน ทหาร เคารพ ให้เกียรติ ทุกคน สอบสวนเหตุระเบิดศาลอาญา ยึดตามหลักฐาน กำชับ จนท.เข้มงวดทุกพื้นที่ 

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการดำเนินการสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วางระเบิดที่ศาลอาญา โดยยืนยันว่า เจ้า

หน้าที่ทหารให้ความเคารพกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในราชการ หรือ เกษียณอายุราชการไปแล้ว ด้วยการให้ความเคารพและความเป็นธรรม ซึ่งการจะทำอะไรต่าง ๆ

ในปัจจุบันก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจะถูกจับจ้องว่าดำเนินการด้วยความเรียบร้อยและยุติธรรมหรือไม่ และคิดว่าไม่มีใครที่มีเจตนาเช่นนั้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาก็จะต้องมีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจง

เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจ และเป็นเรื่องร้ายแรงมีการใช้วัตถุระเบิด จึงจำเป็นที่จะต้องพูดถึงรายละเอียด แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปก้าวล่วงท่านใด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
ที่มี และคงจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนกันต่อไป เพื่อหาผู้ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ก็จะต้องเข้มงวดในการดูแลพื้นที่ให้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาทหาร และตำรวจก็มีความระมัดระวังอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุที่รถไฟฟ้าบีทีเอส ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าพารา

กอน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจ และสบายใจ ซึ่งเราจะพยายามดูแลในเรื่องของความสงบเรียบร้อยให้ดีที่สุด ส่วนจะเกี่ยวพันกับใครให้เป็นหน้าที่ของตำรวจในการสืบสวนต่อไป
----------------------
ผบก.สส.บช.น. ส่งทีมลงหาข่าวขบวนการระเบิดศาลในจังหวัดภาคอีสานตามคำให้การผู้ต้องหาแล้ว วันนี้ยังไม่ได้นัดประชุมคดี

พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าเหตุคนร้ายปาระเบิด RGD 5 ที่บริเวณลานจอดรถหน้าศาล

อาญาเมื่อคืนวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เป้าหมายในภาคอีสาน คือ จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดยโสธร และจังหวัดขอนแก่น ตามที่ผู้ต้องหาให้การว่า ได้ทำการประชุมกันที่

พื้นที่ดังกล่าว หากสอบสวนพบบุคคลใดเกี่ยวข้องกับเหตุปาระเบิดที่หน้าศาลอาญาดังกล่าว ก็จะดำเนินคดีทันที

สำหรับในวันนี้ (10 มี.ค.) ทางหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้ยังไม่ได้นัดหมายในการประชุมความคืบหน้าทางคดี ซึ่งช่วงสายของวันนี้อาจจะมีการแจ้งอีกครั้งหนึ่ง
------------------------
ผบช.ภ.3 เผยรวบตัวพี่เขย "มหาหิน" แก๊งปาระเบิดศาลแล้วที่ชัยภูมิ ยึดคอมฯ เอกสาร ส่งตัวทหารรับมาคุมตัวสอบที่ บช.น. แล้ว 


พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก ผบช.ภ.3 เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ตามที่ผู้ต้องหา คือ นายมหาหิน ขุนทอง หนึ่งในสองผู้ก่อเหตุ
ปาระเบิดใส่หน้าศาลอาญา ซัดทอดให้การว่า ได้มีการประชุมกันก่อนก่อเหตุที่จังหวัดในภาคอีสาน ซึ่งทางตำรวจนครบาลได้ประสานงาน
มายัง ตำรวจภูธร ภาค 3 ซึ่งได้ลงพื้นที่และสามารถจับกุมตัวชายที่เป็นพี่เขยของนายมหาหิน

โดยชายคนดังกล่าวเป็นคน อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร บ้านเดียวกับนายมหาหิน แต่มาขายหมูปิ้ง ที่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ  และสืบทราบ
ว่าติดต่อทางไลน์กับนายมหาหินเกี่ยวกับการก่อเหตุระเบิดด้วย จึงนำกำลังทหาร ตำรวจ จับกุมตัว และยึดเอาคอมพิวเตอร์และเอกสาร
หลักฐานต่าง ๆ ไปตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจได้คุมตัวพี่เขยนายมหาหิน มายังกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว และอยู่
ระหว่างการสอบสวนปากคำต่อไป
-------------
แรมโบ้อีสานเดินทางลงบันทึกประจำวันที่กองปราบ เพื่อไม่ให้ใครเอาชื่อไปแอบอ้าง หลังมีเหตุระเบิดศาล 

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน แกนนำ นปช. และอดีตประธานกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือ อพปช. เดินทางเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่กอง

บังคับการปราบปราม เพื่อไม่ให้ใครนำไปแอบอ้าง หลังปรากฏข่าว 2 คนร้าย ก่อเหตุปาระเบิดลานจอดรถศาลอาญาเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 7 มีนาคม พร้อมกับได้แต่งกายโดยมีสัญลักษณ์ผ้าพันคอสี

ขาวที่เขียนว่า อพปช. ซึ่งอาจทำให้สังคมเข้าใจว่าทั้งสองคนคือสมาชิกของเครือข่ายของตนเอง

โดย นายสุภรณ์ ยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักและเกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุทั้งสอง เนื่องจากหลังจากการถูกควบคุมตัวของ คสช. และถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 ได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า

จะยุติบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหมด และถ้ามีใครเอาชื่อของ อพปช. ไปแอบอ้างและกระทำการใด ๆ ขอให้ดำเนินการได้ตามกฎหมายทันที

ส่วนการที่คนร้ายสวมผ้าพันคอที่มีสัญลักษณ์ของ อพปช. นั้น ไม่ทราบเช่นกันว่าเอามาจากไหน เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการแจกผ้าพันคอแบบนี้ไปจำนวนมากกว่า 1 หมื่นชิ้น
-----------------------
ผบ.ตร.ไม่ขอให้ข่าวปาระเบิดศาลอาญา หวั่นกระทบรูปคดี แต่เดินทางสืบสวนหาคนร่วมขบวนการต่อไป

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องความคืบหน้าเกี่ยวกับการติดตามจับกุมคนร้ายปาระเบิดหน้าศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา เนื่อง

จากตนเองได้ออกคำสั่งกำชับให้เรื่องการให้ข่าว โดยให้ระมัดระวังเรื่องการนำเสนอข่าวคดีสำคัญที่อาจกระทบต่อการแนวทางการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ยอมรับว่า
เบื้องต้นมีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 คน แต่รายละเอียดผลการติดตามจับกุมตัวหรือเบาะแสเครือข่ายที่เกี่ยวข้องนั้นไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดและให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนใน

การดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่
-------------------------
รองนายกฯ ชี้ ไม่จำเป็นต้องยกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด วอนผู้ก่อเหตุยุติเห็นใจประเทศ - ยังไม่ถกโยก น.1

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวยืนยันแม้ผู้ต้องหาคดีปาระเบิดศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก สารภาพว่ามีขบวนการเตรียมก่อเหตุการณ์ความ

ไม่สงบในพื้นที่กรุงเทพมหานครอีกหลายจุดในวันที่ 15 มีนาคม แต่ยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องยกระดับความปลอดภัยเพิ่มเติม เพราะขณะนี้ฝ่ายทหาร ตำรวจ ความมั่นคง ยกระดับความปลอดภัย

ขั้นสูงสุดแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งที่หน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน และศาลอาญายังเกิดขึ้นนั้น แสดงว่ายังมีกลุ่มหรือขบวนการที่ต้องการก่อเหตุอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่า

มีมาตรการในการดูแลความปลอดภัยอยู่แล้ว แต่คงรับปากไม่ได้ว่าจะไม่มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นอีก เพราะคนจ้องจะป่วนบางครั้งเฝ้าระวังได้ยาก แต่ซึ่งฝากไปยังกลุ่มเหล่านี้ให้ยุติการกระทำเพราะ

รัฐบาลไม่ได้มาจากการเมือง แต่เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง ส่วนกรณีที่มีการซัดทอดถึงอดีตข้าราชการระดับสูงที่เป็นระดับผู้สั่งการ ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวด้วยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ยังไม่มีการพิจารณาตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนใหม่ เพราะมองว่า พล.ต.ท.ศรี

วราห์ รังสิพราหมณกุล ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และซึ่งหากพบข้อบกพร่องก็ให้เป็นหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณาต่อไป
-----------------------
มติ ก.ตร. เอกฉันท์ ตั้ง ฐิติราช นั่ง ผบช.ก. แทน "พงศ์พัฒน์" ชี้ เหมาะสม ยังไม่ถกโยก น.1

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 5/2558 โดยมีวาระสำคัญคือ การแต่งตั้งข้า

ราชการตำรวจ ระดับ ผช.ผบ.ตร. 1 ตำแหน่ง ระดับ ผบช.หรือ จตร. (สบ 8 ) 4 ตำแหน่ง รวมแล้ว 5 ตำแหน่ง โดยภายหลังการประชุม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ก.ตร. มีมติ

เอกฉันท์ เห็นชอบให้ พล.ต.ท.ธีรศักดิ์ กลิ่นพงษา หน.จเรฯ (สบ 8) ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ จตร.(สบ 8) เป็น หน.จตร.(สบ 8) พล.ต.ต.สันติ มะลิขาว รอง ผบช.ศชต. ขึ้นเป็น จตร.

(สบ 8) พล.ต.ต.วรัญวัส การุณยธัช รอง ผบช.ศ. ขึ้นเป็น จตร.(สบ 8) พล.ต.ต.เติมพงษ์ สิทธิประเสริฐ รอง ผบช.ภ.3 ขึ้นเป็น ผบช.ประจำ ตร. และ พล.ต.ต.ฐิติราช  หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.ก ขึ้น

เป็น ผบช.ก. แทน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในการประชุม ก.ตร. ยังไม่มีการพิจารณาโยกย้ายตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจบาลคนใหม่ แทน พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล เนื่องจากเห็นว่ายัง

สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ อีกทั้งส่วนตัวเคยร่วมงานมาก่อนเห็นว่ายังมีความเหมาะสม ทุ่มเทเสียสละ และจริงจังในการทำงาน เช่นเดียวกับตำแหน่งผู้บัญชาการคนอื่น ๆ ซึ่งยังไม่มีการพิจราณาโยก

ย้ายแต่อย่างใด
------------------
ผบ.ตร. ยันต้องใช้กำลังตำรวจนอกเครื่อง รปภ.สถานที่สำคัญ - เชิญ "ชัยสิทธ์-คำรณวิทย์" ให้ข้อมูลพนักงานสอบสวนพิจารณา

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวตแห่งชาติ ยืนยันจะใช้กำลังทหาร ตำรวจนอกเครื่องแบบไปดูแลรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญต่าง ๆ อย่างเข้มงวด โดยยังคงให้น้ำหนักและเน้น

ทุกสถานที่ที่สำคัญ ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดรวมไปถึงการสืบสวนจับกุมไปยังขบวนการหรือผู้อยู่เบื้องหลังให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่มีราย

ชื่อที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างถึง บางครั้งข่าวที่ปรากฏออกไปก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น ดังนั้น การจะพิจารณาออกหมายจับหรือเชิญบุคคลใดมาให้ข้อมูลต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพนักงานสอบสวน

พร้อมระบุว่า หลังเกิดเหตุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ไม่ได้เร่งรัด หรือกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพียงแต่ให้ทำด้วย

ความละเอียดรอบคอบ เพราะเป็นคดีสำคัญมีความละเอียดอ่อนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

สำหรับกรณีที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเตรียมก่อเหตุอีกกว่า 100 จุดนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ว่าจะมีการก่อเหตุหรือทำได้ตามนั้นหรือไม่ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้

ประมาทและมีการเฝ้าระวังป้องกันอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ยังได้ฝากไปถึงผู้ที่เตรียมก่อเหตุด้วยว่าต้องการอะไร เพราะประเทศกำลังเดินหน้าต่อไปได้ แต่หากเห็นว่าทำแล้วสบายใจก็ทำไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุระเบิดหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอนนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามจับกุมคนร้ายให้ได้ ซึ่งรู้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด
-------------------
ผบช.น. ชี้ สามารถเผยชื่อผู้ต้องหาตามหมายจับกรณีบึ้มศาลอาญาได้ทั้งหมดภายในศุกร์นี้ ลั่น ขอเวลาเจ้าหน้าที่ดำเนินการก่อน 

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีเหตุระเบิดหน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา ว่า หมายจับล่าสุดที่ศาลทหารได้ออกมาแล้วเมื่อช่วงเย็น

วานนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายชื่อได้ทั้งหมดในวันศุกร์นี้ เพราะขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานงานก่อน

โดยทั้ง 4 ราย เจ้าหน้าที่ทหารสามารถควบคุมตัวได้แล้ว 1 ราย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่าน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ทหารส่งตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาให้เจ้าหน้าตำรวจสอบสวน หากพบว่ามีความเชื่อม

โยงกับบุคคลใดก็จะมีการออกหมายจับเพิ่มทันที ด้านสองนายพลที่มีชื่อในบัญชีของผู้ต้องหาขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการ หรือเรียกมาสอบถามแต่อย่างใด ต้องรอให้เข้ามาชี้แจงก่อน

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวที่พบว่ามีความเชื่อมโยงกับเหตุการบริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยาม นั้น พล.ต.ท.ศรีวราห์ ระบุว่า ผู้ก่อนเหตุมีพฤติการในการก่อเหตุคล้ายกับการก่อนเหตุใน

หลายพื้นที่ของปี 2557 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ฟันธงว่าเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่

โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ ยังกล่าวอีกว่า ยังยืนยันว่าเหตุระเบิดดังกล่าวไม่ใช่การสร้างสถานการณ์เพื่อให้กฎอัยการศึกยังมีผลต่อ เพราะผู้ต้องหาที่พบเบื้องต้นมีมากถึง 9 คน คงไม่มีใครที่จะรับจ้างติดคุก

มากขนาดนี้

//////////
ถอดถอน
/////
เคลื่อนไหวนายกฯ/ครม.

นายกฯ เข้าทำเนียบแล้ว เตรียมประชุม ครม. เจ้าหน้าที่ รปภ.เข้ม - รมว.เกษตรฯ นำองค์กรเกษตรผู้เลี้ยงโคนมเข้าพบ 

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลล่าสุดในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เดินทางเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว โดย

เตรียมที่จะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ตึกบัญชาการ 1 ในช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. ที่จะถึงนี้

ซึ่งบรรยากาศที่ตึกบัญชาการ 1 โดยทั่วไป มีบรรดาคณะรัฐมนตรี รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง ท่ามกลางมาตรการรักษา

ความปลอดภัยจากเจ้าหน้าตำรวจอย่างเข้มงวดรอบพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีช่วงเช้าวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะผู้แทนองค์กรเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและองค์กรผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนม พร้อม

ทั้งเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปนม ที่ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ด้วย
--------------------
นายกฯ คุยเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม กลุ่มอุตสาหกรรมนม ก่อนเข้าประชุมอย่างเป็นกันเอง พร้อมขอเลิกทะเลาะกัน 

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด ในช่วงนี้ยังคงอยู่ในช่วงของการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.

เป็นประธานการประชุม

ทั้งนี้ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ได้พบปะกับคณะผู้แทนองค์กรเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและองค์กรผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนม พร้อมทั้งเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา ซึ่งเดิน

ทางมาขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปนม โดยนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยและทักทายด้วยความเป็นกันเอง พร้อมระบุกับคณะผู้แทนเกษตรกรผู้เลี้ยง
โคนมดังกล่าวว่าขอให้เลิกทะเลาะกัน
-----------------
ครม.เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา-สนธิสัญญาว่าด้วยการช่วยเหลือในเรื่องทางอาญาของภูมิภาค

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา

ฉบับที่ พ.ศ. ... สำหรับร่างดังกล่าวแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 และสนธิสัญญาว่าด้วยการช่วยเหลือในเรื่อง
ทางอาญาของภูมิภาคอาเซียนซึ่งไทยได้ให้สัตยาบรรณอนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าวแล้ว

ทั้งนี้ สาระสำคัญกำหนดให้ผู้ประสานงานกลางสามารถส่งคำร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศไปให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายอื่นได้ กำหนดให้ผู้ประสานงานกลางส่ง

ข้อมูลการกระทำความผิดหรือทรัพย์สินให้ต่างประเทศ แม้ประเทศนั้นไม่ได้ร้องขอ และเพิ่มเติมการโอนบุคคลถูกคุมขังให้ครอบคลุมถึงบุคคลถูกคุมขังเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินคดีในชั้นเจ้า

พนักงาน รวมถึงเพิ่มเติมการริบหรือยึดทรัพย์สินให้ครอบคลุมถึงการบังคับชำระเงินแทนการริบทรัพย์สิน

//////////
กมธ.ยกร่าง รธน.

บวรศักดิ์ เตรียมแจงภาพรวมยกร่างรัฐธรรมนูญ ต่อ สปช. พร้อมถ่ายถอดสดช่อง 11 ตลอด 2 ชั่วโมง

ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา วันนี้ ในเวลา 11.00 น. นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นัดสมาชิกประชุม เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปทรัพยากร

ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องการปฏิรูประบบการผังเมืองและการใช้พื้นที่ (การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร)

โดยก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะเข้าชี้แจงภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต่อที่ประชุม สปช. ด้วยตนเอง ถือเป็นวาระพิเศษ และ

ใช้เป็นเวลารวม 2 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 11.00 - 13.00 น. เนื่องจากมีทั้งการสรุปภาพรวมและการปฏิรูปประเทศตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557

ทั้งนี้ ได้ประสานถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และทีวีรัฐสภาด้วย ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยังคงนัดประชุมเพื่อทบทวนเรียงลำดับมาตราเป็น

วันที่ 2
-------------------
นช.-สปช.-กมธ.ยกร่างฯ ทยอยถึงสภา เตรียมประชุม "คำนูณ" เผย ทบทวน ร่าง รธน.ไปแล้ว 50 มาตรา

บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา ล่าสุด สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เริ่มทยอยเข้ามาเพื่อเตรียมตัวประชุมกรรมาธิการคณะต่าง ๆ ก่อนที่จะมี

การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในเวลา 11.00 น.

โดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้รายงานภาพรวมการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด ซึ่งจะใช้เวลา 2 ช.ม. จากนั้นจะมีการพิจารณารายงานของคณะ

กรรมาธิการทรัพยากรและสิ่งแว้ดล้อม เรื่องการปฏิรูประบบผังเมืองและการใช้พื้นที่ (การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร)

ขณะที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการประชุมของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า เป็นการพิจารณาทบทวนรัฐธรรมนูญทั้ง 315 มาตรา โดยจะเริ่ม

ตั้งแต่มาตราที่ 1 เพื่อตรวจทานความถูกต้องให้เกิดความสมบูรณ์และจะมีการสรุปบันทึกเจตนารมณ์มาใส่ไว้เพื่อที่จะเตรียมการนำร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวยื่นต่อประธานสภาปฎิรูปแห่งชาติ ซึ่งได้

พิจารณาทบทวนไปแล้ว 50 มาตรา
----------------------
คำนูณ แจง ขั้นตอนทบทวน ร่าง รธน. ไม่ปรับแก้หลักการ ประชุมแม่น้ำ 5 สาย บวรศักดิ์แจงภาพรวม พล.อ.เลิศรัตน์ สรุปรูปแบบเลือกตั้ง

นายคำนูณ สิทธิสมาน กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า กระบวนการทบทวนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญจะมีการปรับแก้ไขเฉพาะถ้อยคำ

และการสรุปเจตนารมณ์ในแต่ละมาตรามาลงบันทึกเป็นรายงานเท่านั้น เพื่อเตรียมเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยจะไม่มีการปรับแก้หลักการและเนื้อหาแต่อย่างใด จะรอพิจารณาแก้ไขที

เดียวหลังจาก สปช.อภิปรายขอแก้ไขไปแล้วในช่วง 60 วันสุดท้าย ระหว่าง 25 พ.ค. - 23 ก.ค. ต่อไป

พร้อมกันนี้ โฆษก กมธ.ยกร่างฯ ยังกล่าวด้วยว่า ในการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ในวันที่ 11 มี.ค. นี้ นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ จะชี้แจงภาพรวมการยกร่างทั้งหมด พล.อ.เลิศรัตน์

รัตนวานิช ที่ปรึกษา กมธ. จะชี้แจงเกี่ยวกับภาพรวมระบบการเลือกตั้ง ตามร่าง รธน.ใหม่ พร้อมกับทิ้งท้ายว่า ร่าง รธน.อาจมีการปรับปรุงแก้ไขในส่วนของหลักการและเนื้อหาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ใน

ขั้นตอนการทบทวน ของ กมธ.
-------------------------
"วสันต์-สังสิต" ยื่นข้อเสนอปฏิรูป ป.ป.ช. ต่อ "บวรศักดิ์" หนุนต่ออายุ 5 กรรมการ แนะยกระดับ ป.ป.ท. เทียบเท่า ป.ป.ช. ป้องกันการเมืองแทรก

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เข้ายื่นข้อเสนอปฏิรูปเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ต่อ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ

ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยเสนอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหน้าที่ตรวจสอบวินิจฉัยเฉพาะการทุจริตของนักการเมืองและข้า

ราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับ ซี 10 ขึ้นไป และเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ในการบริหารงานบุคคลและการบริหารคดี พร้อมให้กำหนดคุณสมบัติของกรรมการ ป.ป.ช. ให้หลากหลายมากขึ้น มีวาระ

ดำรงตำแหน่งเพียง 6 ปี เชื่อว่าข้อเสนอดังกล่าวจะช่วยทำให้การพิจารณาคดีที่ค้างอยู่จำนวนมากเร็วขึ้น

ทั้งนี้ นายสังศิต ระบุด้วยว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล ควรต่ออายุดำรงตำแหน่งให้กับกรรมการ ป.ป.ช. 5 คน ที่จะพ้นจากตำแหน่ง จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อไม่ทำให้

การตรวจสอบที่เข้มข้นต้องขาดหายไปในช่วงนี้ แม้กรรมการ ป.ป.ช.บางส่วนจะระบุชัดว่าไม่ขอต่ออายุการทำงานก็ตาม

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยกำหนดให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นองค์กรอิสระเช่นเดียวกับ ป.ป.ช. เพื่อทำให้ไม่ถูกแทรกแซงจาก

ฝ่ายการเมือง
------------------------
"บวรศักดิ์" แจง สปช.ร่างรัฐธรรมนูญ ยังไม่นิ่ง รอปรับแก้ เน้นลดความแตกแยก นำประเทศสงบยึดประชาชนเป็นใหญ่ 

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงภาพรวมรัฐธรรมนูญร่างแรกต่อที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยเน้นเรื่องการสร้างพลเมืองเป็นใหญ่ ที่ผ่านมาประชุมไป

62 ครั้ง จนได้ร่างแรกรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่นิ่ง เพราะยังมีการปรับแก้ถ้อยคำ ซึ่งการเขียนรัฐธรรมนูญเป็นการวิเคราะห์ระบบการเมืองไทยที่มีความขัดแย้งร้าวลึก จึงเป็นปัญหาสำคัญที่กรรมาธิการ

ยกร่าง และ สปช. ต้องร่วมกันแก้ เพราะหากปล่อยไว้จะทำให้ประเทศล้าหลัง ทั้งนี้ เห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดจากการเมืองแล้ว ยังมีสมมุติฐานสำคัญ คือ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนคนรวย ปัญหา

เรื่องการจัดสรรทรัพยากร ดังนั้น การแก้ปัญหาจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มการเมือง ที่ยังมีปัญหาไม่ได้รับความเชื่อถือในความสุจริต และกลุ่มพลเมือง เป็นคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่ไม่ได้รับ

โอกาสการมีส่วนร่วม พร้อมกันนี้ ย้ำเจตนารมณ์ร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องสร้างพลเมืองเป็นใหญ่ การเมืองใสสะอาดและสมดุล หนุนสังคมที่เป็นธรรม และนำชาติสู่สันติสุข เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง
--------------------------
"อมรวิทช์" ระบุ ข้อเสนอ กมธ.ปฏิรูปการศึกษา เน้นการกระจายอำนาจเป็นหัวใจควบคู่การปฏิรูป ผลักดันให้มีเครือข่ายสมัชชาพลเมืองร่วมตรวจสอบ

นายอมรวิชช์ นาครทรรพ โฆษกคณะกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กล่าวถึง การเสนอร่างรายงานยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ ต่อสภาปฏิรูป

แห่งชาติ (สปช.) ว่า ได้นำเสนอหลักการของการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ทั้งระบบ เน้นการกระจายอำนาจเป็นหัวใจควบคู่การปฏิรูป โดยจะผลักดันให้มีเครือข่ายสมัชชาพลเมืองทุกพื้นที่ร่วมสนับ

สนุนและตรวจสอบธรรมาภิบาลการจัดการศึกษาทุกระดับ การปฏิรูประบบการเงินการคลังที่มุ่งกระจายงบประมาณการศึกษาสู่ผู้เรียนและสถานศึกษาโดยตรง

รวมทั้งการปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิรูปหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้จากชีวิตจริง รวมถึงการนำหลักศาสนาและคุณธรรมจริยธรรมมาเป็นหลักในการออกแบบเรียนรู้ใหม่ ทั้งการจัดตั้งคณะ

กรรมการนโยบายการศึกษาและพัฒนามนุษย์แห่งชาติ ขึ้นมากำกับดูแลกระบวนการปฏิรูปการศึกษากา

นอกจากนี้ จะมีการผลักดันร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างคุณภาพการเรียนรู้ พ.ศ. ... และร่าง พ.ร.บ.สถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช.)
--------------------------
"บวรศักดิ์" แจง สปช. รธน.ใหม่มีความก้าวหน้าสร้างพลเมืองเป็นใหญ่ มีสิทธิ หน้าที่ชัดเจนมากกว่า ปี 2550

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงภาพรวมรัฐธรรมนูญร่างแรกต่อที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยกล่าวถึงภาพรวมการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า รัฐ

ธรรมนูญฉบับนี้มีความก้าวหน้าเรื่องการสร้างพลเมืองเป็นใหญ่ชัดเจนมากกว่ารัฐธรรมนูญ ปี 2550 และทุกฉบับที่ผ่านมา เพื่อยกระดับราษฎรเป็นพลเมือง ให้มีสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่และความรับผิด

ชอบต่อบ้านเมือง โดยไม่เห็นแก่ผลตอบแทน

อีกทั้งยังขยายและเพิ่มสิทธิต่าง ๆ ที่เป็นสิทธิมนุษยชน สิทธิพลเมือง อาทิ สิทธิในครอบครัวที่เป็นปึกแผ่น สิทธิการศึกษา 15 ปี รวมถึงได้กำหนดให้ทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภทเป็นทรัพยากร

ของชาติ เพื่อให้มีการจัดสรรอย่างสมดุล

พร้อมกันนี้ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ย้ำว่า สิ่งที่กรรมาธิการได้ยกร่างมาทั้งหมด จะสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคม และเป็นแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยอย่าง

ถาวร
-----------------
น.พ.ชูชัย แจงความคืบหน้าปฏิรูป ชี้ ด้านบริหารราชการแผ่นดินสำคัญสุด หากทำไม่ได้ ด้านอื่น ๆ ก็อาจไม่สำเร็จ แนะกระจายอำนาจ

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ล่าสุด มี นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดย น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐ

ธรรมนูญ รายงานความคืบหน้าการปฏิรูปในแต่ละด้าน เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

ทั้งนี้ การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินนั้น ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารประเทศ หากปฏิรูปในส่วนนี้ไม่ได้ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในส่วนอื่นได้ และควรจะมีการกระจายอำนาจไปให้

กลุ่มจังหวัด

นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการสืบทอดอำนาจแม่น้ำทั้ง 5 สาย ในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม น.พ.ชูชัย ยังระบุว่า ควรทำประชามติเพื่อ

รับฟังความคิดเห็นของประชาชน และเพื่อให้การปฏิรูปครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
--------------------
"กอบศักดิ์" แจงปฏิรูป 3 ด้าน "การเงิน-การคลัง-ภาษีอากร" ลดเหลื่อมล้ำ ชี้ต้องมีหน่วยงานกลางแก้ปัญหาความยากจน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงด้านการปฏิรูปต่อที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยได้สรุปการปฏิรูปใน 3 ด้าน ดังนี้ ปฏิรูปด้านการเงิน การคลัง และภาษีอากร จะจัด

ให้มีระบบภาษี 2 ระดับ คือ ระดับชาติและระดับท้องถิ่น พร้อมจัดให้มีกฎหมายกำหนดให้บุคคลต้องแสดงรายได้ของตนต่อหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยทุกคนเข้าสู่ระบบภาษีอย่างสมบูรณ์
ด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ ที่ต้องปรับปรุงกฎหมายเพื่อป้องกัน ลด จำกัด หรือขจัดผูกขาด และการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยให้มีหน่วยงานกลางในการแก้ปัญหา

ความยากจน และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ การจัดสรรงบประมาณพิเศษเพื่อติดตามพัฒนาพื้นที่ของผู้มีรายได้น้อย และด้านการปฏิรูปวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จะจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปฯ
ขึ้นมาทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ นโยบาย แผนเพื่อการปฏิรูป รวมถึงการลงทุนด้านการศึกษา วิจัย สร้างนวัตกรรม ที่จะสนับสนุนหรือลงทุนในภาคท้องถิ่น
------------------------
"เอนก" มั่นใจ รธน.ใหม่จะทำให้การเมืองไทยไม่เหมือนเดิม ชี้ ปรองดองสำคัญที่สุด เป็นรากฐานหนุนการปฏิรูป

นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะทำให้การ

เมืองไทยไม่เหมือนเดิม ซึ่งประชาชนทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ใช่ให้พรรคการเมืองใหญ่ดำเนินการ สำหรับการสร้างความปรองดองถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะหากไม่มีความ

ปรองดอง การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และการปฏิรูปประเทศก็จะไม่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติให้มีคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดอง จำนวน 15 คน ที่มีหน้าที่เป็นคนกลางยุติความขัดแย้ง รวบรวมข้อมูลเสนอแนวทางแก้ไขต่อสภา ซึ่งจากนี้ไป

คณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะเร่งดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เพื่อเตรียมสรุปร่างรัฐธรรมนูญนำเสนอต่อประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในวันที่ 17 เม.ย. นี้
------------------
"อลงกรณ์" เผย สปช. เตรียมเสนอแนวทางปฏิรูปทั้งหมดต่อที่ประชุม แม่น้ำ 5 สาย ใน 3 ประเด็นท้าทาย แก้ขัดแย้ง, ลดเหลื่อมล้ำ, ทุจริตคอร์รัปชั่น

นายอลงกรณ์ พลบุตร โฆษกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ครั้งที่ 3 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 มี.ค. นี้ ที่สโมสรทหารบก ว่า สปช. เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้โดยมี

วาระเพื่อรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานของแม่น้ำ 5 สาย โดยในส่วนของ สปช. จะนำเสนอทิศทางการปฏิรูปทั้งหมด อาทิ การปฏิรูปที่ดิน สวัสดิการสังคม โครงสร้างภาษี การคุ้มครอง
ผู้บริโภค การป้องกันการทุจริต การเข้าสู่อำนาจและระบบพรรคการเมือง การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ กิจการตำรวจ ที่มี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์และออก

แบบอนาคตประเทศไทย รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการของ สปช. ใน 3 ประเด็นท้าทาย ประกอบด้วย ความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ และการทุจริตคอร์รัปชั่น

นอกจากนี้ ยังมีกลไกหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ สร้างความเป็นธรรมในสังคม เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งจะมีการเสนอ 36 วาระการปฏิรูป

และวาระการพัฒนาด้วย
-------------------
บวรศักดิ์แจงสปช.รธน.ยังไม่นิ่งรอปรับแก้เน้นลดแตกแยก

ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงภาพรวมรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุม สปช. พร้อมย้ำเจตนารมณ์ เน้นพลเมืองเป็นใหญ่ และสิ่งที่ยกร่างมาทั้งหมด จะสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่

เกิดขึ้นในสังคม นำไปสู่เป็นแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยอย่างถาวร ขณะเดียวกัน ระบุว่า ร่างรัฐธรรมนูญนี้ ยังไม่นิ่ง เพราะยังมีการปรับแก้ถ้อยคำ

 ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. วันนี้ ได้รับทราบรายงานความคืบหน้าของการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า

ขณะนี้ คณะกรรมาธิการยกร่างฯได้ประชุมผ่านไปแล้วทั้งสิ้น 62 ครั้ง กว่า 500 ชั่วโมง ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับทราบความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงกลุ่มพรรคการเมือง และคู่ขัดแย้งทาง

การเมืองต่างๆ ทำให้ขณะนี้ สามารถพิจารณาผ่านร่างแรกทั้ง 315 มาตราเสร็จแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังต้องมีการปรับแก้ถ้อยคำ

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาในอดีตที่ผ่านมา รวมถึงเร่งปฏิรูปปัญหาต่างๆ ที่สั่งสมมายาวนาน เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาและเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความขัด

แย้งที่เหมือนว่ายังไม่สิ้นสุด และพร้อมที่จะปะทุขึ้นมา หลังกฎอัยการศึกถูกยกเลิกไป

นายบวรศักดิ์ ระบุว่า การเขียนรัฐธรรมนูญ เป็นการวิเคราะห์ระบบการเมืองไทย ที่มีความขัดแย้งร้าวลึก จึงเป็นปัญหาสำคัญที่กรรมาธิการยกร่าง และ สปช. ต้องร่วมกันแก้เพราะหากปล่อยไว้จะทำ

ให้ประเทศล้าหลัง ทั้งนี้ เห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดจากการเมืองแล้ว ยังมีสมุดฐานสำคัญ คือ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนคนรวย ปัญหาเรื่องการจัดสรรทรัพยากร ดังนั้น การแก้ปัญหาจะแบ่งเป็น 2

กลุ่ม คือ กลุ่มการเมือง ที่ยังมีปัญหา ไม่ได้รับความเชื่อถือในความสุจริต และกลุ่มพลเมือง เป็นคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่ไม่ได้รับโอกาสการมีส่วนร่วม พร้อมกันนี้ ย้ำเจตนารมย์ร่างรัฐธรรมนูญ

ที่ต้องสร้างพลเมืองเป็นใหญ่ //การเมืองใสสะอาดและสมดุล //หนุนสังคมที่เป็นธรรม และนำชาติสู่สันติสุข เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง
----------------------
พล.อ.เลิศรัตน์ เผยกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทบทวนแล้ว 64 มาตรา ขณะ 12 มี.ค. เชิญหน่วยงานให้ความเห็น

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาทบทวนร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราทั้ง 315 มาตราควบคู่กับบันทึกสรุปเจตนารมณ์ ได้

ทบทวนไปแล้ว 64 มาตรา นอกจากนี้ ยังมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 159 จำนวน 12 ฉบับ รวมถึงมีพระราช
บัญญัติที่จำเป็นต้องตราขึ้นตามร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวน 13 ฉบับ ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาในการทบทวนร่างรัฐธรรมนูญจนถึงสิ้นเดือนนี้ ขณะเดียวกัน ได้เปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง

เพิ่มเติมเมื่อพิจารณาถึงในหมวดนั้น ๆ ส่วนในวันที่ 12 มี.ค. นี้ ได้เชิญตัวแทนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มาให้ความเห็นเพื่อ
นำไปทบทวนต่อไป

//////////////
คดีการเมือง

ทนาย "อภิสิทธิ์" เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ป.ป.ช กรณีสลายการชุมนุม นปช. ปี 2553 ระบุ ไม่หนักใจ ทีมงานเตรียมเอกสารชี้แจงแล้ว 

นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความผู้ได้รับอำนาจจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ และ นาย

สุเทพ เทือกสุบรรณ จากรณีประกาศใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินและสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. จนเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตาย

นายบัณฑิต เปิดเผยว่า ป.ป.ช.กำหนดให้มาแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน ซึ่งตนไม่รู้สึกหนักใจอะไรเพราะทางทีมงานได้เตรียมรวบรวมพยานเอกสารและหลักฐานไว้บางส่วนแล้ว เชื่อว่ามีความ

ชัดเจนเพียงพอที่จะแก้ข้อกล่าวหาได้ โดยเฉพาะที่ระบุไม่มีความสอดคล้องกันระหว่างแนวคำสั่งกับการปฏิบัติ เพราะมีหลักฐานเป็นเอกสารคำสั่งชัดเจน

นอกจากนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังให้ความคุ้มครองผู้ปฏิบัติการ แต่จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ ป.ป.ช. ซึ่งขณะนี้ตนยังไม่ได้หารือกับนายอภิสิทธิ์ว่าจะขอเพิ่มพยานหรือไม่ แต่หากมีก็จะส่ง

รายชื่อมาพร้อมกับการเอกสารคำชี้แจง ส่วนทาง ป.ป.ช.จะมีการขอเอกสารหลักฐานจากฝ่ายทหารเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการ

อย่างไรก็ตาม ไม่มีความกังวลที่คดีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีอำนาจในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่ามีความเกี่ยวข้อง ก็จะดำเนินการเรียกตัวมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่

สิ่งที่เป็นห่วงคือแรงกดดัน
----------------
ทนาย "พระสุเทพ" เข้าพบ ป.ป.ช. รับทราบข้อกล่าวหา กรณีสลายแดง ปี 53 ไม่ขอพูดรายละเอียด เรื่องชี้แจงเจ้าตัวจะมาด้วยตนเอง

นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ทนายความผู้ได้รับมอบหมายจาก พระสุเทพ เทือกสุบรรณ เดินทางมารับทราบบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. กรณีการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 โดยหลังจากเสร็จสิ้น

การพบกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. นายทวีศักดิ์ เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการมารับทราบข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของคดี ไม่อยากพูดถึงรายละเอียดมากนัก ส่วนเรื่องของสำนวน

หากมีความจำเป็นจะมาดำเนินการคัดสำนวน

อย่างไรก็ตาม สำหรับการชี้แจงข้อกล่าวหา พระสุเทพ ต้องเดินทางมาชี้แจงข้อกล่าวหาด้วยตนเอง ภายใน 15 วัน หลังจากรับทราบข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียม

พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
-------------------------
ป.ป.ช. ให้ จนท. รวบรรวมหลักฐานเพิ่ม สนช. ตั้งเครือญาติ ชี้ฝ่าฝืนจริยธรรม ส่อทุจริตต่อหน้าที่

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาคำร้องของ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายก

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ที่กล่าวหาว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งเครือญาติเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้กับ สนช. ว่าเข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับ

ซ้อน ฝ่าฝืนประมวลจริยธรรม และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องดังกล่าวนอกจากจะฝ่าฝืน

ประมวลจริยธรรมแล้ว ยังเป็นการกระทำอันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และทุจริตต่อหน้าที่ด้วย แต่ยังมีข้อเท็จจริงไม่เพียงพอที่จะพิจารณา จึงมอบหมายให้พนักงานเจ้า

หน้าที่ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการแต่งตั้งบุคคลตามร้องเรียนทุกรายให้ครบสมบูรณ์เสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจาณาอีกครั้ง
----------------------
พลภูมิ FB เข้าพบ "ยิ่งลักษณ์" ระบุ อดีตนายกฯ มีกำลังใจดี ห่วงเศรษฐกิจของประเทศ

นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย กทม. ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ" ว่า ได้เดินทางเข้าเยี่ยมคาราวะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่บ้านพัก พร้อม นายคุณากร ปรีชาชนะชัย

โดย นายพลภูมิ ระบุว่า อดีตนายกฯ มีกำลังใจที่เข้มแข็งดีมาก แม้จะต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคหลายอย่างตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ยังคงเป็นห่วงบ้านเมืองโดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ
-------------------------
กกต.มีมติให้ตั้งใหม่ นายกฯ อบจ.เชียงราย แจกใบเหลือง"บุศริณธญ์ " พี่ สาว "ยงยุทธ ติยะไพรัช"

นายดุษฎี  พรสุขสวัสดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย แถลงว่า ที่ประชุมกกต.มีมติสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

ใหม่ หรือให้ใบเหลือง นางบุศริณธญ์ วรพัฒนานันท์ พี่สาวของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภาและรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้ง จากกรณีที่มีการร้องเรียน ว่สกำนันใน

พื้นที่ได้ประสานเชิญผู้นำท้องถิ่นและฝ่ายปกครองในพื้นที่ มาประชุมกันใน 3 พื้นที่ได้แก่ ต.แม่ข้าวต้ม ต.นางแล และต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย  โดยมีนายวีระเดช สมวรรณ นายอำเภอเมืองเชียงราย

เป็นประธานในที่ประชุม และหลังจากนั้น นายยงยุทธ ได้เข้ามาในที่ประชุมและมีการพูดหาเสียงให้แก่นางบุศริณธญ์ และสอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองถึงคะแนนนิยมของนางบุศริณธญ์ว่าจำนวน

เท่าใด กกต.จึงเห็นว่ามีความผิดโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการใดๆเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร จึงสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่และดำเนินคดีอาญาแก่นายยงยุทธและนายวีระเดช
------------------------
กกต.ให้ใบแดง "นายมาโนช เสนพงศ์" ผู้ได้รับเลือกเป็น นายกฯ อบจ.นครศรีฯ พร้อมสั่งดำเนินคดีอาญา "เทพไท" กรณีจัดเลี้ยงอาหารจูงใจ

นายดุษฎี  พรสุขสวัสดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงว่า กกต.มติเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือให้ใบแดงนายมาโนช เสนพงศ์ ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.นครศรีธรรมราช

และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่รวมทั้งให้นายมาโนชชดใช้ค่าเสียหายในการจัดเลือกตั้งใหม่ และสั่งดำเนินคดีอาญา นายมาโนชและนายเทพไท เสนพงศ์ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายมา

โนชและนายเทพไทได้จัดเลี้ยงอาหารให้แก่ผู้นำท้องถิ่นจำนวน 100 คน เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2557 เพื่อจูงใจให้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่นายมาโนช  รวมทั้ง ยังมีความผิดฐานหลอกลวง

จากกรณีที่ก่อนวันเลือก จัดให้มีรถหาเสียงเคลื่อนที่ ติดป้ายหาเสียงปรากฎชื่อและหมายเลขประจำตัวของนายมาโนชที่ใช้ลงสมัครเลือกตั้ง และกล่าวถ้อยคำตอนหนึ่งว่า “พรรคประชาธิปัตย์ได้มี

การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.มาแล้ว 2 จังหวัด คือ จ.สงขลาและจ.สุราษฎร์ธานี ส่วนจังหวัดที่ 3 คือจ.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งนายมาโนช เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่เพียงคน”

ทั้งที่กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีมติพรรคที่ให้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งนายกอบจ.นครศรีธรรมราช ซึ่งถือว่าเป็นการหลอกลวงหรือจูงใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งให้ลงคะแนนแก่นายมาโนช
------------------------
พล.ต.จำลอง, สนธิ และพวก มาศาลตลิ่งชันเพื่อนัดส่งตัวคดีฝ่าฝืน พ.ร.บ.มั่นคง นัดสืบนัดแรก 20 เม.ย.นี้

พลตรีจำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมพวกรวม 10 คน แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทย หัวใจรักชาติเดินทางมายังอัยการศาลแขวงดุสิต

เขตตลิ่งชัน ในนัดส่งตัวฟ้องหลังทั้ง 10 คนตกเป็นจำเลยในคดี ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคง

จากกรณีเมื่อวันที่ 9-19 กุมภาพันธ์ 2554 กลุ่มจำเลยได้ ตั้งเวทีชุมนุมปราศรัยที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ซึ่งเป็นพื้นที่ห้ามตามประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อโจมตีการ

บริหารงานรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับกรณีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา และปราสาทเขาพระวิหาร ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม จำเลยทั้ง 10 ได้พบ

พนักงานสอบสวน พร้อมให้การปฏิเสธ

โดยศาลพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เนื่องจากจำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี พร้อมนัดสืบพยานนัดแรก 20 เมษายน 2558
////////////////
เศรษฐกิจ

นายกฯ บอก ภาษีบ้าน-ที่ดิน ยังไม่ได้ข้อสรุป ย้ำ คนรายได้น้อยต้องไม่ได้รับผลกระทบ เตรียมแก้ พ.ร.บ.กองสลากฯ แก้ปัญหาราคาแพง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวว่า ในเรื่องการจัดเก็บภาษีบ้านและที่ดินนั้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังไม่มีข้อสรุปชัดเจน

โดยอยู่ระหว่างการหารือมาตรการต่าง ๆ ซึ่งจะพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด โดยขออย่ากังวล ซึ่งผู้มีรายได้น้อยต้องไม่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ จะมีการเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาด้วย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาล็อตเตอรี่ราคาแพงนั้น จะมีการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ภายใน 3 เดือน ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ปัญหา

แล้วเสร็จใน 6 เดือน โดยมีการพิจารณาแนวทางต่าง ๆ เช่น ตู้หวยจำหน่ายสลากซึ่งต้องดูในข้อกฎหมาย การเปิดโควตาต่างจังหวัด การจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นการส่งเสริมการพนัน

แต่เป็นการแก้ไขให้ราคาล็อตเตอรี่เหลือ 80 บาท
------------------
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติแก้ไขพระราชบัญญัติสลากกินแบ่งรัฐบาลใหม่ พร้อมทั้งเตรียมขายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสเพื่อป้องกันราคาเกิน 80 บาท

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ได้อนุมัติการแก้ไขพระราชบัญญัติสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 โดยการแก้ไขดังกล่าว เพื่อ

ให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจาก พ.ร.บ.ดังกล่าวได้มีการประกาศใช้มากว่า 40 ปี ซึ่งจะมีการปรับปรุงรายละเอียดที่จะนำส่งรัฐบาลในส่วนของเงินรายได้จากเดิมที่จะนำส่ง

ร้อยละ 28 เหลือเพียงร้อยละ 20 โดยในส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 5 และร้อยละ 3 นั้น จะมีการจัดสรรแบ่งในส่วนร้อยละ 5 มาจัดตั้งเป็นกองทุนบริหารสลากเพื่อรองรับซื้อสลากที่ไม่สามารถขายได้ใน

ระบบและมีการเทรดคืนหรือไม่มีคนสนใจที่จะซื้อสลากเลขดังกล่าว ส่วนรายได้หรือรางวัลที่จะมีการจ่ายคืนให้กับประชาชนนั้นยังคงไว้ในอัตราส่วนร้อยละ 60 ตามเดิม นอกจากนี้ ยังมีการขาย

สลากกินแบ่งรัฐบาลในรูปแบบอื่น อาทิ ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือเครื่องขายสลากอัตโนมัติในอัตรา ใบละ 80 บาท เพื่อป้องกันการขายสลากเกินราคา โดยจะมีการนำสลากส่วนนี้มาจัดสรรในการ

แบ่งโควตาใหม่อีกด้วย

“พลเอก อุดมเดช” เผย คสช.มีแบล็คลิสต์กลุ่มป่วนเมือง แค่เอ่ยชื่อก็รู้ว่าใครอยู่กลุ่มไหน

“พลเอก อุดมเดช” เผย คสช.มีแบล็คลิสต์กลุ่มป่วนเมือง แค่เอ่ยชื่อก็รู้ว่าใครอยู่กลุ่มไหน ลั่น ขอให้เลิกก่อเหตุ /แจงแทน ผบ.ผบ.1 รอ. - นายทหารธรรมนูญ ไม่มีเจตนา ถามนำ ก้าวล่วง “พลเอก ชัยสิทธิ์” ชี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับหลักฐาน
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ชี้แจงกรณีที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผบ.ทบ.และผบ.สูงสุด เตรียมฟ้องทหารพระธรรมนูญกรณีถามนำผู้ต้องหาคดีปาระเบิดศาลอาญา ให้พาดพิงว่า
ในส่วนของ พลตรี พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ผู้บัญชาการกองพลที่1รักษาพระองค์( ผบ.พล.1รอ.) ไม่ได้ไปพูดเพื่อชี้นำ
ทั้งนี้ พื้นที่ที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของ ผบ.พล.1 รอ. ซึ่งท่านก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง ซึ่งผมก็ฟังแล้วก็ไม่ได้ไปก้าวล่วงใคร แต่วันนั้นจะมีนายทหารพระธรรมนูญด้วย
สำหรับการแถลงข่าวในวันนั้น เจ้าหน้าที่มีการสอบถามผู้ต้องหาจนได้ข้อมูลเบื้องต้นก่อนที่จะนำมาแถลงข่าว ถือเป็นการถามย้ำข้อมูลที่ได้มากับผู้ต้องหาอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นข้อมูลที่อยู่ในความสนใจของเจ้าหน้าที่
“ผมยืนยันว่าเราให้ความเคารพไม่ว่าจะเป็นประชาชน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในราชการ หรือ เกษียณอายุราชการไปแล้ว ในส่วนของเจ้าหน้าที่ก็จะต้องระมัดระวัง ด้วยการให้ความเคารพและความเป็นธรรม การจะทำอะไรต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจะถูกจับจ้องว่าเราจะทำดำเนินการด้วยความเรียบร้อยและยุติธรรมหรือไม่ เพราะเราก็ระมัดระวังอยู่แล้ว
ผมคิดว่าไม่มีใครที่มีเจตนาเช่นนั้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาก็จะต้องมีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจง เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจ และเป็นเรื่องร้ายแรงมีการใช้วัตถุระเบิด จึงจำเป็นที่จะต้องพูดถึงรายละเอียด แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปก้าวล่วงท่านใด
ส่ิงต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่มี และคงจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนกันต่อไป เพื่อหาผู้ที่เกี่ยวข้อง” พล.อ.อุดมเดช ระบุ
ผบทบ.กล่าวว่า การจะไปฟ้องผู้หนึ่งผู้ใดก็เป็นไปตามหลักฐาน การปฏิบัติงานตลอดจนถึงการสอบสวนทหารทำร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทหารก็ดำเนินการไปตามขอบเขต เมื่อมีเหตุการณ์รุนแรงก็จำเป็นจะต้องใช้กฎหมายพิเศษ ก่อนที่จะให้ตำรวจดำเนินการต่อ
" ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายตามอำนาจหน้าที่มี ผบ.พล.1 รอ. ถือเป็นผู้ปฏิบัติงานภายใต้คำสั่งของแม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) และก็รับคำสั่งมาจากผู้บัญชาการทหารบกอีกทอดหนึ่ง "
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของทหาร ไม่ว่าจะเป็นกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) หรือ หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) ก็ตาม ซึ่งมีพื้นที่ที่จะต้องรับผิดชอบของตัวเองอยู่ ภายใต้ กกล.รส.เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
" เรามีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินงานในการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งผมคิดว่าประชาขนมีความเข้าใจ และพึงพอใจต่อความสงบที่เกิดขึ้น"
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ก็จะต้องเข้มงวดในการดูแลพื้นที่ให้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาทหาร และตำรวจก็มีความระมัดระวังอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุที่รถไฟฟ้าบีทีเอส ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าพารากอน
"ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจ และสบายใจ ซึ่งเราจะพยายามดูแลในเรื่องของความสงบเรียบร้อยให้ดีที่สุด ส่วนจะเกี่ยวพันกับใครให้เป็นหน้าที่ของตำรวจในการสืบสวนต่อไป"
เมื่อถามว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบ.บชน. และกลุ่มคนเสื้อแดง มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผุ้ต้องหาอย่างไร พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า เรื่องรายชื่อ ผมจะไม่ระบุว่ามีใครบ้าง เพราะมันมีมากหลายท่านด้วยกัน
ในส่วนที่เป็นหลักฐานที่เกิดขึ้นก็จะต้องมีการสอบข้อเท็จจริง เมื่อมีการเอ่ยช่ือใครขึ้นมาเราก็จะรู้ทันทีว่าชื่อของคนนั้นอยู่ในกลุ่มใด แต่ในรายชื่อที่เรามีอยู่ทั้งหมดก็ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดี แต่ก็จะต้องยอมรับว่าบางคนที่เรามีรายชื่อมีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความแน่นหนาในเรื่องของความเชื่อมโยงต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเอาข้อจริงออกมาให้ได้ ดังนั้นใครก็ตามที่มีความคิดจะก่อเหตุความรุนแรงขอให้เลิก เพราะประเทศชาติเราก็เดินมาด้วยดีแล้ว อีกไม่นานทุกอย่างก็จะเป็นไปตามโรดแม็ปที่นายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ ถ้าทุกคนร่วมมือกันไม่ก่อความวุ่นวายก็จะเป็นไปตามโรดแม็ปนั้น ที่ผ่านมามีผลสำรวจในเรื่องความพึงพอใจของประชาชนในเรื่องความสงบเรียบร้อย ซึ่งอยู่ในเกณฑ์สูง ผมก็ดีใจ และนายกรัฐมนตรีก็กำชับมาว่าจะต้องทำให้ดีที่สุด จึงต้องขอความร่วมมือกัน และการก่อเหตุรุนแรงก็เห็นแล้วว่าเมื่อก่อเหตุก็จะต้องถูกจับดำเนินคดีและได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของตัวเอง
พล.อ.อุดมเดช กล่าวถึงข้อมูลที่ผู้ก่อเหตุปาระเบิดศาลอาญา เตรียมที่จะก่อเหตุอีก 100 จุด ในเดือน มี.ค.นี้ว่า ต้องมีการสอบสวนถึงการโยงใยเพราะเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือทำ จึงต้องหาคนที่เกี่ยวข้องว่าเป็นผู้ใดบ้าง ซึ่งจะต้องนำมาลงโทษท้ังส้ิน


ปิดฉากสถาบันกษัตริย์เนปาล รัฐบาลเตรียมประกาศให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐปีหน้า

ปิดฉากสถาบันกษัตริย์เนปาล รัฐบาลเตรียมประกาศให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐปีหน้า

บีบีซีรายงานเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2550 ว่า รัฐบาลเนปาลเตรียมยกเลิกระบบกษัตริย์แล้ว ตามข้อตกลงกับกบฏลัทธิเหมาซึ่งต่อสู้กับรัฐบาลมายาวนาน โดยในปีหน้า รัฐบาลจะจัดการเลือกตั่งทั่วไป จากนั้นจะประกาศให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐ และตั้งรัฐสภาตามระบอบรัฐธรรมนูญ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรรัฐบาลเนปาล 6 พรรค และกบฎลัทธิเหมาได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า เนปาลจะกลายเป็นประเทศสาธารณรัฐ ซึ่งจะมีขึ้นหลังจากมีการเปิดรัฐสภาเนปาลเป็นครั้งแรก
รายงานระบุว่า แผนยกเลิกระบอบสถาบันกษัตริย์ของเนปาลเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลประสบปัญหาในการเจรจาหยุดยิงกับกบฎเนปาล เพื่อนำประเทศสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยกลุ่มกบฎเนปาลประกาศว่ากลุ่มพร้อมที่เล่นการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ขณะที่ชาวเนปาลก็สนับสนุนที่จะให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐ ทั้งนี้ ราชวงศ์เนปาลได้เสื่อมความนิยมนับตั้งแต่เกิดเหตุสังหารหมู่ราชวงศ์เนปาลเมื่อปี 2544 และการใช้ความรุนแรงของกษัตริย์คเยนทราเพื่อปราบปรามกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตย
เป็นที่รับรู้ว่า เนปาลจะพลิกโฉมหน้ากลายเป็นประเทศประชาธิปไตยหน้าใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ชนิดไม่เหลือแม้แต่สถาบันกษัตริย์ให้ไว้ประดับในรัฐธรรมนูญ ทว่านี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่พูดได้ว่า เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว ผ่านการยินยอมพร้อมใจของประชาชนชาวเนปาลเอง
แล้วประเทศชื่อเนปาลก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าใจหายสำหรับบางประเทศ โดยเฉพาะการล้มสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นสิ่งคู่บ้านคู่เมืองมายาวนาน เมื่อข้อตกลงทางการเมืองระหว่างรัฐบาลและกลุ่มกบฎ ที่เป็นปรปักษ์คู่อริกับสถาบันกษัตริย์เนปาลมาแต่ไหนแต่ไรได้บรรลุขึ้น ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์ของเนปาลซึ่งครั้งหนี่งเคยเป็นที่ชื่นชอบของชาวเนปาลต้องถึงกาล 'ล่มสลาย' กลายเป็นอดีตอย่างถาวร จากอิทธิพลแห่งการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกต่อประเทศเล็ก ๆ ที่ถวิลหาระบอบปกครองใหม่ และน้ำมือของกษัตริย์เจ้าแผ่นดินนาม 'คเยนทรา' ผู้ซึ่งถูกหลายฝ่ายโจมตีเป็นฝ่ายทำลายราชวงศ์กษัตริย์ด้วยพระองค์เอง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลุ่มพันธมิตรรัฐบาลเนปาล 6 พรรค ได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลลัทธิเหมา เพื่อแผ่วทางไปสู่การเมืองระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูป ด้วยการจัดการเลือกตั้งทั่วไป และประกาศให้ประเทศเป็นสาธารณะ ก่อนจะจัดตั้งรัฐสภาขึ้นมาเพื่อร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จากนั้น สถาบันกษัตริย์ก็จะถูกยุบอย่างเป็นทางการ โดยเนปาลจะพลิกโฉมหน้ากลายเป็นประเทศประชาธิปไตยหน้าใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ชนิดไม่เหลือแม้แต่สถาบันกษัตริย์ให้ไว้ประดับในรัฐธรรมนูญ ทว่านี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่พูดได้ว่า เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว ผ่านการยินยอมพร้อมใจของประชาชนชาวเนปาลเอง
ว่าไปแล้ว การถึงกาลอวสานของราชวงศ์เนปาล ได้ถูกปูทางก่อนถึงบทสรุปเด็ดขาด ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วโดยรัฐบาลพลเรือนของเนปาลต้องการบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มกบฎเนปาล ซึ่งดำเนินสงครามต่อสู้กับรัฐบาลเพื่อต้องการเปลี่ยนประเทศให้เป็นรัฐคอมมิวนิสต์ตามความศรัทธาลัทธิเหมาของกลุ่ม หลังจากที่รัฐบาลเนปาลต้องทนกับสภาพบ้านเมืองวุ่นวายไม่สงบ เพราะปฎิบัติการก่อกวนของกลุ่มกบฎเหมา ที่มีศักยภาพคายพิษแสบกระทบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการปิดกั้นการจราจรตามเมืองต่างๆ ของประเทศ การจัดการ
ชุมนุมขนาดใหญ่ป่วนรัฐบาล นอกเหนือจากการควบคุมพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ของประเทศ โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้บรรลุข้อตกลงสันติภาพคร่าวกับกบฎลัทธิเหมา ด้วยการยอมประเด็นสำคัญเรื่องการพิจารณาเรื่องยุบราชวงศ์เนปาล ภายใต้การเมืองใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นทางการ โดยรัฐสภาชุดใหม่จะมีการร่าง'แก้ไขรัฐธรรมนูญ'เปลี่ยนเนปาลให้เป็นประเทศสาธารณรัฐ และรัฐบาลพลเรือนเนปาลต้องยอมกลุ่มกบฎที่ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงสันติภาพดังกล่าว หลังจากกลุ่มโวยวายต้องการให้มีการยุบสถาบันกษัตริย์เนปาลอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม กระแสต่อต้านราชวงศ์กษัตริย์เนปาลเกิดขึ้นจาก 'ประชาชนชาวเนปาล' เองที่ไม่พอใจการปกครองประเทศของกษัตริย์เนปาล เป็นปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นชนิดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แตกต่างจากกษัตริย์พิเรนทราซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชื่นชอบและศรัทธาของชาวเนปาลทั่วประเทศ โดยแผ่นดินเนปาลต้องพานพบฝันร้าย เมื่อพระองค์และพระราชินีไอชวายา และสมาชิกราชวงศ์อื่น ๆ 7 พระองค์ ต้องถูกสังหารสิ้นชีพขณะที่ร่วมกระยาหารมื้อค่ำ จากน้ำมือของเจ้าชายดิเพนทรา ผู้ผิดหวังเรื่องความรักที่ถูกกีดกั้น ก่อนปลิดชีพตัวเอง กลายเป็นเหตุการณ์ช๊อกเนปาลและทั่วโลก
ต่อมา กษัตริย์คเยนทรา ซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบศรัทธาจากชาวเนปาลเท่ากับได้ผงาดขึ้นมาเป็น 'จ้าวแผ่นดิน'บริหารประเทศ โดยพระองค์ได้ใช้ 'กฎเหล็ก' ด้วยสถานภาพประมุขของประเทศ ประกาศยุบรัฐบาลพลเรือนของนาย
เชอร์ บาฮาดูร์ ดิวบา ฐานไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับกบฎลัทธิเหมา เพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งในปี 2548 ท่ามกลางกระแสโจมตีพระองค์ว่าต้องการจะยึดอำนาจเพื่อบริหารประเทศ และสร้างระบอบกษัตริย์ที่รวบอำนาจเบ็ดเสร็จก่อนเหตุการณ์ดังกล่าวบานปลายเป็นความรุนแรง จากการประท้วงของประชาชนที่เบื้องแรกเริ่มต้นจากการจลาจลบนท้องถนน และนำไปการประกาศใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนและสมาชิกพรรรคฝ่ายค้าน และนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด
ขณะที่กษัตริย์คเยนทราต้องเผชิญกับ 'พลังประชาชน' ที่รวมตัวชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และทำให้พระองค์ต้องยอมถอยหลัง เพื่อไม่ให้ประเทศเข้าสู่ภาวะอนาธิปไตยไร้ขื่อแป ท่ามกลางกระแสกดดันของนานาชาติซึ่งเพิ่มขึ้นต่อกษัตริย์เนปาลพระองค์ โดยต่างชาติต่างไม่พอใจกับการใช้กฎเหล็กรุนแรงของพระองค์ในการกุมบังเหียนบริหารประเทศ ในสภาพยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน ก่อนที่พรรคการเมืองต่าง ๆ จะขี้นมาจัดตั้งรัฐบาล และประกาศจะทำข้อตกลงสันติภาพกับกบฎลัทธิเหมา และ
กษัตริย์คเยนทราถูกบังคับให้สละอำนาจบริหารประเทศโดยตรงหลังจากนั้น เป็นเส้นทางที่นำไปสู่อวสานของสถาบันกษัตริย์ประเทศนี้ โดยเนปาลจะไม่ได้เห็นพระ 'โอรสพระองค์ต่อไป' ได้มีโอกาสสืบทอดราชบัลลังก์กษัตริย์ต่อไปอีกแล้ว โดยเฉพาะเจ้าชายเปราส มกุฎราชกุมาร ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของกษัตริย์พระองค์ของเนปาล ด้วยชื่อสุดท้ายของพระเจ้าแผ่นดินชื่อ 'คเยนทรา'
 ที่มา : ประชาไท
ที่มาและเรียงเรียงจาก www.matichon.co.th

คราวซวยของมือบึ้มป่วนเมือง‬

โดย.... โสภณ องค์การณ์
●●เป็นครั้งแรกที่มือปาระเบิดในเมืองหลวงโดนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไล่จับได้ทันควันหลังจาก 2 คนร้ายเลือกศาลอาญาบนถนนรัชดาภิเษกเป็นเป้าหมาย ทันทีที่ปาบึ้มทหารผ่านมาขับรถไล่ล่าเหมือนในหนัง เอากระบะชนมอเตอร์ไซค์คว่ำ คนร้ายทั้งคู่ใช้ปืนยิงเปิดทางหนี แต่ไม่รอด คนหนึ่งโดนยิงบาดเจ็บสาหัส อีกรายโดนรวบไปสอบหนัก
ค่ำวันอาทิตย์ ตำรวจและทหารเอาตัวผู้ต้องหา 1 ราย “นายมหาหิน ขุนทอง” มารรับสารภาพต่อหน้าสื่อมวลชน พูดจ๋อยๆ ถึงแผนร้ายว่าจะวางระเบิดหลายสิบจุดในเมืองหลวงพร้อมกันวันที่ 15 เดือนนี้ และยังปูดอีกว่าตัวผู้บงการชื่อ “เดียร์” อยู่ออสเตรเลีย
นับว่าเครือข่ายของพวกมือบึ้มกว้างขวาง มีตัวการวางแผน สั่งงาน และจ่ายเงินอยู่ต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าผู้กระทำการไม่ได้ทำด้วยความคะนองมือ หรือความมันส์ เพราะระเบิดอาร์จีดี 5 ทำจากรัสเซียนั้นถือเป็นอาวุธระเบิดของกลุ่มขาประจำ
ระเบิดแบบนี้ไม่มีใครใช้ มีเฉพาะเครือข่ายอาชญากรมือรับใช้การเมืองพรรคอย่างว่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นพรรคอะไร ชอบปฏิเสธความรับผิดชอบ ถ้าก่อการแล้วโดนจับได้ มีหลักฐานผูกมัด หัวโจกแกนนำมักอ้างว่าคนทำเป็นพวกเสื้อสีเทียมๆ นั่นแหละ
น่าแปลก พวกเครือข่ายนี้ไม่มีอาวุธอื่นๆ หรือระเบิดแบบอื่นสำรองไว้ใช้ คงเป็นเพราะสั่งซื้อจำนวนมาก กะว่าจำเป็นต้องใช้งานยืดเยื้อ ตราบใดที่กลุ่มการเมืองของพวกตัวเองไม่ได้กุมอำนาจยาวนาน ถ้ามีฝ่ายตรงข้ามมาประท้วงขับไล่ ก็ใช้เป็นอาวุธสังหาร
เห็นได้ชัดว่ากรณีระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและที่อื่นๆ ก็เป็นระเบิดยี่ห้อนี้แหละ เว้นแต่จะมีปืนยิงระเบิดเอ็ม 72 สลับใช้เพื่อหวังผลจากระยะไกล
คราวนี้ “มหาหิน ขุนทอง” รับงาน “หิน” จริงๆ เป้าหมายอื่นๆ เยอะแยะไม่เลือก ดันเอาศาลอาญาซึ่งมีประสบการณ์ในการเป็นเหยื่อระเบิดและแหล่งชุมนุมของพวกนิยมใส่เสื้อแดงแห่ศพเอาไปสวดอวดชาวบ้านข้างถนน หรือถูกคนบงการเลือกเป้าให้
“มหาหิน” จำต้องร้องยิ่งกว่านกแก้ว นกขุนทอง ในการสารภาพให้ทหารฟังถึงแผนก่อการ ช่วงถูกนำตัวมาแถลงข่าว “มหาหิน” เบ้าตาซ้ายเขียวฟกช้ำ ปูดบวม คงเป็นเพราะหกล้มตอนวิ่งหลบหนี หรือกระแทกกับของแข็งหุ้มหนังบางอย่างซ้ำๆ หลายครั้ง
ความซวยของ “มหาหิน” คือเลือกศาลอาญาเป็นเป้าระเบิด แสดงว่ามีจิตอาฆาตมาดร้ายต่อศาลสถิตยุติธรรม หรือผู้บงการในต่างประเทศเองมีความแค้นส่วนตัวอยู่กับศาล อยากชำระบัญชีจึงสั่งให้ “มหาหิน” เล่นงานศาลอาญา เลือกยามค่ำคืนกะหนีทัน
เมื่อถูกนำตัวไปศาลอาญา “มหาหิน” จะสบตากับผู้พิพากษาได้อย่างไรถ้าถูกอัยการซักถามว่าศาลอาญาไปทำอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจ จึงต้องเอาระเบิดไปปาใส่ เพื่อนร่วมงาน “ยุทธนา เย็นภิญโญ” ยังนอนให้แพทย์เยียวยาแผลกระสุนปืนอยู่
ทั้งคู่มีแฟนสาว ถูกรวบตัวหลังจากศาลออกหมายจับ เป็นขบวนการหรืออุดมการณ์ร่วมกันของ 2 คู่ตุนาหงันหรือไม่ ต้องรอให้ตำรวจ ทหารสอบเค้นแบบเน้นๆ ที่น่าสนใจแต่ไม่น่าแปลกใจคือ “มหาหิน” ปูดถึง “ 2 ขาใหญ่” ในเครือข่ายของนายใหญ่
อ่า! 2 ขาใหญ่ที่ว่าเป็นคนมีสี หัวโขนหลุดไปแล้ว ก่อนหน้านี้มีบทบาทเยอะ เรื่องเยอะ ก่อปัญหาเยอะกับผู้ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลและสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อ “มหาหิน” นำชื่อมาเกี่ยวโยงด้วยโดยอ้างว่าแฟนรู้จัก คงสะดุ้งเฮือก นั่งไม่ติดเก้าอี้
จากหลักฐานที่ปรากฏและคำแถลงของเจ้าหน้าที่ “มหาหิน” ให้การอีกเยอะเชื่อมโยงกับขบวนการนายใหญ่และแผนร้ายสำหรับป่วนเมือง แสดงว่าถ้าจะทำหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ ต้องมีอีกหลายชุดเพื่อปฏิบัติการพร้อมกัน “มหาหิน” น่าจะรู้ว่ามีใคร
คงอีกไม่นานพวกขาใหญ่ต้องออกมาปฏิเสธ อ้างว่าไม่รู้เรื่อง ถูกใส่ร้าย ทั้งๆ ที่ไม่น่ามีเหตุผลที่ “มหาหิน” จะเอ่ยชื่อท่านขาใหญ่ออกมาโดยไม่มีเค้ามูลหรือเหตุแท้จริง นี่เป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่ทหาร ตำรวจต้องขุดคุ้ยสืบหาต้นตอทั้งในและต่างประเทศ
จับได้ทันที มีหลักฐาน คำสารภาพหนักแน่นแบบนี้ ปล่อยไว้ไม่ได้แน่ ป่านนี้ขบวนการป่วนเมืองน่าจะวุ่นกลบร่องรอยไม่ให้เชื่อมโยงสาวเข้าไปถึงตัว ถ้าทหาร ตำรวจระดมสรรพกำลังกวาดล้างเครือข่ายรับจ้างป่วนเมือง คุกอาจไม่พอขังก็เป็นได้
ที่น่าประหลาดใจคือคำพูดของ “มหาหิน” ที่ว่าถ้าตัวเองไม่ปาระเบิด ครอบครัวจะโดนจัดการโดยเครือข่ายผู้บงการ แสดงว่า “มหาหิน” และพวกอยู่ในขบวนการของผู้บงการมาโดยตลอด รับงานแบบนี้ด้วย เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บงการจะจ้างวานคนไม่รู้จักคุ้นเคย
ยังไม่ทันไร มีเสียงร้องลั่นจากนักปัดสวะมืออาชีพ แต่อยู่ในระดับสวะ ว่า “พวกข้าพเจ้าไม่เกี่ยวนะ” อ้างอีกว่าเป็นพวกรักสันติ นิยมการปรองดอง ไม่ชอบคดีอาญา ที่ทำมาให้เลิกแล้วต่อกัน ถ้าทางการยังเดินหน้าทำคดีอาญาจะขัดกับหลักการปรองดอง
ช่วงนี้ถึงเป็น “ขาลง” ของขบวนการสมุนนายใหญ่ 13 รายหัวกะทิโดนศาลอาญาสั่งจำคุก 4 ปี หลังจากไปบุกโรงแรมในพัทยาป่วนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ทำเอาผู้นำชาติมหาอำนาจหนีกระเจิง สร้างความขายหน้าให้ประเทศไทยไปทั่วโลก
ก่อนหน้านี้มีสัญญาณชัดเจนแล้วว่าขบวนการนายใหญ่วางแผนจะป่วนเมือง โดยมีเป้าหมายคือ จะต้องยึดประเทศคืนให้ได้ภายใน 1 ปี พวกที่วางแผนล้ำลึกเป็นกลุ่มไม่ปรากฏชื่อต่อสาธารณะ พวกเย้วๆ ส่งเสียงผ่านสื่อเป็นพวกตลกขี้ข้าหน้าม่าน
เจ้าหน้าที่ต้องระวังพวกคนมีสีนอกราชการ มีประวัติด้านอาวุธและวางบึ้มในช่วง กปปส. และเครือข่ายชุมนุม ย้อนไปถึงคนมีสีแค้นฝังหุ่นยุคอกหักจากการพลาดตำแหน่ง สาวไปให้ดีจะพัวพันกับสีเขียว สีกากีนอกคอก ผสานกับสีจีวรนอกรีตอีกด้วย
-------------------------------------------------------------------------
‪#‎ASTVผู้จัดการออนไลน์‬ : 09 มีนาคม 2558