PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คิกออฟอีเวนต์แดง 5 สาย 1พ.ย. แยกกันเดิน ช่วยกันป้อง"ยิ่งลักษณ์"


คิกออฟอีเวนต์แดง 5 สาย 1พ.ย. แยกกันเดิน ช่วยกันป้อง"ยิ่งลักษณ์"



28 ต.ค. 2558 เวลา 16:45:31 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

รายงานพิเศษ

งวดเข้ามาเกือบถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ สำหรับการต่อสู้คดีทั้งแพ่งและอาญา จากโครงการจำนำข้าวที่มี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย

ความคืบหน้าการเรียกค่าเสียหายคดีแพ่ง คณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวของกระทรวงการคลังจะสรุปผลการตรวจสอบเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม

พร้อมกับการตรวจพยานหลักฐานในคดีอาญา กรณีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตโครงการจำนำข้าว ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 29 ตุลาคมนี้

คดีแพ่งใกล้ถึงจุดสรุป ในเรื่องค่าเสียหาย ตามที่ "วิษณุ เครืองาม" รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าฝ่ายกฎหมายยืนยันว่า กระบวนการเรียกจะทำให้จบภายในสิ้นปีนี้ แม้จะขยายเวลาออกไป 30 วัน ให้ "ยิ่งลักษณ์" สามารถมาชี้แจงเพิ่มเติมได้

ฝั่งคดีอาญาก็จะเริ่มนับหนึ่ง เปิดฉากไต่สวนอดีตนายกฯ อย่างเป็นทางการ นับแต่ศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรกตั้งแต่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา

เมื่อถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางคดี ก่อนเข้าสู่โหมดต่อสู้คดีอย่างเต็มตัว "ยิ่งลักษณ์" จึงยกคณะเดินสายทำบุญสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหลายจังหวัดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน กระทั่งบัดนี้

เช่น จ.นครสวรรค์ จ.ราชบุรี จ.หนองคาย จ.สมุทรปราการ เพื่อเช็กกระแสมวลชนคนรักยิ่งลักษณ์เป็นระยะ สื่อนัยการเมืองให้ฝ่ายผู้มีอำนาจเห็นว่าฝ่ายอดีตนายกฯ ยังมีมวลชนหนุนหลังอยู่

ทุกความเคลื่อนไหวต่างๆ ถูกทหารติดตามแบบไม่คลาดสายตา จนอดีตนายกฯ หญิง ต้องหงุดหงิด

ทว่าการเคลื่อนไหวของ "ยิ่งลักษณ์" ถูกนำไปโยงกับการปล่อยข่าวทางโซเชียลมีเดีย นัดไว้ว่า 1 พฤศจิกายน ให้กลุ่มคนเสื้อแดงใส่เสื้อแดง เพื่อให้กำลังใจ "ยิ่งลักษณ์"

แม้ว่า "จตุพร พรหมพันธุ์" ประธาน นปช.ระบุว่า ไม่ได้นัดให้ นปช.ใส่เสื้อแดงในวันที่ 1 พฤศจิกายน อาจเป็นปฏิบัติการจิตวิทยา - หลุมพรางของฝ่ายทหาร

"ขอให้เสื้อแดงพี่น้องประชาชนขอให้อดทน ถ้าวันไหนจะนัดพี่น้อง ผมจะเป็นคนนัดเอง แล้วจะบอกในที่สาธารณะ แต่ไม่ใช่วันที่ 1 พ.ย. วันนั้นแค่เกมหลอกจึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดโฆษก คสช. โฆษกรัฐบาล จึงต้องเดินตามบทต่อ แต่บังเอิญกระสุนมันด้าน เพราะผมไม่เล่นด้วย"

แต่ยังมีแนวร่วมเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อ ประธาน นปช.

นายศิริวัฒน์ จุปะมัตถา ผู้ประสานงาน กลุ่ม นปช.พะเยา ยืนยันเจตนารมณ์ว่าจะใส่เสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย.นี้ เพื่อเชียร์และให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อสู้คดีจำนำข้าว

เช่นเดียวกับ "วัฒนา เมืองสุข" อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า "การใส่เสื้อแดงเสรีภาพ อยากใส่อะไรก็ทำได้ เสื้อของเราไม่ได้เอาของใครมาใส่ ประชาชนจะแสดงสัญลักษณ์ให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ผิดอะไร ถ้าไม่ได้กระทบผู้อื่น"

วิภูแถลง พัฒนภูมิไท อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช. กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการนัดหมายของ นปช. แต่เป็นความรู้สึกของประชาชน ที่อึดอัด คับข้องใจว่าถูกกระทำเกินไปโดยเฉพาะที่กระทำต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์

"การใส่เสื้อแดง แต่ไม่ใช่ใส่ไปชุมนุม แต่ใส่เพื่อประกาศให้สังคมรับรู้ว่า ที่ผ่านมาไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร และทำให้ผู้มีอำนาจที่ไม่เคารพหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม ได้ชะลอเท้าลงในการเล่นงานอดีตนายกฯ"

"การใส่เสื้อแดงครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เขาทำร้ายเฉย ๆ แล้วไม่ตอบกลับ ครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่า อดีตนายกฯ ก็มีคนรักอยู่มากเหมือนกัน"

"ที่ผ่านมาเราปล่อยให้เขากระทำ แต่หลังจากทีมทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นขอความเป็นธรรมเรื่องจำนำข้าวจากนายกฯ ทางฝ่ายรัฐบาลก็เริ่มให้ความเป็นธรรมขึ้นมาบ้าง"

ฟาก "สมคิด เชื้อคง" อดีต ส.ส.อุบลราชธานี เพื่อไทย หัวขบวน นปช. ใน จ.อุบลฯ กล่าวว่า คิดว่า ในวันที่ 1 พ.ย.จะมีคนใส่เสื้อแดงเป็นจำนวนมาก แต่จะไม่มีผลกระทบ หรือแรงกระเพื่อมใด ๆ ทางการเมือง เพราะคนเสื้อแดงไม่ได้นัดกันชุมนุม ทุกอย่างจะดำเนินไปตามปกติ แต่ทั้งนี้ เชื่อว่าการที่นัดกันใส่เสื้อแดง เป็นเพราะปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่ จ.หนองคาย ที่อดีตนายกฯ เดินไปทางไหนก็มีแต่ทหารคอยตามถือว่าติดตามใกล้ชิดกันเกินไป

"มีชาวบ้านมาถามผมว่า วันที่ 1 พฤศจิกายน ต้องใส่เสื้อแดงหรือไม่ ผมก็ตอบไปว่าผมจะใส่ แต่ไม่ได้ใส่ไปชุมนุม ใส่อยู่กับบ้านหรือไปทำธุระเฉย ๆ"

ด้านแหล่งข่าวจากแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ระบุว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมามีการสื่อสารผ่านไลน์กันในเครือข่ายคนเสื้อแดง นัดกันว่าวันที่ 1 พ.ย.ให้ใส่เสื้อแดง เชื่อว่าเสื้อแดงทุกสายคงพร้อมใจกันใส่เสื้อแดงในวันดังกล่าว"

แหล่งข่าวคนเดียวกันระบุว่า หากจำแนกเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวหลักๆ ตั้งแต่ก่อนวันที่ 22 พ.ค.มีด้วยกันหลายสาย แต่สายที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ เช่น เสื้อแดงสายภาคเหนือ ที่นำโดย "พรศักดิ์ ศรีละมุล" หรือ หมูไม่กลัวน้ำร้อน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น และพิธีกรในรายการ พีซทีวี

สายอีสาน นิสิต สินธุไพร มีการรวมกลุ่ม นปช.เป็นกลุ่มใหญ่ นอกจากนั้นยังมี เสื้อแดงในเครือข่ายของอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่กระจายตามจังหวัดต่างๆ ส่วนชมรมคนรักอุดร ของนายขวัญชัย ไพรพนา ที่เป็นเสื้อแดงกลุ่มใหญ่ที่ จ.อุดรฯ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเสื้อแดง และเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง แต่ที่ผ่านมาชมรมคนรักอุดร ก็ไม่ได้เดินร่วมกับ นปช. แต่แยกตัวเป็นอิสระส่วนอดีต ส.ส.เพื่อไทย ที่แตกตัวมาคุมคนเสื้อแดงทำนองเป็นรัฐอิสระก็มีเช่นเดียวกัน

สายภาคกลาง เสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นแดงที่ประกาศตัวเป็นรัฐอิสระ แยกกันเดิน โดยมีอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย สมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นหัวขบวนในการระดมมวลชน เช่น พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ พายัพ ปั้นเกตุ โดยไม่มีแกนนำ นปช. รายใดประกาศเป็นโต้โผใหญ่

สายภาคใต้ จะติดต่อผ่าน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และจตุพร ขณะเดียวกัน 2 ซุปตาร์การเมืองยังมีกลุ่มแฟนคลับ แฟนรายการเป็นการเฉพาะซึ่งรวมกับกลุ่มแฟนคลับของทั้งสองคน

นอกจากนี้ ยังเป็นแดงกลุ่มที่แยกตัวเป็นอิสระ เช่น เสื้อแดงที่เคลื่อนไหวช่วยเหลือนักโทษการเมือง ซึ่งประกาศตัวเช่นกันว่าจะใส่เสื้อแดงโชว์พลัง

ซึ่งในวันที่ 1 พ.ย.นี้ คนเสื้อแดงทุกสายซ่อนตัวอยู่หลังฉากการเมือง จะนัดกันใส่เสื้อแดงเพื่อโชว์พลังเป็นกองหนุน แนวร่วมรบให้ "ยิ่งลักษณ์" อีกครั้ง หลังคดีความทั้งทางแพ่ง และอาญาขยับเข้ามาใกล้แทบหายใจรดต้นคอ

แม้ว่าหลังการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม จะทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่เคยรวมตัวได้เรือนหมื่น เรือนแสนคน

ในการทำสงครามชิงประชาธิปไตยบนท้องถนน แตกตัวกระเด็นกระดอนไปคนละทิศทาง

แต่วันที่ 1 พ.ย.จะเป็นอีเวนต์แรกที่เสื้อแดงปรากฏตัว

ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1446024376

จับสัญญาณ "โซลูชั่น"ซื้อหุ้น"เนชั่น-GMM" ยุคไล่ล่าอาณานิคมสื่อไทยเปิดฉากแล้ว


จับสัญญาณ "โซลูชั่น"ซื้อหุ้น"เนชั่น-GMM" ยุคไล่ล่าอาณานิคมสื่อไทยเปิดฉากแล้ว

เขียนวันที่
วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม 2557 เวลา 19:37 น.
เขียนโดย
isranews
“..การตั้งบริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น นั้นก็เพื่อรองรับการขอใบอนุญาตทำธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต แสดงว่าทาง SLC มีแผนขยายธุรกิจด้านสื่อออกไปอีก นอกจากช่องทีวีดาวเทียมสปริงนิวส์เพียงช่องเดียวในปัจจุบัน.."
ppeecvvfvdds
เรียกเสียงฮือฮาจากคนในวงการสื่อได้ไม่น้อย!
เมื่อปรากฎข่าวว่า  บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) เข้าไปลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG สัดส่วน 12.27% และยังเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 13.50 บาท
และทำให้หลายคนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) อาจกำลังเตรียมแผนที่จะขยายธุรกิจสื่อแบบเต็มตัว? 
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2541 ก่อนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2547 ปัจจุบันมีทุน 6,524,094,143 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 333 อาคารเล้าเป้งง้วน 1 ชั้น 18 โซนเอ ซอยเฉยพ่วง ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจบริการ,พัฒนาและบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ ขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
ปรากฎชื่อ  นาย อารักษ์ ราษฎร์บริหาร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการฯ รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด มีจำนวน 13 ราย  นายสมบัติ พานิชชีวะ  ถือหุ้นใหญ่สุด 
ทั้งนี้ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) มีบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้องนับสิบแห่ง มีบริษัทที่ทำธุรกิจด้านสื่อที่รู้จักกันทั่วไป คือ บริษัท ร่วมมือร่วมใจ (สถานีร่วมมือร่วมใจ) และ บริษัท สปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
โดยบริษัท สปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ทุนปัจจุบัน 200 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 333 อาคารเล้าเป้งง้วน 1 ชั้น 11 ซอยเฉยพ่วง ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจงานโฆษณาสินค้าบริการทุกรูปแบบของการสื่อสาร ปรากฎชื่อนาย ศุทธิชัย บุนนาค และนาย อารักษ์ ราษฎร์บริหาร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นใหญ่สุด
ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ stock.nadiamode.com เคยออกวิเคราะห์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับหุ้น SLC ของ บริษัท  โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) ว่า "SLC ทำธุรกิจด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ วางระบบคอมพิวเตอร์ สารสนเทศและความปลอดภัยด้านไอที ซึ่งส่วนใหญ่จะรับงานประมูลจากภาครัฐเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจด้านสื่อคือสถานีทีวีดาวเทียม ช่องข่าวสปริงนิวส์ Springnews TV ที่เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่กำลังเติบโตจนล่าสุดทางบริษัทได้มีมติให้บริษัท สปริงก์ คอร์ปอเรชั่นซึ่งบริหารทีวีดาวเทียมช่อง Springnews TV ตั้งบริษัทลูกใหม่ชื่อว่า บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผ่านสื่อสมัยใหม่ (New Medias) โดยเฉพาะ
สปริงนิวส์ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2553 ใช้งบลงทุนราว 300 ล้านบาท โดยคาดว่าช่วง 2 ปีแรกจะขาดทุนแต่จะเริ่มคืนทุนในปีที่ 3 เป็นต้นไป ซึ่งก็น่าจะเป็นช่วงปี 2556 จากข้อมูลล่าสุดสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์สามารถสร้างรายได้จากค่าโฆษณาราว 10-12 ล้านบาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นมาจาก 8 ล้านบาทช่วงต้นปี 2555 หรือรายได้โตราว 40-50% ในขณะที่ช่วงปี 53-54 ยังมีรายได้แค่ราว 5-6 ล้านบาท นับว่ามีทิศทางการเติบโตแบบก้าวกระโดดสำหรับธุรกิจนี้ จากเดิมสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจทีวีดาวเทียมราว 1 ใน 3 แต่ในอนาคตอาจเห็นรายได้จากส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นจึงไม่แปลกใจที่เห็นนักเก็งกำไรแย่งกันเข้ามาเก็บหุ้น SLC ทั้งแม่และลูก ลุ้นกลายเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์เต็มตัวในปี 2013
บนวิเคราะห์ชิ้นนี้ ยังตั้งข้อสังเกต ถึงบทสัมภาษณ์ของ นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SLC กล่าวว่า “การตั้งบริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น นั้นก็เพื่อรองรับการขอใบอนุญาตทำธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต” 
แสดงว่าทาง SLC มีแผนขยายธุรกิจด้านสื่อออกไปอีก นอกจากช่องทีวีดาวเทียมสปริงนิวส์เพียงช่องเดียวในปัจจุบัน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.57 นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SLC เปิดเผยต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการว่า ที่ประชุมคณะกรรมการได้มีมติอนุมัติเข้าลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 13.50 บาท และรับทราบการเข้าลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG สัดส่วน 12.27% และใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือวอร์แรนต์ของบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG-W1) ของคณะกรรมการพิจารณาการลงทุน โดยเป็นไปตามแผนงานที่ต้องการขยายการลงทุนในธุรกิจสื่อ และเป็นการต่อยอดสร้างการเติบโตให้ธุรกิจเดิมของบริษัท ภายหลังการดำเนินการลงทุนทั้งหมดดังกล่าวจะคิดเป็นสัดส่วน 49.48% ของสินทรัพย์บริษัทซึ่งเข้าเกณฑ์ให้บริษัทต้องทำหนังสือชี้แจงผู้ถือหุ้นเพื่อเป็นการเปิดเผยข้อมูล
นอกจากนี้ ยังอนุมัติการทำบันทึกความเข้าใจในการร่วมลงทุนในกลุ่มบริษัท ทีนิวส์ กับนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม โดยจะทำการศึกษาข้อมูลเพื่อตัดสินใจการในการร่วมการลงทุน และกำหนดโครงสร้างของการร่วมทุนให้เสร็จภายใน 12 สัปดาห์ ก่อนตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย

พร้อมทั้งยังมีมติแต่งตั้งกรรมการใหม่ คือ นายมีชัย ฤชุพันธ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ แทนนายชวลิต สาลีผล กรรมการอิสระเดิมที่ลาออก แต่งตั้งกรรมการใหม่ คือ นายวัชรกิติ วัชโรทัย ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ แทนนายเมตตา บันเทิงสุข กรรมการเดิมที่ลาออก และแต่งตั้งกรรมการใหม่ นายกวิตม์ ศิริสรรพ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการอิสระแทนนายพงษ์ศักดิ์ พิบูลศักดิ์ กรรมการเดิมที่ลาออก โดยทั้งหมดให้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.57 เป็นต้นไป
สิริรวมเบ็ดเสร็จ ปัจจุบัน บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับสื่อทีวีจำนวน 4 แห่ง คือ  บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด มีช่องดิจิตอล 2 ช่อง  คือ ช่อง ONE และช่อง GMM นำเสนอเนื้อหาบันเทิงเป็นหลัก , เนชั่นทีวี มีทีวีดิจิตอลนำเสนอรายการข่าว, ทีนิวส์ ช่องรายการข่าวทีวีดาวเทียม เน้นนำเนื้อหาข่าวการเมืองแบบฮาร์ดคอร์ มีบทบาทสำคัญในการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา และช่องสปริงนิวส์ ที่มุ่งเน้นการนำเสนอรายการข่าวเป็นหลักเช่นกัน    
ตอกย้ำให้เห็นแผนขยายธุรกิจสื่อ ของ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) ได้อย่างชัดเจน!
และมาพร้อมกับสัญญาณเตือนว่า ยุคไล่ล่าอาณานิคมสื่อในประเทศไทย กำลังเริ่มเปิดฉากขึ้นเป็นทางการแล้ว 

สปริงนิวส์จ่อปลดอีกกว่า100คน


ช็อควงการสื่อเมื่อสปริงนิวส์ประกาศเลิกจ้างฟ้าผ่านักข่าว ช่างภาพ และพนักงานเกือบ 40 คนวานนี้ ด้วยเหตุผลผลประกอบการไม่ดี วงในเผยวันนี้และพรุ่งนี้บริษัทมีแผนจะเลิกจ้างนักข่าวและพนักงานอีก 2 วัน รวมกว่า 100 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (28 ต.ค.58) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ได้ประกาศเลิกจ้าง ผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพ และพนักงานเกือบ 40 คน โดยให้ผู้ที่มีชื่อเก็บของภายใน 30 นาที และทางสถานีฯจะจ่ายค่าชดเชย ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ให้เป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมถึงเงินเดือนของเดือนพฤศจิกายน อีก 1 เดือน
ทั้งนี้แหล่งข่าวในสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์เปิดเผยกับ "ทีมข่าว PPTV" เพิ่มว่าบริษัทมีแผนเตรียมที่จะปลดพนักงานอีก 2 วัน คือวันนี้ (29 ต.ค.58) และพรุ่งนี้ (30 ต.ค.58) รวมทั้งหมด 3 วัน กว่า 100 คน ด้วยเหตุผลที่กล่าวกับพนักงานว่า ผลประกอบการไม่ดี
ทั้งนี้สถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ออกอากาศในระบบดิจิทัลทีวีช่อง 19 โดยเมื่อวันที่ 26 ต.ค.58 สปริงนิวส์เพิ่งขยายการลงทุนในธุรกิจวิทยุ โดยได้เข้าบริหารสถานีวิทยุ เอฟ.เอ็ม. 89.5 เมกะเฮิร์ตซ์ เปิดตัวคลื่นวิทยุภายใต้ชื่อ "สปริงเรดิโอ"
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เข้าลงทุนในสำนักข่าวทีนิวส์ ของนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

สปริงนิวส์'แจงเหตุปลดพนง.40อัตรา ยันสื่อสารเข้าใจกันดูแลด้วยความเป็นธรรม

สปริงนิวส์'แจงเหตุปลดพนง.40อัตรา ยันสื่อสารเข้าใจกันดูแลด้วยความเป็นธรรม

เขียนวันที่
วันพฤหัสบดี ที่ 29 ตุลาคม 2558 เวลา 13:00 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
 'สปริงนิวส์' ออกหนังสือชี้แจงเป็นทางการ ปมปลด 'นักข่าว-ช่างภาพ' 40 อัตรา ยันสื่อสารพูดคุยทำความเข้าใจกันดีแล้ว ดูแลพนง.ด้วยความเป็นธรรมตามกม.แรงงาน เผยเป็นการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ สถานีข่าวอันดับ 1 ของประเทศ ทุกแพลทฟอร์ม -ด้าน สหภาพแรงงานกลางสื่อฯ พร้อมให้คำปรึกษากฎหมาย นักข่าว-ช่างภาพ ที่ถูกปลดและเป็นสมาชิกอย่างเต็มที่
picsping29 10 15
กรณีสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ มีคำสั่งปลดผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพและพนักงานอื่นๆ จำนวน 48 ราย จากพนักงานกว่า 400 คน เพื่อลดภาระบริษัทที่มีผลประกอบการขาดทุนและต้องการปรับโครงสร้างการบริหารให้มีความกระทัดรัดและคล่องตัวมากขึ้น 
ล่าสุด นายสุเมธ สมคะเน ประธานสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราwww.isranews.org ว่า ทางสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย จะพยายามหาทางช่วยเหลือนักข่าว ช่างภาพของสปริงนิวส์ที่ถูกปลด ทั้งในเรื่องคำปรึกษาด้านกฎหมาย และด้านอื่นตามที่พนักงานต้องการ
"ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจข้อมูลพนักงานที่ถูกปลดว่ามีกี่คน ตำแหน่งงานระดับไหนอย่างไร เพราะในช่วงก่อตั้งสหภาพฯ มีนักข่าวช่างภาพหลายคนเข้ามาเป็นสมาชิก แต่หลังจากนั้นมีการโยกย้ายสังกัดใหม่ ทำให้ต้องสำรวจข้อมูลให้ชัดเจนว่าปัจจุบันนักข่าว ช่างภาพ  สปริงนิวส์ ที่ถูกปลด และยังเป็นสมาชิกในสภาพแรงงานฯมีอยู่กี่คน เพื่อจะได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่" 
นายสุเมธ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสปริงนิวส์ครั้งนี้ อยากจะเชิญชวนนักข่าว ช่างภาพของกองบรรณาธิการต่างๆ ให้เข้ามาเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานฯ มากขึ้น เพราะเมื่อเกิดปัญหาในอนาคต ทางสหภาพแรงงานฯ จะได้เป็นตัวกลางในการเจรจากับนายจ้างสังกัดต่างๆได้ 
เมื่อถามว่า จากผลประกอบการทีวีดิจิทัลที่ออกมาล่าสุด พบว่า ผลประกอบการขาดทุน ทางสหภาพแรงงานฯ จะวางแผนรับมืออย่างไร นายสุเมธ ตอบว่า เรื่องนี้ทางสหภาพแรงงานฯได้ประเมินติดตามตลอดเวลาอยู่แล้ว เพื่อเตรียมความพร้อมในการหาแนวทางช่วยเหลือสมาชิกของสหภาพแรงงานฯ 
(ดูข้อบังคับสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ได้ที่นี่)  
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด สปริงนิวส์  ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงการปลดพนักงานดังกล่าว ระบุว่า เนื่องด้วย สถานีข่าวสปริงนิวส์ ทีวีดิจิทัล ช่อง 19 ได้มีการปรับโครงสร้างขององค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายมุ่งสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ ในปี 2559 คือ เป็นสถานีข่าวความนิยมอันดับ 1 ของประเทศ ทุกแพลทฟอร์ม บนความรับผิดชอบ และก้าวสู่ศูนย์กลางข่าวสารอาเซียนในปี 2559"
ซึ่งได้เริ่มกุลยุทธ์รุกทุกแพลทฟอร์ม โดยแถลงข่าวเปิดคลื่น  FM 98.5 สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา และล่าสุดได้ปรับยุทธศาสตร์ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับโครงสร้างขององค์กร โดยจะมีการปรับลดพนักงานในบางภาคส่วน จำนวน 40 อัตรา และในขณะเดียวกันมีนโยบายขยายงานข่าวภาคเศรษฐกิจและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองเป้าหมายองค์กรปี 2559 
ทั้งนี้ ทางบริษัทได้พิจารณาตามความเหมาะสม และได้มีการสื่อสารกับพนักงานให้เป็นที่เข้าใจพร้อมได้ดูแลพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง ด้วยความเป็นธรรม และถูกต้องตามกฎหมายแรงงานทุกประการ (ดูหนังสือชี้แจงประกอบ)
12177781 919070128140113 1111404936 n

ช็อควงการสื่อ สปริงนิวส์ปลดนักข่าวช่างภาพกว่า40คน

ช็อควงการสื่อ! สปริงนิวส์ปลดฟ้าผ่า 'นักข่าว-ช่างภาพ' ครึ่งร้อย

เขียนวันที่
วันพฤหัสบดี ที่ 29 ตุลาคม 2558 เวลา 09:45 น.
เขียนโดย
isranews
แวดวงสื่อช็อค! สปริงนิวส์ปลดฟ้าผ่าพนักงานเกือบครึ่งร้อย นักข่าว ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพโดนมากสุด อ้างลดภาระ-ปรับโครงสร้างบริหาร จ่ายชดเชยตาม กม.คุัมครองแรงงาน
download 1
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ตลอดทั้งวันมีการส่งข้อความในแอพพลิเคชั่นไลน์ในกลุ่มผู้สื่อข่าวและเฟซบุ๊กว่า สถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ มีการปลดผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพและพนักงานอื่นๆจำนวนหลายสิบคน สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนในแวดวงสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก
เพราะที่ผ่านมามีข่าวว่า สถานีโทรทัศน์ดิจิทัลหลายแห่งมีผลประกอบการขาดทุนและภาวะเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมยังไม่ดีขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อกิจการของสถานีโทรทัศน์ในอนาคตมากยิ่งขึ้น
ผู้สื่อข่าวอาวุโสสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์รายหนึ่งกล่าวว่า ช่วงก่อนที่จะมีการปลดพนักงาน มีกระแสข่าวดังกล่าวมาก่อนหน้านี้ได้พยายามสอบถามผู้บริหาร แต่ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน จนกระทั่งมีการปลดพนักงานออกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558
ผู้บริหารรายหนึ่งในสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์กล่าวว่า ตัวเลขล่าสุดที่มีการปลดพนักงานออกน่าจะประมาณ 48 จากพนักงานกว่า 400 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพ โปรดิวเซอร์ และมีพนักงานฝ่ายอื่นบ้างเล็กน้อย โดยเงื่อนไขจะจ่ายเงินชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ระหว่าง 3-6 เดือน และบอกกล่าวล่วงหน้าอีก 1 เดือน
ผู้บริหารรายเดิมกล่าวว่า สาเหตุที่มีการปลดพนักงานออก นอกจากต้องการลดภาระของบริษัทที่มีผลประกอบการขาดทุนและต้องการปรับโครงสร้างการบริหารให้มีความกระทัดรัดและคล่องตัวมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับช่องสปริงนิวส์ เป็นของบริษัท สปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  (ร่วมกับ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ 1998 จำกัด (มหาชน)) จดทะเบียนจัดตั้ง 26 กุมภาพันธ์ 2553 ทุนปัจจุบัน 200 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 333 อาคารเล้าเป้งง้วน 1 ชั้น 11 ซอยเฉยพ่วง ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
แจ้งประกอบธุรกิจงานโฆษณาสินค้าบริการทุกรูปแบบของการสื่อสาร
ปรากฎชื่อนายศุทธิชัย บุนนาค และ นายพรประยูร อิศรศักดิ์ ณ อยุธยา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นใหญ่สุด
แจ้งผลประกอบการธุรกิจ ปี 2557 ว่า มีรายได้จากการบริการ 100,202,106.29 บาท รวมรายได้อื่น 138,817,288.93 บาท รวมรายจ่าย 491,115,451.65 บาท
ขาดทุนสุทธิ 407,727,346.24 บาท
ขณะที่ปี 2556 แจ้งว่ามีรายได้รวม 87,794,048.57 บาท รวมรายจ่าย 207,267,955.06 บาท ขาดทุนสุทธิ 142,760,455.85 บาท
อ่านประกอบ : 

ผ่างบฯ 8 บริษัท“เจ๊ติ๋ม-ไทยทีวี”ไม่จ่าย 288 ล. -บ.‘ไทยทีวีพูล’ฟันรายได้ 520 ล.

DSIสรุปสำนวนคดีธัมชโย

พระธัมมชโยเซ็นเอกสารบางอย่าง ระหว่างให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2558
พระธัมมชโยเซ็นเอกสารบางอย่าง ระหว่างให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2558
กรมสบสวนคดีพิเศษแถลงความคืบหน้าการสอบสวนคดีพิเศษที่ 146/2556กรณีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร และนางสาวศรัณยา มานหมัด สั่งจ่ายเงินตามเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ให้กับบุคคลและนิติบุคคลจำนวน 787 ฉบับ จำนวนเงิน 11,367 ล้านบาท
เมื่อวันที 29 ตุลาคม 2558 เวลา 10.00 น. พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พันตำรวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร/หัวหน้าชุดตรวจสอบเส้นทางการเงิน แถลงความคืบหน้าผลการสอบสวนกลุ่มผู้รับเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำนวน 787 ฉบับ จำนวนเงิน 11,367 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มนิติบุคคลที่มีมูลหนี้, กลุ่มวัดพระธรรมกาย พระเทพญานมหามุณี, มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ และพระเครือข่าย, กลุ่มสหกรณ์อื่นๆ, กลุ่มผู้ต้องหา และผู้อยู่ในข่ายผู้ต้องหา, กลุ่มบุคคล, กลุ่มนายหน้าที่ดิน และกลุ่มนิติบุคคลที่ไม่มีมูลหนี้ การสอบสวนที่พบว่าบุคคลหรือนิติบุคคลใดที่รับเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นโดยไม่มีมูลหนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้เสนอให้พนักงานอัยการคดีพิเศษ พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับกลุ่มวัดพระธรรมกาย, พระเทพญาณมหามุณี (พระธัมมชโย) และมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชนนั้น พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชุดตรวจสอบเส้นทางการเงินได้สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และได้สรุปผลการสอบสวน โดยพบว่าตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 รับเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมจำนวน 21 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 1,205,160,000 บาท (หนึ่งพันสองร้อยสิบห้าล้านหนี่งแสนหกหมื่นบาท) โดยไม่มีมูลหนี้กับทางสหกรณ์ฯ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้หารือร่วมกับนายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ หัวหน้าพนักงานอัยการร่วมสอบสวนแล้ว พิจารณาเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวของพระเทพญาณมหามุณีกับพวก อาจมีส่วนเป็นผู้สนับสนุนนายศุภชัยฯ ในการยักยอกทรัพย์ของสหกรณ์ หรือ สนับสนุนให้ลักทรัพย์นายจ้าง หรือรับของโจร,ความผิดฐานฟอกเงินและความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะได้นำผลการสอบสวนปากคำพยาน พร้อมเอกสารทางการเงินเกี่ยวกับผู้รับเช็คทั้ง 878 ฉบับ ส่งมอบให้กับพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานอัยการคดีพิเศษว่าจะเห็นพ้องต้องกันหรือไม่ อย่างไร

เสียงจากฑูตสหรัฐฯหลังพบนายกฯ

Silent Voice....
“Glyn T.Davies "ทูตสหรัฐฯ พบนายกฯบิ๊กตู่ ขอ รัฐบาล-คสช. เปิดพื้นที่ให้ Silent Voice บ้าง หวังเปิดพื้นที่สาธารณะมากขึ้น เพื่อกลับสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน”ยันมุมมองของสหรัฐฯต่อไทยไม่เคยเปลี่ยน/ รองโฆษก "วีรชน” เผย ทูตสหรัฐฯ ยันเชื่อมั่นในความจริง และตั้งใจของนายกฯ หลัง บิ๊กตู่ ขอให้ฟัง แต่ไม่ต้องเชื่อก็ได้ นายกฯ ให้เกียรติ ลงมาส่ง ทูตกลับหลังคุยนานเกือบ2ชม. ก่อนที่ทูตอเมริกาจะเดินมาให้สัมภาษณ์สื่อ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล Glyn T.Davies เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. โดยใช้เวลานาน1 ชั่วโมงครึ่ง
ภายหลังการเข้าพบ Glyn T.Davies เปิดเผยว่า การพบปะครั้งนี้ถือว่าใช้เวลาที่ค่อนข้างยาว ซึ่งยอมรับว่าส่วนใหญ่ตนเป็นผู้รับฟังมากกว่า และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหลายประเด็น เช่น ความมั่นคง เศรษฐกิจ และเรื่องสาธารณสุข
ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี หวังว่าจะได้พบปะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีอีกในโอกาสต่างๆ
ส่วนเรื่องสำคัญที่วางแผนว่าจะดำเนินการในปีนี้ Glyn T.Davies กล่าวว่า มีจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ร่วมกันของสหรัฐอเมริกาและไทย ซึ่งเป็นเรื่องเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน และการลงทุนทั้ง 2 ทาง โดยปัจจุบันมีบริษัทเอกชนของทางสหรัฐฯเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมาก
ส่วนความสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคนั้น สหรัฐฯอยากเห็นประเทศไทยมีบทนำในอาเซียน และมีขีดความสามารถเหมือนในอดีต
นอกจากนี้ยังได้ถือโอกาสถึงการสาธารณสุขในระดับโรค โดยเฉพาะการต่อสู้กับโรคระบาดที่อุบัติขึ้น และอยากเห็นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทยและสหรัฐฯมากขึ้นในทุกๆ ด้าน
นอกจากนี้ในการพูดคุยยังมีโอกาสได้พูดถึงประชาธิปไตยของประเทศไทย รวมถึงเรื่องโรดแมพและการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นด้วย
สำหรับคำถามถึงประชาธิปไตยของไทยนั้น เอกอัครราชทูตสหรัฐฯกล่าวว่า แนวคิดของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และยังไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงวันนี้
ในการพูดคุยนั้น พล.อ.ประยุทธ์เองก็ยืนยันว่าอยากเห็นประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตย ซึ่งตนไม่สามารถที่จะลงรายละเอียดในคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ที่หารือกันได้ เพราะจะเป็นการเสียมารยาท ต้องให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้พูดเอง แต่ในฐานะมิตรประเทศของไทย
"ผมหวังว่าประเทศไทยจะเดินไปตามโรดแมพและเปิดพื้นที่ให้การมีส่วนร่วมของสาธารณะและการถกเถียงมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนของประเทศไทย "
นาย Glyn T.Davies ระบุว่า พึงพอใจในความต้องการของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ไทยกลับสู่ประชาธิปไตยอีกด้วย เพราะในจุดยืนของสหรัฐฯ นั้น สิ่งนี้จะสร้างความยั่งยืนของมิติด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ในการที่จะมีรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากประชาชนทุกส่วนของประเทศไทย
เมื่อถามถึงความร่วมมือยุทธศาสตร์เอเชียแปซิฟิก TPP และการฝึก Cobra Gold นั้นนายGlyn T.Davies กล่าวว่า ไม่ได้คุยกันในรายละเอียด แต่คุยกันในภาพรวมในเรื่องความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ ว่ามีอะไรบ้างที่สหรัฐฯจะสามารถแบ่งปันร่วมกันกับไทยได้
เมื่อถามถึงแผนการทำงานของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ นายGlyn T.Davies กล่าวว่า มีแผนที่จะไปพบปะกับประชาชนกลุ่มต่างๆ โดยจะออกไปในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย ในหลายๆ ที่ เพื่อพบปะกับประชาชนทุกกลุ่ม
ด้าน พล.ต. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การมาเข้าพบนายกฯ ของนาย Glyn T.Davies เอกอัครราชทูตของสหรัฐฯที่เพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่ง โดยมายืนยันถึงความสำคัญที่ประเทศไทยมีต่อสหรัฐฯ และมิตรภาพที่มีร่วมกันกว่า 2 ศตวรรษ
" แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นประเทศไทยก็ยังเป็นมหามิตรกับสหรัฐฯ "
โดยก่อนที่นายกGlyn T.Davies จะมาประเทศไทยนั้นได้มีการศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งการมาครั้งนี้ก็ไม่ได้มากดดันไทยว่าไทยจะต้องมีโน่นมีนี่เมื่อไหร่ โดยมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของคนไทยและประเทศไทย ซึ่งทูตสหรัฐฯได้เชื่อในความตั้งใจและความจริงใจของรัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯ ว่ากำลังทำเพื่อประเทศไปสู่จุดหมายอย่างไร
พลตรี.วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้อธิบายให้ฟังถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ว่ามีเรื่องราวต่าง ๆ มาจากอะไร มีความแตกแยกในสังคมอย่างไร และมีการอธิบายอย่างที่เราทราบกันดีถึงปัญหาการเมืองต่าง ๆ
แต่สิ่งสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ได้บอกว่า ไม่ต้องเชื่อเรา และเน้นย้ำว่าทูตสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องฟังและเชื่อ แต่ขอให้ฟังและนำข้อมูลเหล่านี้ไปศึกษา ไปสอบถามจากหลาย ๆ กลุ่มเพื่อที่จะมายืนยันข้อมูลว่า สิ่งที่พูดนั้นเป็นความเท็จหรือความจริง และเมื่อถึงขั้นตอนนั้นจะเป็นประเด็นที่ สหรัฐฯ มีความเข้าใจในสิ่งที่เกิดปัจจุบันของไทยมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังยืนยันในความเป็นมิตรกับไทยที่ยังหนักแน่น มีความสำคัญเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าตามกฎหมายต่างๆ ของเขา อาจจะมีปัญหาในด้านการปกครอง แต่ในด้านความร่วมมือต่างๆ ทางทูตสหรัฐฯ ยืนยัน ว่าจะสานต่อความสัมพันธ์ และจะดำเนินการให้ประเทศไทย มีความร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การทหาร การศึกษา เรียกได้ว่าทุกด้านที่เคยมีมาต่อกัน ไม่มีด้านใดลดลง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการชี้แจงโรดแมพอย่างไร พล.ต.วีรชน กล่าวว่า วันนี้ไม่มีการพูดถึง เพียงแต่พล.อ.ประยุทธ์ ได้ระบุว่า ขั้นตอนที่ผ่านมาเรามีการดำเนินการในลักษณะ ใช้กติกาอย่างไร เช่นมีการใช้กฎอัยการศึกในช่วงต้น รวมถึงการใช้มาตารา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ซึ่งที่ผ่านมาใช้อย่างสร้างสรรค์ และไม่มีการทำร้ายหรือทำให้ใครเดือดร้อน ยกเว้นแต่บุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีคดีความก็ต้องว่าไปตามระบบ
นายกฯ ได้ยืนยันถึงระบบยุติธรรมของไทย ที่มีบางฝ่ายพูดดิสเครดิต ว่าไม่น่าเชื่อถือโดยนายกฯ อยากให้มองว่าที่ผ่านมาเป็น 10 ปี ระบบยุติธรรมเราทำงานมาตลอด ไม่มีการเลือกปฏิบัติ อย่างที่ถูกกล่าวหาทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐาน พยานข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้
พล.ต.วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้เล่าเกือบ 2 ชั่วโมงถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาถึงประวัติศาสตร์ทางการเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านของเรา และอยากให้มองย้อนกลับไปว่าเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่
โดยนายGlyn T.Davies ได้ตอบมาว่า “ เชื่อในสิ่งที่นายกฯ พูด เชื่อในความจริงใจ และตั้งใจ ซึ่งนาย Glyn T.Davies เป็นคนพูดเอง”
นาย Glyn T.Davies มีคำแนะนำว่า อยากให้การมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ให้คนที่ไม่ได้ออกเสียง (silent voice) มีพื้นที่มากขึ้น
โดยพล.อ.ประยุทธ์เห็นด้วย และให้ศึกษาว่าจะมีวิธีการอย่างไร ซึ่งวันนี้เป็นการพบปะที่สร้างสรรค์ และเป็นการยืนยันจากสหรัฐฯ ที่บอกว่า ได้รับคำนโยบายมาจากวอชิงตัน ว่าการมาครั้งนี้ ให้มาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทย
นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า การพบกันครั้งนี้ถือว่ามีความพิเศษ เพราะถุกจับตาดูจากหลายฝ่าย และได้ถือโอกาสชี้แจงถึงความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา เกิดความขัดแย้งของคน 2 กลุ่ม ทำให้รัฐบาลนี้ต้องเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งรัฐบาลก็จะเข้ามาเพียงชั่วคราวตามโรดแมพ ที่วางไว้เพื่อเร่งสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น
ในเรื่องของโรดแมพนั้น สิ่งที่เราทำในปัจจุบันเป็นการสร้างอนาคตของประเทศไทยแต่ละขั้นตอนที่ทำนั้นก็เพื่อประเทศซึ่งนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าสิ่งที่พูดวันนี้ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด แต่อยากให้เปิดใจให้กว้าง รวมทั้งรับฟังในส่วนรัฐบาลไทย และข้อมูลรอบๆ ด้าน แล้วจะรู้ว่าความจริงคืออะไร
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯให้เกียรติกับนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างมาก เข้าใจถึงสถานการณ์ประเทศและเข้าใจในตัวนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างดี ซึ่งทั้งหมดถือว่าท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทยดีขึ้นและเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น
"เขาเชื่อมั่นเรา 99% ติดแค่เปอร์เซ็นต์เดียว คือเรื่องกฎหมายและการพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ในฐานะที่เป็นเพื่อนและมีความสัมพันธ์กันมานานกว่า 2 ศควรรษ และการแนะนำต่างๆ ก็เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ไม่ใช่ต้องการแทรกแซง" พล.ต.วีรชน กล่าว