PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

‘สมชัย’ ข้องใจถูกกุนซือกม.เสนอปลด ร้องบิ๊กตู่คืนความยุติธรรม ยันไม่ได้พูดอะไรผิด

‘สมชัย’ ข้องใจถูกกุนซือกม.เสนอปลด ร้องบิ๊กตู่คืนความยุติธรรม ยันไม่ได้พูดอะไรผิด


“สมชัย” จวก ที่ปรึกษา กม.นายกฯไม่รู้จริง ทำ “บิ๊กตู่” สับสนใครกำหนดวันเลือกตั้ง เชื่อนายกฯไม่เลือกตนเป็นที่ปรึกษา กม. ยันไม่ล้ำเส้นรัฐบาลเรื่องโรดแมป เพราะแค่พูดตามหลัก กม.
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 มีนาคม 2561 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์กรณีโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีคำสั่ง คสช.ให้ตนเองยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่ กกต. ว่า แสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีที่ทำให้นายกฯเข้าใจผิดว่า คสช.และ ครม.เป็นคนกำหนดวันเลือกตั้ง รวมทั้งระบุว่า หากข้อมูลจากที่ปรึกษากฎหมายของนายกฯ ทำให้นายกฯเข้าใจผิด นายกฯควรคืนความเป็นธรรมให้แก่ตน ผู้สื่อข่าวจึงถามว่า การคืนความเป็นธรรมที่ว่านั้น หมายถึงการปลดที่ปรึกษากฎหมายของนายกฯหรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่เป็นการชี้ให้เห็นว่า ในการฟังสิ่งซึ่งเป็นเหตุเป็นผลนั้นต้องฟังอย่างรอบด้าน เพราะบางครั้งการเสนอข้อมูลที่ผิด จะทำให้นายกฯเข้าใจผิดได้ พร้อมกับยืนยันว่าตนไม่ได้ล้ำเส้นรัฐบาลและ คสช.ในการพูดเรื่องวันเลือกตั้ง แม้การเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา คนที่กำหนดวันเลือกตั้งจะเป็นรัฐบาล แต่ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 102 และ 103 ได้ออกแบบให้มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างรัฐบาลและ กกต. คือ รัฐบาลเป็นผู้ออกกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง แต่ กกต.เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง โดย กกต.ต้องประกาศวันเลือกตั้งว่าเป็นวันใดภายใน 5 วันนับแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ดังนั้น การที่หน่วยงานทางกฎหมายหรือที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายกรัฐมนตรีให้ข้อมูลที่ผิด จึงแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของหน่วยงานกฎหมาย จึงควรมีการคืนความยุติธรรมให้กับตนด้วย เพราะตนไม่ได้พูดอะไรที่ผิดกฎหมาย


“แต่ไม่เป็นไร เพราะผมเก็บข้าวของหมดแล้ว ไม่ได้ประสงค์จะกลับไปเป็น กกต. พูดไปอย่างนั้น คงไม่ได้มีความหวังอะไร รวมถึงการพูดว่าจะไปเป็นที่ปรึกษากฎหมายนั้น ท่านคงไม่แต่งตั้งผมหรอก พูดตามตรง ขณะเดียวกันผมก็ชี้ว่า ถ้าหน่วยงานด้านกฎหมายมีความรอบรู้ด้านกฎหมายจริง เห็นว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แทนที่จะเสนอนายกฯให้ปลดผม ก็น่าจะออกมาโต้กันในเชิงมุมมองทางกฎหมายว่าผมพูดผิดอย่างไร มันจึงสะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานด้านกฎหมายที่เสนอให้ปลดผมนั้นไม่กล้ามาถกกัน ถ้าผมพูดผิดจริง ผมจะขอโทษต่อสาธารณะ” นายสมชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การใช้มาตรา 44 เพื่อปลดนายสมชัยนั้น เป็นเพราะนายสมชัยไปล้ำเส้นรัฐบาลในฐานะผู้ตัดสินใจเรื่องโรดแมปหรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะตนพูดถึงเรื่องกฎหมายว่า มาตรา 102 และ มาตรา 103 การกำหนดวันเลือกตั้งอยู่ที่ กกต. ไม่ใช่รัฐบาล หน้าที่ใครหน้าที่มัน ถามนายมีชัยได้ ทุกคนเปิดกฎหมายมาก็พูดได้ทั้งสิ้นว่าหลักของกฎหมายเป็นอย่างไร การคาดการณ์ของตนก็เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนจนเตรียมตัวไม่ทัน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ กกต.ที่จะต้องเตรียมจัดการเลือกตั้ง

สมชัยสวนบิ๊กตู่ เข้าใจผิดปมกำหนดวันเลือกตั้ง อัดกุนซือกฎหมายอ่อนด้อย แนะต้องปลด

สมชัยสวนบิ๊กตู่ เข้าใจผิดปมกำหนดวันเลือกตั้ง อัดกุนซือกฎหมายอ่อนด้อย แนะต้องปลด



“สมชัย” แนะนายกฯ ปลดกุนซือกฎหมาย ชี้อ่อนด้อย ทำเข้าใจผิดปมผู้มีหน้าที่กำหนดวันเลือกตั้ง จนนำมาสู่การใช้ ม.44 ยืนยันรัฐธรรมนูญให้อำนาจ กกต.กำหนดวัน

วันที่ 23 มีนาคม 2561 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุถึงเหตุผลหนึ่งที่ คสช.มีคำสั่งให้ตนเองยุติการปฏิบัติหน้าที่ กกต.ว่ามาจากการให้สัมภาษณ์จนทำให้ประชาชนสับสนเรื่องผู้มีหน้าที่กำหนดวันเลือกตั้งว่า จากการให้สัมภาษณ์ของนายกฯ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของหน่วยงานกฎหมายของนายกรัฐมนตรี หรือที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายกฯเป็นอย่างยิ่งในประเด็น 1.ทำให้นายกฯ เข้าใจผิดว่า คสช.และ ครม.เป็นคนกำหนดวันเลือกตั้ง จากประโยคที่ว่า “ทำให้สับสนอลหม่านไปกันหมด เลือกอย่างนั้นอย่างนี้ ขอถามว่าเขาเป็นคนเลือกหรือ เขาเป็นคนกำหนดวันเวลาวันเลือกตั้งหรือ ใครเป็นคนกำหนด รัฐบาลกับ คสช.ไม่ใช่หรือ หรือ กกต.เป็นคนกำหนด”

“ซึ่งข้อเท็จจริงตามกฎหมาย มาตรา 102 และ 103 ของรัฐธรรมนูญ ออกแบบให้มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างรัฐบาล และ กกต.คือ รัฐบาลเป็นผู้ออกกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง แต่ กกต.เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง โดย กกต.ต้องประกาศวันเลือกตั้งว่าเป็นวันใดภายในห้าวันนับแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง เหตุผลที่เขียน กฎหมายให้แตกต่างจากในอดีตที่ให้รัฐบาลทำทั้งสองอย่างนั้น เพราะเห็นว่าควรให้ กกต.ที่เป็นอิสระเป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง จะสามารถให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ซึ่งนายมีชัยเป็นผู้ร่างเอง” นายสมชัยระบุ

นอกจากนี้ ในมาตรา 104 ยังให้อำนาจ กกต.ประกาศเลื่อนวันเลือกตั้งได้หากมีเหตุจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาในอดีต ที่การเลื่อนต้องเห็นชอบร่วมกันระหว่างนายกฯกับประธาน กกต. และรัฐบาลไม่ยอมเลื่อน จนทำให้เกิดความเสียหายจากการเลือกตั้งเป็นโมฆะ อย่างปัญหาเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557


นายสมชัยระบุต่อว่า 2.ทำให้นายกฯ ตัดสินใจใช้มาตรา 44 ในการปลดกรรมการองค์กรอิสระโดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่ตามมา จากประโยคที่ว่า “มันมีความจำเป็น ยอมรับว่ามีหน่วยงานเขาขอมา เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย ซึ่งเขาบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว ทำให้ทุกอย่างสับสนอลหม่าน” ประเด็นดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานด้านกฎหมายดังกล่าวขาดการพิจารณาถึงผลที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบว่าการที่ชงให้ คสช.ใช้ ม.44 กับองค์กรอิสระ โดยเฉพาะ กกต. จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่มีทางได้รับการยอมรับจากสังคมโลกได้เลย เพราะ กกต.จะขาดความเป็นอิสระ หากผู้มีอำนาจทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเอง คงไม่มี กกต.ใดกล้าที่จะไปตักเตือนหรือชี้ว่า คสช.ทำผิด เพราะเกรงว่า คสช.สามารถใช้อำนาจปลดคนที่เห็นต่างได้ ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกเดียวกันนี้ไปยังองค์กรอิสระอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมการสิทธิฯ หากมีกรณีรัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนจะไม่กล้าทักท้วง ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจไม่กล้าส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ คตง. ป.ป.ช. อาจไม่กล้าตรวจสอบการทุจริตของรัฐ ไปจนถึงการพิจารณาตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอาจมีความเป็นอิสระน้อยลง เพราะทุกคนรู้ว่า คสช.สามารถใช้มาตรา 44 เพื่อปลดผู้เห็นต่างได้

3.ความไม่ชัดเจนและอ่อนด้อยของหน่วยงานด้านกฎหมายของนายกฯ สะท้อนให้เห็นว่าบุคลากรของหน่วยงานทั้งหมด ไม่มีแม้สักคนที่มีความสามารถในการตอบโต้หลักทางกฎหมายที่ถูกต้องกับคนคนเดียว ที่มิได้จบทางนิติศาสตร์โดยตรง แต่จบปริญญาตรีที่มีวิชากฎหมายแค่ 3 หน่วยกิต ถึงขนาดให้เขาไปสร้างความสับสนแก่สังคม ซึ่งไม่แน่ใจว่าใครสับสนกันแน่ จนต้องไปขอร้องนายกฯ ให้ปลดคนคนนั้นออก

ซึ่งถ้าผมกล่าวผิด ท่านผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเชือดผมกลางอากาศสองสามรอบ แค่นั้นผมพูดไปก็ไม่มีคนเชื่อแล้ว แต่ทุกครั้งดูเหมือนคนของท่านจะพูดผิดมากกว่า ในทางกลับกัน หากผมบอกให้นายกฯ รู้ถึงความอ่อนด้อยและไม่ชัดเจนของหน่วยงานด้านกฎหมายดังกล่าวจนทำให้นายกฯ ต้องเข้าใจผิดและเสียหายแล้ว ก็สมควรใช้มาตร 44 ปลดหน่วยงานนั้นแทน และหากจะตั้งผมเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ผมก็ยินดี” นายสมชัยระบุ

บทบาท ความหมาย ไพร่หมื่นล้าน จากปาก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 บทบาท ความหมาย ไพร่หมื่นล้าน จากปาก ประยุทธ์ จันทร์โอชา


พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลุดคำพูด”ไพร่หมื่นล้าน”ห้วงที่เดินทางไปจังหวัดหนองบัวลำภู
ก็เด่นชัดว่าเสร็จ”อนาคตใหม่”
ไม่เพียงแต่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะยิ้มที่มุมปาก หากแม้ กระทั่ง นายปิยบุตร แสงกนกกุล ก็อาจปรายสายตาไปที่ข่าวและ เสียงอันดังมาจากรายงานข่าว
แม้คำๆนี้มิได้ออกมาจาก “พรรคอนาคตใหม่”
ตรงกันข้าม เป็นโปรยนำเรื่องที่บรรณาธิกรณ์ของบีบีซีไทยนำมาใช้เป็น “พาดหัว”
ลิขสิทธิ์ไม่ใช่ของ”พรรคอนาคตใหม่”หากเป็นของ”บีบีซีไทย”
แต่ที่ได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ คือ พรรคอนาคตใหม่ คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

มองจากมุมทางด้าน “การตลาด” พลันที่คำว่า”ไพร่หมื่นล้าน”หลุดออกมาจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นั่นคือ รูปธรรมแห่งความสำเร็จ
ไม่จำเป็นต้องถาม”กูรู”ระดับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่จำ เป็นต้องถาม”กูรู”ระดับ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์

เพราะเมื่อออกมาจาก”ปาก”ของ”นายกรัฐมนตรี”
นั่นหมายความว่า รูปแห่งความรับรู้อันเกี่ยวกับตัวตนของบุคคลที่มาพร้อมกับคำว่า”ไพร่หมื่นล้าน”จะต้องเข้าไปอยู่ในความคิดของผู้พูดอย่างไม่ต้องสงสัย
พูดตามภาษาปรัชญาก็ต้องว่า คำว่า “ไพร่หมื่นล้าน” ได้ดำรงอยู่ภายใน”รูปการจิตสำนึก” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้ว
จะเห็นด้วย จะไม่เห็นด้วย ไม่สำคัญ
ทั้งยังเป็นการไปพูดต่อ “มวลชน” แห่งจังหวัดหนองบัวลำภูอันเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยและของ”คนเสื้อแดง”
ตรงนี้ต่างหากสำคัญและทรงความหมาย

การต่อสู้ในทางการเมืองที่เห็นและเป็นอยู่ในห้วงของ”ทศวรรษที่สูญหาย” แท้จริงแล้วคือการต่อสู้ในทางความคิด
การปรากฏขึ้นของคำว่า”ไพร่หมื่นล้าน” คือ ความคิด 1
อาจมาจากการประดิษฐ์โดย”บีบีซีไทย” แต่ก็สัมพันธ์กับตัวตนของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่อย่างแนบแน่น
การรับเอาไปพูดและเอ่ยถึงจึงสำคัญและทรงความหมาย

เจออย่างจัง

เจออย่างจัง



กลายเป็นเรื่องฮือฮา ระเบิดเถิดเทิง
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช.ใช้ดาบอาญาสิทธิ์ ม.44 “ฟัน” นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.คนดังขาดสะพายแล่งหลุดจากตำแหน่งแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เพราะไม่สบอารมณ์ (มานานแล้ว) ที่ นายสมชัย ชอบแสดงความเห็นสวนทางรัฐบาล คสช.
โดยเฉพาะหลังจาก กกต.ชุดนายสมชัย โดนเซ็ตซีโร่ตกเก้าอี้ยกพวง
นายสมชัย ยิ่งขยันวิพากษ์วิจารณ์พาดพิงกระทบชิ่งรัฐบาลเป็นประจำ
บังเอิญเกิดจังหวะเหมาะ เพราะอยู่ๆนายสมชัยก็สร้างเงื่อนไขให้ตัวเองโดนเช็กบิล ด้วยการไปยื่นใบสมัครประกวดชายงามชิงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.คนใหม่
ทั้งๆที่ตัวเองยังปฏิบัติหน้าที่เป็น กกต.
จึงเข้าข่ายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้โดยตรง
พล.อ.ประยุทธ์เลยได้โอกาสใช้อำนาจ ม.44 สั่งปลดนายสมชัย อย่างสะดวกโยธิน
เนี่ย...เรื่องมันเป็นอย่างนี้แหละท่านพระครู
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าการถูกปลดสายฟ้าแลบส่งผลกระทบ “นายสมชัย” อย่างแรง 2 ประการ
1, ทำให้อายุการปฏิบัติหน้าที่ กกต.ต้องหดสั้นไป 6 เดือน
ถ้าคิดเป็นเงินเดือนที่เสียไปก็ซื้อรถใหม่ป้ายแดงได้ 1 คัน
2, ทำให้โอกาสที่ “นายสมชัย” จะได้รับเลือกเป็นเลขาธิการ กกต.คนใหม่ลดจาก 80 เปอร์เซ็นต์ เหลือไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์
เนื่องจาก กกต.ที่เหลืออีก 4 คน คงไม่กล้าอุ้มนายสมชัยใส่ตะกร้าล้างนํ้าเป็นเลขาธิการ กกต.คนใหม่แน่นอน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะหมดหวังนั่งเก้าอี้เลขาธิการ กกต.คนใหม่แน่นอน 99.99 เปอร์เซ็นต์
คงไม่ทำให้นายสมชัย กกต.คนดัง ไม่มีที่นั่งที่ยืน
เพราะ อจ.สมชัย ก็ยังสามารถเลือกแสดงบทบาทอื่นๆได้อีกหลายเวที
จะเลือกกลับไปสวมวิญญาณเป็นนักวิชาการอย่างเดิม??
หรือจะเลือกกลับไปอยู่ “องค์กรพีเน็ต” ตรวจสอบการเลือกตั้งอย่างเคย??
หรือจะเลือกฉีกแนวไปเล่นการเมือง??
ก็เก๋ไปอีกแบบเหมือนกัน
“แม่ลูกจันทร์” มองว่าการใช้อำนาจ ม.44 ปลด “นายสมชัย” ออกจาก กกต.จะเป็นแรงกระตุ้น นายสมชัย ให้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองดุเดือดยิ่งกว่าเดิม
เพราะตอนที่ยังสวมบทบาท กกต. “นายสมชัย” จะให้ความเห็นเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ กกต.
ไม่กล้าล้ำเส้นไปวิจารณ์รัฐบาล คสช.โดยตรง
การเชือด นายสมชัย เท่ากับผลักไสให้ นายสมชัย ต้องยืนอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลเต็มตัว
“แม่ลูกจันทร์” ถามว่ารัฐบาล คสช.ได้ประโยชน์อย่างไรในการใช้ ม.44 ปลดนายสมชัยหลุดจาก กกต.??
ตอบว่าได้ความสบายใจชั่วคราวเท่านั้นเอง
แต่ถ้า “นายกฯบิ๊กตู่” อดใจรออีก 6 เดือน การสรรหา กกต.ใหม่ 7 คนก็เสร็จสมบูรณ์
ถึงไม่ปลดนายสมชัย และ กกต.ทั้งชุดก็ต้องไปอยู่ดี
ปัญหาคือ การใช้อำนาจ ม.44 สั่งปลด “นายสมชัย” จาก กกต. ทำให้ถูกมองว่าฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
ทำให้ “องค์กรอิสระ” ไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง
เกมนี้...ได้สั้นแต่เสียยาวนะคุณโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

ลงแรงรอฤดูเก็บเกี่ยว

ลงแรงรอฤดูเก็บเกี่ยว



ผ่านมาจะครบ 4 ปี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ผู้ถืออำนาจพิเศษทำได้อย่างที่เคยประกาศ ผู้นำต้องเดินทางไปได้ทุกตารางนิ้วในประเทศไทย
หลังจากนำร่องเดินสายทั้งประชุม ครม.สัญจร ตรวจงานราชการมาครบหัวเมืองภูมิภาค
ถึงคิวเจาะพื้นที่ “นายกฯลุงตู่” ยกคณะไปตรวจราชการ เป็นสักขีพยานในพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับคัดเลือกโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน และมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัย ที่ จ.หนองบัวลำภู
รายการนี้ผู้นำประกาศชัด รัฐบาลจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ต้องดูแลประชาชนทั้งประเทศ “ไม่ว่าภาคไหน อำเภอไหน ล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น ต้องรัก สามัคคี แบ่งแยกไม่ได้”
ออกลูกขึงขัง ขอเป็นผู้นำของคนทั้งประเทศ
พร้อมกับกระตุกต่อมผวาของผู้คนที่ยังแหยงไม่หายกับภาวะวิกฤติขัดแย้งแตกแยกที่ผ่านมา ด้วยคำมั่นสัญญาก่อนเข้าโค้งสำคัญ “จะไม่ทำให้ประเทศกลับไปเหมือนเดิม”
โชว์เก๋ๆรับดีเดย์เลือกตั้ง
ในห้วงที่โปรแกรมโรดแม็ปน่าจะชัด หลังจาก สนช.เข้ายื่นตีความร่างกฎหมายการได้มาซึ่ง ส.ว. ขณะที่กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ปัดนายกฯไม่ใช่ “ไปรษณีย์”
หากมีใครสงสัยให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความเอง
ถึงแม้จะถูกดักทาง คิวตีความกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. อาจเป็น “ไพ่ในมือ” ที่เก็บไว้ “ยื้ออีกช็อต” ก็ตาม
อ่านเฉพาะหน้าโปรแกรมเลือกตั้งคงไม่ขยับจากเดือน ก.พ.ปี 2562 มากนัก
ยิ่งถ้าประเมินจากทิศทางอำนาจพิเศษ เริ่มจะเดินไปตามไทม์ไลน์ ทั้งคิวกลุ่มการเมืองแห่จดแจ้งจองชื่อพรรคการเมืองใหม่ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. เปิดให้พรรคเก่าเช็กรายชื่อยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคเก่าดีเดย์ 1 เม.ย.นี้
ประกอบกับท่านผู้นำส่งเทียบเชิญพรรคการเมือง ร่วมหารือถึงนโยบายและกำหนดการเลือกตั้ง ในเดือน มิ.ย.นี้ สะท้อนว่าถ้าไม่มีสัญญาณใหม่ ในปี 2562 น่าจะได้เข้าคูหากาคะแนน
“นายกฯลุงตู่” ต้องเร่งสปีดแต้มตามแผน
นอกจากงัดมาตรา 44 ปลดนายสมชัย ศรีสุทธิยากร จากตำแหน่ง กกต. เพื่อไม่ให้สร้างความสับสน
ปิดปากเบรกแรงป่วน
และยังใช้อำนาจฝ่ายบริหาร ออกคำสั่งนายกฯ ให้นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกฯ เคลียร์ปมยางที่ค้างคา
ในรูปการณ์ที่เริ่มคอนโทรลเกมอำนาจได้ในระดับหนึ่ง ดึงขั้วฝ่ายการเมืองต่างๆเข้าสู่ระบบพรรค ขณะเดียวกันก็คุมหลวมๆ จำกัดวงม็อบ ตีกรอบให้เคลื่อนไหวแค่ในงานวิชาการ
อีกทางกลับมาเร่งโจทย์ปราบโกง กำชับหน่วยงานราชการ ท้องถิ่น ให้เอาจริงเอาจังกับการป้องกันปราบปรามการทุจริต ในห้วงที่มีโรคโกงระบาดหลายหน่วยงาน
งัดของเก่า “แก้โกง” กระตุกโจทย์แข็งที่เริ่มอ่อนดีกรี
เช่นเดียวกับการเริ่มกลับมาบูมภารกิจทวงคืนผืนป่า ปราบปรามการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
โชว์สินค้าขายดี ย้ำแบรนด์ “ลุงตู่”
ที่เหลือก็มีเวลาจัดคิวลงพื้นที่ปั่นยอดขายฐานราก โดยเฉพาะหลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจภาพใหญ่ภาพรวมจุดติด ตัวเลขการค้า การลงทุน ส่งออก ท่องเที่ยว ฯลฯ มีสัญญาณดีต่อเนื่อง
ถึงเวลาเร่งเครื่องโจทย์หนักปมเศรษฐกิจปากท้อง
เดินหน้าสารพัดโครงการอัดฉีด ทั้ง “ไทยนิยม ยั่งยืน” และ “ประชารัฐ” ที่ขับเคลื่อนควบคู่กันไป
เวลานี้ “นายกฯลุงตู่” จึงจัดโปรแกรมเดินสายถี่ รดน้ำ พรวนดิน เสริมปุ๋ยลงฐานรากเป็นระลอกๆ
ไว้รอเก็บเกี่ยวดอกผล “แต้มหนุน” ในห้วงเลือกตั้งพอดี.
ทีมข่าวการเมือง