PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บิ๊กตู่ เปรย ยันคุมเอง ผบ.ตร.ใหม่"ถ้าทำไม่ได้ก็เปลี่ยนใหม่จะไปยากอะไร"

บิ๊กตู่ เปรย ยันคุมเอง ผบ.ตร.ใหม่"ถ้าทำไม่ได้ก็เปลี่ยนใหม่จะไปยากอะไร"

นายกฯ เตือน อย่ากังวล เลือก ผบ.ตร.คนใหม่ คาดสัปดาห์หน้า ได้ตัว ระบุ เลือกตำรวจยุติธรรม ทำตามนโยบาย "แต่ถ้าทำไม่ได้ก็เปลี่ยนใหม่ จะไปยากอะไร" เผยผมคุมเอง

พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ กล่าวถึงการเลื่อนประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ(กตช.)ว่า เท่าที่ทราบดูเหมือนจะมีปัญหาเล็กน้อยที่ทางตำรวจต้องการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เข้าไปในคราวเดียวกัน ไม่ได้มีปัญหาอะไร และไม่ว่าจะตั้งใครขึ้นมาเป็นผบ.ตร.คนใหม่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะผมเป็นคนดูอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าการเลือกบุคคลจะต้องดูให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบรรยากาศของบ้านเมืองด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คนที่จะเข้ามาเป็น ผบ.ตร.คนใหม่จะต้องเป็นตำรวจที่มีความยุติธรรม ทำตามนโยบายของรัฐบาลหรือตามที่รัฐบาลได้มอบหมายความรับผิดชอบลงไป
"ถ้าทำไม่ได้ก็เปลี่ยนใหม่จะไปยากอะไร"
และคาดว่าในสัปดาห์หน้าก็คงจะได้ตัว ผบ.ตร.ใหม่

ยิ่งลักษณ์ ส่อพ้นคดีถอดถอน 5 ปี กลับลงเลือกตั้งได้/ปปช.จี้คดี

รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ วานนี้ (6 ส.ค.58) ที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือในรัฐธรรมนูญมาตรา 111 เกี่ยวกับบุคคลต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยเฉพาะบุคคลเคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือในการดำรงตำแหน่งอื่น

โดยที่ประชุมได้มีการยกตัวอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกถอดถอนตัดสิทธิ์ทางการเมือง จากการไม่ยับยั้งโครงการจำนำข้าวจนเกิดความเสียหายต่อรัฐขึ้นมาพิจารณา ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า หากการตัดสิทธิ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เป็นเพียงการปล่อยปะละเลย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็สามารถมาลงสมัคร ส.ส.ได้ หากพ้นโทษเป็นเวลา 5 ปี แต่ถ้าหากการถูกถอดถอนมีสาเหตุเพราะเป็น
คดีทุจริต น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็หมดสิทธิสมัคร ส.ส.ตลอดชีวิต

ดังนั้นการจะตัดสิทธิ์นักการเมืองถูกถอดถอน ห้ามลงสมัครเป็นส.ส. ก็ต้องไปเน้นย้ำดูสำนวนสาเหตุของการตัดสิทธิ์-ถอดถอนเป็นเรื่องสำคัญ หากจะมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญกับบุคคลนั้น ๆ

MThai News

/////////////
ตีฆ้องร้องป่าวกันหน่อยเด้อ แชร์กดดัน คลังให้หนัก...... อายุความคดีจำนำข้าว แค่ 2 ปี หมด กพ. 2560 นับเวลา ตั้งแต่กระทรวงการคลังได้รับเรื่องจาก ปปช. ในเดือน ก.พ. 2558 ซึ่งจะครบ 2 ปี ในเดือน ก.พ. 2560 โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 17 กพ. 58

ปปช. ส่งหนังสือ ถึงกระทรวงการคลัง เพื่อให้ประเมินความเสียหาย ในโครงการรับจำนำข้าว ตามที่ได้ชี้มูลความผิด ในคดีอาญา ฐานละเว้นก่อให้เกิดความเสียหาย ในโครงการรับจำนำข้าว โดยตามกฎหมาย 73/1 วรรคท้าย ของ พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ให้ ปปช. ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงการคลัง ที่เป็นหน่วยงาน รับค้ำประกันเงินงบประมาณ ในโครงการรับจำนำข้าว เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น กระทรวงการคลัง ต้องไปดำเนินการเรียกร้องความเสียหาย นั้นคืนกลับมา

ฐานของความเสียหาย ตามที่ ปปช. ได้ส่งสำนวนที่ชี้มูลความผิด มีการระบุ ถึงฐานความเสียหาย ของการปิดบัญชี โดยกระทรวงการคลัง ที่ระบุว่าสูงถึง 6 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังต้องไปดูในส่วน การตรวจสอบคุณภาพข้าว ในโกดังที่มี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ในฐานะประธานการตรวจสอบคุณภาพข้าวอีกด้วย
////////////////
ป.ป.ช. บี้รัฐฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจำนำข้าว 600,000 ล้านบาท “วิชา” ชี้เป็นหน้าที่ ไม่ทำไม่ได้ ระบุคดีมีอายุความแค่ 2 ปี

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินการมติของ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ให้กระทรวงการคลังฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในโครงการรับจำนำข้าว เป็นเงิน 600,000 ล้านบาท แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายออกมาระบุว่าเรื่องนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะรัฐต้องใช้เงินค่าธรรมเนียมวางศาลจำนวนมาก ว่า แม้ค่าเสียหายที่รัฐจะเรียกร้องในโครงการรับจำนำข้าวจะมีจำนวนมาก แต่ไม่ถึงกับที่รัฐจะไม่มีเงินไปจ่ายค่าธรรมเนียมวางศาล อีกทั้งสามารถเรียกคืนจากคู่ความกลับมาได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการฟ้องร้องคดีทางแพ่ง เรื่องนี้รัฐบาลจะต้องดำเนินการอยู่แล้วเพราะเป็นหน้าที่ เพียงแต่ที่ต้องใช้เวลาก็เพื่อให้เกิดความรอบคอบ โดยอายุความในการฟ้องร้องคดีทางแพ่งจะอยู่ที่ 2 ปี นับแต่วันที่กระทรวงการคลังได้รับเรื่องจาก ป.ป.ช.

“เรื่องนี้ไม่ทำไม่ได้ เพราะทุกคดีที่เกิดความเสียหายขึ้น จะต้องมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เป็นหน้าที่ของรัฐจะต้องดำเนินการ เพราะขนาดคดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพ
มหานคร ขนาดจำเลยบางคนเสียชีวิตไปแล้ว ศาลยังไปเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากเครือญาติแทน” นายวิชากล่าว

ด้าน น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะอดีตคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว กล่าวว่า เชื่อว่าขณะนี้รัฐกำลังรวบรวมข้อมูลค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งวงเงินขณะนี้น่าจะเกิน 600,000 ล้านบาทแล้ว เพราะมีข้าวเน่าเพิ่มเติม(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีโครงการรับจำนำข้าว เริ่มต้นจากพรรคประชาธิปัตย์ยื่นคำร้องขอให้ ป.ป.ช. เข้าไปตรวจสอบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปลายปี 2555 โดยสามารถแยกได้เป็น 2
กรณี

– กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว

ที่ประชุม ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดทางอาญา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2558 ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจาณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และชี้มูลความผิดในคดีถอดถอนไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 โดยที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยคะแนนเสียง 190:18 เสียง ไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2558 ส่งผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีมติถอดถอน

– กรณีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(G to G)

ที่ประชุม ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและทางวินัยกับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวกรวม 21 คน ไปเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558 ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯ โดยคดีนี้มีโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต และมีการเรียกค่าปรับทางอาญาสูงถึง 35,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ที่ประชุม สนช. ยังมีมติถอดถอน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์, นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2558 ซึ่งจะทำให้บุคคลทั้งสาม ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางกรเมืองหรือทางราชการใดเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีมติถอดถอน

ปัจจุบัน ป.ป.ช. อยู่ระหว่างไต่สวนคดีทุจริตระบายข้าว G to G คาดว่าจะสรุปสำนวนได้เร็วๆ นี้

http://thaipublica.org/2015/08/plegd-rice-87/

สิงหาฯเดือน เบิร์ธเดย์ บิ๊กทหาร เพียบ



สิงหาฯเดือน เบิร์ธเดย์ บิ๊กทหาร เพียบ...คาด วันเกิด ป๋าป้อม และ ป๋าเปรม คึกคักสุด.....วันเกิด บิ๊กโด่ง ของดอวยพร
นอกจาก วันพระราชทานกำเนิด รร.นายร้อย จปร. เมื่อ 5 สค. ตามด้วย 6 สค. วันเกิด บิ๊กสู พลเอกสุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีและผบ.ทบ. ครบ83 ปี ที่ระยะหลังได้งดประเพณีเปิดบ้านซอยระนอง๒ เพื่อให้ทหารอวยพรแล้ว เพราะเรื่องสุขภาพ และไม่อยากรบกวนใครมาอวยพร

8 สค. วันเกิด ไม่บิ๊ก แต่ก็เป็นคนดัง ในแวดวงสื่อทหาร เสธ.ต๊อด พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกคสช.-ทบ.และเสธ.แต้ม พันเอกบรรพต พูลเพียร โฆษกกอ.รมน.

แต่ที่ฮือฮา คือ วันเกิด บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร รมว.กห.11สค.ครบ70ปี ปีนี้ มีเปิดบ้านร.1รอ.ตั้งแต่เช้าตรู่ 10สค. คาดผบ.เหล่าทัพ บูรพาพยัคฆ์ ทหารเสือฯ ตบเท้าพรึ่บ แน่
ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงการจัดทำโผโยกย้ายทหาร ด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีการตบเท้ากันคึกคัก อีกทั้งอำนาจ บารมีของพลเอกประวิตร ถือว่าเบ่งบานสุดๆแล้วในยุครัฐบาลทหาร รัฐบาลคสช. เช่นนี้ แถมทั้ง บิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ยังให้เกียรติ ให้ความเคารพ ประหนึ่งเป็น นายกฯเงา หรือนายกฯคนที่๒ เพราะพลเอก ประวิตร นั้นอาวุโส สูงสุดในรัฐบาลและในคสช.จนถูกเรียกว่าเป็น ป๋า ของในสายบูรพาพยัคฆ์ ไปแล้ว
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่เพิ่งฟาดเคราะห์ ประสบอุบัติเหตุหกล้ม จนต้องใส่เฝือก ลางานไปกว่า 2สัปดาห์

นอกจากนี้ 15สค.นี้ ยังจะเป็นวันเกิดครบ60ปี ของ บิ๊กโด่ง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.,รมช.กลาโหมและเลขาธิการ คสช. ที่กำลังจะเกษียณ แต่ ล่าสุด พลเอกอุดมเดช สั่งงดอวยพร อีกทั้งตรงกับวันเสาร์ ด้วย แต่ตามธรรมเนียมไทยๆ คาดว่า ศุกร์14สค.คงมีทหารมาแอบอวยพร เงียบๆ หน้าห้อง เลยมีแต่สมุดอวยพร แค่นั้น

แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ 26สค. วันเกิด ครบ95ปี ของป๋าเปรม พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่คาดว่า พลเอกประยุทธ์ จะนำครม.และคสช. ผบ.เหล่าทัพ ตบเท้าเข้าอวยพรตามธรรมเนียม อีกครา เพื่อแสดงความเคารพ และเพื่อสยบข่าวลือ ที่ว่า ขั้วอำนาจ 3 ป. มองข้ามความสำคัญของ ป.เปรม จนเป็นที่มาของข่าวลือปฏิวัติซ้อน มาแล้วนั่นเอง

นอกจากนึ้ 15สค.ยังเป็นวันเกิด บิ๊กอ๋อย พลเอกจิระเดช โมกขะสมิต อดีตประธานที่ปรึกษาทบ. 
ส่วน 17 สค. เป็น วันเกิด บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ อดีตผบ.ทร. ที่วันนี้เป็น สนช. 
20สค.วันเกิด บิ๊กหมง พลเอกมงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีตผบ.สส. ลูกป๋าคนโต ส่วน 23 สค.วันเกิด บิ๊กเหวียง พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร อดีตรมว.กลาโหมและผบ.ทบ. และ 28 สค.วันเกิด บิ๊แอ้ด พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกฯและผบ.ทบ. ลูกป๋าคนสำคัญ
(ภาพ จากGoogle)

นักวิชาการ ชี้ เศรษฐกิจแย่สุดรอบ 43 เดือน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดต่อเนื่องเดือนที่ 7


วันที่ 07 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09:31:38 น.



นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ว่าอยู่ที่ระดับ 73.4 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และต่ำสุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยแย่สุดในรอบ 43 เดือนนับตั้งแต่เดือน ม.ค.55

รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตรทรงตัวในระดับต่ำทำให้รายได้เกษตรกรลดลง, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, การส่งออกครึ่งปีแรกติดลบ 4.84% และเศรษฐกิจโลกยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีความเหมาะสมในการลงทุนทำธุรกิจของเอสเอ็มอีต่ำสุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยมากนัก ผู้จำหน่ายสินค้าต้องจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม เช่น การลดราคาสินค้า 70-80% เพื่อจูงใจผู้บริโภค

นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อรถยนต์คันใหม่ อยู่ในระดับ 87.8 ต่ำสุดในรอบ 61 เดือน นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 53 เป็นต้นมา, ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อบ้านหลังใหม่อยู่ในระดับ 61.7 ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน

ด้านนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารครึ่งแรกปี 2558 มีรายได้ลดลงประมาณ 30-40% เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคคนไทยโดยเฉลี่ยลดลงจาก 300 บาท/มื้อ เหลือประมาณ 150-200 บาท/มื้อ

ขณะที่จำนวนครั้งในการรับประทานอาหารนอกบ้านเหลือราว 2 ครั้ง/สัปดาห์ จากที่เคยมากถึง 4 ครั้ง/สัปดาห์ เพราะคนลดการสังสรรค์ช่วงเย็นหลังเลิกงานลงไป ส่วนการรับประทานอาหารกับครอบครัวช่วงสุดสัปดาห์ ลดลงเหลือราว 2 ครั้ง/เดือน

ขณะเดียวกัน ร้านอาหารก็ต้องมุ่งกลยุทธ์เพิ่มรายได้ต่อหัว ด้วยการให้โปรโมชั่นพิเศษจูงใจให้คนจ่ายเพิ่มเพื่อมูลค่าที่แตกต่าง เช่น จัดเซ็ตอาหารชุดพิเศษแทนที่จะขายเป็นอาหารจานเดียว เพื่อหาทางแข่งขันกับร้านอาหารที่จับกลุ่มตลาดล่างที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา : มติชน

นายกฯ ยินดี มี เอกอัครราชทูตสหรัฐคนใหม่ อยากให้มาเร็วๆ ขอให้มาพบผมก่อน



นายกฯ ยินดี มี เอกอัครราชทูตสหรัฐคนใหม่ อยากให้มาเร็วๆ ขอให้มาพบผมก่อน พร้อมคุย ยันไม่ใช่ศัตรู สหรัฐฯ การเมืองคือการเมิอง ปชต.คือปชต. แต่คนต้องกิน

พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯและหน.คสช.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีวุฒิสภาสหรัฐอเมริกามีมติแต่งตั้งนายGlyn Davies เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยคนใหม่เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่า ตนยินดี ก็มีความยินดี เมื่อสักครู่ตนได้ฝากกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯไปบอกแล้ว ทางทูตก็บอกเองว่าอยากจะมา ตนก็ตั้งใจรอทูตมาประจำการที่ไทยเช่นกัน อยากให้รีบมาเร็วๆ ให้มาพบตนก่อน ตนพร้อมที่จะคุยกับเขา จะได้ทำความเข้าใจกันก่อน ถ้าไปฟังที่อื่นมาแล้วไม่ฟังตนเลย มันก็จะไม่เข้าใจกันตั้งแต่ต้น เขาก็ยิ้มและหัวเราะกัน และรับปากตนว่าจะนำไปบอก

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นสัญญาณทางบวกของประเทศไทยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ใช่ เป็นสัญญาณบวกอยู่แล้ว เราไม่ใช่ศัตรู การเมืองก็คือการเมือง ประชาธิปไตยก็คือประชาธิปไตย แต่คนมันต้องกินต้องอยู่ ธุรกิจจะต้องเดินหน้า ธุรกิจมากมายกี่แสนล้านที่ต้องลงทุนกันอยู่ เขาก็ทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว

ถามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯจะดีขึ้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ผมไม่ได้เสียอะไรกับเขา เสียตรงไหนละ ผมไม่ได้ไปทำลายความสัมพันธ์กับเขา แต่ผมเห็นใจเขา เพราะเขาเป็นประเทศที่เป็นแกนนำด้านประชาธิปไตยแบบตะวันตก เขาก็ต้องพูดแบบนั้นนั่นแหละ ผมจะไปว่าอะไรเขาได้เล่า เพราะผมมาอย่างนี้ ผมต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเมื่อผมมาอยู่ตรง ผมทำและสร้างสรรค์อะไรบ้าง หรือทำลายอะไรไปบ้าง ผมไม่ได้ทำลายอะไรไปซักอย่างหนึ่ง ในความรู้สึกของผมเองนะ เพราะผมไม่ได้คิดอย่างนั้น มีแต่การบังคับใช้กฎหมายให้มันทำได้ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้ไปทำลายใคร เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นไปตามตัวบทกฎหมายทั้งสิ้น ก็เริ่มเข้าใจกันขึ้นเรื่อย ๆ 17 ประเทศที่มาเข้าพบเมื่อเช้านี้ก็เข้าใจ ก็ดูไทยเป็นตัวอย่างว่าจะปฏิรูปประเทศไปอย่างไร พัฒนาประเทศอย่างไรให้ไปสู่การมีรายได้ที่มากขึ้น เมื่อเช้านี้ก็คุยกันเยอะ เมื่อกี้ก็คุยกับบริษัทที่ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วทั้งสิ้น เขาก็มาถามเพื่อให้เกิดความมั่นใจ ว่าถ้าเขาลงทุนต่อไป มันจะเป็นอย่างไร ตนก็ยืนยันว่าเราพร้อมที่จะดูแล และส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ด้วยซ้ำไป ผลประโยชน์ไม่ได้กลับมาที่รัฐบาลผม แต่ไปที่รัฐบาลหน้า เราจะได้เลิกทะเลาะกันเสียที มีรายได้เข้าประเทศ ไม่ต้องไปรอการส่งออกที่ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่แบบนี้ การเกษตรที่มันแย่ ๆ อยู่อย่างนี้ ก็ต้องมาแปรรูปกัน มาเพิ่มมูลค่า”

นายกฯ บิ๊กตู่ โชว์กำไลข้อมือ "น้ำตาพระศิวะ"

นายกฯ บิ๊กตู่ โชว์กำไลข้อมือ "น้ำตาพระศิวะ" บอกเพิ่งได้มาเมื่อวาน ก็ใส่เลย เป็นกำลังใจให้ตนเอง ใส่แล้วปลอดภัย แคล้วคลาด เป็น เครื่องรางฮินดู และยอดนิยม อินเดีย เชื่อทำอะไรก็ได้บุญเป็นร้อยเท่า

พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ได้ตอบคำถามสื่อ เรื่องสร้อยข้อมือที่นายกฯใส่ไว้ที่ข้างขวา ซึ่งมีลักษณะเป็นลูกประคำสีน้ำตาลเข้มที่เรียกกันว่า “น้ำตาพระศิวะ” ว่าใส่สร้อยข้อมืออะไร โดยนายกฯ กล่าวว่า “ไม่รู้ อะไรละ โธ่! เอาไปดูไป”
จากนั้น นายกฯได้เดินกลับไปหากลุ่มผู้สื่อข่าว พร้อมกับถอดสร้อยข้อมือให้ผู้สื่อข่าวดู
ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า พระวัดไหนเป็นคนให้ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เจ้าพระคุณท่าน ที่ไปทำบุญที่ประเทศอินเดียให้มา สื่อไม่รู้เรื่องทางพระกันเลยหรือไง แล้วไม่ต้องไปเขียนนะว่าฉันใส่แหวน ใส่อะไร ทำไมล่ะ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯชอบของขลังใช่ไหมคะ นายกฯ ตอบว่า “มันอยู่ที่ความดี อันนี้ใส่เป็นกำลังใจให้ตัวเอง ซึ่งผมมีทุกวันอยู่แล้ว” ท่านบอกว่าฝากมาให้นายกฯใส่ โดยเป็นการใส่ซองส่งไปรณีย์มาให้ เพิ่งได้เมื่อวาน (วันที่ 6 ส.ค.) ผมก็ใส่หน่อย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ใส่แล้วจะทำให้อยู่ยาวใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่รู้ ใส่แล้วปลอดภัย แคล้วคลาด
เมื่อถามต่อว่า ใส่แล้วอยู่ต่ออีก 3 ปีหรือเปล่า นายกฯ พูดแค่ว่า “โธ่”
ผู้สื่อข่าวยังได้ถามนายกฯว่าใส่แล้วใจเย็นลงไหม นายกฯไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด จากนั้น เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า
สำหรับ น้ำตาพระศิวะ หรือ รุทรักษะ ตามตำรา ง่า เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับมะกอก มีรูปร่างลักษณะทั้งแบบ กลม แบน รี ยิ่งหน้าเยอะเท่าไรก็จะยิ่งคล้ายกับผลฟักทอง เป็นเมล็ดพืชมงคลตามความเชื่อของชาวฮินดู ซึ่งต้นรุทรักษะนี้จะขึ้นที่เทือกเขาหิมาลัยหรือเขาไกลาสประเทศเนปาล ศรีนคร แคชเมียร์ และบางส่วนทางอินเดียตอนใต้ ศรีลังกาและเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย
บุคคลที่มีเชื่อเสียงในอินเดีย ทั้งนักการเมือง ดาราBollywood รวมไปถึงนักแสดงHollywood หลายๆคน ก็มีเมล็ดรุทรักษะไว้ในครอบครอง เชื่อกันว่าผู้ที่นำน้ำตาพระศิวะมาร้อยเป็นมาลัยทั้ง 54+1 หรือ 108+1 จะมีความยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง มีเกียรติยศ ชื่อเสียง ตามคัมภีร์ศิวะปุราณ ได้กล่าวถึงต้นกำเนิดเมล็ด รุทรักษะ ไว้ว่า
ในพระปุราณได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาพระศิวะจะทำให้ผู้สวมใส่ ได้รับบุญกุศลมากกว่าเดิม เป็น10เท่า เป็น100เท่า
(ภาพ ไทยรัฐทีวี)

ขายทิ้ง “ออฟฟิศ” ทั่วโลก การบินไทยหืดจับ!หั่นค่าใช้จ่ายสุดชีวิต

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 ส.ค. 2558 06:01

“จรัมพร” เล็งขายทิ้ง “บ้าน-ออฟฟิศ-สนง.” 30 แห่ง ในไทยและทั่วโลก ชงเข้าบอร์ดไฟเขียว ก.ย. หลังแผนลดค่าใช้จ่าย 6 เดือนพลาดเป้า เร่งยกเครื่องนำระบบบริหารจัดการราคาตั๋วและตารางบินใหม่มาใช้ ต.ค.นี้
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการ ใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูระยะเร่งด่วน 18 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2558 เพื่อแก้ไขปัญหาขาดทุนของบริษัทว่า การบินไทยกำหนดเป้าหมายจะต้องลดค่าใช้จ่ายให้ได้ 20% ภายใน 18 เดือน แต่ดำเนินมาแล้ว 6 เดือน ลดค่าใช้จ่ายได้เพียง 6% ถือว่าต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ส่วนการหารายได้เพิ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบรายได้ช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 มีรายได้ 49,981 ล้านบาท แต่ปีนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 51,649 ล้านบาท ถือว่ารายได้เพิ่มขึ้น 1,668 ล้านบาท ดังนั้น มั่นใจว่าภายใน 18 เดือน แผนการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน มั่นใจว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2559 การบินไทยจะต้องเริ่มต้นมีกำไรอย่างต่อเนื่องทุกๆ เดือน
“ผ่านมา 6 เดือน ลดค่าใช้จ่ายได้แค่ 6%เท่านั้น ผมยังไม่พอใจ อยากให้ลงได้เร็วกว่านี้ ส่วนแผนเพิ่มรายได้ก็พอใจเพียง 50% เท่านั้น เรายังต้องทำงานให้เข้มข้นมากขึ้น แม้ว่ารายได้ไตรมาสแรกของปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว ส่วนรายได้ในช่วง 6 เดือนนั้นยังเปิดเผยไม่ได้ แต่อัตราการบรรทุกผู้โดยสารเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาเพิ่มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนมากถึง 8% เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจากเอเชียเพิ่มขึ้นมาก”
นอกจากนี้ นายจรัมพร กล่าวถึงแผนการลดค่าใช้จ่ายว่า การบินไทยมีเส้นทางบินที่ประสบภาวะการขาดทุนตลอดเวลา 5-10 ปี รวมทั้งสิ้น 50 เส้นทาง โดยจะทยอยปิดและปรับลด 10 เส้นทาง ส่วนอีก 10 เส้นทางอยู่ระหว่างการพิจารณาอาจเป็นแผนในปีถัดไป ส่วนปิดไปแล้วได้แก่ กรุงเทพฯ-โจฮัน-เนสเบิร์ก, กรุงเทพฯ-มอสโก และเตรียมจะปิดกรุงเทพฯ-โรมและกรุงเทพฯ-โซล-ลอสแอนเจลิส ในเดือน ต.ค. นี้ ในขณะเดียวกันได้เร่งพิจารณาการปรับเปลี่ยนขนาดของเครื่องบินให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และปลดระวางเครื่องบิน
ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างการบริหารงานนั้น นายจรัมพร กล่าวว่า จะมีการยุบรวมฝ่ายบริหารระดับสูงที่ไม่จำเป็น เพื่อให้โครงสร้างองค์กรได้ตามมาตรฐานสากลและจะพิจารณาเทียบเคียงกับสายการบินคู่แข่งด้วย เชื่อว่าจะไม่ถูกต่อต้านจากพนักงาน เนื่องจากปัจจุบันหลายหน่วยงานมีตำแหน่งลอยๆ แต่ไม่มีคนทำงานจริง คาดว่าตั้งแต่เดือน ส.ค.จะเริ่มปรับโครงสร้าง 3-4 หน่วยงาน จะเริ่มจากฝ่ายการเงิน ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล และฝ่ายธุรการ
นายจรัมพร กล่าวว่า ในส่วนของแผนการเพิ่มรายได้นั้น ช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ การบินไทยจะนำระบบการบริหารจัดการกำหนดราคาตั๋วโดยสารและระบบบริหารจัดการตารางบินแบบใหม่มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน ซึ่งจะทำให้การกำหนดราคาตั๋วโดยสารจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
“ขณะนี้บริษัททำแผนบริหารจัดการสินทรัพย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นอาจจำเป็นต้องขายทิ้ง สำนักงาน บ้านพักพนักงาน และสำนักงานขายที่ไม่ได้ใช้งานประมาณ 30 แห่ง แบ่งเป็นในต่างประเทศ 19 แห่ง และในไทยอีก 11แห่ง ผมยืนยันว่าเราไม่ได้ขายทรัพย์สินเพื่อให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ต้องการลดต้นทุนค่าบริหารจัดการทรัพย์สินมากกว่า เบื้องต้นจะขายก่อน 3-4 แห่ง เช่น สำนักงานที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย และบ้านพนักงานในกรุงลอนดอน แต่จะขายหรือไม่ รอผลการพิจารณาของบอร์ดในเดือน ก.ย.ว่าจะเห็นเป็นอย่างไร เพราะการขายทรัพย์สินถือเป็นเรื่องที่อ่อนไหว และอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรได้”.