PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สถานการณ์ข่าว26พ.ย.57

Jab26Nov14
คดี ตำรวจ
โฆษก สตช. เผย เดินหน้าตรวจสอบทรัพย์สิน อดีต ผบช.ก. และพวก อีก 2-3 จุด เจอเซฟอีกหลายใบ ปัด ตร.เอี่ยวไม่เยอะ

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ  ผช.ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ความคืบหน้าในการเดินหน้าตรวจสอบทรัพย์สินในคดีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์

ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และพวก ที่ต้องคดีร้ายแรงหลายคดี ล่าสุด ทางทีมสืบสวนสอบสวนได้บุกตรวจค้นเซฟเฮ้าส์ของ อดีต ผบช.ก. อีก 2-3 จุด เพิ่มเติม ซึ่งพบตู้

เซฟเพิ่มเติมอีกหลายตู้ด้วยกัน บางส่วนสามารถเปิดออกดูได้แล้ว บางส่วนยังไม่สามารถเปิดได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ส่วนกรณีที่อาจมีนายตำรวจระดับสูงอีกไม่ต่ำกว่า 30 นาย เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ด้วยนั้น กรณีนี้ยืนยันว่าตำรวจที่เกี่ยวข้องมีจำนวนไม่ได้มากขนาดนั้น แต่ยอมรับว่ามีจริง ซึ่งอยู่ระกว่างการรวบ

รวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
------------
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิเสธออกหมายเรียกตำรวจ กว่า 40 คน เอี่ยวคดี พงศ์พัฒน์ บอก แค่ข่าวลือ

พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิเสธว่า ยังไม่มีการออกหมายเรียกข้าราชการตำรวจ กว่า 40 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดร่วมกับกลุ่มของ พลตำรวจโท

พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และพวก กระทำความผิดเรียกรับผลประโยชน์ ทั้งบ่อนการพนันและส่วยน้ำมันเถื่อน ระบุเป็นเพียงข่าวลือและไม่ต้องการทำให้ตำรวจ

ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางตื่นตระหนก แต่ยอมรับว่าชุดทำงานอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล และเชื่อว่าน่าจะมีผู้ร่วมกระทำผิดอีกจำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ในขณะนี้ โดยขอเวลารวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังระบุถึง กรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย จะออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการ

เรียกรับผลประโยชน์บ่อนการพนัน ซึ่งมีข้าราชการตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็นสิ่งดีที่ นายชูวิทย์ จะออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แต่มองว่าควรนำพยานหลักฐานมาเปิดเผยด้วย
---------------
ชูวิทย์ ยัน มีหลักฐานสำคัญบ่อนพนันกลางกรุงเอี่ยวคดีพงศ์พัฒน์ สาวถึงนายตำรวจใหญ่อีก จ่อแถลง 11.00 น.

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ในเวลา 11.00 น. วันนี้ เตรียมนำหลักฐานเป็นภาพ

ถ่ายและคลิปวิดีโอเกี่ยวกับข้อมูลบ่อนการพนันที่เกี่ยวข้องกับขบวนการของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและพวก ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้มาแถลงต่อ

สื่อมวลชน โดยระบุว่า ตนมีพยานหลักฐานที่สำคัญและสามารถสาวไปถึงผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่กว่าอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจในการสืบสวนหรือเอาผิดได้ จะ

ดำเนินการหรือไม่

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเคยนำเสนอเรื่องบ่อนการพนันขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการจับกุม หรือเอาผิดไปถึงผู้อยู่เบื้องหลังได้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกครั้งที่มีการออก

มาแฉ แต่ละบ่อนก็จะรู้ตัวและขนของหนีไปหมด

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กชื่อ “ชูวิทย์ I’m NO.5” โดยข้อความตอนหนึ่งระบุว่า หาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็น "ตัวการ" จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มี "ผู้สนับสนุน"

เครือข่ายย่อมไม่ใช่แค่ระดับพันตำรวจเอกและดาบตำรวจสองสามคน ตามโครงสร้างที่ ผบ.ตร. แถลง เท่านั้น และ หาก ผบ.ตร. บอกว่า "ใหญ่แค่ไหนก็จับ" ก็ต้องไปดูรายชื่อตามที่เคยร้องเรียนไว้ใน

เรื่องเกี่ยวกับบ่อนรัชดาที่นำไปแอบอ้าง
-----------
ผบ.ตร. เผย ประชุมเตรียมพร้อมรับมือการ จร. ช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมแก้ปัญหาสายด่วน 191 เป็นที่พึ่งของประชาชน

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะทำงานด้านการจราจรทั่วประเทศ กว่า 120 นาย ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิเมาไม่ขับ,

กรมทางหลวงชนบท, การขนส่งทางบก, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. เพื่อหารือเตรียมความพร้อมรองรับการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อวางมาตรการป้องกัน

อุบัติเหตุทางท้องถนน และยังมีการเตรียมวางกรอบแนวทางในการป้องกันอุบัติเหตุทางท้องถนนอย่างยั่งยืนและเป็นระบบ ไม่ใช่แค่เฉพาะในช่วงเทศกาล โดยเบื้องต้นสั่งการให้รองผู้บัญชาการ

ตำรวจนครบาล ที่ดูแลเรื่องการจราจร รวมถึงรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดใกล้เคียงพื้นที่กรุงเทพฯ ส่งตัวแทนมาบริหาร และสั่งการประจำอยู่ที่ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร หรือ บก.02 เพื่อ

ให้การจราจรเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

นอกจากนี้ ได้สั่งให้เร่งแก้ปัญหาสายด่วนรับแจ้งเหตุ 191 หลังจากมีประชาชนร้องเรียนว่า โทรไม่ติด หรือไม่มีเจ้าหน้าที่คอยรับสาย ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบ

เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน
----------------
ผบ.ตร. เผยออกหมายจับเพิ่มอีก 5 ราย เอี่ยวอดีต ผบช.ก. อ้างชื่อสถาบันรีดส่วย ยันไม่ป้องคนผิด ท้า "ชูวิทย์" เผยชื่อ 2 บิ๊ก ตร. เอี่ยว 

พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าคดีการจับกุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กับพวก ร่วมกันกระทำ

ความผิดเรียกรับผลประโยชน์ทั้งบ่อนการพนันและส่วยน้ำมันเถื่อน ว่า จากการสืบสวนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมได้อีก 5 ราย ประกอบด้วย นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์

อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ นายชากานต์ ภาคภูมิ ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใดไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อ

ชีวิตร่างกาย หรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยว หรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการให้ ให้แก่ผู้

กระทำ หรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์ โดยหลังจากนี้จะทำการสืบสวนต่อไป หากพบว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะออกหมายจับ ซึ่งยังไม่สามารถบอกจำนวนที่แน่ชัดว่ามีผู้ร่วมขบวนการ

อีกกี่ราย

ส่วนกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย แถลงต่อสื่อมวลชนวันนี้ว่า มีนายตำรวจระดับผู้บัญชาการ

(ผบช.) ชื่อย่ออักษร ก. และ จ. เกี่ยวข้องนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นว่า นายชูวิทย์ ควรระบุชื่อให้ชัดว่าเป็นบุคคลใด จะได้ง่ายต่อการสืบสวนจับกุม อีกทั้งตนเพิ่งมารับตำแหน่ง ผบ.ตร.

ข้อมูลที่ นายชูวิทย์ เคยมอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนหน้านี้จึงยังไม่ทราบข้อมูล เพราะไม่ได้ดูงานด้านการป้องกันปราบปราม แต่ยืนยันว่าจะไม่ปกป้องผู้กระทำผิดอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวันนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เตรียมเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบของกลางเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และพวกที่ยึดมาได้ ซึ่งถูกนำมาเก็บไว้ที่กองพันทหารราบที่

2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน.2 รอ.) ถ.แจ้งวัฒนะ โดยเป็นของกลางทั้งเก่าและใหม่บรรจุไว้ภายในกล่องหลายสิบคันรถ
///////////
ถอดถอน

"สุรชัย" ระบุ 8 - 9 ม.ค. แถลงเปิดคดี "นิคม-สมศักดิ์" คาดจบ ม.ค. ส่วน "ยิ่งลักษณ์" รอสรุปวันอย่างเป็นทางการ 

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 และในฐานะรองประธาน วิป สนช. กล่าวถึงการพิจารณาสำนวนถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา

และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภาว่า วันพรุ่งนี้ จะพิจารณา 2 เรื่อง คือ ให้ความเห็นชอบว่าจะอนุญาตให้ นายนิคม เพิ่มเติมพยานหลักฐานตามที่ขอมาหรือไม่ โดย นายนิคม แสดง

ความจำนงจะมาชี้แจงด้วยตัวเอง และจะให้ตัวแทนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่าจะคัดค้านหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับ ที่ประชุม สนช. ว่า จะตัดสินใจอย่างไร จากนั้น จึงพิจารณากำหนดวันแถลง

เปิดสำนวนคดี โดยในเบื้องต้น วิป สนช. กำหนดให้วันที่ 8-9 มกราคม นี้ โดยจะพิจารณาแยกสำนวนของ นายนิคม และ นายสมศักดิ์ คาดว่า ขั้นตอนทั้งหมดจะเสร็จภายในเดือนมกราคม สำหรับวัน

นัดแถลงเปิดสำนวนคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้กำหนดวันดังกล่าว
---------------
////////
สปช./กมธ.

กมธ.ปฏิรูปสื่อสารมวลชน สรุปผลการรับฟังความเห็น ชี้ สื่อควรจะมีเสรีภาพ คุณภาพ และไม่ละเมิดสิทธิของประชาชน

นายบุญเลิศ คชายุทธเดช รองโฆษกกรรมาธิการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการสรุปผลจากการรับฟังความคิดเห็นคณะกรรมาธิการฯ เบื้องต้น ว่า สื่อควร

จะมีเสรีภาพ คุณภาพ และไม่ละเมิดสิทธิของประชาชน เนื่องจากปัจจุบัน สื่อมวลชนมีการกำกับกันเองด้วยความสมัครใจ ทางด้านจริยธรรม ดังนั้น จึงมีข้อเสนอว่า การกำกับควบคุมดูแลสื่อมวลชน

เห็นควรจะอยู่ภายใต้สภาวิชาชีพ รวมสื่อทุกแขนง ส่วนกรณีที่องค์กรอิสระตามกฎหมาย ที่มีการควบคุมสื่อมวลชนและจัดสรรคลื่นความถี่ โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์

และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ต้องปรับปรุงบทบาทหน้าที่ในการทำงานด้านพัฒนาในการส่งเสริมสื่อให้มากยิ่งขึ้น สำหรับการแทรกแซงสื่อควรมีกฎหมายในการแทรกแซงสื่อ โดย

มีองค์กรที่กำกับโดยประชาชน ควรเข้ามาร่วมป้องกัน จากภาครัฐ เพื่อไม่ให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาแทรกแซงได้

นอกจากนี้ ต้องเร่งส่งเสริมให้ประชาชนรู้เท่าทันสื่อเนื่องจากปัจจุบันสื่อเดิม และสื่อใหม่มีความเปลี่ยนแปลงไปมาก
--------------
"เตือนใจ"  ระบุ กมธ.สื่อ นัดสรุป เนื้อหาปฏิรูปอีกครั้ง 30 พ.ย.นี้ ก่อนเสนอต่อ สภา

นางเตือนใจ สินธุวณิก โฆษกกรรมาธิการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบุว่า ในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ จะมีการหารือเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง เพื่อกำหนดสิทธิ เสรีภาพของสื่อมวลชน

และองค์กรที่กำกับดูแลสื่อมวลชน ทั้งจากภาครัฐและการกำกับกันเอง ตลอดจนการป้องกันการแทรกแซง การเท่าทันสื่อของประชาชน และการปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้มีความสอดคล้องกับ
สื่อมวลชนในทุกมิติ พร้อมกันนี้ยังยืนยันว่า หลังจากนี้ทางคณะกรรมาธิการ สื่อสารมวลชนฯ จะรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการสื่อสารมวลชน บุคลากรจากสื่อมวลชน และประชาชนอย่างกว้าง

ขวางอีกด้วย
---------
"อลงกรณ์" แถลงลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ปัดขัดแย้ง ขอลุยงานสภาปฏิรูปแห่งชาติ อุบหวนการเมือง

นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยยืนยันว่า การลาออกครั้งนี้ไม่มีนัยทางการเมือง

แต่เพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์ในการเป็น สปช. ที่ดี ที่ต้องเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด พร้อมย้ำว่า ไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งกับคนในพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ที่ต้องลาออกก็เพื่อต้อง

การทำหน้าที่ สปช. ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศอย่างเต็มที่ ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้ ไม่ได้ปรึกษาผู้ใหญ่ในพรรค เป็นการตัดสินใจด้วยตนเอง ส่วนจะกลับมาเล่นการเมืองอีกหรือไม่นั้น

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต

ทั้งนี้ เตรียมยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้
-----------
กมธ.ยกร่าง รธน. มั่นใจ สรุปเนื้อหาเริ่มเขียนรายมาตรา 5 ม.ค.แน่นอน ไม่ขอพูดประชามติ เพราะยังไม่ถึงเวลา 

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า กรอบการทำงานของ กมธ. มีความคืบหน้าไป

มากแล้ว โดยคณะอนุกรรมการด้านเนื้อหา ทั้ง 11 ชุด จะสรุปให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 1 ธันวาคม โดยยึดตามแนวทางที่ถูกกำหนดไว้ในมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว รวมถึงการรับฟัง
ข้อเสนอจาก สปช. ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ ก่อนที่จะสรุปเนื้อหาขั้นสุดท้าย และมั่นใจว่าจะเขียนเนื้อหารายมาตรา ได้ในวันที่ 5 มกราคม 58 เป็นต้นไป ส่วนเรื่องกระแสต่อต้านรัฐบาลนั้น ไม่กระทบ

การทำงานแต่อย่างใด ส่วนเรื่องประชามติ ไม่ขอพูดในเวลานี้ เพราะยังไม่ถึงเวลา

ทั้งนี้ ในวันนี้ กมธ.ยกร่าง รธน. จะมีการประชุมเต็มคณะ เพื่อรับฟังข้อเสนอของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และยืนยัน ว่า ความเห็นของทุกพรรคการเมือง จะถูกหยิบยกเข้า

มาพิจารณา ในการสรุปเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างแน่นอน

//////////
รัฐบาลกลุ่มต้าน

ทหารรวบแล้ว หนุ่มใหญ่ โปรยใบปลิว ต้าน คสช. อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตร.จ่อขอหมายจับ 2 ข้อหา เช้านี้

พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.สำราญราษฎร์ เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารอาศัยอำนาจ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก เข้าจับกุมหนุ่มใหญ่ ที่ก่อเหตุโปรยใบปลิวต้าน คณะรักษาความมั่นคงแห่ง

ชาติ หรือ คสช. ได้ที่บ้านพัก หลังจากเจ้าหน้าที่ มีหลักฐานว่าชายคนดังกล่าว เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ที่ไปจอดอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะโปรย

ใบปลิว แล้วหลบหนีไป

ซึ่งภายหลังการจับกุมแล้ว ทหารได้คุมตัวหนุ่มใหญ่คนดังกล่าว มาสอบสวนที่ สน.สำราญราษฎร์ และในช่วงสายวันนี้ พนักงานสอบสวน เตรียมยื่นคำร้องต่อศาลขอหมายจับในความผิดตาม พ.ร.บ.

ความมั่นคง รวม 2 ข้อหา
---------
รองฯ ยงยุทธ ยัน นายกฯ ไม่กังวลคนเห็นต่าง รบ. พร้อมฟังความเห็นทุกฝ่าย ขออย่าปลุกปั่นสร้างแตกแยก 

นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า ขอยืนยันรัฐบาลพร้อมที่จะรับฟังความเห็นต่างของทุกกลุ่ม ทุกภาคส่วน และเพื่อนำไปปฏิบัติ หากเป็นข้อเสนอที่ดีต่อการ

ปฏิรูปประเทศ แต่ต้องไม่ใช่ความเห็นที่เป็นการปลุกปั่น ทำให้เกิดความแตกแยก เพราะถือว่าขัดกฎอัยการศึก และนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ยงยุทธ ยังกล่าวด้วยว่า เรื่องสำคัญที่ นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงมากคือ เรื่องของการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ซึ่งได้มีการกำชับให้เร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่สุด รวมถึงแก้

ปัญหาด้านอื่น ๆ เช่น การแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้กับประชาชนด้วย
----------
รองฯ ยงยุทธ ชี้ ปฏิรูปประเทศไม่สามารถทำได้โดยใช้แค่กระบวนการภาครัฐ ต้องอาศัยการมีของทุกภาคส่วน


ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถา เรื่อง “หน่วยงานรัฐ ตาม พ.ร.บ.เฉพาะ : นวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” ในการประชุมวิชาการประจำปี 15 หน่วยงาน โดย ศ.ดร.ยง

ยุทธ กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศไม่สามารถทำได้โดยใช้แค่กระบวนการภาครัฐเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ องค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะ มีโครงสร้างองค์กร

และกลไกสะท้อนแนวความคิดการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ที่มุ่งให้บริการประชาชนและผลลัพธ์เป็นหลัก รวมถึงการมีระบบธรรมาธิบาลลักษณะพิเศษ คือ ทำงานคล่องตัว เชื่อมโยงการทำ

งานกับหน่วยงานอื่นในแนวราบมากกว่าแนวตั้ง และองค์กรมีพลวัตสูง ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนาการศึกษาแนวใหม่

นอกจากนี้ ต้องมีอิสระในการทำงาน สามารถตอบสนองการปฏิรูปด้านการกระจายอำนาจ การมีกฎหมายเฉพาะจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการปฏิรูปประเทศ
--------------
"ยงยุทธ" ชี้ นำบทเรียนจากองค์กรจัดตั้งขึ้นตาม กม.เฉพาะ เป็นข้อมูลนำไปสู่การร่วมปฏิรูปประเทศ

นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันมีองค์กรที่หลากหลายที่จัดตั้งภายใต้กฎหมายเฉพาะ ทั้งที่อยู่ในด้านการศึกษา การวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สุขภาพ และอื่น ๆ ซึ่ง

หลายองค์กรสามารถพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมในด้านความคุ้มค่าของผลงาน เมื่อเทียบกับทรัพยากรที่ใช้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบทเรียนที่ได้จากการทำงานขององค์กรเหล่านี้ จะ

ถูกนำมาประมวลและสังเคราะห์ ทั้งด้านการประเมินประสิทธิภาพและประเมินผลการตอบสนองต่อระบบประเมินภายนอก การปรับปรุงระบบงบประมาณ

ทั้งนี้ สิ่งที่ได้จะนำไปสู่กลไกใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ในการประชุม 15 หน่วยงาน จะได้ผลสรุปแล้วนำเรื่องเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
-----------
นายกฯ พร้อมคณะ เดินทางเยือน สปป.ลาว มีกำหนดการหารือ "ทองสิง" ลงนามข้อตกลง 3 ฉบับ ก่อนบินต่อเวียดนาม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีบางส่วนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางมาที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน

6 ดอนเมือง เพื่อเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) อย่างเป็นทางการ ในระหว่างวันที่ 26-27 พ.ย. นี้

โดยถือเป็นการเยือนประเทศอาเซียนอย่างเป็นทางการในลำดับที่สาม ภายหลังจากการเยือนประเทศเมียนมาร์และประเทศกัมพูชาก่อนหน้านี้

ซึ่งการเดินทางไปเยือน สปป.ลาว ครั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงผลักดัน

ความร่วมมือที่สำคัญและคั่งค้างให้มีความคืบหน้า โดยจะมีการหารือข้อราชการกับ นายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรีของลาว พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง 3 ฉบับด้วย

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนประเทศลาวในวันพรุ่งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางต่อเนื่องไปเยือนประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. นี้


-----------
นายกฯ ปัดเผด็จการ ยันไม่ได้ยึดอำนาจ-ผลประโยชน์ชาติเป็นของตนเอง แนะมองที่เจตนา บอกชาวสวนอย่าด่วนสรุป พ.ร.บ.ยาง ยังแก้ได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ชาวสวนยางให้รัฐบาลนำพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย ออกจากการพิจารณา

ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า ขณะนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้และสามารถปรับแก้ได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนของกรรมาธิการ อย่าตีความว่า สิ่งที่เข้าสู่ สนช. จะเป็นผลทางกฎหมายทันที ส่วนการ

บริหารงานของรัฐบาลนั้น จะอยู่ภายใต้กรอบประชาธิปไตย โดยยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยที่มีกติกา ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลเดิมมีประชาธิปไตยเต็มใบ และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่ แต่กลับมีปัญหา ซึ่ง

ตนไม่อยากให้เกิดปัญหานี้อีก

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังระบุถึงคำว่า เผด็จการ โดยหมายถึงการยึดอำนาจ ว่าที่ผ่านมา ตนไม่ได้ยึดอำนาจ หรือยึดผลประโยชน์ของประเทศมาเป็นของตัวเอง ในวันนี้ตนเข้ามาบริหารงานเพื่อ

ประโยชน์ของประเทศ ขอให้มองถึงเจตนาในการทำงาน ซึ่งรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารงาน จะต้องไม่ทุจริต บริหารด้วยความโปร่งใสเป็นธรรมภิบาล
----------

พล.อ.ประวิตร หวังทุกคนเข้าร่วมแสดงความเห็น ขออย่าแสดงออกสร้างขัดแย้ง ขัดอัยการศึก  

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเปิดเวทีให้นักศึกษา นักวิชาการ และประชาชน ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า หวังให้ทุกคนมาเข้าร่วม

เพราะถือว่าเปิดโอกาสแล้ว แต่หากไม่มา ก็ไม่สามารถบังคับได้ เพราะถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ทั้งนี้ อยากให้เป็นการแสดงความเห็นในรายละเอียดของการปฏิรูปประเทศเป็นหลักไม่ใช่แสดงออกใน

ทางขัดแย้ง ซึ่งรวมไปถึงการขอให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ที่ไม่ควรพูดอีก เพราะนายกรัฐมนตรี แสดงความชัดเจนมาหลายรอบแล้ว ส่วนการจับกุมนักธุรกิจ ที่โปรยใบปลิวต่อต้านคณะรักษาความสงบ
แห่งชาติ หรือ คสช. ที่ถนนราชดำเนิน นั้น ตนเองได้รับรายงานแล้ว ซึ่งก็ตรงกับที่ตนเองเคยให้ความเห็นไว้ว่า มีผู้อยู่
เบื้องหลัง และขณะนี้กำลังรอผลการสอบสวนอีกครั้ง
----------------
พล.อ.ประวิตร ยัน เดินหน้าพูดคุยสันติสุข ไม่ต้องรอ รบ.จากการเลือกตั้ง มาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ไม่มีสิทธิกำกับกิจการภายในของไทย

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวานนี้ว่าทุกหน่วยงาน

ที่ได้รับงบประมาณแก้ปัญหาส่วนนี้จะต้องประสานข้อมูลกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อให้โครงการที่จะดำเนินการออกมาตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่ หากโครงการไหนไม่
สอดคล้อง ก็ให้ปรับปรุงให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ย้ำว่า รัฐบาลยืนยันที่จะเดินหน้าพูดคุยเพื่อสันติสุข โดยยังมีมาเลเซีย เป็นผู้อำนวยความสะดวก ไม่ใช่ต้องรอรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วค่อยเริ่มเดินหน้า ตามที่มี

กระแสข่าว

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ยังบอกว่า มาเลเซีย เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกให้ จึงไม่มีสิทธิมากำกับกิจการภายในประเทศไทยได้
-------------
เครือข่ายปฏิรูปพลังงาน ยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบตัดสินคดีของตุลาการศาลปกครอง กรณีการคืนท่อส่งก๊าซขัดหลักนิติธรรมหรือไม่

วันนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี พร้อมตัวแทนกลุ่มเครือข่ายปฏิรูปพลังงาน เดินทางมายื่นหนังสือต่อ นายสุทธิ

บุญมี ผู้อำนวยการสำนักการข่าวและกิจการพิเศษ ถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีกระบวนการพิจารณาพิพากษาตัดสินคดีของตุลาการศาลปกครอง กรณีการณีคืนท่อส่งก๊าซขัดหลักนิติธรรมหรือไม่

รวมทั้งทวงถามถึงเอกสารเพิ่มเติม เรื่องการขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ที่เคยร้องเรียนเมื่อปี 2552

โดย พท.พญ.กลมพรรณ กล่าวว่า การยื่นหนังสือในครั้งนี้ เพราะต้องการให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด และตุลาการศาลปกครอง ว่า กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ปฏิบัติ

หรือละเว้นการปฏิบัติเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบแก่ตนเองและผู้อื่นหรือไม่ จากกรณีการพิจารณาคำร้อง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่แจ้ง เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2551 ว่า ได้ทำการแยก

สินทรัพย์ อำนาจ และสิทธิให้แก่กระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษา ทำให้ตุลาการได้บันทึกว่า บริษัทได้ดำเนินการตามคำพิพากษาแล้ว ในวันที่ 26 ธ.ค. 2551 โดยมิได้นำเอกสารความเห็นของ

สำนักงานตรวจเงินแผ่น (สตง.) ที่ส่งถึง บริษัท ปตท. ว่าทรัพย์ที่โอนย้ายให้กระทรวงการคลัง ยังไม่ครบถ้วน มาประกอบการวินิจฉัยด้วย

ขณะที่ นายสุทธิ กล่าวว่า หลังจากนี้จะส่งเรื่องทั้งหมดไปยังหน่วยที่รับผิดชอบ ซึ่งในส่วนการขอเอกสารการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มเพิ่มเติมนั้น สำนักที่รับผิดชอบจะพยายามรวบรวมส่งไปให้ ส่วนเรื่อง

ร้องเรียนใหม่นั้น สำนักที่รับผิดชอบจะว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.หรือไม่ หากอยู่ในความอำนาจจะส่งให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาต่อไป
///////////
คสช.

พล.อ.อนุพงษ์ เตรียมหารือนายกฯ ปมใช้อำนาจ ม.44 ตั้งรักษาการแทน ผู้บริหารท้องถิ่น แทนการ ลต.

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสามารถจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นได้เมื่อใดภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งขาติ (คสช.) อาจประกาศใช้อำนาจใน ม.44 รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ให้ผู้บริหารท้องถิ่นที่จะหมดวาระในปี 2558 รักษาการในตำแหน่ง

เดิมแทนการจัดการเลือกตั้งใหม่ ว่า

หลังจากที่ได้มีการปรึกษาหารือร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเกรงว่าการคัดสรรบุคคลในพื้นที่อาจไม่เพียงพอ เพราะมีการตั้งเกณฑ์บุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ไว้สูง จึงอยากให้มีการศึกษาแนวทางเพิ่ม

เติม โดยอาจจะให้ผู้บริหารท้องถิ่นคนเดิมรักษาการต่อไป หรืออาจพิจารณาความเหมาะสมว่าจะเปิดให้มีการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม หากมีการจัดการเลือกตั้งแล้วเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายอาจให้ผู้บริหารท้องถิ่นที่อยู่ครบวาระแล้วรักษาการไปก่อน

ส่วนกรณีการแบ่งงานให้รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นตรวจเยี่ยมประชาชนในแต่ละจังหวัดนั้น เป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นการติดตามนโยบายส่วนหนึ่ง รวมทั้งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุรรรณ รองนายกรัฐมนตรี

และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กล่าวว่า การลงตรวจพื้นที่จะอาศัยข้อมูลจากศูนย์ดำรงธรรมนั้นได้มีการประสานงานมายังกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้มีงานด้านความมั่นคงซึ่งมีความเชื่อม

โยงกับกระทรวงมหาดไทยด้วยเช่นกัน
---------
สภากลาโหมเห็นชอบแต่งตั้ง "พล.อ.ศิริชัย - พล.อ.อ.พลเทพ - พล.ร.อ.สุพจน์" กรรมการสภาทหารผ่านศึก 3 ตำแหน่ง

พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 9/2557 เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการสภาทหารผ่านศึกประเภททหารผ่านศึกนอกประจำการ แทนกรรมการฯ

ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบกำหนดเกษียณอายุใน 1 ต.ค. 56 จำนวน 3 ท่าน คือ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปล.กห. พล.อ.อ.พลเทพ โหมดสุวรรณ รอง ผบ.ทสส.พล.ร.อ.สุพจน์ สุดประเสริฐ ร.น. ผทค.

พิเศษ ทร. เป็นกรรมการ

นอกจากนี้ ยังเห็นชอบปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของอาสาสมัครทหารพราน และอนุมัติแนวทางแก้ไขร่างกฎกระทรวง กำหนดระยะเวลาการทำหน้าที่ เงินเดือน และค่าตอบแทนอื่น สิทธิประโยชน์

ระเบียบและวินัยของบุคคลเข้าทำหน้าที่ทหารเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่...) พ.ศ... โดยการปรับค่าเบี้ยเลี้ยงสนามจากเดิม วันละ 120 บาท เป็นวันละ 200 บาทต่อคน และกำหนดเงินช่วยเหลือรายเดือน

หรือบำเหน็จรายเดือน เพิ่มเติมจากบำเหน็จปกติที่มีอยู่เดิม เพื่อเป็นทางเลือกให้กับอาสาสมัครทหารพรานที่รับราชการครบกำหนดตามเกณฑ์ที่กระทรวงกลาโหมกำหนด
/////////////////////////


เสี่ยโจ้

Phriao Phan Lm ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 6 รูป
สายสัมพันธ์ ของใครบางคน กับ เสี่ยโจ้....ที่แลกกับชีวิต ของข้าราชการ...ครู ตำรวจ ทหาร ประชาชน...ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้.....ต้อง "ตาย " รายวัน
คำสารภาพที่น่ากลัวที่สุด.
การออกมาให้คำรับสารภาพของพลต.ต บุญสืบ ไพรเถื่อน ที่ยอมรับว่ารับส่วยจากการค้าน้ำมันเถื่อน และเกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนภาคใต้ ยาเสพติด และการให้เงินสนับสนุนผู้แบ่งแยกดินแดน และการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้
ไม่ให้สงบ โดยแลกกับชีวิตของข้าราชครู ทหาร ตำรวจ และชาวบ้านผู้บริสุทธิ์
หลายราย มีการรีดสินบนกับมาเฟียโดยเอาสถาบันมาแอบอ้าง เงินส่วนแบ่งมหาศาลในแต่ละวันมีการกระจายให้เจ้านาย โดยมีการร่วมมือกันกับพลต.ทพงพัฒน์ ฉายาพันธ์ุ และพลต.ต โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ พร้อมลูกน้องหลายสิบนาย ที่สำคัญเงินอีกจำนวนหนึ่งที่ผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้ส่งส่วยให้กรมสวบสวนกลางมาตลอด...ในที่สุดก็เปิดเผยตัวไอ้โม่งบางส่วนออกมา
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้3ชายแดนภาคใต้ระอุร้อนเป็นไฟ เศรษรกิจพังพินาศยับเยิน สร้างสถานการณ์บีบคั้นให้ประชาชนในพื้นที่เป็นโจร ฆ่าคนไทยด้วยกันเองเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียว . :
เส้นทาง'เสี่ยโจ้''ธุรกิจไม้-น้ำมัน'ก่อนถูกทหารคุมตัว
เส้นทาง'เสี่ยโจ้'คนโตชายแดนใต้ 'ธุรกิจไม้-น้ำมัน'ก่อนถูกทหารคุมตัว
เป็นหนังเรื่องยาวที่เข้มข้นขึ้นทุกขณะสำหรับมาตรการปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่ทำตัวนอกเหนือกฎหมายของ คสช. หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ควบคุมตัว นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ "เสี่ยโจ้" เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) สหทรัพย์ทวีค้าไม้ โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก ที่ จ.ปัตตานี
หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ตั้งอยู่เลขที่ 103/49 ถนนนาเกลือ หมู่ 8 ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี ในเขตอุตสาหกรรมของ อบจ.ปัตตานี ทั้งนี้ เมื่อวันพุธที่ 18 มิถุนายน ทหารนำกำลังเข้าตรวจค้น พร้อมประสานให้ นายสหชัยไปพบที่สำนักงาน ก่อนจะคุมตัวส่งค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
ผลการตรวจค้น พบเอกสารต่างๆ ที่เป็นรายรับรายจ่ายการค้าไม้และน้ำมัน รวมทั้งสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร เงินสกุลบาทไทย เงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินริงกิตมาเลเซียอีกจำนวนหนึ่ง
ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ตรวจพบหลักฐานเป็นตรายางประทับเข้า-ออกด่านชายแดนต่างๆ ของประเทศไทย เบื้องต้นได้ให้หน่วยตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานีตรวจสอบ ปรากฏว่าเป็นของปลอม จึงได้ยึดไว้เป็นหลักฐาน ส่วนเรื่องการครอบครองไม้หวงห้าม รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงลึก
หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เคยถูกคณะทำงานภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าตรวจค้นครั้งหนึ่งแล้วจนกลายเป็นข่าวเกรียวกราวเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2555 ซึ่งสามารถยึดของกลางที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายได้หลายรายการ โดยเฉพาะรถบรรทุกดัดแปลงสำหรับขนน้ำมันได้คราวละ 15,000 ลิตร จำนวน 2 คัน และรถบรรทุกห้องเย็นที่ดัดแปลงสำหรับขนน้ำมันอีก 2 คัน เงินสดสกุลต่างประเทศและเงินบาทไทยประมาณ 23 ล้านบาท แต่คดีไม่คืบหน้ากระทั่งปัจจุบัน
ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2555 นายสหชัยได้เปิดแถลงข่าวที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ชี้แจงว่าการตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ยึดของกลางใดๆ เพราะไม่มีสิ่งใดผิดกฎหมาย พร้อมปฏิเสธว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการค้าไม้เถื่อนและน้ำมันเถื่อนตามที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งไม่เคยให้การสนับสนุนกลุ่มก่อความไม่สงบในการก่อเหตุรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ส่วนธุรกิจทั้งเรื่องไม้และน้ำมัน ล้วนถูกต้องตามกฎหมาย
เรื่องราวค่อยๆ เงียบหายไป กระทั่งต้นเดือนตุลาคม 2556 เกิดกรณีคนร้ายปล้นเรือขนเงินสกุลดอลลาร์สิงคโปร์และริงกิตมาเลเซีย คิดเป็นเงินไทยราว 119 ล้านบาท ในทะเลอ่าวไทย ซึ่งต่อมาตำรวจกองปราบสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย โดยผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเจ้าของเรือที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อตำรวจ คือ บริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อ้างว่าทำธุรกิจรับแลกเปลี่ยนเงินตรา และกำลังนำเงินไปส่งให้ลูกค้าระดับวีไอพีที่เกาะโลซิน จ.ปัตตานี ทั้งๆ ที่เกาะดังกล่าวเป็นเกาะร้างขนาดเล็กกลางทะเล มีเนื้อที่เกาะไม่ถึง 100 ตารางเมตร ห่างฝั่งด้าน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี บริเวณชายหาดวาสุกรี ถึง 72 กิโลเมตร
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเงินสดๆ 119 ล้านบาท เกี่ยวโยงกับธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดนใต้หรือไม่ และยังตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทสหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของเรือ เป็นบริษัทในเครือเดียวกับ หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ หรือไม่
จากนั้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2556 ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมของ คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูการพัฒนาตามวิถีวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา ปรากฏว่าในช่วงท้าย ที่ประชุมได้หารือกันเกี่ยวกับคดีปล้นเรือขนเงิน 119 ล้านบาท ซึ่งมีเงื่อนงำ โดยแสดงความเห็นโยงไปถึงคดีการตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ที่ไม่มีความคืบหน้าด้วย ทั้งนี้ได้มีการกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงที่คณะกรรมาธิการฯ เชิญมาชี้แจงให้ติดตามความคืบหน้าของทั้ง 2 คดีดังกล่าว
สำหรับตัวเลขความสูญเสียของรัฐกรณีการลักลอบขนน้ำมันหนีภาษี (น้ำมันเถื่อน) ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเมินว่าทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 18,000 ล้านบาท และมีความเชื่อว่าเม็ดเงินจากเครือข่ายน้ำมันเถื่อนจำนวนหนึ่งไหลไปสนับสนุนกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ด้วย กอ.รมน.ภาค 4 สน.จึงตั้งคณะทำงานปราบปรามภัยแทรกซ้อนขึ้นเป็นพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหานี้

ชูวิทย์ กระซิบ ผบ.ตร. คดีจับบิ๊กตำรวจ บอกมีคนบงการตัวเบ้งกว่าอยู่ใกล้ ๆ

ชูวิทย์ กระซิบ ผบ.ตร.
คดีจับบิ๊กตำรวจ บอกมีคนบงการตัวเบ้งกว่าอยู่ใกล้ ๆ
ชูวิทย์ ชี้เป้า ผบ.ตร. คดีจับบิ๊กตำรวจ บอกอาจจะมีคนบงการตัวเบ้งกว่า ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หันไปก็เจอแล้ว
วานนี้ (25 พฤศจิกายน 2557) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ I′m No.5 เกี่ยวกับการจับกุมบิ๊กตำรวจ คดีหมิ่น 112 และคดีรับสินบน ว่าเรื่องยังไม่จบอาจจะคนบงการระดับบิ๊กที่ใหญ่กว่าไม่ใกล้ไม่ไกล.. ดังนี้
"ใหญ่แค่ไหนก็จับ
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีอำนาจสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดทางอาญาทั่วประเทศ เป็นผู้บังคับบัญชากองปราบปราม ตำรวจน้ำ ตำรวจเศรษฐกิจ ตำรวจป่าไม้ ตำรวจทางหลวง ตำรวจท่องเที่ยว ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญและอยู่ในตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาหลายปี ให้คุณให้โทษได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะกับบรรดากลุ่ม "ธุรกิจสีเทา"
บ่อนการพนันที่แอบอ้าง อันเป็นรายได้ที่มิชอบมหาศาลตามที่เป็นข่าวคือ บ่อนพระราม 9 (บ่อนโคลอนเซ่) และย้ายมาเปิดย่านรัชดาภิเษก ใกล้แยกห้วยขวาง ที่ผมเคยนำมาเปิดเผยเป็นคลิปในสภา โดยหลังจากที่ผมพูดไปแล้ว 3 วัน ปล่อยให้นำรถสิบล้อไปขนของออกกันโครม ๆ แม้กระทั่ง ฝ้า พรม ยังขนออก กลายเป็นอาคารร้างชั่วข้ามคืน แล้วตำรวจถึงเข้าไปตรวจสอบ
ต่อมา ตำรวจสรุปผลการสืบสวนข้อเท็จจริง ตามหนังสือเลขที่ ตช 0006.2/1771 ว่า
ผลการสืบสวนข้อเท็จจริงฟังได้เป็นที่ยุติว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ถูกสืบสวนข้อเท็จจริงและมีหน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบทุกคน ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสนใจและเอาใจใส่ตามสถานะ ภารกิจ และหน้าที่ความรับผิดชอบแล้ว จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะต้องถูกพิจารณาข้อบกพร่องในการป้องกันปราบปรามอบายมุข จึงมีบันทึกสั่งให้ยุติเรื่อง"
เมื่อผลการสืบสวนไม่มีผู้กระทำความผิดบกพร่อง แต่ตอนนี้เรื่องแดง พบผู้กระทำความผิด ผู้ต้องหาคือ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และ พล.ต.ต.โกวิทย์ โดยมีต้นเหตุจากการแอบอ้างบ่อนการพนันพระราม 9 และรัชดา
หาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็น "ตัวการ" จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มี "ผู้สนับสนุน" เครือข่ายย่อมไม่ใช่แค่ระดับพันตำรวจเอกและดาบตำรวจสองสามคน ตามโครงสร้างที่ท่าน ผบ.ตร. แถลงข่าววันนี้เท่านั้น
หาก ผบ.ตร. บอกว่า "ใหญ่แค่ไหนก็จับ" ก็ต้องไปดูรายชื่อตามที่ผมเคยร้องเรียนไว้ในเรื่องเกี่ยวกับบ่อนรัชดาที่นำไปแอบอ้าง
กระซิบบอก ผบ.ตร. ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกครับ เผลอ ๆ แค่หันหน้าก็เจอแล้ว

‪‎จับได้แล้วคนโปรยใบปลิวต้าน‬ คสช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 23 ที่ผ่านมา ที่แท้เป็น กปปส.

เมื่อ 25 พ.ย. 57 เวลา 2300 จนททหาร -....... ตรได้อาศัยอำนาจตามพรบกฎอัยการศึกและปวิอาญาม 92 (4) ร่วมกันเชิญตัวนายสิทธิ์ทัศน์เหล่าวานิช ธ นา ภาอายุ 54 ปีบัตรปชช. เลขที่ 3-1005-01748-56-3 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 25/357 ซ. รามคำแหง 124 แขวงสะพานสูงเขตสะพานสูงกทม นายสิทธิ์ทัศน์ฯ เองและได้เป็นผู้นำจนทฝ่ายทหาร -. ตร ทำการตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 18 ซ. พหลโยธิน 48 แยก 16-1 แขวงบางด้วนเขตภาษีเจริญกทม ซึ่งเป็นบ้านของน. ส. ณัฐญาชาติไทย (แฟนสาว)
เครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อเอชพี 1 เครื่อง
2 ปากกาเมจิกสีดำยี่ห้อตราม้า 1 ด้าม
3 มีดคัตเตอร์ 1 ด้าม
4 ไม้บรรทัดยาว 1 อัน
5 ตลับหมึกปริ้นเตอร์ 1 กล่อง
6 เสื้อยืดลายพรางทหาร 1 ตัว
7 1 ตัว
8 เสื้อยืดกลมสีดำสกรีนรูปนายสุเทพเทือกสุบรรณข้อความ "ภูผาขวางกั้นอธรรม" 1 ตัว
9 หมวกปีกลายพรางทหาร 1 ใบ
10 หมวกแก๊ปลายพรางทหาร 1 ใบ
11 1 ชุด
12 ห่วงขาผ้า 1 คู่
13 กระดาษขนาด A4 ยี่ห้อโอเค 1 รีม
14 แผ่นสติ๊กเกอร์ข้อความ "รถคันนี้สีแดง" 1 แผ่น
15 รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์รุ่น C200 หมายเลขทะเบียน 1 กม 200 กทม 1 คัน
โดยจากการสอบสวนนายสิทธิ์ทัศน์ฯ ได้ให้การยอมรับว่าเมื่อ 22 พ.ย. 57 เวลาประมาณ 1900 ได้เริ่มเขียนใบปลิวโจมตีคสช. ปรากฏตามหลักฐานที่ โดย 23 พ.ย. 57 เวลาประมาณ 0300 จากนั้นได้ทำการนัดพบกับนายวชิระทองสุข (บอย) ภายในซ. สำราญราษฎร์เขตพระนคร C200 สีดำหมายเลขทะเบียน 1 กม 200 กทม ซึ่งมีน. ส. ณัฐญาฯ เป็นเจ้าของใส่รถจยย. ของนายวชิระฯ โดยนายวชิระฯ เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 57 เวลาประมาณ 0500 หลังจากนั้นได้แยกย้ายกันหลบหนีจนกระทั่งถูกจนททหาร -. ตร มาเชิญตัวและได้นำตรวจค้น - ตรวจยึดดังกล่าว

เปิดลับแก๊งนายพล “บช.ก.” สุดแสบสุมหัวกินน้ำมันเถื่อน

เปิดลับแก๊งนายพล “บช.ก.” สุดแสบสุมหัวกินน้ำมันเถื่อน
Cr:ผู้จัดการ
น้ำลดตอผุด เผยอาณาจักร “สอบสวนกลาง” ถูกออกแบบให้มีอำนาจครอบจักรวาลจนนำไปสู่ความเหลวแหลกของสังคมไทย อดีต ผบช.ก. “พงศ์พัฒน์” สืบอำนาจยาวนาน แถมใครแตะขุมทรัพย์ไม่ได้ ตามรอยสารภาพผู้การตำรวจน้ำรับเละส่วยน้ำมันเถื่อน กินกันมันจุกอกเดือนละกว่า 10 ล้าน แสบสุดนายทุนชั่วหว่านเงินให้ขบวนการโจรใต้ป่วน
หากจัดความสำคัญของ “กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” แล้วต้องถือว่าเป็นขุมกำลังหรือกองทัพของตำรวจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆ ยานพาหนะ กำลังพลครอบคลุมไปทั้งประเทศ โดยโครงสร้างของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถูกคิดและออกแบบให้มีอำนาจอย่างครอบจักรวาลมีทั้งสิ้น 11 กองบังคับการ เริ่มจาก 1. กองอำนวยการ มีหน้าที่จัดการความเรียบร้อยต่างๆ ทั้งทางด้านเอกสาร กำลังพลและสนับสนุนด้านอื่นๆ เสมือนเป็นแม่บ้าน 2. กองบังคับการปราบปราม ทำหน้าที่ดูแลคดีสำคัญๆ ทั่วประเทศ 3. กองบังคับการตำรวจทางหลวง จัดการความเรียบร้อยบนถนนทุกสายรอบอาณาจักร 4. กองบังคับการตำรวจรถไฟ 5. กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 6. กองบังคับการตำรวจน้ำ 7. กองบังคับการเกี่ยวกับการกระทำผิดกับการค้ามนุษย์ 8. กองบังคับการเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ 9. กองบังคับการเกี่ยวกับการทุจรติและประพฤติมิชอบในวงราชการ 10. กองบังคับการเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และ 11. กองบังคับการเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
เป็นที่ทราบกันดีว่า ช่วงที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.บารมีเบ่งบานเต็มที่นั้นได้เหมารวมอำนาจไว้กับตัวเองทั้งหมด เขาคือนายตำรวจที่มีอำนาจเต็ม บริหารบุคคลและบริหารนโยบายให้ไปในทิศทางที่วางไว้อย่างเต็มที่ไ ม่ว่าจะผ่านรัฐบาลไหน หรือ ผบ.ตร.คนใด ส่วนใหญ่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย จนระยะ 2-3 ปีให้หลังฝ่ายบริหารทั้งในส่วนของนักการเมือง และผู้นำองค์กรตำรวจเริ่มมองเห็นสิ่งผิดสังเกตที่มีความต่อเนื่องยาวนานมาหลายปี จึงมีความพยายามต่อรองแชร์อำนาจกัน
ผลสรุปว่า พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ยอมปล่อยจากมือไปหลายกองบังคับการ เหลือเพียงกองบังคับการหลักๆ ที่เขาให้เหตุผลถึงความมั่นคง เช่น ขอดูแลกองบังคับการกองปราบปราม กองบังคับการตำรวจทางหลวง กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการตำรวจเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นขุมอำนาจ
และหากไปใช้ในทางที่ผิดก็ไม่ต่างจากโรงพิมพ์ธนบัตรดีๆ นั่นเอง
คดีความต่างๆ ที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.กับพวกที่กำลังเผชิญอยู่นั้นจึงสอดรับกับอำนาจในอดีต เพราะนอกจากมีส่วนพัวพันกับบ่อนใหญ่ต่างๆ แล้วยังมีกรณีของ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผู้บังคับการตำรวจน้ำ (ผบก.รน.) ผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และประพฤติมิชอบ ที่เมื่อขยายความแล้วต้องย้อนกลับไปดูสถานการณ์ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีข่าวมาโดยตลอดว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนมิได้มีผลแค่เพียงผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่การข่าวของฝ่ายความมั่งคงทหารยังระบุว่าเม็ดเงินจำนวนหนึ่งถูกนำไปสนับสนุนกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อันมี “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” หรือนายสหชัย เจียรเสริมสิน เป็นหัวหอกใหญ่
จากการเปิดปากสารภาพของนายตำรวจระดับสูงของกองบังคับการตำรวจน้ำ ยอมรับว่า เมื่อมารับตำแหน่งใหม่ๆ มีส่วยจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนราว 3-5 ล้านบาทต่อเดือน แต่ระยะหลังมาถึง 12-15 ล้านบาทต่อเดือน และเมื่อย้อนรอยเส้นทางข่าวก็พบว่า ก่อนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยหมดอำนาจ “โจ้ ปัตตานี” ซึ่งมีความคุ้นเคยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับไปรดน้ำดำหัวในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เขียนจดหมายน้อยไปถึงทำนองว่าขอพึ่งบารมีอดีตนายกฯ เนื่องจากโดนตำรวจสอบสวนกลาง (พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์) กลั่นแกล้งไม่ยอมให้เรือบรรทุกน้ำมันออกนอกฝั่ง แต่ขณะเดียวกันผู้ค้ารายอื่นๆ สามารถออกไปได้ ข้อความในจดหมายเคยปรากฏเป็นข่าวอื้อฉาวมาแล้วก่อนที่นายสหชัย หรือโจ้ ปัตตานี จะหลบหนีระหว่างควบคุมตัวไปพิจารณาคดี
เมื่อเทียบวันเวลากับคำสารภาพทำให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า ช่วงปิดอ่าวดำเนินการปราบปรามน้ำมันเถื่อนของเสี่ยโจ้ ปัตตานี ตำรวจยังคงรับส่วยจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายอื่นๆ อยู่จึงมีส่วยเข้ามาเพียงเดือนละ 3-5 ล้าน แต่หลังจากนั้นมีกระแสเงินสะพัดอีกหลายเท่าตัวโดยขยับขึ้นเป็นหลัก 15 ล้านบาทต่อเดือน จึงอาจเป็นได้ว่าตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องเปิดทางให้มีการค้าน้ำมันเถื่อนกันอย่างเต็มที่แล้ว รวมทั้งกิจการของเสี่ยโจ้ ปัตตานี ผู้สนับสนุนขบวนการก่อการร้ายอันเป็นเสี้ยนหนามของแผ่นดินไทย
นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทางการไทยตัดสินใจขุดรากถอนโคน “ขบวนการตำรวจมาเฟีย” ที่แฝงตัวและขยายอิทธิพลอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเป็นเวลานานนับ 10 ปี

วิจารณ์สนั่น! ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบุรีรัมย์ อ้างสร้างไฟจราจรดิจิตอล

วิจารณ์สนั่น! ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบุรีรัมย์ อ้างสร้างไฟจราจรดิจิตอล

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์7 พฤศจิกายน 2557 17:49 น.
วิจารณ์สนั่น! ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบุรีรัมย์ อ้างสร้างไฟจราจรดิจิตอล
จนท.เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ นำเครื่องจักรเข้าทุบรื้อวงเวียนรัฐธรรมนูญ หรือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เก่าแก่อายุกว่า 50 ปี ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหน้าศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ (หลังเก่า) เขตเทศบาลเมืองบุรัมย์
        บุรีรัมย์ - ประชาชนชาวบุรีรัมย์ต่างใจหาย เทศบาลฯ ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยใจกลางเมืองหน้าศาลากลางจังหวัดฯ อายุเก่าแก่กว่า 50 ปี ขณะชาวเน็ตโพสต์วิจารณ์สนั่นไม่เห็นได้ และควรแจ้ง ปชช.ให้ทราบก่อนทุบ ล่าสุด เทศบาลโพสต์แจงอ้างเตรียมสร้างไฟจราจรติจิตอลเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรติดขัด รองรับการเติบโตของเมือง
      
       วันนี้ (7 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ได้นำเครื่องจักรเข้าทุบรื้อวงเวียนรัฐธรรมนูญ หรืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เก่าแก่อายุกว่า 50 ปี ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หน้าศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ (หลังเก่า) ในเขตเทศบาลเมืองบุรัมย์ โดยมีเป้าหมายจะย้ายเข้าไปอยู่ในศาลากลางจังหวัดฯ หลังเก่า เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และรองรับการเจริญเติบโตของเมือง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเป็นจำนวนมาก
      
       การทุบรื้ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยดังกล่าว ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทางโลกออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง บางคนบอกไม่เห็นด้วยต่อการรื้อถอนออก น่าจะเก็บไว้เป็นสัญลักษณ์ให้ลูกหลานได้ดูต่อไป และควรหาวิธีอื่นมาแก้ไขปัญหาการจราจรแทนดีกว่า
      
       ด้าน น.ส.สุปราณี กุมรัมย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ และเป็นลูกหลานของชาว จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า รู้สึกใจหายที่เห็นมีการทุบ และรื้อถนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออก เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก แต่หากผู้ใหญ่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมตนคงไม่มีสิทธิมีเสียงที่จะไปคัดค้านอะไร
      
       ขณะที่ประชาชนชาว จ.บุรีรัมย์ รายหนึ่งซึ่งไม่ขอเปิดเผยนามระบุถึงกรณีการรื้อถอนวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ว่า วงเวียน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ จ.บุรีรัมย์ เพราะตั้งอยู่ใจกลางเมือง ไม่ว่าคนในพื้นที่หรือเดินทางมาจากต่างจังหวัดจะมองเห็นอย่างชัดเจน อีกทั้งอนุสาวรีย์ดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย
      
       “หากจะมีการทุบ หรือรื้อถอนออก เจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะมีการประชาสัมพันธ์ชี้แจงเหตุผลให้ประชาชนได้รับทราบก่อนล่วงหน้า ไม่ใช่ทำแล้วจึงมาชี้แจงภายหลังเพราะอนุสาวรีย์ดังกล่าวได้ก่อสร้างมาหลายปีแล้ว” ชาวบุรีรัมย์คนเดิม กล่าว
      
       ขณะที่ล่าสุด เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ได้โพสต์หนังสือชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เรื่อง ขอชี้แจงการรื้อถอนวงเวียนรัฐธรรมนูญหน้าศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ (หลังเก่า) เนื่องจากในปัจจุบันระบบการจราจรในช่วงเช้า และช่วงเย็นบริเวณถนนจิระ หน้าวงเวียนรัฐธรรมนูญหน้าศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ (หลังเก่า) มีปัญหาด้านการจราจรติดขัด ตลอดจนมีผู้ใช้ยานพาหนะสัญจรบริเวณดังกล่าวหนาแน่น และก่อให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งในเวลากลางคืน
      
       เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จึงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยได้รื้อถอนวงเวียนออก เพื่อติดตั้งสัญญาณไฟจราจรดิจิตอล ซึ่งจะเป็นการลดปริมาณความคับคั่งของจราจรลงไปได้ และเพิ่มความคล่องตัวในการสัญจรไปมา
      
       ส่วนพานรัฐธรรมนูญเดิมนั้น จะนำไปก่อสร้างฐานใหม่ซึ่งฐานรองรับพานจะใช้รูปแบบดั้งเดิม เป็นทรงกลมมีลายปูนปั้น มีฐานด้านล่าง และด้านบน และตำแหน่งที่จะติดตั้งใหม่คือ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ (หลังเก่า) จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน
วิจารณ์สนั่น! ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบุรีรัมย์ อ้างสร้างไฟจราจรดิจิตอล
       
วิจารณ์สนั่น! ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบุรีรัมย์ อ้างสร้างไฟจราจรดิจิตอล
       
วิจารณ์สนั่น! ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบุรีรัมย์ อ้างสร้างไฟจราจรดิจิตอล
       
วิจารณ์สนั่น! ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบุรีรัมย์ อ้างสร้างไฟจราจรดิจิตอล
       
วิจารณ์สนั่น! ทุบทิ้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบุรีรัมย์ อ้างสร้างไฟจราจรดิจิตอล