PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

“กองทัพโค่นแม้ว” ออกแถลงการณ์ 4 ข้อ ลั่นระฆังค้านนิรโทษฯ-กฎหมายล้างผิด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์4 สิงหาคม 2556 18:38 น.

กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ออกแถลงการณ์ 4 ข้อ ลั่นระฆังต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณ คัดค้านนิรโทษกรรม-กฎหมายล้างผิด ชุมนุมโดยสงบ และเชิญชวนเข้าร่วมการชุมนุม
     
       วันนี้ (4 ส.ค.) เมื่อเวลา 18.00 น. กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เรื่อง “ลั่นระฆังรบ โค่นระบอบทักษิณ” โดยระบุว่ากว่า 12 ปีที่คนไทยอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ แบบแสวงหาผลประโยชน์เข้าพวกพ้องตัวเอง และพยายามกินรวบประเทศไทย จนเกิดการคอร์รัปชั่นมากมาย มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและสถาบันพระมหากษัตริย์ จนในปัจจุบันรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังมีความพยามที่ล้างผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายตัวเองอย่างชัดเจน
     
       นอกจากนี้ ยังมีการบริหารประเทศแบบทุจริต คอร์รัปชั่นในหลายกรณี เช่น โครงการรับจำนำข้าว จนส่งผลเสียหายไปทั่วประเทศ พฤติกรรมของระบอบทักษิณถือเป็นมะเร็งร้ายในสังคม พวกเราในฐานะกองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ ไม่อาจนิ่งดูดายต่อไปได้ เพราะฉะนั้น เราขอออกแถลงการณ์ 4 ข้อคือ 1. เราขอลั่นระฆังต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย 2. เราขอคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและกฎหมายฉบับอื่นๆที่จะนำมาสู่การล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ 3. เราจะชุมนุมโดยสงบสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ตามวิถีของประชาธิปไตย และ 4. เราขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า ทหาร ตำรวจ ทั้งในและนอกราชการ พี่น้องประชาชนที่รักชาติ ประชาธิปไตย และเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เข้าร่วมการชุมนุมเพื่อปฎิรูปประเทศไทย

นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ:ขึ้นเวทีกองทัพประชาชนโค่นทักษิณ

(4 ส.ค.56) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ หลังจากปราศัยบนเวทีผ่าความจริงของพรรคเสร็จ ได้เดินทางมาขึ้นเวทีกองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณปราศรัยกับผู้ชุมนุมว่า พวกเราเป็นเสรีชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ควาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้เป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองอยู่ ตนเองเคยเอาคนเสื้อแดงเข้าคุกมาแล้วถึงสองคน คือนายยศวริศ ชูกล่อมหรือเจ๋ง ดอกจิกและนายก่อแก้ว พิกุลทอง เพราะฉะนั้นถ้าใครมาทำร้ายประชาชน ก็พร้อมที่จำเอาคนนั้นเข้าคุก

"ผมได้บอกคนในพรรคประชาธิปัตย์ว่า พวกเราต้องออกมาต่อสู้พร้อมกับประชาชน เพื่อที่เราจะรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ เพื่อปกป้องชาติและพระเจ้าอยู่หัว"

นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อไปว่า ในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เสนอนั้น จะเป็นการล้มล้างความผิดต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งรับไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้นสามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้ เชื่อว่า หากคนเหล่านั้นสำนึกผิดแล้วพระมหากษัตริย์ก็พร้อมที่จะอภัยโทษให้

นายนิพิฏฐ์ กล่าวด้วยว่า ถ้าจะต้องตายเพราะปกป้องพระองค์ท่านก็พร้อมที่จะตาย ถ้าเวทีนี้ยังมีที่ว่างให้ขึ้นมายืนก็พร้อมที่จะเดินหน้าไปกับทุกคน ทั้งนี้ในวันที่ 7 ส.ค. นี้ จะมีการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากผู้ชุมนุมที่อยู่ ณ สวนลุมฯพอใจที่มาพูดวันนี้ ขอให้ผู้ชุมนุมซื้อดอกกุหลาบมามอบให้ที่หน้าอาคารรัฐสภา ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจก็บอกว่าซื้อดอกกุหลาบไปให้กำลังใจ ส.ส. อยากรู้ว่าตำรวจหน้าไหนจะสกัดกั้นประชาชนได้

สมช.วิเคราะห์"ม็อบแช่แข็งรีเทิร์น"จับตาช็อตต่อช็อตต้าน"นิรโทษ"


วันที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13:41:42 น.

ที่มา:มติชนรายวัน สัมภาษณ์พิเศษ โดย ปิยะ สารสุวรรณ


หมายเหตุ - พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ ?มติชน? ถึงการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มหน้ากากขาว กลุ่มคณะเสนาธิการร่วม พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อต่อต้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคมนี้

@ ในฐานะฝ่ายความมั่นคงอ่านเกม-แก้ยุทธวิธีการชุมนุมของกลุ่มคณะเสนาธิการร่วมอย่างไร

อ่านเกมกันตลอด เพราะทุกท่านก็จบเสนาธิการ เราก็จบเสนาธิการ ซึ่งต้องอ่านเกม กันช็อตต่อช็อต ซึ่งรูปแบบคงไม่เหมือนเดิม เพราะเขาก็มีพัฒนาการไปตามสถานการณ์ เมื่อรัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯแล้ว เขาจะมีวิธีการรุก รับ ร่น ถอย อยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับรัฐบาลเหมือนกัน

@ ความเหมือนและความแตกต่างของม็อบองค์การพิทักษ์สยาม (อสพ.) ภายใต้การนำของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย กับกลุ่มกองทัพประชาชน โค่นล้มระบอบทักษิณ

ความแตกต่างและความเหมือนอยู่ที่ตัวผู้นำ เพราะถ้าเกิดผู้นำมีการจูงใจ มีประเด็น มีเนื้อหา สภาวะแวดล้อมอื่นเกื้อกูล และมีสปอนเซอร์เกื้อกูล การดำรงของม็อบก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่ตอนนั้น (ม็อบเสธ.อ้าย) เกิดมีข้อจำกัดเรื่องเอกภาพในการบริหารจัดการและการสนับสนุน ดังนั้น จึงแตกต่างกันที่ผู้นำมวลชน

@ ผู้นำคราวนี้ที่ใช้ชื่อว่าคณะเสนาธิการร่วมเป็นอย่างไร

ตอนนี้เขาใช้เป็นคณะ ทำให้มีความรอบคอบขึ้น และมีความหลากหลายขึ้น เพราะฉะนั้น เขาจึงยืนยันว่าในวันนี้ (4 สิงหาคม) จะมีการชุมนุม แต่นับจากนี้ต้องดูกลยุทธ์เขาว่า จะเดินกลยุทธ์อย่างไรต่อไป เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐได้ประกาศพื้นที่เขตควบคุม โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ความ

มั่นคงฯไว้แล้ว ซึ่งฝ่ายนั้นก็คงกำลังคิดอยู่ว่า ถ้าเขาจะเข้ามาในพื้นที่ที่มีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะทำอย่างไรไม่ให้ขัดกับข้อกฎหมาย โดยอาจจะไปชุมนุมนอกเขตพื้นที่ที่ไม่ได้ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นไปชุมนุมในพื้นที่ใกล้เคียงกันแทน

@ ประเมินว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเคลื่อนไหว

เปลี่ยนแปลงรูปแบบแน่ เพราะเขามีบทเรียนจากการเคลื่อนไหวของม็อบเสธ.อ้าย มาอยู่แล้ว และแน่นอนทุกคนก็ไม่ประสงค์ที่จะทำอะไรที่ผิดข้อกฎหมาย เพราะ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็มีบทลงโทษในการจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นการป้องกันป้องปรามอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวัง

@ มีการเปลี่ยนรูปแบบเป็นการชุมนุมนอกพื้นที่ที่ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ

ถูกต้อง เพื่อเรียกร้อง เพราะสิ่งที่เขาพึงประสงค์คือการบ่มกระแส เพาะกระแสขึ้นมา ซึ่งการเพาะกระแสไม่จำเป็นต้องเพาะในพื้นที่ เพราะสามารถเพาะนอกพื้นที่ สื่อสังคมโซเชียลมีเดีย สื่ออื่นๆ ซึ่งหากมวลชนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีการเคลื่อนไหวเข้ามาในพื้นที่ควบคุม จึงทำให้ต้องระมัดระวังเช่นกัน และต้องติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ขณะนี้เขากำลังเพาะกระแสให้มีพลังมากขึ้นเป็นการรอการประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มตัวเองไปผสมกับภาคการเมืองที่มีความเห็นต่างด้วย ซึ่งหากมาร่วมกันได้ จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ไข

@ ปัจจัยใดที่ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมมีพลังจนทำให้เกิดเป็นจุดเปลี่ยน

กลยุทธ์ เทคนิคในการชี้แจง ข้อกฎหมาย จูงใจให้พี่น้องประชาชนเชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่มีความเสมอภาค หรือเฉพาะเจาะจง จะไปช่วยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถ้าเขาสามารถอธิบายความตรงนั้นได้ ถึงแม้ว่าข้อเท็จจริงอาจจะไม่ใช่ แต่เขาสามารถใช้ศิลปะในการอธิบาย จูงใจ โดยปฏิบัติการข่าวสารให้เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมีปัญหา ตรงนั้นมันจะอันตราย

@ เมื่อสังเกตการณ์การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในสภาขนานไปกับการชุมนุม ซึ่งสภาจะเป็นการพิจารณาเพียงวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ แสดงว่าการชุมนุมก็อาจจะยืดเยื้อไปจนถึงการพิจารณาวาระที่ 3 ของสภา

อยู่ที่การอธิบายความและการเดินรูปแบบ แน่นอนว่าการรับหลักการไม่มีปัญหา คาดว่าจะมีการพิจารณาเพียงวันเดียวก็จบ แต่ในชั้นกรรมาธิการ ฝ่ายสภาจะต้องมีการประชาสัมพันธ์เนื้อหาอย่างต่อเนื่อง คือไม่มีการแปรเนื้อหาให้เปลี่ยนไปจากเนื้อหาในขั้นรับหลักการ ตลอดไปถึงการพิจารณาในวาระที่ 3 ซึ่งคาดว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคงชุมนุมยืดเยื้อ เพราะประเด็นยังไม่จบ ซึ่งประเด็นที่เขาต่อต้านคือ การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเพื่อนิรโทษกรรมให้กับแกนนำด้วย เพราะฉะนั้นเขาก็เฝ้าระแวงอยู่แล้ว ทั้งนี้ จะมีการชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในสภาตั้งแต่ช่วงวาระที่ 2 ขั้นตั้งคณะกรรมาธิการแปรญัตติในสภา

@ การชุมนุมอาจจะมีโอกาสยืดเยื้อ

เมื่อเข้าสู่วาระ 2 จะต้องดูห้วงเวลาของขั้นกรรมาธิการว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาเท่าไร แล้วก็ดูสถานการณ์การชุมนุมว่า จะมีการปักหลักชุมนุมกันอยู่หรือไม่ หรือว่าการชุมนุมนั้นจะมีการมาชุมนุมในการพิจารณาวาระที่ 3 ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายก่อนออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ อย่างเดียวหรือไม่ ดังนั้น ก็ต้องดูว่าจะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯต่อในลักษณะใด ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 12 สิงหาคม คงจะไม่มีการประกาศ ส่วนจะประกาศช่วงใด อย่างไรก็ต้องมาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทั้งนี้ จะต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถ้ามีความจำเป็นต้องประกาศต่อ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไร

@ การเพาะกระแสของคณะเสนาธิการร่วมเพื่อรอผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นมาสมทบ

เขารอตัวเขาเองด้วยในการกำหนดยุทธวิธีว่าจะชุมนุมที่จุดใด อย่างไร แต่แน่นอนว่าภาคการเมืองก็สมประโยชน์ ซึ่งก็คงไม่ต้องถึงขั้นต้องไปพูดคุยชักจูงกันมา เพราะต่างฝ่ายถือว่าสมประโยชน์กัน โดยแต่ละฝ่ายคงไปออกแบบยุทธวิธีและความลับของตัวเองไว้

@ ประเมินรูปแบบการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างไร

ขณะนี้เป็นรูปแบบของการโจมตีในเนื้อหา เพื่อรณรงค์และเชื้อเชิญคนให้เข้ามามากๆ โดยการพูดเปิดเนื้อหา ใช้ปฏิบัติการข่าวสารตรงจุดนี้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ถึงเขามามากก็จะเป็นปัญหาโดยธรรมชาติ ปัญหาโดยธรรมชาติคือ จะมีโอกาสแทรกซ้อนของมือที่สามเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ตรงนี้เจ้าหน้าที่จึงต้องระมัดระวังเรื่องมือที่สาม

@ การป้องกันไม่ให้มือที่สามสร้างสถานการณ์

เจ้าหน้าที่การข่าวต้องเกาะติดทั้งหมดตรงพื้นที่ที่มีการชุมนุม และมีการติดต่อประสานงานกับ

แกนนำผู้ชุมนุมตลอดเวลา เพื่อสะท้อนปัญหาสื่อสารว่า แกนนำสามารถควบคุมมวลชนได้หรือไม่ แต่ถ้าควบคุมไม่ได้แกนนำก็ต้องรับผิดชอบหากเกิดปัญหาขึ้นมา ซึ่งจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น แกนนำต้องคิดให้ดี เพราะถือว่าเป็นผู้นำคนเข้ามาร่วมชุมนุมจนทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ

@ สายสัมพันธ์ของคณะเสนาธิการร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี จะเป็นการส่งสัญญาณว่าประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอย 19 กันยายน 2549

คงไม่สามารถพัฒนาการไปถึงขั้นนั้น เพราะจากที่ประชาชนมีบทเรียนทั้งประเทศ เพราะเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ได้ส่งผลกระทบให้ประเทศมีปัญหาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนสายสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์คงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย

@ ประเมินสถานการณ์ว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่หากพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนแปลงเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในขั้นแปรญัตติ ชั้นกรรมาธิการจนทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เข้าร่วมการชุมนุมด้วย ทำให้ม็อบต่างๆ สามารถจุดกระแสมวลชนติด

ณ ตอนนี้หลังจากสืบสภาพ วิเคราะห์ สังเคราะห์แล้ว เชื่อมั่นว่าพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีการแก้เนื้อหาในวาระที่ 2 ขั้นกรรมาธิการอย่างแน่นอน โดยยืนยันชัดเจนว่าไม่มีการแก้ไข ส่วนฝ่ายค้านก็คงจะต่อต้านเพราะไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป

@ หากตั้งสมมติฐานมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหน่วยงานความมั่นคงสามารถรับมืออยู่หรือไม่

คิดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ก็อยู่ในขั้นเหนื่อย อย่างไรก็ตาม คงไม่ถึงขั้นเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์บานปลาย แต่ก็เป็นมูลเหตุในจังหวะที่สองของพรรคประชาธิปัตย์ หากมีการเปลี่ยนแปลงแล้วมีโอกาสที่จะนำไปสู่เหตุบานปลายแต่ก็อยู่ในขั้นที่จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็จะต้องมีการปรับยุทธวิธีโดยการหาช่องทางร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมก็คงไม่ถึงขั้นแตกหัก ทั้งนี้ ยืนยันว่าพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระของกฎหมาย เพื่อยอมให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านการพิจารณาของสภา ในวาระที่ 3 ไปได้

พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ:ถึงแพ้แต่ต้องสู้

04 สิงหาคม 2556 เวลา 13:27 น. 

  • โพสต์ทูเดย์ 
ถึงแพ้แต่ต้องสู้
โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
ถนนการเมืองทุกสายกำลังพุ่งเป้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ภายหลังพรรคร่วมรัฐบาลมีความชัดเจนเตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ วรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แม้จะไม่ใช่ฉบับสุดซอย แต่ถือเป็นชนวนความร้อนแรงที่กำลังรอวันปะทุ
ขณะเดียวกัน “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” นำโดย พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ในฐานะคณะเสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนฯ และอดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เปิดใจกับ “โพสต์ทูเดย์” ถึงเหตุผลในการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ไว้อย่างน่าสนใจ
“ผมเป็นประชาชน ผมเป็นลูกไล่รัฐบาลอยู่แล้ว แต่ว่าผมเหนือกว่ารัฐบาลตรงที่ผมเป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาล เพราะผมทำอยู่ในกรอบประชาธิปไตยทั้งหมด” คำยืนยันแรกจากปาก พล.ร.อ.ชัย ต่อการเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้|ยอมรับว่าความคาดหมายของกลุ่มไม่สามารถตั้งตายตัวได้
“ลักษณะการทำงานของกลุ่มเป็นรองรัฐบาล และรู้ว่ารัฐบาลไม่ได้มองประชาชนว่าได้ใช้เสรีตามระบอบประชาธิปไตยที่จะแสดงความเห็นได้ และพอมีความเห็นต่างก็ใช้วิธีการแบบศัตรู คือ กดดันเหมือนคราว เสธ.อ้าย (พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์) ชุมนุม เหตุนี้จำเป็นต้องระมัดระวังในการกำหนดเป้าหมาย”
คำว่า “การกำหนดเป้าหมาย” พล.ร.อ.ชัย ขยายความว่า การทำงานครั้งนี้จำเป็นต้องกำหนดตามสถานการณ์ แม้เป้าหมายสูงสุด คือ ล้มระบอบทักษิณ แต่อาจไม่ใช่วันนี้ เพราะรัฐบาลมีพลังมาก แต่เชื่อว่าในอนาคตต้องล้ม
“เราต้องมีความพร้อม คือ กองทัพประชาชน ดังนั้น มันขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้ามาร่วมมาก จะสอดคล้องกับผลงานและแนวความคิด จึงสามารถชุมนุมได้เป็นปึกแผ่น มีพละกำลังในการเดินได้มากขึ้น หากมาน้อยก็ต้องปรับแผน ลดขีดความสามารถลง วิธีการอาจเปลี่ยนไป แต่เป้าหมาย คือ ไม่ให้ระบอบทักษิณอยู่ในประเทศไทย เพราะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ”
พล.ร.อ.ชัย เล่าอีกว่า ก่อนการเคลื่อนไหวทั้งหมด ได้มีการหารือกับภาคประชาชนมานาน พร้อมดูกระแสสังคมว่าคิดอย่างไรกับรัฐบาล ปรากฏว่ากลุ่มส่วนใหญ่มีความคิดตรงกัน คือ ทนไม่ไหว และมีความกดดันเจ็บแค้นจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลทุกเรื่อง ทั้งหลักธรรมาภิบาล การนำประเทศไทยไปสู่การเสียหายต่อสังคมโลก
“เรามีคนทำงานร่วมอยู่เยอะ ทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ถ้าเอาให้ชัดเจน คือ กลุ่มทุกกลุ่มเหมือนกันหมด ใครก็แล้วแต่ที่มีเป้าหมายเดียวกันก็จะสนับสนุน เพียงแต่การสนับสนุนไม่ได้หมายความว่ามาร่วมมือลักษณะทำงานร่วมกัน พอถึงเวลาก็จะมา จะมาร่วมกันเลยคงทำงานในชั้นต้นลำบาก เนื่องจากกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้ง”
ทั้งนี้ ได้ปฏิเสธเสียงแข็งว่าการชุมนุมในครั้งนี้ไม่ได้มีกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลังตามที่มีการกล่าวหาจากฝ่ายตรงข้ามว่ารับเงินมา 3,000 ล้านบาท
“จุดเด่นของกลุ่ม คือ ประชาชนกับอุดมการณ์ ผมไม่ได้ใช้เงินสักแดงเดียว ผมมีเพียงแค่ประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ การกล่าวหาแบบนี้เป็นวิธีการเดิมๆ ภาพรวมนักการเมืองเวลานี้ นอกจากไม่เป็นคุณแล้วยังเป็นภัยแก่ชาติ ความแตกแยกของคนในชาติก็สูงขึ้น ถึงขั้นแบ่งฝ่ายฆ่ากันเอง”
จะล้มรัฐบาลได้หรือไม่? พล.ร.อ.ชัย ยืนยันเสียงแข็งว่า “ในหลักการบอกว่าเป็นรอง ล้มได้หรือไม่แล้วแต่ประชาชน แต่อย่างน้อยที่สุดสังคมทั่วโลกจะรับรู้ว่าประชาชนที่ออกมาต่อต้านมันมากน้อยขนาดไหน และจะไม่พาประชาชนไปตาย หรือไปสู้กับตำรวจที่จ้องจะฆ่าประชาชน”
เช่นกันกับการประกาศไม่เข้าร่วมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะไม่ต้องการฝ่าฝืนคำสั่งศาล ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้กองทัพประชาชนฯ เสียเปรียบ แต่มั่นใจว่าจะไม่กระทบการเคลื่อนไหวในวันที่ 4 ส.ค.
“พันธมิตรฯ เป็นองค์กรที่เกิดมาก่อน มีความแข็งแรงในตัว จะไม่ดึงเข้ามา แต่มีเป้าหมายเดียวกัน ส่วนจะเคลื่อนไม่เคลื่อน คนของเขาก็มา แกนนำไม่มาไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาออกมาเคลื่อนไหวทั้งหมดก็ดี ไม่มีข้อขัดข้องใดๆ เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน ส่วนกลุ่มคนหน้ากากขาวก็มีติดต่อมาขอเข้าร่วมเยอะ”
แม้การต่อสู้ยกนี้ พล.ร.อ.ชัย จะสารภาพว่าเป็นเรื่องยากที่จะล้มรัฐบาล แต่ยืนยันว่าในอนาคตการต่อสู้จะต้องยกระดับนำไปสู่การกดดันให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง เพียงแต่ตอนนี้ขอกดดันให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง รมว.กลาโหมก่อน
“ตอนนี้ดูแค่นี้ก่อน เพราะยังไม่ถึงเวลานั้น แต่ไม่ใช่ไม่เรียกร้องให้ท่านลาออกจากนายกฯ คือท่านเป็น รมว.กลาโหม ไม่เวิร์กอะไรเลย นายกฯ อยู่สูงกว่า ไม่อยากไปแตะ ถ้าแตะนายกฯ ทุกเรื่องเละหมด เรื่อง|ใหญ่ ใจเย็นๆ เอาแค่ตำแหน่ง รมว.กลาโหมก่อน...
...การมาเป็นรัฐบาล 2 ปี ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ไปต่างประเทศเป็นว่าเล่น เอาเงินพวกผมทั้งนั้น เคยมาแถลงไว้บ้างหรือไม่ว่าทำอะไรให้ชาติได้ประโยชน์ ที่บินไปมา บ้านเมืองจ่ายเงินไปตั้งเยอะแยะกับรัฐบาลชาติได้อะไรบ้าง ผมไม่รู้นะ ใครรู้ช่วยบอกที ผมเสียดายตังค์ผม เพราะว่าผมเสียภาษี”
สำหรับข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล พล.ร.อ.ชัย บอกว่า มีมากกว่า 6 ข้อที่เสนอไปก่อนหน้านี้ เช่น การให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องปากท้องของประชาชน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เพราะรัฐไม่เคยฟังเสียงประชาชน เห็นเป็นศัตรู ไม่ได้ฟังเสียงประชาชนที่แสดงสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย
“รัฐบาลสองมาตรฐานมาตลอด เห็นได้จากหน้ารัฐสภา เสื้อแดงเข้าได้ แต่คนอื่นเข้าไม่ได้ ถ้าเราเข้าไปก็โดนกั้น ฉะนั้น ลักษณะต่างๆ มันชัดเจน โดยเฉพาะคลิปที่เชียงใหม่ ประชาชนโกรธแค้นมาก หน้ากากขาวถูกเสื้อแดงทำร้าย ตำรวจอยู่แต่ยืนเฉย ดังนั้น ชัดเจนว่ารัฐบาลสนับสนุนการทำร้ายประชาชน”
"รบไร้รูปแบบ"ปรับเกมรับมือตำรวจ
การชุมนุมครั้งนี้มีคำถามที่มีการถามกันในสังคมอย่างมาก คือ “4 ส.ค. จะชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่” เพราะมีหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า ถ้าการชุมนุมลากยาว แน่นอนว่าสถานการณ์ย่อมตึงเครียดมากขึ้น
โดยคำถามนี้ได้รับคำตอบจาก พล.ร.อ.ชัย ว่า “การชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับจำนวนประชาชน ถ้าประชาชนไม่คอยถีบหนุนหลังก็อยู่ไม่ได้ วิธีการทำงานจะบริหารแบบวันต่อวัน หากวางไว้ล่วงหน้าก็จะโดนแบบครั้งที่แล้ว ฉะนั้น ครั้งนี้ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ถึงวันแล้วประชุมวางแผนบริหารกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไป คำถามที่ถามล่วงหน้าจะไม่มีคำตอบ ซึ่งการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่คณะกรรมการของคณะเสนาธิการร่วม 5 คน แต่จะมีมาเพิ่มหรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้ อยู่ที่ว่าขาดอะไร...
...กลยุทธ์ที่ใช้เคลื่อนไหวครั้งนี้มาจากระบบเสนาธิการ คือ กองทัพประชาชน ประชาชนต้องเป็นใหญ่ ถ้ามาเยอะ ก็เดินเกมได้เร็ว หากประชาชนไม่สนใจหรืออยู่เฉยๆ ก็เลิก แต่เวลานี้รู้มาว่ากำลังมีการกดดันตามต่างจังหวัดแบบเดิม โดยเรามีวิธีแก้ ซึ่งขอไม่บอกตอนนี้ เพราะเดี๋ยวจับทางได้ เหมือนบทเรียนครั้งที่แล้ว”
พล.ร.อ.ชัย ยืนยันว่า “ตัวผมจะอยู่ในกรอบของกฎหมาย มองว่าเป็นฝ่ายรับ เพราะทุกฝ่ายกดดัน แต่จะรุกด้วยมันสมอง แต่ถ้ารัฐบาลเคลื่อนไหวกดดันกีดกันแรง การต่อต้านอาจจะแรงตาม ซึ่งไม่รู้นะ แต่ทั้งหมดบ้านเมืองจะแรงจะร้ายอยู่ที่รัฐบาล ตำรวจ และเสื้อแดง ไม่ใช่มาบอกให้กองทัพประชาชนอยู่ในกรอบกฎหมาย ต้องให้กลุ่มเหล่านี้อยู่ในระบอบกฎหมาย เพราะพวกเขาผิดกฎหมายมาตลอด”
“ถ้ารัฐบาลเล่นแรงกับเราก็จบ มันอยู่ที่รัฐบาลจะทำอะไรกับประชาชนที่แสดงสิทธิโดยสันติและกฎกติกาของรัฐธรรมนูญ ประชาชนดูอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ที่มีการยิงแก๊สน้ำตา และมีคนบาดเจ็บ ยังเกิดความเจ็บแค้นกับประชาชนอยู่มาก เวลานี้ตำรวจเป็นกลุ่มที่ประชาชนไม่เชื่อถือ ไม่เหมาะสมมาทำงานครั้งนี้ เพราะมีความไม่เป็นกลาง ดังนั้น ไม่ควรจะมาทำหน้าที่รักษาความสงบ”
นายทหารรุ่นใหญ่รายนี้อธิบายถึงรูปแบบการชุมนุมอีกว่า อาจจะไม่มีการตั้งเต็นท์หรือเวทีถาวร เอาแบบง่ายๆ คือ มาพร้อมกับตำรวจ ประกาศวันไหน ตำรวจมาวันนั้น ประชาชนมาวันนั้น ส่วนเรื่องเสบียงอาหารคงไม่จำเป็นต้องเตรียมก่อน เพราะทุกคนที่มาอยู่ได้สบาย 1 วัน เนื่องจากเป็นพวกไม่ชอบรัฐบาล และทนไม่ไหวกับรัฐบาล แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสถานการณ์
“ความปลอดภัยชีวิตของประชาชนที่เข้าร่วมสำคัญที่สุด เราได้หาแนวทางป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุมหากเกิดการใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม เราได้ดำเนินการไว้ทุกอย่าง แต่เรื่องเครื่องมือนั้น ประชาชนส่วนใหญ่เตรียมกันเอง ทางกลุ่มไม่มีเงินจัดหา มีแต่ประชาชนโทรมาบอกว่าจะเอาสิ่งของมาช่วย”
ทหารแก่ไม่กลัวตาย!!
“ผมรักประชาชน ผมไม่กลัวตาย เพราะอายุ 70 กว่าแล้ว ถ้าจะตายเพื่อชาติ เขาก็จะเอาศพผมไประดมสรรพกำลังมาล้มให้ได้ คนที่ไม่รักชาติบ้านเมืองตายไปก่อนผมเยอะแยะ ผมอยู่มาตั้ง 71 ปี ไม่กลัว มีคนเคยถามผมว่ากลัวตายไหม ผมบอกว่าในหลักการจริงๆ มนุษย์ต้องกลัวตาย แต่ผมกลัวชาติจะเสียหายมากกว่าเลยออกมาสู้ มันก็ลบความกลัวหายไป”
คำประกาศสู้ตายของนายทหารนอกราชการที่มีชื่อว่า “ชัย สุวรรณภาพ” ไม่เพียงเท่านี้ ยังกล่าวแบบติดตลกถึงการเตรียมสุขภาพเพื่อรับลงสู่สนามการเมืองนอกสภาเอาไว้ด้วยว่า “ไม่ต้องพึ่งถั่งเช่า”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพ ไม่มีกังวล เพราะดีอยู่แล้ว มีใจเพื่อชาติ ทำไปก็แข็งแรง และยืนยันว่าไม่ได้กินถั่งเช่า (หัวเราะ) กินอาหารตามแพทย์สั่ง เช่น ผัก ก็จะรับประทานเป็นหลัก ผมออกกำลังกายบ้าง เพราะเวลามันน้อย แต่ถ้าไม่มีกิจกรรมอื่น ก็ออกกำลังกายมากหน่อย คือ วิ่งตอนเย็นทุกวัน
...การเตรียมตัวก็ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในหัว มันเป็นอัตโนมัติ เรื่องของทักษิณ มันเข้ามาในชีวิตตลอดเวลา เพราะไม่ใช่ตาสีตาสา เป็นคนมีความรู้ ติดตามดูใช้เหตุผลมาประกอบแล้ววิเคราะห์ก็เห็นอยู่แล้ว”
พล.ร.อ.ชัย ยืนยันว่า น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่ยอมรับว่ารู้จักและคุ้นเคยกับท่าน เช่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แม้จะเป็นนักเตรียมทหารรุ่น 1 เหมือนกัน แต่ไม่ได้เจอมานานเกือบ 10 ปี
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แม้กระทั่งจะโทรมาฝากความห่วงใยก็ไม่มี ไม่มีความสัมพันธ์อะไรเลย” คำยืนยันจากนายทหารร่วมรุ่น พล.อ.สุรยุทธ์
อย่างไรก็ตาม ในฐานะอดีตนายทหารเรือที่เคยเป็นถึงรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ฝากข้อความถึงกองทัพว่า อยากให้ทหารเลิกทำตัวเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะไม่อยากเห็นกองทัพอ่อนแอ
“ทหารรู้ว่านักการเมืองใช้ทหารเป็นเครื่องมือทำมาหากิน และเวลานี้กองทัพอ่อนแอมากอยู่แล้ว แต่มีความพยายามทำลายเอาทหารไปเกี่ยวการเมือง...
อยากฝากไปถึงทหารว่า ท่านเป็นทหารถูกฝึกมาเพื่อให้รักชาติ สถาบัน และสาบานตัวเรียบร้อยว่าจะรักชาติ แต่ตอนนี้พวกท่านได้ละทิ้ง ขอได้โปรดถอนตัวออกมา เพราะสักวันจะเสียใจ”
เช่นกันกับประชาชน พล.ร.อ.ชัย ก็ได้ฝากว่า อยากเรียกร้องประชาชนคิดให้ดี อยากเห็นบ้านเมืองเป็นยังไง ถ้าอยากเห็นบ้านเมืองเป็นแบบนี้ ก็ตอบมาว่าเห็นประเทศชาติมีอะไรดีขึ้น ถ้าปล่อยไปบ้านเมืองล่มสลาย เงินทองไม่มีใช้ มีแต่นักการเมืองรวยทุกคน
“เป้าหมาย คือ ไม่ให้ระบอบทักษิณอยู่ในประเทศไทย เพราะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ชาติอย่างเดียวเท่านั้น ทั่วโลกเริ่มรู้แล้ว”
พร้อมกันนี้ยังตอกย้ำถึงการคัดค้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมด้วย เพราะเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่กลุ่ม โดยที่ประเทศได้รับความเสียหาย
“การเอาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสภา ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะคนเกี่ยวข้องมันมีหลายคน จะไปนิรโทษคนเผาเมือง ฆ่าทหาร และก่อวินาศกรรมได้อย่างไร ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกเลย
...รัฐบาลอาจมองพวกผมเป็นคนโง่ แต่พวกผมมีปัญญา คิดแบบนี้เป็นการเอาแต่ได้ ไม่ได้คิดถึงคนที่ตายไป อันนี้ถือว่าเอาเปรียบประชาชน เห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง และเลศนัยแฝง ทางที่ดีต้องให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมก่อนแล้วค่อยมาคุย”

แนวปฏิบัติในการทำข่าว ช่วงการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ


แถลงการณ์ร่วมองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน
เรื่อง แนวปฏิบัติในการทำข่าว ช่วงการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
ตั้งแต่วันที่ 1-10 สิงหาคม 2556
ตามที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ. รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เป็นเวลา 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 1-10 สิงหาคม 2556 ในพื้นที่ 3 เขตของกทม. คือ เขตดุสิต พระนคร และป้อมปราบศัตรูพ่าย ทั้งนี้เพื่อรองรับสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง

สององค์กรวิชาชีพสื่อ โดยสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอยืนยันถึงเสรีภาพของสื่อมวลชนที่จะสามารถเข้าทุกพื้นที่ของการชุมนุมทางการเมืองเพื่อนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับรู้ แต่จากเหตุการณ์ การชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา มีสื่อมวลชนหลายคนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรง เพื่อความปลอดภัยในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน สมาคมนักข่าวทั้งสอง จึงประชุมร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อวางแนวปฏิบัติร่วมกันดังนี้                  
1. กรณี "ปลอกแขน" สำหรับนักข่าวนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสังเกตเห็นนักข่าวได้จากระยะไกล หรือในสภาวะชุลมุน แต่ปลอกแขนไม่ใช่สัญลักษณ์ที่ระบุถึงการลงทะเบียนว่านักข่าวคนใดที่สามารถทำข่าวในพื้นที่ได้ ทั้งนี้ตามกรอบสิทธิเสรีภาพของวิชาชีพสื่อสารมวลชนแล้ว นักข่าวย่อมได้รับการคุ้มครองในการปฏิบัติหน้าที่ในสนามข่าว โดยทางสมาคมนักข่าวฯ ได้เน้นย้ำกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ให้ใช้ดุลยพินิจตามกรอบกฎหมายพื้นฐาน โดยอาศัยเจตนา และ พฤติกรรม ของนักข่าวและสื่อสารมวลชนในการปฏิบัติหน้าที่ หากนักข่าวมิได้แสดงเจตนา หรือ พฤติกรรม ในการยั่วยุ หรือ ส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ นักข่าวที่อยู่ในสถานการณ์การชุมนุมไม่ถือว่าเป็นผู้ร่วมชุมนุม และ จะต้องได้รับการพิทักษ์คุ้มครองสิทธิในการปฏิบัติหน้าที่โดยสมบูรณ์ ไม่ว่านักข่าวผู้นั้นจะสวมปลอกแขนหรือไม่ก็ตาม

ทั้งนี้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ สมาคมนักข่าวฯ ขอให้นักข่าวติดปลอกแขนของสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และพกบัตรนักข่าวของหน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดสามารถขอปลอกแขนดังกล่าวได้ที่สมาคมนักข่าวฯ โดยให้ทำจดหมาย ถึง นายกสมาคมฯ เพื่อระบุจำนวนปลอกแขนที่ต้องการ ส่วนการออกหมายเลขที่จะเขียนบนปลอกแขนนั้นให้หน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการเอง

สมาคมนักข่าวฯ สนับสนุนให้หน่วยงานต้นสังกัด ทำหนังสือถึงนายกสมาคมนักข่าวฯ เพื่อประสานงานขอปลอกแขนดังกล่าว ส่วนสำนักข่าว และ นักข่าวที่ไม่ได้สังกัดกับทางสมาคมนักข่าวฯ เช่น นักข่าวอิสระ นักข่าวภูมิภาค และ นักข่าวต่างประเทศ ก็สามารถดำเนินการขอปลอกแขนดังกล่าวจากสมาคมนักข่าวฯ ได้ โดยนำหลักฐานจากต้นสังกัด หรือ สำนักข่าวที่ตนเองทำข่าวมายืนยัน

2. "การจัดพื้นที่ปลอดภัย" และ "การให้เวลาเพียงพอ" ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับปากและยืนยันว่า ในกรณีที่จะมีการสลายการชุมนุม หรือ ระงับเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะประกาศเตือนอย่างเป็นระบบ และ ให้เวลาเพียงพอ แก่สื่อมวลชนในพื้นที่ในการเคลื่อนตัวออกจากพื้นที่ ที่อาจมีความรุนแรง แต่ในกรณีที่สื่อมวลชนเลือกที่จะปฏิบัติงานในพื้นที่ต่อ ในขณะที่เกิดเหตุรุนแรง ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะจัดพื้นที่ปลอดภัยให้กับสื่อมวลชน ในกรณีที่มีการใช้ แก๊สน้ำตา หรือ เครื่องมือปราบจลาจลรูปแบบต่าง ๆ โดยสื่อมวลชนต้องแสดงปลอกแขนที่มีรหัสตัวเลขร่วมกับบัตรสื่อมวลชนจากหน่วยงานต้นสังกัดในการเข้าพื้นที่ปลอดภัยดังกล่าว

3. ทางสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีเจ้าหน้าที่ประสานงานกลาง เพื่อทำหน้าที่ประสานความเข้าใจและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าร่วมกัน ในกรณีที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น โดยสื่อมวลชนสามารถสอบถามชื่อของผู้ทำหน้าที่ประสานงานกลางได้จากองค์กรวิชาชีพสื่อ หรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้องค์กรวิชาชีพสื่อ ขอสนับสนุน ให้สื่อมวลชนทุกแขนงทำหน้าที่ในการเสนอข่าวสารและแสดงความคิดเห็นอย่างเข้มแข็ง  เพื่อประโยชน์และสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างแท้จริง และเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเคารพสิทธิเสรีภาพ และเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อนำความจริงมาเสนอต่อสาธารณชนอย่างครบถ้วนรอบด้าน

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
3  สิงหาคม 2556

แม้วทวีตอยู่ดูไบเย้ยแกนนำพวกอกหัก


  • โพสต์ทูเดย์
  • 04 สิงหาคม 2556 เวลา 16:51 น. 
แม้วทวีตอยู่ดูไบเย้ยแกนนำพวกอกหัก
"ทักษิณ"ทวีตระบุอยู่ดูไบซัดม็อบอ้างชื่ออดีตทหาร-ตร.เข้าร่วม เย้ยแกนนำแต่พวกอกหักจากตำแหน่ง-ไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ส่งข้อความผ่านทวีตเตอร์ "@ThaksinLive" โดยระบุว่า ขณะนี้พำนักอยู่ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยได้ติดตามความวุ่นวายในกรุงเทพฯรู้สึกเป็นห่วงเพราะได้ดูชื่อแกนนำทีละคน และอดนึกถึงช่วงเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะหลายคนในนั้นเคยรู้จักดี
"มีรายชื่อนายทหารนายตำรวจบำนาญหลายคนที่พวกนี้มันอ้างว่าร่วมด้วยผมไม่เชื่อเพราะชื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีประวัติการทำงานดีเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี พอเช็คไปก็ร้องเสียงหลงหลายคนเพราะไม่รู้เรื่องถูกนักโกหกเหล่านี้เอาชื่อไปอ้างก็มีร่วมจริงก็แต่ผู้ท่ีเคยอกหักจากตำแหน่งท่ีฝันอยากเป็นแต่ไม่ได้"พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
พ.ต.ท.ทักษิณระบุด้วยว่า ที่ไม่ได้ก็เพราะกองทัพเขาไม่รับไม่ใช่ผมมีอคติส่วนตัว แต่ความแค้นแกติดมายาวบางคนตั้งแต่ปี2544บางคนปี2545/46อกหักเพราะมาวิ่งแล้วไม่สำเร็จ
ขณะที่แกนนำอีกหลายคนก็ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน ผมเลยสงสัยว่าจะเป็นม๊อบตังส์ทอนหรือเปล่าเพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยแต่ปชป.ก็เห็นดีด้วย
"ปชป.ต้องอดทนนิดหนึ่งเพราะสมัยที่คุณร่วมกับคนไม่ดีในพรรค ผมโขมยสส. ผมไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารคุณยังใช้เสียงข้างมากแก้รัฐธรรมนูญตามใจคุณมาแล้ว จะมาล้มอะไรกับระบอบทักษิณซึ่งมันไม่มีอยู่จริงบอกประชาชนตรงๆไปเลยว่าอยากเป็นรัฐบาลเต็มทีแล้วกำลังจะลงแดงแล้วแต่แค่นั้นไม่พอเพราะต้องทำงานครับ
"นายกฯก็ประกาศเปิดเวทีเชิญชวนทุกฝ่ายมาร่วมมองไปข้างหน้าด้วยกันว่าเราอยากเห็นประเทศเป็นอย่างไรมีกติกาการอยู่ร่วมกันอย่างไรใครจะรักษากติกา มัวแต่ชี้นิวใส่กันก็ไม่ต้องเริ่มต้นให้ประเทศได้เดินหน้าแล้วลูกหลานจะอยู่ได้อย่างไรกับอนาคตที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกวันมองไปข้างหน้าดีกว่า
"คำหลักของนายกฯในการบอกว่าเราคิดอย่างไรกับประชาธิปไตยใหม่ท่ีตวรจะเป็นคือผู้ชนะต้องไม่กวาดหมด(no winner take all anymore)และ Inclusive not exclusive คือการต้องมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน สุดท้ายต้องไม่อยู่บนพื้นฐานแห่งความหวาดระแวงเพราะประเทศต้องการพลังร่วมของคนในชาติ
"ปชป.รู้สึกเดือดแค้นเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งก็เน้นภาคประชาชนท่ีทั้งเหลืองทั้งแดงที่สำคัญคือมีความไม่ยุติธรรมในระบบก็ควรจะยกโทษให้เสีย"พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

วรชัยเผยถูกล็อบบี้ให้ถอนร่างนิรโทษ

04 สิงหาคม 2556 เวลา 20:32 น. |

วรชัยเผยถูกล็อบบี้ให้ถอนร่างนิรโทษ
"วรชัย"เผย ผู้ใหญ่ในพรรคล็อบบี้ให้ถอนร่างพ.ร.บ.นิรโทษฯ ระบุพร้อมทำตามแต่ให้ออกเป็น พ.ร.ก.แทน
นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหลายกลุ่ม ไม่ขอเข้าร่วมแนวทางการปฏิรูปประเทศไทย ตามแนวทางสร้างความปรองดองที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายก รัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเสนอ จนกว่าจะมีการถอนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกจากสภาฯก่อนนั้น นายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้มาขอร้องให้ตนถอนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกไป เพื่อให้แนวคิดสภาปฏิรูปประเทศไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะถ้าไม่ถอนก็จะไม่มีใครเข้าร่วมวงปฏิรูปประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ และขั้วตรงข้ามรัฐบาล แต่ตนได้ตอบปฏิเสธไปว่าจะไม่ถอนร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวแน่นอน เพราะร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นคนละเรื่องกับเวทีปฏิรูป อีกทั้งผู้ใหญ่ในพรรคหรือคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่มีการส่งสัญญาณมาให้ตนถอนร่างกฎหมายฉบับนี้
อย่างไรก็ตามหากผู้ใหญ่ในพรรคต้องการให้ถอนร่าง ตนก็พร้อมจะถอน แต่ต้องให้ออกเป็นพ.ร.ก.นิรโทษกรรมแทน

"บรรณวิทย์" ลั่นชัดเผด็จศึกรบ.ใน 7 วัน -วงพนันแทง 50/50 ยุบสภากับปฏิวัติ

04-08-13 18:16   
คอลัมน์ : การเมือง
"พล.ร.อ. บรรณวิทย์"  ประกาศกร้าว  ต้องเผด็จศึกล้มรบ. ภายใน 7 วัน -หากปล่อยให้ยึดเยื้อชาติจะเสียหายวันละ 1 พันล้านบาท  จากนโยบายรบ.  
วันนี้ ( 4 ส.ค.)  พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน คณะเสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เปิดเผยว่า การร่วมชุมนุมในครั้งนี้ไม่มีแกนนำ ทุกคนต้องการขับเคลื่อนต่อต้านระบอบทักษิณ โดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเกิดจากการที่รัฐบาลพยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

          "การชุมนุมครั้งนี้คาดว่าจะจบได้ภายใน 7 วัน ไม่สามารถรอได้นานกว่านี้ เพราะหากปล่อยให้ยืดเยื้อประเทศชาติจะเสียหายวันละ 1,000 ล้านบาท จากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล อาทิ กรณีน้ำมันดิบรั่วกลางทะเล รัฐบาลกลับไม่ยอมนำทหารไปช่วยเก็บคราบน้ำมัน อีกสาเหตุที่เชื่อว่าจะจบได้ภายใน 7 วัน เพราะขณะนี้วงการพนันได้เปิดรับแทง 50 ต่อ 50 ระหว่างยุบสภากับเกิดการปฏิวัติ"

บรรณวิทย์ โดดร่วม คณะเสนาธิการร่วม ต้านทักษิณ

วันอาทิตย์ ที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2556, 15.46 น.
เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สวนลุมพินี ได้มีการเปิดตัวคณะเสนาธิการร่วม ประกอบด้วย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ พล.อ.ท.วัชระ ฤธาคณี นายพิเชษฎ พัฒนโชติ โดยมีนายไทกร พลสุวรรณ ขณะเดียวกันได้เปิดตัวเสนาธิการร่วมคนที่7 คือ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ร่วมกันต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมและขับไล่การปกครองระบอบทักษิณ

โน๊ต อุดม "เดี่ยว 10" แซวการเมือง



มุข การเมือง เดี่ยว10 โน๊ต อุดม...ว่าด้วย "ไทยเมืองแห่งการอ่าน แม้แต่นายกฯยังต้องอ่านโพย.."ฯลฯ