PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

เลขาฯปปช.เผยประชุมกรณีแก้รธน.ที่มาส.ว.ไม่ชอบ เตรียมลุ้นป.ป.ช. ฟัน"สมศักดิ์"วันพรุ่งนี้

26 มีค. 18.30 ฟัน"สมศักดิ์"วันพรุ่งนี้
เลขาฯปปช.เผยประชุมกรณีแก้รธน.ที่มาส.ว.ไม่ชอบ เตรียมลุ้นป.ป.ช. ฟัน"สมศักดิ์"วันพรุ่งนี้
8.30 น. เลขาธิการ ป.ป.ช.เผยเป็นไปได้ชี้มูลถอดถอน"สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์"กรณีแก้ รธน.ที่มาส.ว.มิชอบภายในสัปดาห์นี้ ส่วน308ส.ส.-ส.ว.คาดชี้มูลต้น เม.ย.

ผบ.พล.1เผยทหารยอมถอยบังเกอร์หลังแดงบุกรื้อ ชี้ม็อบไม่มีสิทธิ์ไล่ทหาร

ผบ.พล.1เผยทหารยอมถอยบังเกอร์หลังแดงบุกรื้อ ชี้ม็อบไม่มีสิทธิ์ไล่ทหาร เตรียมปรับแผนใช้ลาดตระเวนแทน
วันที่ 26 มี.ค. พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1รอ.) กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ได้รื้อบังเกอร์และเต้นท์ของเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการมวลชน ซึ่งเป็นของกองพลทหารราบที่ 9 ที่ประจำการอยู่บริเวณสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า มวลชนกลุ่มดังกล่าวไม่ต้องการให้ทหารตั้งบังเกอร์ ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารต้องขยับบังเกอร์ออกมาโดยหลังจากนี้จะปรับมาตรการใช้การลาดตระเวนด้วยรถจักรยานยนต์แทนการตั้งจุดปฏิบัติการที่เป็นลักษณะถาวร ซึ่งการที่ทหารไปตั้งจุดบริเวณดังกล่าว เนื่องจากพบว่าเป็นจุดเสี่ยงที่คนร้ายอาจจะยิงเอ็ม 79 ใส่สำนักงานป.ป.ช.ได้ อย่างไรก็ตามหากพูดตามหลักกฎหมายแล้วกลุ่มมวลชนดังกล่าวไม่มีสิทธิ์มาไล่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แต่ทหารไม่อยากมีปัญหาก็เลยถอนตัวออกมาแล้วและหลังจากนี้อาจจะไม่ตั้งจุดปฏิบัติการที่เป็นลักษณะถาวร แต่จะเน้นการลาดตระเวนแทน


จักรภพ เพ็ญแข:วามดื้อรั้นที่ไม่ยอมนั่งสนทนาอย่างเปิดใจเรื่องสำคัญเรื่องนี้กันอย่างสงบในครั้งนั้นไม่ใช่หรือ ที่นำมาสู่วิกฤติแห่งรัฐจนอาจต้องเผชิญหน้ากันอย่างแรงในวันนี้.

ขณะที่ฝ่ายอำมาตย์ศักดินาหลับหูหลับตาตะโกนว่า ๑. โกง ๒. ล้มเจ้า ๓. ประชาชนโง่เขลา และสมควรเป็นขี้ข้าอำมาตย์ศักดินาต่อไปนั้น นั้น อะไรคือข้อเสนอในการพัฒนารัฐและเศรษฐกิจของเขาเล่า?
เท่าที่ฝืนใจฟังมาตลอด เขาก็มีแนวทางเดียวคือ เอาอำนาจมาคืนอำมาตย์ศักดินาเสียก่อน ภายใต้คำว่าปฏิรูปการเมือง ไปจนกว่าฝ่ายเขาจะวินิจฉัยว่าประชาชนฉลาดพอแล้ว จึงจะคิดคืนอำนาจรัฐที่เป็นของประชาชนตั้งแต่ต้น ให้กับประชาชนอีกครั้ง
กปปส. วุฒิสภา ศาล และองค์กรอิสระต่างๆ ไม่เคยเปิดเผยว่าใครคือผู้นำสูงสุดในการชี้นำทิศทางของรัฐในระหว่างการปฏิรูปการเมืองตามแบบของเขา
เมื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขึ้นเวที ประกาศเดินไปสู่ “ระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างสมบูรณ์” คงหมายถึงรูปแบบเช่นนี้ ปวงชนชาวไทยจึงควรรู้เท่าทันและกำหนดใจเสียตั้งแต่บัดนี้ว่า “การปฏิรูปการเมือง” ของระบอบอำมาตย์ศักดินาครั้งนี้ ก็มีความหมายที่ไม่แตกต่างจาก การรื้อฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่มาตรฐานของผู้นำเก่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นั่นคือเท่ากับปลายรัชกาลที่ ๕ อำนาจของกษัตริย์ “อันสมบูรณ์” ก็หมายความถึงอำนาจทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจธุรกิจ วิวัฒนาการของสังคม วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ
ระบอบเดิมของไทยยังมีความต้องการเช่นนี้ ในขณะที่โลกทั้งโลก และอารยธรรมของมนุษยชาติทั้งมวล เขาเคลื่อนตัวไปอีกทิศทางหนึ่ง สู่ภาวะที่ปวงชนของรัฐและในระบบเศรษฐกิจมีอำนาจขึ้นเรื่อยๆ ในการกำหนดใจตนเอง และพาตัวให้พ้นจากลัทธิพึ่งพา หรือระบบอุปถัมภ์โดยเด็ดขาด ก็ด้วยเหตุนี้เองล่ะครับ ผมจึงได้ปักธงเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๐ จนกลายเป็นคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ติดตามมา ก็ความดื้อรั้นที่ไม่ยอมนั่งสนทนาอย่างเปิดใจเรื่องสำคัญเรื่องนี้กันอย่างสงบในครั้งนั้นไม่ใช่หรือ ที่นำมาสู่วิกฤติแห่งรัฐจนอาจต้องเผชิญหน้ากันอย่างแรงในวันนี้.


“สุริยะใส” ชี้ ป.ป.ช.ชี้มูลยิ่งลักษณ์ ต้องพ้นสภาพทั้ง ครม.

“สุริยะใส” ชี้ ป.ป.ช.ชี้มูลยิ่งลักษณ์ ต้องพ้นสภาพทั้ง ครม. เหตุนโยบายรับจำนำข้าวแถลงต่อสภาฯ ส่งผลให้ครม.ต้องรับผิดชอบ การที่ กวป.รุกกดดันและคุกคาม ป.ป.ช.แรงขึ้นหนักขึ้นทั้งบนดิน และใต้ดินในขณะนี้เพราะเครือข่ายระบอบทักษิณคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า โอกาสที่ ยิ่งลักษณ์เมื่อวันที่ 26 มี.ค.นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนและกรรมการ กปปส. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเส่วนตัว โดยระบุว่า“ ป.ป.ช.ชี้ มูล ยิ่งลักษณ์ ต้องพ้นสภาพทั้ง ครม.! ” ว่า คนเสื้อแดงในนาม กวป.รุกกดดันและคุกคามป.ป.ช.แรงขึ้นหนักขึ้นทั้งบนดินและใต้ดินในขณะนี้เพราะเครือข่ายระบอบทักษิณคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า โอกาสที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทุจริตโครงการจำนำข้าวนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะ เป็นประธาน กขช. สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของนายพิชิต ชื่นบานหัวหน้าทีมกฎหมายรัฐบาล ที่ระบุว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาและ ครม.ไม่ใช่ความรับผิดชอบของคนใดคนหนึ่ง

ณัฐวุฒิ ใสยเสื้อ ปูด 18 รายชื่อติดโผนอมินี รมต.กปปส

.
(26 มี.ค.57) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ และ แกนนำกลุ่ม นปช. ได้เปิดเผยรายชื่อที่มีการคาดการณ์ว่าจะนำเสนอให้เป็นคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีคนกลางของกลุ่ม กปปส. ผ่านทางช่องสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายพลากร สุวรรณรัฐ รวมทั้ง ดร.เสรี วงษ์มณฑา ด้วย

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ชี้แจงเกี่ยวกับการออกมาปฏิเสธรับตำแหน่งทางการเมืองของ นายวิกรม กรมดิษฐ์ ว่า ท่าทีของ นายวิกรม แสดงออกได้ชัดเจนว่าถูกทาบทามจริง ซึ่งต้องออกมาปฏิเสธแน่นอนอยู่แล้ว เพราะอาจจะถูกโยงไปถึงคำถามต่อไปที่ว่า ใครเป็นผู้มาทาบทามตำแหน่งให้กับ นายวิกรม

ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ยังเปิดเผยรายชื่อผู้ที่มีการคาดการณ์ว่าจะได้เป็นคณะรัฐมนตรีคนกลาง ไม่ว่าจะเป็น นายพลากร สุวรรณรัฐ, ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล, นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์, นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์, ดร.เสรี วงษ์มณฑา, น.ต.ประสงค์ สุ่นศริ, นายแก้วสรร อติโพธิ, นายทวี สุรฤทิธิกุล, นายสมคิด เลิศไพฑูรย์, นายบรรเจิด สิงคะเนติ, นพ.ประเวศ วะสี, นายทนง พิทยะ รวมทั้ง นายประมนต์ สุธีวงศ์ ที่อาจจะมีดูแลด้านเศรษฐกิจ และ นายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์

นายณัฐวุฒิ ยังระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ก็เป็นหนึ่งคนที่ถูกทาบทามเช่นกัน หลังจากที่เคยให้สัมภาษณ์ว่ามีคนพยายามยัดเยียดให้เป็นอัศวินขี่ม้าขาว ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาล นายกฯ อภิสิทธิ์ ก็มีการทาบทามเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ได้แสดงท่าทีปฏิเสธแล้ว พร้อมกับประกาศให้รักษาสัจจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดตั้งนายกฯ ไม่ชอบธรรมครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม นายณัฐวุฒิ ได้กล่าวอีกว่า สำหรับตำแหน่งรัฐฏาธิปัตย์ของประเทศไทย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คงเป็นเต็งหนึ่งที่จะมีอำนาจสูงที่สุด เหนือนิติบัญญัติ-ตุลากร สามารถสั่งจับสั่งขังและเนรเทศใครก็ได้ เนื่องจาก นายสุเทพ มักกล่าวอยู่บ่อยๆ ว่า ปฏิรูปประเทศเป็นรัฐฏาธิปัตย์และสั่งเนรเทศ-ยึดทรัพย์จากตระกูลชินวัตร


"พุทธะอิสระ"ปูดรัฐบาลเร่งปิดเกม สลายม็อบก่อน เม.ย.เวทีแจ้งวัฒนะตกเป็นเป้า เล็งใช้ทฤษฎีมะม่วงหล่น รุกไล่รัฐบาล 29 มี.ค.นี้

หลวงปู่ "พุทธะอิสระ"
วันที่ 26 มีนาคม 2557 15:58 น.


แจ้งวัฒนะ 26 มี.ค.57 - "พุทธะอิสระ"ปูดรัฐบาลเร่งปิดเกม สลายม็อบก่อน เม.ย.เวทีแจ้งวัฒนะตกเป็นเป้า เล็งใช้ทฤษฎีมะม่วงหล่น รุกไล่รัฐบาล 29 มี.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)นำโดยนายนิติธร ล้ำเหลือ และนายอุทัย ยอดมณี เข้าพบหลวงปู่พุทธะอิสระที่เวทีแจ้งวัฒนะ ภายหลังนำมวลชนคปท.เข้ายื่นเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลที่กองทัพไทยเพื่อให้กองทัพไม่ให้การสนับสนุนรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม โดยนายนิติธรและนายอุทัยใช้เวลาเข้าพบและหารือกับหลวงปู่ฯเกี่ยวกับการกำหนดการเคลื่อนไหวใหญ่ของกปปส.ในวันที่ 29 มี.ค. นี้ และมีการขึ้นเวทีพบปะกับมวลชนกปปส.แจ้งวัฒนะ เพื่อประกาศให้มวลชนเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวใหญ่


หลวงปู่ฯ เปิดเผยว่า นายนิติธรหารือถึงการเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งของกปปส.ในวันที่ 29 มี.ค. ว่าต้องการที่จะเคลื่อนไหวอย่างมีเป้าหมาย ไม่ต้องการให้มวลชนเคลื่อนไหวเสียเที่ยวซึ่งอาตมาก็เห็นด้วยว่าหากจะเคลื่อนไหวก็ต้องให้มวลชนได้ประโยชน์ การเดินขบวนอย่างเดียวแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่สามารถทำให้ยุติปัญหาได้ ทั้งนี้ ในการเดินขบวนครั้งใหญ่ได้หารือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. แล้วว่าอาตมาจะไม่นำมวลชนร่วมขบวนไปกับนายสุเทพ แต่จะแยกกันเดิน โดยมีเป้าหมายการเคลื่อนไหวในละแวกแจ้งวัฒนะ ซึ่งครั้งนี้จะไม่มีการนำข้าวเปลือกไปขายอีกเพราะขณะนี้มีการตั้งโรงสีข้าวและจำหน่ายข้าวได้เองแล้ว ดังนั้นการเคลื่อนไหวรอบหน้าจะมีวิธีการใหม่ให้ติดตาม


อย่างไรก็ตามการที่ไม่เคลื่อนไหวไกลจากพื้นที่ชุมนุมมากนักส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับรายงานว่าพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เตรียมการนำกำลังเข้าสลายการชุมนุมและจับกุมอาตมาให้ได้ พร้อมกันนี้ระบุว่าร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงานและผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) และพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เลขานุการรมว.แรงงาน ได้เดินทางไปพบกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีการหารือเพื่อกำจัดเวทีแจ้งวัฒนะด้วย


หลวงปู่ฯ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังมีการเคลื่อนไหวเพื่อเร่งปิดเกมส์ให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่ต้องเร่งปิดเกมส์ให้ได้ก่อนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะชี้มูลคดีรับจำนำข้าวของรัฐบาล หากปล่อยให้ป.ป.ช.ชี้มูลรัฐบาลจะตกที่นั่งลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะจะไม่มีอำนาจในการบริหารงาน ทำงบประมาณไม่ได้ กู้ยืมเงินก็ไม่ได้ จะยิ่งทำให้ปัญหารุมเร้า ล่าสุดกลุ่มเกษตรกรปลูกมันสำปะหลัง ยางพารา และข้าวโพดเตรียมออกมาเคลื่อนไหวหลังราคาผลผลิตตกต่ำ


ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสการตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง หลวงปู่ฯ กล่าวว่า อาตมาไม่สนใจว่านายกฯคนกลางจะมาจากฝ่ายไหน เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายให้มี 3 สภาสำคัญที่เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดประกอบด้วย สภาศีลธรรมและคุณธรรม สภาชาวนาและสภาพลังงาน ซึ่งหากรัฐบาลชุดปัจจุบันยอมรับข้อเสนอ 3 สภาดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้จริงและออกมาแถลงยอมรับว่าดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวผิดพลาด และรับปากจะแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น อาตมาก็รับได้และจะยุติการเคลื่อนไหวนำมวลชนกลับทันที ขอเพียงให้มีสำนึกรับผิดชอบว่าไม่ว่าฝ่ายใดจะเข้ามาก็รับได้หมด
ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่พรรคพวกมากจนเกินไป ผลประโยชน์ที่กั๊กเอาไว้ยอมปล่อยออกมาให้เป็นผลประโยชน์ของชาติของแผ่นดิน เขาก็น่าจะมีสิทธิที่จะอยู่บนแผ่นดินนี้เท่าเทียมกับคนอื่นเหมือนกัน ซึ่งการเคลื่อนไหวในวันที่ 29 มี.ค. จะเคลื่อนไหวตามทฤษฎีมะม่วงหล่น เพราะขณะนี้รัฐบาลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกงอมจนร่วงจากต้น แต่ยังไม่เน่าจึงต้องไปจัดการให้เน่าหรือเละคามือ ขอรับรองว่าการเคลื่อนไหวจะไม่ล้มเหลวเหมือนการเคลื่อนไหวของกลุ่มกปปส.นนทบุรี ที่เคลื่อนไหวอิสระ ไม่ฟังใคร ทำให้ภาพลักษณ์ของกปปส.ทั้งหมดเสียหาย แม้กระทั่งพระก็โดนทำร้ายไปด้วยหลวงปู่ฯ กล่าว
หลวงปู่ฯ กล่าวอีกว่า ในสัปดาห์หน้ากลุ่มชาวนาที่ปักหลักชุมนุมที่กระทรวงพาณิชย์จะเข้ามาสมทบกับกปปส.เวทีแจ้งวัฒนะเป็นการถาวรเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม...

ผบ.ทบ. กรณีตร.บุกค่ายทหารเสือราชินี

จำนน ด้วยหลักฐาน ? //
เสียงอ่อย...
"พล.อ.ประยุทธ์” ยอมรับ ตำรวจยิง "สิบเอก" ตาย ในค่าย นวมินทร์ฯ ต้องมีสาเหตุ แต่กำลังสอบสวน ตร.ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ เผยพยายามกำจัดทหารไม่ดี ออกจากกองทัพให้ได้ เปรยตำรวจ ติดงานอื่นมาก เลยมีกำลังปราบยาเสพติดน้อยลง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมทหารในค่ายนวมินทรฯ จ.ชลบุรี จนทำให้ ส.อ.อารยะ หาญกล้า สารวัตรทหาร มทบ.14 เสียชีวิต จนทำให้ทหารไม่พอใจนั้น ว่า ต้องไปตรวจสอบว่าเขาถูกยิงด้วยอะไร แต่มีสาเหตุอยู่ ซึ่งอาจจะมีการกระทำที่ผิดกฎหมาย และต้องไปดูว่าการปฎิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ารุนแรงเกินกว่าเหตุหรือไม่ ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาเขาก็ดูแลอยู่แล้ว
"ต้องยอมรับว่าคนมีทั้งดีและไม่ดี เราก็พยายามกำจัดคนไม่ดีออกจากกองทัพให้มากที่สุด แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องก็มาติดอยู่ที่งานอื่นๆ ทำให้เรื่องการปราบปรามยาเสพติดลดลงไป โจรผู้ร้ายเพิ่มขึ้น" ผบ.ทบ.กล่าว - Wassana Nanuam


กรณี งบ100ลเาน สสส.สู่สำนักข่าวอิสราและสมาคมนักข่าว

หลังจากเรื่องแดงมา 1 สัปดาห์ "รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล อดุลยานนท์" ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม (สสส.) พึ่งตั้งหลักได้ รีบออกมา "แก้ตัว" ...เอ้ย!!! .. "ชี้แจง" ยกใหญ่
ลองอ่านให้ "ครบทุกบรรทัด" แล้วจะรู้ว่า "ระหว่างบรรทัด" นั้น "สสส." นิยาม "สุขาภาวะ" โคตรครอบจักรวาล !!!
http://www.phranakornsarn.com/democrat/3170.html
อ้าง“สุขภาวะ”เข้าไว้ได้แน่!! “นักวิชาการ”ชี้กลวิธีของบฯ“สสส.”ยุคปกครองโดย“หมอแก๊งค์ใหญ่” ซัด “บิ๊กมูลนิธิพัฒนาสื่อฯ” แบ่งชนชั้นข้อมูลข่าวสาร
http://www.phranakornsarn.com/cockroach/3157.html
หุบปากเงียบ!!“บิ๊กมูลนิธิสื่อฯ”ปัดตอบกวาดงบฯ สสส.เฉียดร้อยล้าน เจอ“ใบตอบแห้ง”แฉซ้ำ“สมาคมนักข่าว-อิศรา”เตรียมของบฯโครงการรอบปีใหม่อีก ปูด”วงใน”แตกกันเละ!!
http://www.phranakornsarn.com/democrat/3144.html
ชำแหละ อิศรา-สสส.โยง ลัทธิประเวศ! “ใบตองแห้ง”ถาม “ฟาดกันไปเท่าไร?” จี้แจง “บัญชีทรัพย์สิน” เผยบทความปี 54 แฉเทคนิค “งาบเบี้ยประชุมสมาคมสื่อ”!!
http://www.phranakornsarn.com/sukhumbhand/3119.html
หลุด เอกสารประวัติรับทุน “สสส.”หึ่ง “สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อฯ”ผูกขาด 7ปีต่อเนื่อง อ้าง “สื่อสารสุขภาวะ”ถลุงไม่ต่ำ 96ล้าน จับตา “ขัดวัตถุประสงค์กองทุน”หรือไม่ ?


คปท.ยื่นนส.ทบ.พฤติกรรมรัฐบาล

15.20 น. คปท.ยื่นหนังสือผ่าน พล.ต.พลภัทร วรรณภักษ์ เลขาธิการกองทัพบก ในหนังสือระบุดังนี้..
1.)พฤติกรรมความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ และความสำคัญในการปฏิรูปประเทศ
2.)ความผิดและการสิ้นสภาพรักษาการของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งในทางการเมืองและทางกฏหมาย
3.)เหตุผลอละความจำเป็นที่กองทัพต้อสนับสนุน กระบวนการปฏิรูปประเทศเชิงปฏิวัติโดยประชาชน เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในทุกๆด้าน


การแต่งตั้งโยกย้ายทหาร เดือน เม.ย.57

การแต่งตั้งโยกย้ายทหาร เดือน เม.ย.57
ตำแหน่งที่น่าสนใจในการปรับย้ายครั้งนี้ ประกอบด้วย

-พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพน้อยที่ 1 (ตท.15) ที่เป็นนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ และเคยพลาดหวังจากการขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 มาถึง 2 ครั้งจะได้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แทนพล.ท.สกล ชื่นตระกูล แม่ทัพภาคที่ 4 ที่จะขยับเข้ากินอัตราพลเอกในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก

-พล.ท.พิสิทธิ์ สิทธิสาร(ตท.17) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก จะขยับขึ้นมาเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1
-พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ (ตท.18) ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์(ผบ.พล.1รอ.) ที่ขณะนี้เป็นผบ.กองกำลังทหารควบคุมการดูแลรักษาความปลอดภัยภายในกรุงเทพฯจะขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1
-พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ (ตท.20) ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 15 (ผบ.มทบ.15) ลูกชายพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.)จะกลับมาเป็น ผบ.พล.1 รอ.

ในส่วนของกองทัพเรือ มีตำแหน่งที่น่าสนใจคือ การปรับย้าย พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ (ตท.16) ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) หรือ ผบ.หน่วยซีล ออกจากตำแหน่ง ภายหลังที่พล.ร.ต.วินัย ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล จนทำให้นายกรัฐมนตรีและกองทัพเรือเกิดความไม่สบายใจ อีกทั้งยังมีกระแสข่าวว่า พล.ร.ต.วินัย ให้การสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มกปปส.ด้วย

เพื่อลดแรงกดดันจากรัฐบาล พล.ร.อ.ณรงค์ พัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ปรับย้ายพล.ร.ต.วินัย ที่ดำรงตำแหน่งผบ.นสร.มานาน 3 ปี 6 เดือนออกจากตำแหน่ง ให้ไปกินอัตราพลโทในตำแหน่ง ผู้ทรงคุณพิเศษกองทัพเรือ และเนื่องจากยังหาคนในที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งไม่ได้จึงโยก พล.ร.ต.ยุจ พิจิตรชุมพล หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ (ตท.18) ผบ.กองเรือยุทธการ ที่เคยดำรงเป็นทั้งรองผบ.นสร. และเสธ.นสร.ลงมาเป็น ผบ.นสร. เพื่อเป็นการขัดตาทัพไปก่อน

“สมจิตต์” ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง “สรยุทธ”

“สมจิตต์” ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง “สรยุทธ”

On March 26, 2014
0
สมจิตต
 (26 มี.ค. 57) นางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสายการเมือง ของสำนักข่าวหนึ่ง ได้มีจดหมายเปิดผนึกถึงนายสรยุทธ สุทัศนจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง โดยระว่า
“จดหมายเปิดผนึกถึง คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา
เราต่างรักในวิชาชีพสื่อสารมวลชนใช่ไหม?
ดิฉัน สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวการเมือง (เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสังกัด) ในฐานะสื่อมวลชน แม้จะไม่เคยรู้จักคุณสรยุทธ เป็นการส่วนตัว แต่สิ่งที่ได้เห็นคุณสรยุทธ แสดงออกเสมอมาคือความรักในวิชาชีพสื่อสารมวลชน ไม่ว่าวันนี้จะยังเป็นกรรมกรข่าวหรือเศรษฐีค้าข่าว แต่จิตวิญญาณแห่งวิชาชีพน่าจะยังคงอยู่ นอกจากว่าที่ผ่านมาสิ่งที่ทำทั้งหมดเป็นเพียงแค่การเสแสร้งสร้างภาพ ซึ่งดิฉันคิดว่าคุณสรยุทธ ย่อมมีความซื่อสัตย์ต่อประชาชนที่ศรัทธาและโอบอุ้มคุณสรยุทธ โดยไม่ควรแม้แต่จะคิดทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน
การที่คุณสรยุทธ ตอบโต้แถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิก หลังจากถูกทวงถามด้านจริยธรรมกรณีถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่ายักยอกเงินค่าโฆษณาอสมท. 138 ล้านบาท ด้วยการให้พิจารณาตัวเองจากการทำหน้าที่พิธีกรเล่าข่าวนั้น ถือเป็นการทำร้ายวิชาชีพสื่อสารมวลชนอย่างเลือดเย็นยิ่ง เพราะเท่ากับว่า คุณสรยุทธ ซึ่งมีอิทธิพลต่อสังคมไทยอย่างมากกำลังทำให้คนเข้าใจว่า คนวงการสื่อไม่ยอมรับการตรวจสอบ ไร้ซึ่งจริยธรรมที่จะแสดงตนเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคมไทย
ถามคุณสรยุทธง่าย ๆ ว่า นักเล่าข่าวที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าทุจริต จะตรวจสอบนักการเมืองที่ทุจริตได้อย่างไร
นักเล่าข่าวที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าทุจริต จะกล้าเรียกร้องให้นักการเมืองที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าทุจริตแสดงสปิริตด้วยการหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือไม่
นักเล่าข่าวที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าทุจริต แต่ยังคงมีสถานะทางสังคมโดยไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ ใด ๆ จะสร้างค่านิยมแบบไหนให้กับประเทศชาติของเรา?
ค่านิยมที่สังคมยอมรับการโกงว่าเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ทำ และยังได้ดิบได้ดีไม่ถูกลงโทษจากสังคมจึงไม่จำเป็นต้องมีความละอายต่อบาป เพราะทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปอย่างนั้นหรือ?
หน้าที่ของสื่อมวลชนส่วนหนึ่ง คือ การชี้นำสังคมให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ถ้าวันนี้คุณสรยุทธ ซึ่งเป็นสื่อมวลชนที่คนไทยให้การยอมรับอย่างมาก ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน ก็เท่ากับกำลังบ่มเพาะความไม่ละอายต่อบาปให้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมนี้ จนเห็นการทำความผิดเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เรื่องที่ต้องประนาม
แม้คดีนี้จะยังไม่มีบทสรุปในชั้นศาล แต่องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.ได้ชี้มูลแล้ว การแสดงออกให้เห็นว่า “จริยธรรมอยู่เหนือกฎหมาย” จะทำให้คุณสรยุทธ “เป็นเรื่องเล่าระดับตำนานให้คนในแวดวงสื่อสารมวลชนได้กล่าวขานถึงว่า เป็นสื่อมวลชนที่มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพของตัวเองและไม่ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”
จดหมายเปิดผนึกจากนักข่าวตัวเล็ก ๆ อาจไม่มีความหมายอะไรเลยต่อการตัดสินใจของคุณสรยุทธ แต่ดิฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยหวังว่าจะจุดประกายเล็ก ๆ ให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงสื่อสารมวลชนได้ช่วยกันไตร่ตรองดูว่า เราจะไม่ทำอะไรเพื่อรักษาวิชาชีพที่เรารักเลยหรือ?
เราต่างรักในวิชาชีพสื่อสารมวลชนใช่ไหม?
และอย่าจำนนกับความคิดที่ว่า “เราทำไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ทำ”
สมจิตต์ นวเครือสุนทร
ผู้สื่อข่าวสายการเมือง”

กองกำลังชายชุดดำของ"ชัยสิทธิ์"


Siriwanna Jill เพิ่ม 7 รูปภาพใหม่
พระเจ้าช่วยลูกช้างด้วย ภาพพวกนี้ น่ากลัวมาก บิ๊กตู่ และ มทภ 2 เห็นหรือยังเจ้าคะ พี่ใหญ่ตระกูลชินวัตร พร้อมกี้ตะกายตึก ไปตรวจเยี่ยมกำลังพล นปต.57 เมื่อวันที่ 25 มีค. เวลา 1030 น. ที่ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ โดยมีพี่น้อง ผรท. อปพร. คนเสื้อแดงหลากหลายกลุ่ม อดีตทหารพราน และทหารพรานกว่า 4 พันคน ให้การต้อนรับ โดยมวลชนทั้งหมด ได้มีการจับมือ รวมกลุ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในนาม แนวร่วมปกป้องประชาธิปไตย (นปต.57) เพื่อร่วมกันปกป้อง รัฐบาลตระกูลชิน และจะร่วมกันต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ .....เหมือน กกล. พคท ติดอาวุธเลย เวปแดงดีใจกันยกใหญ่ เอาไปเผยแพร่ พร้อมบอกต่อกันว่า เรามีกองกำลังใต้ดินของเราแล้ว เหมือนดวงแก้วที่ 3 ....... ชายชุดดำ !!








ไทกร พลสุวรรณ:แดงเตรียมแห่ศพ ตู่,เต้น..!!!


แดงเตรียมแห่ศพ ตู่,เต้น..!!!
เมื่อกระแสแดงทั้งแผ่นดินปลุกไม่ขึ้น ท่านแม้ว ดูไบ จึงยอมให้พวกซ้ายจัดขึ้นมาคุมเกมส์ แผนการสร้างมิคสัญญีกลียุคก็เริ่มขึ้น
พวกซ้ายจัด"มโน"ถึง
"การปฏิวัติฝรั่งเศส 1789"
"การปฏิวัติรัสเซีย 1917 ของบอลเชวิก"
"การปฏิวัติจีน 1911 ของ ดร.ซุน"
"การปฏิวัติจีน 1949 ของเหมา"
ทุกครั้ง ล้วนแต่ต้องใช้ความรุนแรงเป็นเชื้อไฟในการปฏิวัติทั้งสิ้น
-กองกำลัง 800 กว่าคนของโป๊ะ
-กองกำลัง 300 กว่าคนของดำน้องชายของญาติดองท่านแม้ว ดูไบ
-กองกำลัง 50 กว่าคน ลูกน้องเก่าของเสธ.แดง
ทุกกลุ่มถูกเรียกเข้าประจำฐานในพื้นที่รอบๆกรุงเทพฯ เตรียมปฏิบัติการสร้างสถานการณ์มิคสัญญีกลียุค ตามวันเวลาที่นัดหมาย ภารกิจนี้เพื่อผลักดันให้เกิดการลุกขึ้นสู้ครั้งสุดท้าย เหตุกระแสแดงจุดไม่ติด พวกซ้ายจัดสรุปว่า"กระแสแดงยังไม่ขึ้นสู่กระแสสูง" โดยแบ่งเป็น 3 ภารกิจ
1.ปลุกเสื้อแดงให้ลุกขึ้นสู้กับฝ่ายตรงข้าม โดย
1.1 ยกระดับการทำร้ายและก่อวินาศกรรมต่อแกนนำแดง นักวิชาการแดง แล้วให้สื่อในเครือข่ายสร้างกระแสแล้วโยนความผิดให้อำมาตย์ว่าสั่งทหารและ กปปส.ทำร้ายคนเสื้อแดง
1.2 เพิ่มความเข้มข้นในการทำร้าย ทำลาย ก่อวินาศกรรมต่อ คณะกรรมการ ปปช.และแกนนำของ กปปส. ทั้งเป้าหมายตัวบุคคลและสถานที่
2.สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นกับฝ่ายศัตรูของระบอบทักษิณ โดยให้ทีมชายชุดดำลงมือทำร้ายผู้จัดรายการคนสำคัญของ ASTV คาดการณ์ว่าเป้าหมายน่าจะเป็นลูกชายของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อโยนความผิดว่าฝ่ายทหาร หรือ กปปส.เป็นคนทำ ตามยุทธวิธีแบ่งแยกมวลชนฝ่ายศัตรู
3.ข่มขู่ให้กองทัพ และบุคคลระดับสูงกลัว แล้วยอมเจรจากับท่านแม้ว ดูไบ โดย
3.1 ก่อวินาศกรรมในภาคเหนือ พื้นที่เป้าหมาย เชียงใหม่ และ พิษณุโลก เพื่อ"ตบหน้า"แม่ทัพภาคที่ 3 น้องชายของพลเอกประยุทธ์
3.2 เตรียมทำคาร์บอม(เหมือนกรณีซอยแจ้งวัฒนะ 13)ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน เป้าหมายเพื่อส่งสัญญานไปยังสากลว่า เหนือและอีสาน คือพื้นที่"ปลดปล่อย" โดยให้แดงอิสระในจังหวัดต่างๆเป็นคนทำ
ส่วนการเคลื่อนขบวนของแดง นปช.ให้การ์ดของแรมโบ้และ ส.รับรอง ทำหน้าที่คุ้มกันม็อบ
สายลับยืนยันว่าที่ประชุมของพวกซ้ายจัดเห็นชอบว่า เมื่อถึงวันเวลานัดหมาย อารมณ์ของมวลชนพร้อม ให้ลงมือเด็ดชีพแกนนำแดง โดยวิธีการ"เป่าสมอง"เหมือนที่ทำกับเสธ.แดง ที่ต้องทำเพราะจำเป็นต้องทำ..!!! แล้วโยนความผิดให้อำมาตย์ว่าสั่งทหารฆ่าแกนนำแดง เพื่อสร้างความโกรธแค้นให้มวลชนเสื้อแดง
สุดท้ายจึงอยากจะฝากไปถึงแกนนำแดงทั้งหลายว่า อะไรที่ยังไม่ได้ทำ ให้รีบทำเสีย อาหารอะไรที่อร่อย ที่ชอบ ก็ให้รีบกินเสีย ไม่ต้องรอให้เขาทำบุญไปให้ และผมขออโหสิกรรมในเรื่องที่แล้วๆมาด้วย


"มติชน" ถาม "ผอ.อิศรา"ตอบ! ปมรับงบ "สสส."-จ้องเล่นนักการเมืองบางฝ่าย

"มติชน" ถาม "ผอ.อิศรา"ตอบ! ปมรับงบ "สสส."-จ้องเล่นนักการเมืองบางฝ่าย

เขียนวันที่
วันอาทิตย์ ที่ 23 มีนาคม 2557 เวลา 08:57 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
"..สุขภาวะ คือ ร่างกาย สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพจิต เกิดจากอะไรบ้าง ถ้าคุณไปดู สื่อเลวๆ เนื้อหาเลวๆ เนื้อหาไม่ดี สุขภาพจิตเสียไหม ก็เสียถูกไหม ฉะนั้น เราก็ต้องคิดว่า เนื้อหาของสื่อ ต้องมีคุณภาพ การมีคุณภาพคือ คนต้องมีคุณภาพ .."
mtc

หมายเหตุ: เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 "นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์" ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ "ฟ้ารุ่ง ศรีขาว" มติชนทีวี ถึงประเด็น  "มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนฯ" ต้นสังกัด "สำนักข่าวอิศรา" ได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. มียอดรวมเกือบร้อยล้านใน 8 ปี
โดยนายประสงค์ เป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ที่รับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณจาก สสส. โดยรับผิดชอบ 5 โครงการ จาก 14 โครงการ 
เนื้อหาคำสัมภาษณ์มีรายละเอียดดังนี้ 
-ความสัมพันธ์ ระหว่าง สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย สถาบันอิศรา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นอย่างไร
มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนนั้น ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยสมาคมนักข่าวและ สภาการหนังสือพิมพ์ เพราะเห็นว่าคนในวงการวิชาชีพข่าวทั้งระบบ หมายถึงองค์กรสื่อมวลชนเจ้าของหนังสือพิมพ์ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมพนักงาน ขณะที่ระบบราชการเอกชนอื่น ให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมพนักงาน ให้ความรู้สม่ำเสมอ แต่ในวงการสื่อให้ความสำคัญน้อยมาก "ไม่ลงทุน ว่างั้นเถอะ"
สมาคมนักข่าวก็เห็นว่า เรื่องนี้ควรมีการฝึกอบรม ก็เริ่มมาตั้งแต่ปี 2535 แต่ก็ยังไม่เป็นระบบ ทำระยะสั้นจุ๊กจิ๊ก ทางสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่ง คุณสมหมาย ปาริจฉัตต์ เป็นประธาน นายกสมาคมนักข่าวช่วงนั้น ก็เห็นว่า ควรจะมีการฝึกอบรมระยะยาว ให้กับสมาชิก หรือ คนในวงการเพื่อจะได้พัฒนาวงการ ไม่ใช่ทำงานอยู่หน้าจอ อยู่หน้าโต๊ะ ไม่ได้ไปไหน กลายเป็นม้าลำปางไป จึงทำหลักสูตรขึ้นมา
พร้อมกับตั้งมูลนิธิขึ้นมา โดยสภาการหนังสือพิมพ์ กับสมาคมนักข่าว ให้ทุนประเดิมในการตั้งมูลนิธิ ถ้าจำไม่ผิดคนละแสน เพราะ การตั้งมูลนิธิต้องมีทุนประเดิม 2 แสน มีผู้ใหญ่ทั้งนั้นประชุมปีละหน ดังนั้นเพื่อความต่อเนื่อง สถาบันอิศราจึงเอารูปแบบจาก ทีดีอาร์ไอ ตั้งเป็นสถาบันเพื่อจะได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ส่วนมูลนิธิก็ประชุมปีละหนตามสภาพ
สำหรับโครงสร้างสถาบันอิศราก็มีกรรมการบริหารคอยมาดูผู้อำนวยการว่าทำตามเป้าหมายหรือไม่ผมก็มีประชุมทุกเดือนผมก็ต้องรายงานว่าทำอะไรไปบ้างใช้เงินเท่าไหร่การเงินเป็นอย่างไร ผมก็ต้องรายงานในส่วนการเงิน เพื่อให้มีความชัดเจนแน่นอน ผมก็จ้างนักบัญชี ให้เจ้าหน้าที่แต่ละโครงการ ส่งการใช้จ่ายเงินมาที่นักบัญชีเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ทุกเดือนต้องทำสรุป จ่ายอะไรไปบ้าง เหลือเงินเท่าไหร่ รายได้เท่าไหร่ รายรับเท่าไหร่ รวบรวมไว้เป็นเดือนๆ พอครบปี ผู้ตรวจสอบบัญชีได้รับอนุญาต จาก สสส. มาตรวจใบสำคัญการจ่ายเงิน ถ้าไม่ทำแบบนี้แต่ละปีก็ต้องมารื้อเอกสารตายเลย
ผมต้องทำให้ถูกต้องทุกขั้นตอน เพราะแค่ซื้อของแพงไปก็ถูกทักท้วงแล้ว เพราะเขารู้ เนื่องจากหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่เขาให้ผู้สอบบัญชีมา ต้องเป็นหลักเณฑ์ที่ สสส. ให้ตรวจ
-ชื่อคุณประสงค์ รับผิดชอบโครงการที่รับเงินจาก สสส. เป็นการลงนามในนามมูลนิธิฯ ใช่หรือไม่
ใช่ เพราะมูลนิธิเป็นนิติบุคคล แต่สถาบันอิศราไม่ใช่นิติบุคคล ฉะนั้น ประธานมูลนิธิ ก็มอบอำนาจมาให้ผมเซ็น เป็นขั้นตอนตามกฎหมายปกติ เซ็นตามกฎหมาย เพราะเงินต้องมีคนรับคนจ่าย
-ตัวเลขที่มูลนิธิฯ รับผิดชอบโครงการ เกือบร้อยล้าน ใน 8 ปี
โครงการทั้งหมดเป็นโครงการต่อเนื่อง 8 ปี ตัวเลขประมาณ 96 ล้าน เฉลี่ยแล้วปีละ 12 ล้านเศษ ซึ่งสถาบันอิศราเป็นเพียงตัวกลาง โดยงบประมาณไม่ได้อยู่ที่สถาบันทั้งหมด เพราะตอนเริ่มต้นเสนอโครงการ สมัยคุณชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ถ้าให้องค์กรสื่อแต่ละองค์กรไปเสนอ เช่น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ชมรมนักข่าวไอที ไปเสนอกับ สสส.
สสส. ก็จะมองว่าเป็นภาระกับเขาในการมานั่งตรวจโครงการแต่ละโครงการ ในการดีลเขาก็บอกว่า ฉะนั้น ทำอย่างไรที่จะให้มีองค์กรกลางในการเป็นตัวเชื่อมโยงกับ สสส. ซึ่งก็คือ สถาบันอิศรา นั่นคือเหตุผลที่ 1) ทำให้ทั้งหมดดีลผ่านสถาบันอิศรา ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร หลักฐานการตรวจสอบ การกำกับดูแล มาทำทีเดียวเลย ไม่งั้น ต้องมีเจ้าหน้าที่แต่ละโครงการมาทำกับ สสส.
นอกจากนั้น มีโครงการอบรมเครือข่ายบรรณาธิการภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันยังหมายรวมถึง สื่อมวลชนอื่นๆ อย่างล่าสุดไปอบรมนักจัดรายการวิทยุชุมชน คือ เขาไม่ได้เป็นตัวขอ แต่เราทำโครงการไปฝึกอบรม เพราะ นักจัดวิทยุชมชนจัดตามประสบการณ์ ไม่มีหลักวิชาการ หรือ พูดอีกแบบคือ จัดตามมีตามเกิด เราก็ไปฝึกอบรมว่า เวลาจัดรายการ ต้องเขียนสคริปต์ยังไงคอนเทนท์ วิธีการหาข้อมูล ที่ผ่านมาก็เคยผ่านการอบรมมาแล้ว 2-3 รุ่น ก็คือ การทำข่าวชุมชน ให้เขาไปหาข่าว หาข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อมานำเสนอ เพราะเขาไม่มีองค์กรในกรุงเทพ เราก็ได้แต่ทำโครงการให้คุณมาอบรม
เหตุผลที่ 2) ทิศทางการบริหาร เช่น การพัฒนาระบบสื่อ หรือ พัฒนาศักยภาพสื่อ ต้องเป็นทิศทางเดียวกัน ฉะนั้น ให้สถาบันอิศรามาดู ก็จะได้ดูว่า โครงการที่เขาเสนอแต่ละองค์กรทั้ง 5 องค์กร จะได้ปรับ ให้เป็นระบบเดียวกัน ฉะนั้น ปีละ 11-12 ล้านบาท โดยเฉลี่ย ก็ถูกกระจายไปยังองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สมาคมนักข่าว ก็มีโครงการอบรมนักข่าวใหม่ ซึ่งเชิญนักข่าวทุกฉบับ ทุกสิ่งพิมพ์ มติชน ข่าวสด ก็ไปหมด ทีวีก็ไป แต่ช่วงนั้น เราจะเน้นหนังสือพิมพ์มาก ก็เข้าอบรม หรือ สภาการหนังสือพิมพ์ ก็มีโครงการทำตำรา ให้ทุนวิจัย ผ่านสภาการหนังสือพิมพ์ อย่างสมาคมนักข่าวจะมีโครงการวิชาการ วิชาชีพ ก็คือ เอานักวิชาการ ที่ต้องการมาในภาคปฏิบัติ มาดูงานที่มติชนบ้าง ดูงานที่บางกอกโพสต์บ้าง ที่เนชั่นบ้าง เป็นเวลาแล้วแต่กำหนด อาจจะ 2 สัปดาห์ หรือ 4 สัปดาห์ ฉะนั้นจะมีภาคีพวกนี้
สมาคมนักข่าววิทยุก็ทำแบบเดียวกัน คือ เอาอาจารย์ที่สอนด้านวิทยุโทรทัศน์ ไปดูงาน อสมท. ไปดูงาน เนชั่นทีวี ซึ่งสถาบันอิศราไม่ได้ดำเนินการ เพราะเป็นเพียงผู้กำกับขั้นตอนส่งเอกสารให้ถูกต้อง
หรือ ชมรมนักข่าวไอที ก็มีประกวดข่าว มีอบรมเด็ก เป็นโครงการ ฉะนั้น ปีละ 10 กว่าล้าน คือ ทุกองค์กรทำ
ส่วนสถาบันอิศรา ที่ทำโดยตรงมีโครงการที่ยั่งยืนและใหญ่ที่สุดก็คือ โครงการที่มีการอบรมระยะยาว ผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง ผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง และการสื่อสารมวลชนระดับต้น เป็นโครงการที่ใช้เงินมากที่สุดโครงการหนึ่ง ก็คือ โครงการอบรม 3 รุ่น คุณไปดูอบรม บยส. วปอ. ใช้เงินเท่าไหร่ แต่ละรุ่นเป็น 10 ล้าน ที่นี่ 3 รุ่น 5-6 ล้านเท่านั้นเอง ไม่มีไปต่างประเทศ ไกลสุดก็อยู่ในภูมิภาค เชียงใหม่เชียงราย
โดยระดับสูง คือระดับบรรณาธิการ ผู้ช่วยบรรณาธิการ ส่วนระดับกลางก็เป็นหัวหน้าข่าว และระดับต้นเป็นนักข่าวอายุงาน 3 ปีขึ้นไป โดยเชิญทุกฉบับ มติชน ข่าวสด บรรณาธิการบริหารมติชนก็เคยมาเรียน วอยซ์ทีวีเราก็เชิญ แต่วอยซ์ทีวีไม่เคยมา เราเชิญประชาไทหลายครั้ง เขามาเรียนรุ่นล่าสุดคือรุ่น 5 ส่วน TCIJ ซึ่งรับทุนจาก สสส.เหมือนกัน ก็มาเรียนรุ่นที่แล้ว เพราะเขามีคนน้อยมาครั้งเดียวก็หมดแล้ว
ทุกคนได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นทีวี วิทยุท้องถิ่น นักจัดรายการท้องถิ่นได้หมด เราอบรมไปแล้วประมาณ 700 คน ถ้าครบ 5 รุ่นก็ 700 กว่าคนที่ได้ประโยชน์ตรงนี้ นี่คือโครงการของสถาบันอิศราโดยตรง
แล้วเรายังมีกรรมการหลักสูตร หลักสูตรเราไม่เหมือนราชการ เพราะเรามีการปรับหลักสูตรทุกปี ประธานหลักสูตร คือ คุณสมหมาย ปาริจฉัตต์ รองประธาน บมจ.มติชน เป็นประธานหลักสูตร ทำหลักสูตรอย่างเข้มข้น ล่าสุดวันนี้อาจารย์คณิต ณ นคร ก็มาบรรยายในหลักสูตร หลักสูตรนี้ ใช้เงินอย่างประหยัดที่สุดและมีประสิทธิภาพ ไม่มีการไปดูงานต่างประเทศ ต้องเรียนทุกวันเสาร์ เป็นเวลา 6 เดือน ในหลักสูตรระดับสูง ระดับกลางประมาณ 4-5 เดือน หลักสูตรเล็กประมาณ 3-4 เดือน
-แตกต่างจากหลักสูตรของที่อื่นอย่างไร
หลักสูตรอยู่ที่การยืดหยุ่นระบบที่นี่ห้ามไปหาทุนห้ามไปจัดกอล์ฟขณะเรียนส่วนถ้าจบแล้วจะไปทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับสถาบันแล้วแต่ในระหว่างเรียน ไม่มีการหาทุน ไม่มีการมาจัดเลี้ยงใหญ่โต ถ้าจะจัดเลี้ยงในกลุ่มเพื่อนก็ไปจัดกันเอง เราไม่อำนวยความสะดวกสถานที่ให้ ไม่ต้องมานั่งจัดเลี้ยง ไม่ต้องมาจัดงานราตรี ไม่ต้องมาตีกอล์ฟ คุณเรียนเสร็จ จะไปกินข้าวกันเองก็เรื่องของคุณ โครงการของที่อื่นเดิมก็คงมีวัตถุประสงค์เรื่องความรู้ แต่มันกลายพันธุ์ ไปเน้นตีกอล์ฟ เน้นอย่างอื่น
ส่วนหลักสูตรเราต้องคุมไม่ให้กลายพันธุ์ เรามีกรรมการหลักสูตร ซึ่งก็คือคุณสมหมาย อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตประธานทีดีอาร์ไอ มีอาจารย์ปกป้อง จันวิทย์ เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เป็นกรรมการหลักสูตร มาเถียงทุกปีว่าหลักสูตรนี้ควรจะเปลี่ยนยังไง ให้เข้ากับภาวการณ์ของสังคม แล้วกรรมการห้ามหาทุน ไม่งั้นจะมีข้อครหาเหมือนหลักสูตรอื่นๆ
-ในแง่หลักการได้รับเงินจาก สสส. แต่โครงการเกี่ยวข้องกับสุขภาวะ อย่างไร
คำอธิบาย สุขภาวะ อาจจะต้องให้ สสส. อธิบายเอง แต่ผมจะพยายามอธิบายตามแนวคิด สสส. สุขภาวะ คือ ร่างกาย สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพจิต เกิดจากอะไรบ้าง ถ้าคุณไปดู สื่อเลวๆ เนื้อหาเลวๆ เนื้อหาไม่ดี สุขภาพจิตเสียไหม ก็เสียถูกไหม ฉะนั้น เราก็ต้องคิดว่า เนื้อหาของสื่อ ต้องมีคุณภาพ การมีคุณภาพคือ คนต้องมีคุณภาพ ก็ต้องฝึกอบรมคนให้เข้าใจ
ฉะนั้น เนื้อหาเราจะครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง อะไรต่างๆ ครบหมด สิ่งแวดล้อม การศึกษา เพื่อให้คนมีคุณภาพ เพราะระดับที่มาเรียนคือ บรรณาธิการ ถ้าคุณมาเรียนแล้วคุณเอาความรู้พวกนี้ไปพัฒนาบุคคลากรของคุณเอง สื่อที่คุณผลิตคอนเทนท์มา ก็ต้องมีคุณภาพ คุณภาพไม่ใช่สายลมแสงแดด สื่อที่คุณภาพดีคือ คุณภาพที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ ก็ทำให้คนดูได้ประโยชน์ ต่อสุขภาพจิต ถ้าเจอแต่สิ่งที่ไม่ดี ก็จิตตก นี่คือสุขภาวะ ไม่ใช่สุขภาพ
ต้องไปดูนิยามสุขภาวะของ สสส ว่าอธิบายอย่างไร นี่ผมอธิบายตามความเข้าใจของผม ถ้าเกิดเราขอโครงการไปไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของ สสส. ซึ่งเขามีกรรมการตั้งแต่ชุดย่อยชุดใหญ่ ชุดระดับบริหาร เมื่อเขาอนุมัติมา ก็เป็นปัญหาของเขาเอง
แล้วถ้าเราเสนอขอไปไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของเขา เขาจะอนุมัติมาได้อย่างไร แล้วผมก็เชื่อว่าเราขอตามวัตถุประสงค์ แล้วเราก็ทำตามวัตถุประสงค์ที่ได้ขอ
-ผลงานที่เป็นที่รู้จักมาก คือ สำนักข่าวอิศรา ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ด้วยหรือไม่
สำนักข่าวอิศรา เกิดมาตั้งแต่ปี 2547 ในนามของศูนย์ข่าวภาคใต้ แล้วก็พัฒนาเรื่อยมา จนเป็นสำนักข่าวอิศรา ก่อนมูลนิธิฯ เริ่มรับทุน สสส.ที่เริ่มรับตั้งแต่ปี 2551
-จากเดิมทำเรื่องภาคใต้ เหตุใดระยะหลังเน้นตรวจสอบนักการเมือง
ศูนย์ข่าวสืบสวนก็ทำมาก่อน เป็นวิธีคิดตั้งแต่ตั้งสำนักข่าวอิศรา แล้วสำนักข่าวอิศรา มีหลายองค์กรสนับสนุนอยู่ ไม่ใช่ สสส. อย่างเดียว ซึ่งการสนับสนุนจาก สสส. ที่มีให้กับสำนักข่าวอิศราเพิ่งมาเริ่มปีนี้ เพราะปัญหาภาคใต้มีความรุนแรงขึ้น
คือศูนย์ข่าวภาคใต้ ตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 เคยหาทุนเองแต่ละปี ทำหนังสือขายได้ตั้งหลายล้านบาท เพื่อมาสนับสนุนศูนย์ข่าวภาคใต้ ก่อนเป็นสำนักข่าวอิศรา เมื่อก่อนมีทุนเยอะแยะ มีมูลนิธิเอสซีจี มีองค์กรต่างๆ ปีหนึ่งก็มีการจัดฝึกอบรม มีรายได้มาสนับสนุน ส่วน สสส. เน้นภาคใต้นี่เพิ่งเกิดปีนี้
นอกจากนั้น มีทุนต่างๆ อย่าง ป.ป.ช. ก็ให้การสนับสนุนศูนย์ข่าวสืบสวนสอบสวน open society foundation ก็ให้ทุนมา
แล้วมีช่วงหนึ่งมีการปฏิรูปยุคคุณหมอประเวศ วะสี ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณหมอประเวศ มีโครงการพัฒนาฐานข้อมูล เอาฐานข้อมูลมาเผยแพร่ เป็นเรื่องการปฏิรูปประเทศในขณะนั้น ต่อมาก็พัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะ ไม่ได้เกี่ยวกับข่าวสืบสวน เป็นเฉพาะเรื่องนโยบายสาธารณะ เช่น เรื่องความมั่นคงทางอาหาร เรื่องน้ำ
-ถ้าสักวันหนึ่งต้องตรวจสอบ สสส.
ก็ให้เกิดขึ้นก่อน ให้คนมาร้องเรียนก่อน
-การตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ได้ให้น้ำหนักตรวจสอบทั้ง 2 ขั้วหรือไม่
ตรวจสอบทรัพย์สินเนี่ยนะครับ เราตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมืองที่มันมีประเด็น แต่ว่าโดยหลักทั่วไป ผมยึดหลักที่ผมทำงาน ตั้งแต่อยู่ในมติชนยุคก่อน ก็คือ 1)ให้ข้อเท็จจริงถูกต้อง มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในความสามารถของมนุษย์ที่จะทำ 2) ข้อเท็จจริงครบถ้วน ก็ยึดหลักนี้มาตลอด ก็เอามาใช้ในการทำงาน ต้องไปดูงานเชื่อมโยงต่อเนื่อง อย่าดูงานเฉพาะท่อน ไปดูให้ครบถ้วน
-ถูกมองว่าทำไมตรวจสอบบางฝ่ายมากกว่า
ส่วนผลงานจะเป็นอย่างไรแล้วแต่คนอ่านคนอ่านจะคิดยังไงแล้วแต่เป็นดุลยพินิจชอบไม่ชอบ แล้วแต่ ก็วิพากษ์วิจารณ์ได้
-เวลามีคำวิจารณ์แล้วรู้สึกอย่างไร
ไม่รู้สึกอะไรคือเราก็ดูอันไหนเป็นจริงอันไหนเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้มีเหตุผลก็พยายามปรับปรุงอันไหนพิจารณาแล้วเห็นว่าไร้สาระ ก็เฉยๆ แต่อันไหนดี ก็เอามาใช้ปรับปรุง
-กรณีเว็บไซต์พระนครสาส์น เอาตัวเลขงบประมาณมาเปิดเผยคิดว่าถูกดิสเครดิตหรือไม่
ผมรู้สึกเฉยๆ มากเลย เพราะผมรู้อยู่แล้วว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่ รู้สึกเฉยๆ จริงๆ แล้วอีกอย่าง ผมไม่รู้ว่า พระนครสาส์นคือใคร เพราะว่าเว็บไซต์ปกติเนี่ย มันต้องรู้ว่าติดต่อที่ไหน อย่างเว็บไซต์มติชนก็มีให้ติดต่อที่ไหนอย่างไร อย่างน้อยต้องรู้ใครเป็นเว็บมาสเตอร์ แต่พระนครสาส์นนี่ ไม่รู้ว่าใครทำ เพื่อนผมลองไปหาที่อยู่ให้ เขาบอกว่า URL อยู่ต่างประเทศอีก
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เว็บไซต์ซึ่งหาที่มาที่ไปไม่ได้ ทำไมตื่นเต้นกันจัง ถ้ากล้าทำต้องกล้ารับสิ ผมเนี่ยใช้ชื่อจริงมาตลอดชีวิตเลย ตั้งแต่เขียนคอลัมน์
-ตัวเลขที่ปรากฏ ดูเยอะ
ก็ใช่ อย่างที่แยกแยะโครงการให้ฟัง แต่ 96 ล้านนี่ ไม่ได้หมายความว่าใช้หมด ถ้าเราทำโครงการเสร็จแล้วบรรลุวัตถุประสงค์ตรงตามเป้าหมาย แต่เงินเหลือ ก็คืน จริงๆ ใช้ไม่ถึง 90 ล้านด้วยซ้ำไป เพราะต้องคืน แต่ผมไม่รู้ตัวเลขการคืนเท่าไหร่ ต้องไปดูที่ สสส. ผมว่าคืนไปหลายล้านนะ เพราะ สสส. คิดหลักต่างจากงบประมาณราชการ ถ้าเราใช้เงินไม่หมด เอาคืนไป แล้วเขาไม่ตัด ถ้าเราใช้เงินมีประสิทธิภาพ เราขอใหม่ได้ แต่สำนักงบประมาณของไทย ถ้าปีนี้ใช้ไม่ครบ คราวหน้า ตัดเลย
นี่มันต่างกัน ถ้าคุณใช้เงินมีประสิทธิภาพ แล้วครบวัตถุประสงค์ ปีหน้าขอใหม่เลย เขาให้ เพราะถือว่าใช้เงินมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น 96 ล้านที่ว่านี้ เราใช้ไม่หมดนะ คืนไปเท่าไหร่ไม่รู้ ต้องไปดูตัวเลขตรงนั้น
-มีเอกสารพร้อมจะเปิดเผยได้หรือไม่
เอกสารกองอยู่หลังโต๊ะทำงานผมที่นี่พื้นที่เล็กและย้ายที่บ่อยแต่กองอยู่ด้านหลังผมแน่เพราะเก็บเอกสารสำคัญเป็นห่อกระดาษแต่ถ้าไปดูตัวเลขคืนที่สสส. จะมีการจัดระบบ มีคอมพิวเตอร์จัดระบบเพราะต้องเชื่อมกับรัฐ
ผมจัดโครงการเสร็จ เป็นเงินอุดหนุน ทำเสร็จก็ปิดโครงการ ตรวจสอบผ่าน มีใบสำคัญขั้นตอน มีผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต เวลาเสร็จโครงการ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ส่งโครงการแล้วจบ เขาจะเอาผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต ซึ่งเขาส่งมา เราไม่รู้บริษัทไหนด้วยซ้ำไป เขาจะเปลี่ยนหน้ามาทุกปีเลย ถ้าเอกสารไม่ครบถ้วน เขาก็จะเรียกเอกสารมาดู เพราะ สสส. ก็จะโดน สตง. ตรวจอีกรอบหนึ่ง ฉะนั้น เขาก็จะเอาผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต มาตรวจบัญชี อันไหนสงสัยก็จะเรียกเอกสารมาดูหมด
-วิธีการประเมินว่าคุ้มค่าหรือไม่อย่างไร
เขามีการรีวิวสมมุติคุณจะเสนอโครงการใหม่ก็จะรีวิวของเก่าที่ผ่านๆมาก็จะเรียกเราไปซัก ว่าโครงการนี้ วัดผลอย่างไร ถ้าไม่ได้ ปีหน้าเพิ่มการวัดผลเข้าไปไหม แต่ส่วนของเรามีอยู่แล้ว เช่น โครงการฝึกอบรม ตอนท้าย ก็จะมีการบันทึกว่า วิทยากร เป็นอย่างไร ได้รับประโยชน์จากการบรรยายไหม เอาไปใช้ประโยชน์ได้ไหม พอจบโครงการสัก 3 เดือน สสส. กำหนดว่าไปถามใหม่ว่า สิ่งที่คุณเรียน เป็นอย่างไรบ้าง ใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ถามอาจารย์นิเทศศาสตร์ทุกคนเลยที่มาเรียนอยู่ในหลักสูตรนี้ เพราะเขาอยู่ในภาคีของเรา
เขาก็บอกสุดยอด เพราะเวลาเขาสอนนิเทศศาสตร์ เขาไม่ค่อยมีคอนเทนท์ เขามีแต่กระบวนการเขียนข่าว แต่คอนเทนท์เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เขามาฟังโดยตรง จากที่ไม่เคยฟังอาจารย์คณิต ณ นคร 3 ชั่วโมง อย่างมากได้แต่ฟัง ข่าว 10 นาที แต่พอฟังอาจารย์คณิต 3 ชั่วโมง จะรู้เลย กระบวนการยุติธรรมทำงานอย่างไร หรือ คราวที่แล้วฟังอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เรื่องสันติวิธี เรื่องแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้ง 3 ชั่วโมง เถียงกันในห้อง ซักกันอุตหลุด เขาได้เห็นของจริง มันต่างจากที่คุณดูทีวี คุณดูทีวี อย่างมากก็ 2 นาที
-มีแหล่งทุนสนับสนุนจำนวนมาก จะกลายเป็นองค์กรสื่อที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องหรือไม่
ไม่ครับ ผมกระจาย แนวคิดผมคือ เอกชนให้ 3 แสน 5 แสน อย่างมากก็ไม่เกินล้าน แล้วก็ต้องคุยกันว่าไม่มีเงื่อนไขนะ ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ถ้าผมต้องเสนอข่าวเกี่ยวกับองค์กรคุณที่ไม่ชอบ ก็เสนอ เพียงแต่ให้ชี้แจงได้อย่างเต็มที่ ตามหลักการ ถ้าไม่พอใจ จะเลิกสนับสนุน ก็ไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องเต้นเป็นเจ้าเข้า ไม่ต้องไปกดดัน แค่นั้น
ไม่เคยมีเงื่อนไขเลย เราไม่ต้องกลัวว่าเขาจะถอนโฆษณา ไม่ต้องไปเซ็นเซอร์ ไปถามนักข่าวดูได้ สำนักข่าวอิศราให้อิสระในการทำงาน ไปถามดูว่า ผมเคยไปกำกับเนื้อหาไหมว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้
มีเพียงแต่กำหนดทิศทางว่าทำเรื่องนี้เรื่องนี้ภาพกว้างๆคุยกันในกองบก. เต็มที่
-มองว่าความเป็นกลางหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนอ่านแต่ละคน
สื่อไหนๆ ก็ถูกวิจารณ์ ความเป็นกลางของคนก็ไม่เหมือนกันอีก หรือบางคนบอกว่า กลางไม่ได้ต้องอยู่ข้างความถูกต้อง บางคนพูดใช่ไหม กลางที่ดีที่สุด คืออยู่ข้างความถูกต้อง "กลางหรือไม่กลางให้เขาไปตัดสินเอาเองเถอะ"
ไม่ได้ท้าทายจริงๆ ถ้าเขาเห็นว่าของเราห่วยเขาคงจะเลิกอ่านไปเอง แล้วเราไม่ได้อยู่แบบการจัดจำหน่ายแบบหนังสือพิมพ์ ซึ่งต้องไปวางแผง ต้องง้อคนซื้อ
คนอ่านหรือไม่อ่าน วิธีคิดลอยัลตี้แบบสื่อสิ่งพิมพ์มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว คุณแค่กระดิกนิ้วคุณก็ได้อ่านในโลกออนไลน์แล้ว ลอยัลตี้แบบสื่อสิ่งพิมพ์ต้องไปซื้อปากซอยไม่มีแล้ว