PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ผลประชุม มาเลเซีย กับ อินโดนีเซีย จัดตั้งที่พักพิงชั่วคราวให้ผู้อพยพ ส่วนไทยไม่เกี่ยว

Cr:ทหารปฏิรูปประเทศไทย
วันที่ 20 พ.ค.58 ผลประชุม มาเลเซีย กับ อินโดนีเซีย จัดตั้งที่พักพิงชั่วคราวให้ผู้อพยพ ส่วนไทยไม่เกี่ยว
ในที่ประชุมฉุกเฉิน 3 ประเทศ สถานการณ์ผู้อพยพทางเรือ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย กับ มาเลเซีย เสนอจะจัดตั้งที่พักพิงชั่วคราวให้กับผู้อพยพราว 7,000 คน ที่ยังอยู่บนเรือในทะเล แต่ประเทศไทยไม่ร่วมในแผนดังกล่าว
มาเลเซีย กับ อินโดนีเซีย รับปากว่าจะช่วยเหลือ และตกลงว่าจะไม่ลากจูงเรือออกไปจากน่านน้ำตน โดยการจัดตั้งที่พักพิงชั่วคราวจะเริ่มต้นได้ทันที แต่ทั้งสองประเทศ " ขอให้ประชาคมระหว่างประเทศจัดสรรเงินช่วยเหลือ " และให้ผู้อพยพสามารถเดินทางไปตั้งถิ่นฐานได้ภายในหนึ่งปี
ประเทศไทย ไม่รวมอยู่ในข้อเสนอนี้ เพราะไทยรับผู้อพยพเพิ่มเติมอีกไม่ได้แล้ว เนื่องจากขณะนี้ยังคงแบกภาระผู้ลี้ภัยหลายพันจากเมียนมาร์ แต่ไทยจะยังคงให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ในการประชุม 15 ชาติ ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จะมีความชัดเจนขึ้น ขณะนี้ยังเมียนมาร์เผยว่าอาจจะไม่เข้าร่วมประชุมด้วย หากมีการใช้คำว่า “โรฮินจา” ในคำเชิญ หรือหากมีการตำหนิเมียนมาร์ว่าเป็น “ต้นตอของปัญหา”
----------------------------------->
จบปัญหาไปสำหรับ 7,000 คน ที่ UNHCR เอามาปล่อยยังลอยอยู่ในทะเล เพราะมาเลย์ ฯ กับ อินโดฯ รับไปตั้งศูนย์พักพิง และฟิลิปปินส์ ก็อาสาเจ้านายอเมริกา รับไปอีก 3,000 คน แต่ไทยไม่เกี่ยวเพราะอเมริกา และองค์กรสิทธิฯ บ่นว่าไทยละเมิดสิทธิมนุษยชน
เราคนไทยก็พาลซื่อ ก็เลยไม่ร่วมในเรื่องศูนย์พักพิงด้วย แต่ให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเท่านั้น เพราะคำว่า "ศูนย์พักพิง" กับคำว่า "มนุษยชน" สะกดไม่เหมือนกัน เราก็ต้องซื่อๆ ช่วยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน เช่น เอาน้ำ อาหาร ไปให้กลางทะเล
เหมือนเรือชาวโรฮินจาลำวันก่อน ที่วันนี้ไปถึงอินโดฯ เรียบร้อยแล้ว นี่คือผลงานของไทยล้วนๆ ใครจะมาว่าไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ได้ เพราะเราทำตามคำนั้นเป๊ะ แต่ปัญหาคือ ยังมีชาวโรฮินจา และบังคลาเทศ อีกหลายแสน หลายล้านคน ที่พรมแดนพม่า
ที่ได้ยินข่าวนี้แล้วหูผึ่ง พร้อมจะจ่ายเงินค่านายหน้าให้คนของ UNHCR เพื่อพาลงเรือ ตามกันมาเป็นกองทัพบุกมาเลย์ และ อินโดทันที ทั้ง 2 ชาตินี้จะทนได้สักกี่น้ำ เมื่ออเมริกา วางแผนปักหมุดเอเซีย ป่วนความมั่นคงอาเซียน ด้วยหมากชื่อ "โรฮินจา" ที่แฝง "นักรบโรฮินจามูจาฮีดิน" มากับผู้อพยพด้วย
@ เสธ น้ำเงิน4
http://www.facebook.com/thailandcoup


นักเลือกตั้ง 'ต่ออายุ' รัฐบาล 'คสช.' เปลว สีเงิน

ยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองเจริญตามรอยพี่ชายสมบูรณ์แบบแล้วเมื่อวาน (๑๙ พ.ค.๕๘)

เธอมีค่าตัว ๓๐ ล้าน ต่อมูลค่าเสียหาย ๕ แสนล้าน
ถ้าหนี...๓๐ ล้าน ถูกริบเข้าหลวงทันที!

ศาลสั่งต้องไปศาลทุกนัด ห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาต ทุกอย่าง "มันบ่แน่หรอกนาย" อย่างนั้นจริงๆ

คือตามปฏิทินโรดแมปรัฐบาล คสช.ปลายปี ๕๘ จะเป็นเวลา "อยู่ด้วยสายออกซิเจน" ของนายกฯ ประยุทธ์

ถึงวันนี้ กลายเป็นว่า ปลายปี ๕๘ จะเป็นเวลา "เข้าคุก" ของใครบางคนแทน!

ลุงตู่...แนวโน้ม ยังอยู่เป็นนายกฯ
ส่วนนางปู...แนวโน้ม ย้ายไปอยู่ "ขังหญิง"!

เห็นมั้ย...ทั้งมนุษย์ ทั้งสัตว์ ทั้งสิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต ทุกอย่าง "คอมพิวเตอร์จักรวาล" กำหนดวงจรชีวิตของแต่ละสรรพสิ่งไว้ให้ล่วงหน้า ตั้งแต่เกิด-ยันวันสูญสลาย ครบถ้วนแล้ว

เพียงแต่ยังไม่มีใคร "เข้าถึง" เครื่องมือเปิดคอมพิวเตอร์จักรวาลเท่านั้น ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจะรู้อนาคต "เฉพาะวัน" เท่าที่เคลื่อนมาเป็น "ปัจจุบัน" ให้ประจักษ์ในแต่ละวัน..แต่ละวัน เท่านั้น

และน่าเสียดาย........
เห็นปุ๊บ...กลายเป็นอดีตปั๊บ!

ก็ไม่เป็นไรนะ..ยิ่งลักษณ์ เธอเหมือนดาวหาง ไปทางไหนจะมีห้อมล้อมเป็น "หางยาว" ไม่โดดเดี่ยว-เดียวดาย

ดูอย่างเมื่อวาน บรรยากาศตอนเป็นนายกฯ กลับมาให้กระด๊ากระดี๊เป็นปลากระดี่ได้น้ำดีจังเนอะ

ทั้งนักข่าวรุมล้อมเป็นร้อย พวกแดงทั้งแผ่นดินคอยให้กำลังใจอีกหลายร้อย แต่แหม....ส่วนหางที่ตามตูดต้อยๆ หลายคน เหนียงยาน คอตก เหมือนอีแร้งชราอกหัก น่าสงสารจัง

คนหมดวาสนาบารมีทั้งในวงราชการและงานเมืองก็งี้แหละ ยิ่งเป็นพวก ใจคดต่อ ชาติ ศาสนา สถาบัน ด้วยแล้ว

ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก ไม่ว่าใครทั้งนั้น ทั้งผัว ทั้งเมีย ทั้งลูก เรียกว่า "ทั้งครอก" ..........

ด้วย "สำนึกมนุษย์" อันมีประจำใจเป็นพื้นฐานของสัตว์มนุษย์ มันจะเป็นแส้โบยมโนธรรมตัวเอง มันจะเป็นสากกระทุ้งความรู้สึก-นึก-คิดในความเป็นมนุษย์ตัวเอง

มันจะเป็นคมหอก-คมดาบ กรีดแทงลูกตาทั้งสองข้าง จนไม่สามารถสบตาทั้งมนุษย์ ทั้งฟ้า ทั้งดิน กระทั่งหมาตามถนน

ไม่ใช่เพราะอาย........

แต่เพราะ "ละอาย" ในกรรมหนัก ที่ความเป็นคนระบอบทักษิณทำกับบ้านเกิดเมืองนอน ทั้งของตัวเอง ทั้งของบิดร-มารดา และทั้งของบรรพบุรุษแต่ละรุ่น แต่ละชั้น!

อยากบอกยิ่งลักษณ์ด้วยปรารถนาดีคำเดียวว่า นับถือ...ที่ (ยัง) ไม่หนี ต่อจากนี้ อยากพูดอะไร พูดได้เลย ยกเว้นคำเดียว อย่างที่พูดหน้าศาลเมื่อวานว่า....ยืนยันตัวเองบริสุทธิ์

ระวัง...จะมีคนถาม แล้วน้องไปป์คือใคร?

เอ้า...จบไปเรื่องหนึ่ง มาอีกเรื่อง คือเรื่อง ครม.-คสช.มีมติ (๑๙ พ.ค.) ให้แก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ

ผลที่เกิดทันที คือ..........

โรดแมปขั้นที่ ๒ ปลายตุลา ๕๘ รัฐธรรมนูญเสร็จ ขั้นที่ ๓ เลือกตั้ง ต้นปี ๕๙ เปลี่ยนโปรแกรมหมด!
เปลี่ยนเป็นดังนี้...........!

ตุลา ๕๘ ยังไม่มีการนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต้นปี ๕๙ ยังไม่มีการเลือกตั้ง

เพราะเมื่อร่างเสร็จ ต้องนำเข้าสู่กระบวนการทำประชามติก่อน ส่วนประชาชนจะเอา หรือไม่เอา

ผมไม่มีเครื่องเปิด "คอมพิวเตอร์จักรวาล" ซะด้วย จึงตอบไม่ได้!

และทั้งไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ๔๗ ล้านคนได้ ทั้งหลาย-ทั้งปวง ต้องรอวันนั้น

วัน.........ที่ยังอีกยาวไกล!

ยาวไกล..พอให้นายกฯ ลุงตู่ได้ใช้อำนาจพิเศษ ทำความสะอาดประเทศ ปฏิรูประบบราชการงานเมือง เข็นเมกะโปรเจกต์ออกมาเป็น "หัวรถจักร" ฉุดลากเศรษฐกิจ "สร้างอนาคตใหม่" ให้สังคมชาติเป็นตัว-เป็นตน

ประมาณ กันยา-ตุลา ๕๙ ค่อยมาพูดกันเรื่องรัฐธรรมนูญประกาศใช้วันไหน?

ประมาณ มีนา-เมษา ๖๐ ค่อยมาพูดกันถึงกำหนดวันเลือกตั้ง

ปลายปี ๖๐ ต้นๆ ปี ๖๑ โน่นแหละ........

ถ้าทุกอย่าง "เด็กสร้างบ้าน" ไม่ซ่านจนโรดแมป กลายเป็น "โรดแหม็บ" ไปอีก ก็ "อาจจะ" มีรัฐบาลเลือกตั้งเข้ามาเสวยผลจากเนื้องานที่รัฐบาล คสช. "ล้างบ้าน-ล้างเมือง" ไว้ให้!

นี่คือทางที่ "นักเลือกตั้ง" เลือกเอง.......

อยากให้ทำประชามติ รัฐบาล คสช.เขาก็ "ฟังเสียง" จัดให้ตามต้องการแล้ว

อย่าโวยให้อาย ริน ติน ติน อีกล่ะ?

เมื่อรัฐธรรมนูญกลายเป็นซาลาแมนเดอร์ท้อง-ปลาฉลามท้อง ราวๆ ๓ ปี จึงคลอดเช่นนี้ ส่วนที่นายกฯ 

ลุงตู่ต้อง "ต่อแข้ง-ต่อขา" คือ

รีบเข็น "เมกะโปรเจกต์" ออกมา เรือเศรษฐกิจประเทศที่เกยแห้ง เมื่อเม็ดเงินจากเมกะโปรเจกต์ไหลเป็นน้ำถึงท้อง เรือเศรษฐกิจจะได้เขยื้อนขยับลอยลำ ไหลสู่มหาสมุทรซะที

ถ้า "ภาครัฐ" ไม่ขยับนำร่องด้านลงทุน
"ภาคเอกชน" ไม่มีใครกล้าเอาเม็ดเงินมาหว่านตามหรอก!

ไหน...มาดู "จ๊อดน้อย" พลตรีอภิรัชต์ คงสมพงษ์ จัดระเบียบลอตเตอรี่ที่กองสลากเมื่อเช้าวานดูบ้าง
ไปถึงไหน... เข้าท่า-เข้าทาง สมใจนึกบางลำพูคนตั้ง "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" หรือไม่?
เปรี้ยง....ออกมาแล้ว ตั้งแต่งวด ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘
ต้องใบละ ๘๐ บาท!
ยกเลิกรางวัลแจ็กพอต เป็นรางวัลที่ ๑ รางวัลละ ๓ ล้าน คู่ละ ๖ ล้านบาทแทน ใครจะขายแบบรวมชุดอย่างเดิมก็ได้ แต่ต้องใบละ ๘๐ ไม่มีบวก
พวกเอเยนต์ แม่ค้า-แม่ขาย ไม่แย่หรือ ขาย ๘๐ ไม่มีกำไร?
มีครับ..ไม่ใช่ไม่มี เพราะบอร์ดกองสลากมีมติ "ปรับลดราคาต้นทุนขายส่ง" จากเดิม ๗๔.๔๐ บาท/ใบ ลดเหลือ ๗๐.๔๐บาท/ใบ
รายย่อยจึงมีส่วนต่างกำไร ๙.๖๐ บาท/ใบ เมื่อขาย ๘๐ บาท
สำหรับมูลนิธิ องค์กรต่างๆ กำหนดขายส่งในราคา ๖๘.๘๐ บาท/ใบ จากเดิม ๗๒.๘๒ บาท/ใบ
ถ้ายังกร่าง ขายใบละ ๑๐๐-๑๒๐ บาท หรือนำมารวมชุดแล้วบวกเกินกว่าใบละ ๘๐ กองสลากจะตามไปดีดไข่พ่อค้า-แม่ขายให้เดินขาถ่างกันไปเลยอย่างนั้นหรือ?
จ๊อดน้อยบอกว่า จะตั้งหน่วยเฉพาะกิจ ๑๐ ทีม ตระเวณตรวจตรา พบใครขายเกินราคา ยังไม่จัดการพวกหางแถวทีเดียว แต่จะตรวจสอบว่า
เป็นลอตเตอรี่มาจากเอเยนต์ไหน?
กองสลาก "ลดต้นทุน" ให้แล้ว เอเยนต์ไหน เจ้าของโควตารายไหน ยังเอาเปรียบต่อซาปั้ว-สี่ปั้ว จนเขาขาย ๘๐ ไม่ได้ ต้องบวกเพิ่มกับคนซื้ออีกละก็....
เอเยนต์นั้น เจ้าของโควตานั้น ถูกยึดทรัพย์ ด้วยกฎหมายฟอกเงินแน่!
เอ้า...ก็ต้องดูกัน ๕ เสือ ๑๐ แมว กับจ๊อดน้อย ใครจะสยบใคร งวด ๑๖ มิถุนา รู้กัน
ผมน่ะ เรื่องพนัน "มันอยู่ในสายเลือด" ยกเว้นลอตเตอรี่ เกลียดมัน เป็นปี จะซื้อเสริมซวยซักครั้ง ที่เกลียด ไม่ใช่เกลียดลอตเตอรี่
แต่เกลียดระบบที่ "โคตรเอาเปรียบ" ผู้ซื้อมากที่สุด ในบรรดาการพนันด้วยกัน
ก็ดูซี...ประชากรไทยมี ๖๕ ล้านคน แต่ลอตเตอรี่มีงวดละ ๗๔ ล้านฉบับ มีรางวัลไม่ถึง ๓๐๐ รางวัลมั้ง?
จ้างเจนี่มาแก้ผ้าให้ดู ยังง่ายกว่าถูกหวยซักใบ!
อยากบอกพลตรีอภิรัชต์ว่า ให้แฟร์หน่อย ถ้าอยากให้คนซื้อลอตเตอรี่พรึ่บ...เกลี้ยงทุกงวด ไม่ยาก
เลขท้าย ๒ ตัว รางวัล ๑,๐๐๐ บาท เอาไปซื้อโบมาผูกไข่แมวยังไม่ได้ ให้ไปเลย...รางวัล ๒ ตัว ใบละ ๕,๐๐๐ บาท
แบบนี้....งวด ๑๖ มิถุนา ผมทุ่มสุดตัว ซื้อ ๒ ใบเลย!

จำคุก 2 ปี 16 เดือน แนวร่วม พธม. ซิ่งชนตำรวจ กลางม็อบ ปี51 !

ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก “ปรีชา ตรีจรูญ” แนวร่วมพันธมิตรฯ 2 ปี 16 เดือน ขับรถกระบะพุ่งชนตำรวจหน้ารัฐสภา ขณะสลายชุมนุมปี 2551
วันที่ 20 พ.ค. ศาลอาญารัชดาพิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปรีชา ตรีจรูญ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฎิบัติหน้าที่ และมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยใช้กำลังประทุษร้าย
จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 นายปรีชา กับพวกกลุ่มแนวร่วมพันธมิตรฯ เข้าร่วมการชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่บริเวณรัฐสภา ก่อนขับรถกระบะพุ่งชนตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ ได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 นาย
โดยในคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายปรีชา 3 ปี แต่จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน นอกจากนี้ จำเลยก็ได้รับอันตรายสาหัสตาบอด โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำคุกตลอดชีวิต แต่การนำสืบของจำเลย มีประโยชน์ต่อรูปคดี มีเหตุบรรเทาโทษคงจำคุกเหลือ 33 ปี 12 เดือน
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายปรีชา เข้าร่วมการชุมนุม และผู้ชุมนุมบางคนมีอาวุธ จึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป แต่เห็นว่าขณะตำรวจเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ มีตำรวจบางนายมีพฤติกรรม แสดงออกยั่วยุกลุ่มผู้ชุมนม ถือเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ลุแก่อำนาจ ซึ่งนายปรีชา ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียตาข้างขวา และถูกข่มเหงร้ายแรง ย่อมเป็นเหตุให้บันดาลโทสะ กระทำผิดต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นตำรวจทั้ง 5 นาย
ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาแก้ ให้จำคุกนายปรีชา 4 ปี แต่ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือ จำคุก 2 ปี 8 เดือน และให้จำคุกในความผิดฐานมั่วสุม 8 เดือน รวมโทษจำคุกนายปรีชา 2 ปี 16 เดือน


กองทัพเรืออินโดนีเซียระเบิดทำลายเรือประมงที่เข้าไปทำประมงในน่านน้ำ

วันนี้ (20 พ.ค.) กองทัพเรืออินโดนีเซียระเบิดทำลายเรือประมงที่เข้าไปทำประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียอย่างผิดกฎหมาย ใกล้เมืองบิตุง ในเขตสุลาเวสีตอนเหนือ มีเรือประมงต่างชาติรวม 19 ลำที่ถูกทำลาย จากทั้งเวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และจีน


ฐปนีย์" สุดทน ขอแจงทุกข้อกล่าวหา ย้ำตั้งใจทำงานสื่อกว่า15ปี อยากขอความเป็นธรรมปมไม่รักชาติ

โต้ขาเมาท์! "แยม ฐปนีย์" สุดทน ขอแจงทุกข้อกล่าวหา ย้ำตั้งใจทำงานสื่อกว่า15ปี อยากขอความเป็นธรรมปมไม่รักชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณีการทำหน้าที่ของ น.ส.ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวช่อง 3 เกี่ยวกับโรฮิงญา จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์

ล่าสุด น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวช่อง 3 โพสต์เฟซบุ๊ก Thapanee Ietsrichai ถึงกรณีดังกล่าวในช่วงเช้าวันนี้ (20พ.ค.) ระบุว่า พยายามคิดว่า การเงียบ เข้มแข็ง และ ตั้งใจทำงาน ไม่ตอบโต้อะไร น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ต่อสถานการณ์นี้แต่ความเกลียดชังที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทำให้เสียใจและคิดไปมากมาย ได้อ่านคอมเม้นต์ที่วิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งท้อ ทั้งคำกล่าวหา ไม่รักชาติ ทั้งข้อกล่าวหา ทำไมไม่ทำข่าวคนทุกข์ยากในไทย ไม่ทำข่าวสามจังหวัดชายแดนใต้ หรือขับไล่ให้ลงเรือไปกับชาวโรฮิงญา
จริงๆ ก็มีเหตุผลมากมายอยากอธิบาย อยากขอความเป็นธรรม แต่ไม่รู้จะมีใครรับฟังบ้าง เพราะดูเหมือนสังคมนี้ กำลังจะบอกให้ ฐปณีย์ หยุด จึงต้องคิดทบทวนค่ะหากการดำรงอยู่ในวิชาชีพสื่อมวลชน การตั้งต้นอยู่ในความตั้งใจเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ การตั้งต้นในการทำข่าวเพื่อช่วยเหลือผู้คน การทุ่มเทเวลาทั้งหมดในชีวิต ตลอด 15 ปีในวิชาชีพนี้ การทำความดี มันเป็นสิ่งผิด
หากการทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจดี มันทำให้เกิดความรู้สึกไปมากมายขนาดนี้ คงต้องขอโทษและขออภัยไว้ ณ ที่นี้ค่ะและถึงเวลาต้องบอกตัวเองให้หยุด จริงๆ ก็เหนื่อยมามากแล้ว ถ้าไม่มีนักข่าวชื่อ ฐปณีย์ อะไรๆ มันอาจง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอบคุณหลายกำลังใจที่มีให้นะคะ
และ ขอแสดงความรับผิดชอบหากการทำหน้าที่ทำให้เกิดปัญหามากมายขนาดนี้มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากบอกค่ะจะด่าว่า จะกล่าวหา ฐปณีย์ อย่างเสียหายก็พยายามอดทนค่ะ
แต่สิ่งที่เสียใจมากที่สุดขณะนี้คือ การที่ข่าวนี้กำลังทำให้เกิดความเกลียดชังต่อเพื่อนมนุษย์ กำลังถูกเชื่อมโยงการเมือง และส่อเค้าบานปลายถึงความขัดแย้งทางศาสนา
ขอยืนยันว่า การนำเสนอข่าวที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา ได้ทำตามหน้าที่ของสื่อมวลชน และเพื่อนมนุษย์อย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีเบื้องหลังและเจตนาใด นอกจากติดตามเรื่องนี้มาหลายปีและอยากเห็นการแก้ปัญหาให้ลุล่วงต่อข้อกล่าวหา บางเรื่องไม่ถูกต้อง จึงต้องชี้แจงว่า
ฐปณีย์ไม่เคยพูดว่าให้ตั้งศูนย์พักพิง
ฐปณีย์ ไม่เคยพูดว่ารัฐบาลไทยต้องดูแล
แต่ได้บอกเล่าถึงชีวิตและชะตากรรมของคนเหล่านี้ ในฐานะนักข่าวที่ได้ขึ้นไปสัมผัสชีวิตบนเรือของผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นภาพแรกที่เราได้เห็นว่าพวกเขาเป็นอย่างไร และเจ้าหน้าที่ไทยได้ทำดีที่สุดแล้วแค่อยากให้โลกรับรู้ถึงชีวิตและชะตากรรมของพวกเขา เพื่อสังคมโลกจะช่วยกันหาทางออก ก็เท่านั้นเองค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ จะพิจารณาตัวเองและรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นค่ะ
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/647849…

เรือบรรทุกโรฮิงญา 400 คน เดินทางถึงเมืองอาเจะห์ อินโดนีเซียแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา


12.30 น.ได้รับคำยืนยันจาก Cris Lewa Rohinya Project เรือบรรทุกโรฮิงญา 400 คน เดินทางถึงเมืองอาเจะห์ อินโดนีเซียแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังได้รับการช่วยเหลือเรื่องอาหาร ซ่อมเครื่องยนต์และน้ำมันจากทหารเรือไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. เพื่อเดินทางต่อไปมาเลเซียตามที่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ไทย ในเช้าวันที่ 15 พ.ค.และถูกผลักดันจากมาเลเซีย 2 ครั้ง และออกจากน่านน้ำไทยมุ่งหน้าไปทางอินโดนีเซีย
ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เรือประมงอินโดนีเซียได้นำพวกเขาเข้าฝั่งและได้รับการช่วยเหลือเรื่องน้ำและอาหารแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการช่วยเหลือทุกคนในเรือปลอดภัย ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางจากน่านน้ำไทย 6 วันไปถึงฝั่งประเทศอินโดนีเซีย หลังเดินทางจากรัฐอะรากัน 3 เดือน


มาเลย์อินโดให้ที่พักพิงรมว.ต่างประเทศไทยไม่ร่วมแถลงข่าว

มาเลเซีย-อินโดนีเซียจะให้ผู้อยพทางเรือพักพิง - รมว.ต่างประเทศไทยไม่ร่วมแถลงข่าว

มาเลเซียเชิญอินโดนีเซีย ไทย ถกเรื่องผู้อพยพทางเรือ - ทั้ง 3 ชาติจะปฏิบัติตาม กม.ระหว่างประเทศ-หลักมนุษยธรรม อินโดนีเซีย-มาเลเซียสนับสนุนที่พักพิงชั่วคราวให้ผู้อพยพทางเรือ 7,000 คน ขอนานาชาติร่วมช่วยเหลือ จะจัดโยกย้ายไปประเทศที่ 3 หรือส่งกลับภูมิลำเนาภายใน 1 ปี ส่วน พล.อ.ธนะศักดิ์ ไม่อยู่แถลงตอนจบ โดย รมว.ต่างประเทศมาเลเซียตอบแทนว่าฝ่ายไทยขอไปดูกฎหมายก่อน
การแถลงข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย หลังการหารือ 3 ฝ่าย ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ทั้งนี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ไม่ได้ร่วมแถลงหลังการหารือ (ที่มา: Twitter/@NotThatBobJames)

20 พ.ค. 2558 - รัฐมนตรีต่างประเทศของมาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย จัดหารือกันวันนี้ที่ "วิสมา ปุตรา" หรือที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย ที่ปุตรา จายา ในประเด็นเรื่องการเคลื่อนย้ายประชากรอย่างไม่เป็นปกติ และเรื่องการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวเบอนามาของทางการมาเลเซียรายงานว่า
โดยผู้เข้าร่วมการหารือประกอบด้วย อะนิฟาห์ อามาน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ซึ่งเชิญ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จากไทย และเร็ตโน เลสตารี เปรียนซารี มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย
ตามแถลงการณ์ ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ที่เผยแพร่หลังการหารือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย "จะดำเนินการที่จะคงไว้ซึ่งความรับผิดชอบและปฏิบัติตามพันธะกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างเทศ และกฎหมายภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้อกำหนดในเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้ย้ายถิ่นที่เข้ามาอย่างไม่ปกติ"
"อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เห็นชอบที่จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้ย้ายถิ่นที่เข้ามาอย่างไม่ปกติ ที่ยังคงอยู่ในทะเลทั้ง 7,000 คน และเห็นชอบที่จะให้ที่พักพิงชั่วคราว และให้มีกระบวนการโยกย้ายถิ่นฐานและส่งกลับประเทศต้นทาง โดยจะดำเนินการโดยประชาคมนานาชาติภายใน 1 ปี ในขณะเดียวกัน มาเลเซีย และอินโดนีเซียเชิญชวนชาติอื่นๆ ในภูมิภาคให้เข้าร่วมในความพยายามนี้"
"ส่วนหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายของทั้งสามประเทศ จะร่วมมือในการแบ่งปันข้อมูลด้านข่าวกรองเพื่อที่จะต่อต้านลักลอบขนคนและการค้ามนุษย์"
ในแถลงการณ์ยังเรียกร้องต่อประชาคมนานาชาติ ให้ช่วยเหลือมาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศไทย ในสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะการช่วยเหลือด้านงบประมาณเพื่อช่วยให้สามารถจัดหาที่พักพิงชั่วคราวและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้กับผู้ย้ายถิ่นที่เข้ามาอย่างไม่เป็นปกติซึ่งอยู่ในภาวะเสี่ยง โดยผู้ย้ายถิ่นเหล่านี้จะได้อยู่ในที่พักพิงในพื้นที่ซึ่งถูกกำหนด และได้รับความเห็นชอบจากประเทศที่เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกันยังเรียกร้องต่อประชาคมนานาชาติให้มีบทบาทในการส่งกลับผู้ย้ายถิ่นที่เข้ามาอย่างไม่เป็นปกติ ให้กลับไปยังประเทศต้นทาง หรือ ให้โยกย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศที่สาม ภายในกำหนด 1 ปีนี้
ทั้งนี้หลังการประชุม พล.อ.ธนะศักดิ์ไม่ได้ร่วมในการแถลงข่าวดังกล่าว โดยในรายงานของบางกอกโพสต์ อานิฟาห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวแทนว่า เขาจำเป็นต้องนำไปพิจารณาเสียก่อนว่ามาตรการนี้เป็นไปตามกฎหมายของไทยหรือไม่
รายงานของสำนักข่าวเบอนามา ระบุด้วยว่า มีชาวบังกลาเทศและโรฮิงญา 1,158 คน ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้หญิงด้วย ขึ้นฝั่งที่เกาะลังกาวี รัฐเคดาห์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม โดยเป็นการขึ้นฝั่งที่มาเลเซียเป็นจำนวนมากเท่าที่เคยบันทึกมา

“ใคร” ในขบวนการค้าโรฮิงยา


“ใคร” ในขบวนการค้าโรฮิงยา
--------
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่าหากมีกำลังพลของกองทัพบกเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงยาจะถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด โดยได้ประสานกับทางตำรวจไว้แล้วให้เข้าจับกุมได้ทันทีตามขั้นตอนทางกฎหมาย
ท่าทีของผบ.ทบ.ทำให้อุ่นใจได้บ้าง แต่จะยิ่งอุ่นใจมากกว่านี้หากท่านสั่งการให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีที่มีเอกสารการโอนเงินของขบวนการค้ามนุษย์ที่พาดพิงไปถึงนายทหารระดับนายพลท่านหนึ่ง หลังจากตำรวจบุกตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในจังหวัดระนอง เพราะลำพังตำรวจคงไม่มีใครกล้าลุยในช่วงฝุ่นตลบก่อนจะได้ตัวผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติคนใหม่ในเดือนกันยายนนี้ หากมีปัญหากับทหาร นั่นหมายถึงอนาคตที่แสนหมิ่นเหม่
เอกสารที่ทางตำรวจค้นพบครั้งนี้ หากมีการตรวจสอบกันจริงๆจะพบเส้นทางเดินของเม็ดเงินจำนวนนับสิบล้านบาทที่ขบวนการค้ามนุษย์ส่งส่วยให้กับบุคคลต่างๆ
มีข้อมูลมาบางส่วน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ หากท่านผบ.ทบ. หากต้องสืบสวนเรื่องนีอย่างจริงจัง
การค้ามนุษย์ในจังหวัดระนองเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2552-2553 โดยแรกเริ่มทีเดียว เมื่อชาวโรฮิงยานั่งเรือมาถึง หน่วยงานด้านความมั่นคง มักจะผลักดันออกไป โดยใช้เรือขนาดใหญ่บรรทุกได้คราวละ 700-800 คน ไม่มีเครื่องยนต์ แต่ใช้เรือลากจากฝั่ง เมื่อเข้าใกล้น่านน้ำอินโดนีเซียก็ใช้ผ้าใบกางเพื่อให้ลมพัดเข้าฝั่ง
ว่ากันว่าช่วงนั้นบนเกาะหมู(อยู่ด้านหลังเกาะพยาม)กลายเป็นศูนย์อพยพเถื่อนและมีชาวโรฮิงยาถูกนำตัวมาพักไว้นับพันๆกัน ซึ่งเรื่องนี้สื่อต่างประเทศเคยตามเจาะ และเป็นข่าวโผล่มาให้เห็น
แต่การผลักดันทำกันได้แค่ 3 เที่ยวก็ต้องหยุดเพราะใช้งบประมาณสูงมาก
ต่อมาทางกอ.รมน.ได้รับเรื่องนี้ไปดำเนินการเอง โดยมีคำสั่งเป็นการภายในไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ทหารเรือ ตำรวจน้ำ ว่าหากมีการจับกุมชาวโรฮิงยาได้ อย่าให้เป็นข่าวและให้นำส่งกอ.รมน. ที่สำคัญคือต้องไม่มีบันทึกการจับกุม
ร่ำลือกันว่า หลังจากนั้นเป็นต้นมาขบวนการค้าชาวโรฮิงยาวได้เฟื่อฟูมากในจังหวัดระนอง แรกที่เดียวการเคลื่อนย้ายไปยังชายแดนมาเลเซียนั้น ใช้เส้นทางบก โดยมีกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลคอยเคลียร์เส้นทางแต่ละจุด และหากจุดไหนยังไม่ลงตัวก็แวะพัก ดังนั้นจึงพบแคมป์มากมายระหว่างทางจากระนองไปมาเลเซีย ที่ออกเป็นข่าวในสื่อมวลชนนั้นเป็นเพียงแค่บางส่วน แต่ยังมีจุดแวะพักอีกหลายแห่งที่ถูกรื้อออกหลังจากขบวนการค้ามนุษย์ถูกตีแตก
หลายคนในจังหวัดระนองร่ำรวยกันถ้วนหน้า เพราะรายได้มหาศาลจากการขนชาวโรฮิงยา ซึ่งแต่ละเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท แค่นายหน้าระดับหางแถวยังถอยรถเบนซ์ ถอยเฟอรารี่กันเป็นว่าเล่น
ธุรกิจสีดำในความรู้สึกแรก ถูกเม็ดเงินทำให้จางลงเป็นสีเทาประมาณ “ใครๆเขาก็ทำกัน”
ระยะหลังเส้นทางการค้าคนโดยทางบกมีความเสี่ยงมากขึ้น ที่สำคัญคือค่าใช้จ่ายระหว่างทางสูงมาก ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนเส้นทางใหม่โดยใช้เรือดัดแปลง ขนชาวโรฮิงยาผ่านน่านน้ำสากลไปเข้ามาเลซียโดยตรง นั่นจึงเป็นที่มาและจุดจบของ “เจ้าพ่อเกาะหลีเป๊ะ”
ขณะนี้แม้ขบวนการค้ามนุษย์ในซีกของเอกชนจะถูกตีแตกกระจุย แต่ในซีกของภาครัฐที่เข้าด้วยช่วยกันจนอู้ฟู่ไม่แพ้เอกชน กลับไม่ถูกดำเนินการเท่าที่ควร โดยเฉพาะหัวเรือใหญ่ที่ทรงอิทธิพล
หากผู้มีอำนาจเลือกที่จะกระพริบตาข้างหนึ่งเพราะเป็นคนกันเอง ฝันร้ายนี้จะติดตามท่านไปตลอด เพราะไม่มีใครปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้
///////////////////////
ภาพโดยฐปณีย์ เอียดศรีชัย


เด้ง2ปลัดหญิง ‘ไอซีที-ทรัพย์’ ชื่อติดบัญชีดำ

เด้ง2ปลัดหญิง ‘ไอซีที-ทรัพย์’ ชื่อติดบัญชีดำ
คณะรัฐมนตรีโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายกระทรวง ฮือฮาวันเดียวสั่งเด้ง 2 ปลัดหญิงประจำกระทรวงไอซีทีและกระทรวงทรัพย์เข้าปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักนายกฯ หลังพบมีรายชื่ออยู่ในบัญชีต้องถูกตรวจสอบ ตามคาด "คุรุจิต" นั่งปลัดกระทรวงพลังงาน แทน "อารีพงศ์"มิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์ , เมธินี เทพมณี

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันอังคารว่า ครม.มีมติรับโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ราย ดังนี้
1.นางมิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อประโยชน์ของทางราชการในการปฏิรูปราชการแผ่นดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.นางเมธินี เทพมณี ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว
"การโยกย้ายดังกล่าว นายกฯ ระบุว่าไม่อยากให้มองให้เป็นความผิด แต่ขอให้เป็นไปตามกระบวนการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีรายชื่อทั้ง 2 รายอยู่ในบัญชีที่มีการตรวจสอบด้วย" พล.ต.สรรเสริญระบุ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งนายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน และมีคำสั่งให้ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีกหน้าที่หนึ่ง จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงแทนตำแหน่งที่ว่างลง

ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม มีการแต่งตั้งนายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม, นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง, นายไพฑูรย์ สว่างกมล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง, นางฉลอง อติกนิษฐ รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และ น.ส.พรพิตร นรภูมิพิภัชน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

ขณะที่ นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที กล่าวว่า ตามที่ ครม.มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงไอซีที คือ นางเมธินี เทพมณี ย้ายไปช่วยงานราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระแสข่าวที่ตนเอง และปลัดมีความขัดแย้งกันแต่อย่างใด แต่เป็นความต้องการของสำนักนายกฯ ที่ต้องการข้าราชการระดับซี 11 ไปช่วยงานราชการในภารกิจเฉพาะกิจ ส่วนใครจะมานั่งเป็นรักษาการปลัดแทน จะสามารถเสนอชื่อต่อ ครม.ได้ในสัปดาห์หน้า

ทางด้านนางเมธินีกล่าวว่า ได้รับทราบมติ ครม.ที่ให้ย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมกับสื่อมวลชน ซึ่งก็พร้อมจะปฏิบัติตามนโยบาย เพราะเป็นข้าราชการ เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งก็ต้องทำ ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับรัฐมนตรี แต่อาจจะทำงานไม่สอดคล้องกัน โดยที่ผ่านมาพยายามทำงานอย่างเต็มที่

"ที่ผ่านมาเราได้ยินข่าวว่าจะถูกปลดมาหลายครั้งแล้ว ก็ทำงานตามหน้าที่ตลอด ซึ่งมติหนนี้ก็เพิ่งทราบ ตำแหน่งใหม่ยังไม่รู้จะทำอะไรบ้าง แต่ยืนยันจะไม่ยื่นฟ้องหรือลาออกแน่นอน" นางเมธินีกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ครม.ได้มีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้แต่งตั้งนายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน แทนนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ที่ถูกย้ายกลับไปเป็นเลขาฯ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2558

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากนายคุรุจิตขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงานแล้ว จะเหลือเวลาบริหารงานอีก 5 เดือน เนื่องจากจะครบวาระเกษียณอายุราชการในเดือน ต.ค.2558 นี้

แหล่งข่าวกระทรวงพลังงานกล่าวว่า การเสนอแต่งตั้งนายคุรุจิตครั้งนี้ เพื่อต้องการให้ดูแลงานที่ค้างอยู่ให้สำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งนายคุรุจิตมีความชำนาญในงานดังกล่าว ประกอบกับเพื่อเป็นเกียรติประวัติในชีวิตการทำงานที่ได้ขึ้นตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงานก่อนเกษียณราชการ

สำหรับที่ผ่านมา นายคุรุจิตดำรงตำแหน่งในกระทรวงพลังงานมาหลากหลายหน้าที่ โดยมีความถนัดบริหารงานด้านการผลิตและจัดหาปิโตรเลียมเป็นพิเศษ เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จากนั้นขึ้นเป็นรองปลัดกระทรวงพลังงานเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2559-21 ก.ย.2551 และมาเป็นอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ระหว่างวันที่ 22 ก.ย.2551-3 พ.ย. 2553 ก่อนจะขึ้นมาเป็นรองปลัดกระทรวงพลังงานอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.2553 จนถึงปัจจุบัน ก่อนที่ ครม.จะเห็นชอบให้เป็นปลัดกระทรวงพลังงานในวันที่ 19 พ.ค.2558.

"บิ๊กจิ๋ว"และข่าวเซ็นคอคอดกะกับจีน



20052558 บิ๊กจิ๋ว’รับงานโจ๊ก! ไร้อำนาจแต่ดอดเซ็นจีนขุดคอคอดกระ

ไม่รู้จะพูดอย่างไร เมื่อเห็นภาพและข่าวนี้ อ่านเอาเอง เศร้าทั้งคนและสื่อ ที่ใกล้ชิดกับคนดูไบหนีคดี
ทั้งคนแก่ ตัณหาตันห้า นามเล็กยิ่งกว่าเล็ก คือ จิ๋ว
เว็บไซต์มติชนออนไลน์ เว็บไซต์ประชาไท รวมถึงสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ได้นำเสนอข่าวอ้างทำนองว่าประเทศไทยและจีนมีการลงนามขุดคอคอดกระ
By: newsadmin
Wednesday, May 20, 2015 - 00:06
กระบอกเสียงทักษิณเสนอข่าวมั่วอ้างไทย-จีนเซ็นเอ็มโอยูขุด "คอคอดกระ" หวังปั่นกระแสโจมตีรัฐบาล คสช. แต่ต้องถอดข่าวออกจากหน้าเว็บไซต์แทบไม่ทัน หลังโลกออนไลน์นำหลักฐานจากเว็บไซต์- หนังสือพิมพ์ของเมืองจีนออกมาแฉโพย
พบผู้ลงนามไม่ใช่ใครอื่น ที่แท้คือ "บิ๊กจิ๋ว" ไร้อำนาจแต่ดอดเซ็นร่วมมือกับนักธุรกิจจีน
ขณะที่ทางการจีน-ทูตไทยแถลงยันไม่เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศแนะบัวแก้วออกแถลงการณ์เคลียร์
ช่วงเช้าวันอังคารที่ผ่านมา เว็บไซต์มติชนออนไลน์ เว็บไซต์ประชาไท รวมถึงสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ได้นำเสนอข่าวอ้างทำนองว่าประเทศไทยและจีนมีการลงนามขุดคอคอดกระ
รายละเอียดข่าวที่ลงในเว็บไซต์วอยซ์ทีวี 21 ระบุว่า เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ Want China Time ในไต้หวัน รายงานอ้างข่าวของหนังสือพิมพ์ Oriental Daily ในฮ่องกง ระบุว่าเมื่อเร็วๆ นี้ จีนกับประเทศไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการวิจัยและการลงทุนที่กว่างโจว เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง ว่าด้วยโครงการคอคอดกระ อันเป็นพื้นที่ส่วนที่แคบที่สุดของคาบสมุครมลายูทางภาคใต้ของไทย การก่อสร้างอาจเริ่มขึ้นในเวลาไม่นาน
เว็บไซต์วอยซ์ทีวี 21 อ้างด้วยว่า เอ็มโอยูฉบับดังกล่าวเป็นผลจากการผลักดันของจีนตามแผนการสร้างเส้นทางสายไหมทางทะเล ควบคู่กับการผลักดันระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน และโครงการรถไฟความเร็วสูง จีน-รัสเซีย
ภายหลังเว็บไซต์ดังกล่าวนำเสนอข่าวออกไป ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ได้มีการแชร์ต่อในโซเชียลเน็ตเวิร์ก จนเกิดการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำนองว่าตัดสินใจเรื่องระดับชาติโดยไม่ถามประชาชน และดูเสมือนหนึ่งรัฐบาลไทยมีการดำเนินการอย่างลับๆ
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เว็บไซต์มติชนออนไลน์ เว็บไซต์ประชาไท และเว็บไซต์วอยซ์ทีวี 21 ได้มีการถอดข่าวดังกล่าวออกไป โดยระบุว่า "จากตรวจสอบพบว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นจริง" นำมาซึ่งความสับสนของผู้ติดตามข่าวสารดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเฟซบุ๊กส่วนตัว Noppanan Arunvongse Na Ayudhaya ของนายนพนันท์ อรุณวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ซึ่งพำนักอาศัยอยู่ในกรุงปักกิ่ง ได้ตั้งข้อสังเกตต่อเรื่องนี้ว่า "หนังสือพิมพ์มติชนและสำนักข่าวประชาไทรายงานเรื่อง "สื่อแดนมังกรเสนอข่าว มีการร่วมลงนามขุด "คอคอดกระ" ในไทย ส่งผลประโยชน์ต่อการค้าจีน" โดยอ้างอิงจาก "Chinadailymail.com"
ทั้งๆ ที่ chinadailymail.com นั้นเป็นเพียงแค่ blog บน wordpress และไม่ใช่สื่อจีน เพียงแต่มีคำว่า china อยู่ในชื่อ และ chinadailymail.com นั้นอยู่ในกลุ่มเสนอข่าวต่อต้านรัฐบาลจีน"
นายนพนันท์ระบุว่า หลังจากตรวจสอบต่อไปจึงพบว่า chinadailymail.comนำข่าวมาจากกลุ่ม "จดหมายเหตุเทียนอันเหมิน" ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านจีนกลุ่มใหญ่เช่นกัน โดยทั้งสองแหล่งข่าวนั้นไม่มีรายละเอียดใดๆ นัก แต่เพื่อความแน่ชัด จึงได้ตรวจสอบเพิ่มเติมต่อไปยังสื่อทางการของจีนในประเทศจีนอีกชั้น และทำให้พบกับรายงานข่าวที่ตกตะลึง ซึ่งข่าวดังกล่าวนี้ไม่ปรากฏบนสื่อไทย
"แต่ปรากฏทั่วประเทศจีนตั้งแต่กลางดึกของเมื่อคืนนี้ (19 พฤษภาคม 2558) พร้อมภาพถ่ายหลักฐานโดยรายงานนั้นสรุปเนื้อหาใจความได้ดังนี้ "วันที่ 10 เมษายน 2558 ณ นครกวางเจา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้บัญชาการกองทัพไทย ในฐานะประธาน Asia Union Group พร้อมด้วยอดีตรัฐมนตรีกลาโหมไทย ลงนามในบันทึกช่วยจำเรื่อง "ความร่วมมือขุดคอคอดกระ" กับนายกั้วอี้ ประธานรัฐวิสาหกิจ China-Thailand Kra Infrastructure Investment & Development โดยมีสักขีพยานเป็นข้าราชการระดับสูงของไทยทั้งทหาร ตำรวจ สำนักราชเลขาธิการ และกรมราชองครักษ์"
ตอนท้ายของโพสต์นี้ นายนพนันท์ได้เสนอ "ให้กระทรวงการต่างประเทศ ควรรีบออกแถลงการณ์ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเร็ว"
สำหรับข่าวนี้ มีการเผยแพร่จำนวนมากอยู่ตามเว็บไซต์และหนังสือพิมพ์ของจีน โดยนอกจากเนื้อหาข่าวเกี่ยวกับความร่วมมือในการขุดคอคอดกระแล้ว ยังมีรูปภาพขณะลงนามร่วมมือระหว่าง พล.อ.ชวลิตและนักธุรกิจของเมืองจีนด้วย
ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงข่าวอย่างเป็นทางการหลังทราบเรื่อง โดยปฏิเสธรายงานข่าวก่อนหน้านี้ ที่ว่ารัฐบาลจีนลงนามไม่เป็นความจริง และรัฐบาลจีนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการลงนามใน MOU ดังกล่าวแต่อย่างใด เช่นเดียวกับเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่งและอัครราชทูตที่ปรึกษาพาณิชย์ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธว่า รัฐบาลไทยไม่มีความเกี่ยวข้องกับการลงนามใน MOU ดังกล่าวเช่นกัน
แหล่งข่าววิเคราะห์ว่า การปรากฏข่าวของ พล.อ.ชวลิตกรณีคอคอดกระ ตรงกับวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และท่ามกลางกระแสข่าวจากพรรคเพื่อไทยว่า พล.อ.ชวลิตเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ถูกวางตัวให้เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี จึงน่าจับตาบทบาทของ พล.อ.ชวลิตเป็นอย่างยิ่ง
ด้านนายไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะอุปนายกและเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน เปิดเผยว่า ตามรายงานข่าวทั้งในประเทศจีนและในประเทศไทย ขณะนี้ว่ามีการลงนามให้มีการศึกษาโครงการคลองกระที่กว่างโจว เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 และเกิดการสอบถามเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวางนั้น ได้ตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องของรัฐบาลไทย-จีน เพราะรัฐบาลไทย-จีนยังไม่ได้มีการหารือในเรื่องนี้กันแต่ประการใดเลย
"จากการตรวจสอบทั้งฝ่ายจีนและฝ่ายไทย พบว่าผู้ลงนามฝ่ายไทยคืออดีตนักการเมืองอาวุโสคนดังคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับรัฐบาลกับฝ่ายจีนซึ่งเป็นนักธุรกิจจีนคนหนึ่ง และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับรัฐบาลจีน มีการลงนามกันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2558 และนำข่าวไปเผยแพร่ที่กว่างโจวว่ามีการลงนามในวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 หลังจากนั้นก็กระจายข่าวออกไป ทำให้เกิดการสอบถามกัน จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าผู้ลงนามฝ่ายไทยก็ไม่ได้มีอำนาจในการอนุมัติหรืออนุญาตให้ศึกษา เรื่องโครงการคลองกระ ในขณะที่ผู้ลงนามฝ่ายจีนก็เป็นเอกชนที่ไม่ปรากฏฐานะชัดเจนว่าเป็นใคร เพียงแต่อ้างว่ามีเส้นสายในปักกิ่ง ซึ่งอ้างกันมากมายในขณะนี้ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลจีนและรัฐบาลไทยจะต้องจับตามอง"
นายไพศาลระบุต่อว่า เพราะเรื่องคลองกระเป็นเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติที่สำคัญมาก เป็นเรื่องยุทธศาสตร์สำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง มีผลต่อสันติภาพและความรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าทำให้ถูกต้อง ทำให้ดี ก็จะบังเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและภูมิภาคนี้อย่างใหญ่หลวง ซึ่งต้องระวังไม่ให้ผู้ไม่หวังดีนำไปหาประโยชน์ส่วนบุคคล ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ
"ขณะนี้มีขบวนการนายหน้าเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำธุรกิจบังหน้าหาประโยชน์ เช่น อ้างว่านำคณะนักลงทุนจีนมาลงทุนในประเทศไทย โดยเก็บเงินนักธุรกิจจีนเหล่านั้นในอัตราที่สูง แล้วอ้างว่าสามารถนำไปพบปะกับผู้นำในรัฐบาลหรือบุคคลสำคัญได้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องมาท่องเที่ยว กินข้าว ถ่ายรูป แล้วเอาไปลงหนังสือพิมพ์ หรือเอาไปอวดอ้างกัน ซึ่งมีลักษณะกลายพันธุ์ มาจากทัวร์ศูนย์เหรียญนั่นเอง จนเกิดความรำคาญแก่วงงานในรัฐบาล จึงได้มีการป้องกันความวุ่นวายนี้ด้วยมาตรการบางอย่าง ทำให้ขบวนการนายหน้าหน้าแตกไปหลายรายแล้ว"
ที่ปรึกษารองนายกฯ ระบุด้วยว่า ดังนั้นแม้ความจริงรัฐบาลจีนและนักธุรกิจจีนสนใจมาลงทุนในประเทศไทยซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ก็ต้องไม่เห่อเหิมจนกลายเป็นช่องว่างให้พวกทุจริตหาประโยชน์ได้ ทั้งนี้ สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน ยินดีที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และยินดีที่จะให้ความร่วมมือ พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้นักธุรกิจไทย-จีนได้ร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ด้วย
ขณะที่ นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวว่า ตามหลักการการลงนามความร่วมมือต่างๆ ในนามรัฐบาลจะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทุกฉบับเสียก่อน โดยจะมอบหมายให้ใครเป็นผู้ลงนาม และกระทรวงการต่างประเทศเองจะต้องรับรู้ เพราะรับผิดชอบเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องใหญ่ระดับนี้เป็นไปยากที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.โดยที่สื่อจะไม่รู้
นายปณิธานกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องการศึกษาคลองกระ รัฐบาลในอดีตที่ผ่านๆ มามักมีความสนใจที่จะศึกษา ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษา โดยไม่มีวาระ แต่โดยปกติเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลกรรมการที่ถูกแต่งตั้งเข้าไปก็จะลาออกไปเอง เมื่อมีรัฐบาลใหม่ก็จะมีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นมา ไม่แน่ใจว่าพล.อ.ชวลิตเป็นกรรมการต่างๆ ที่มีการตั้งขึ้นมาหรือไม่ หรืออีกกรณีคือในรูปแบบของมูลนิธิอะไรหรือไม่ ที่สำคัญต้องดูก่อนว่าข่าวดังกล่าวเป็นการลงนามเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงหรือไม่.