PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

“ใคร” ในขบวนการค้าโรฮิงยา


“ใคร” ในขบวนการค้าโรฮิงยา
--------
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่าหากมีกำลังพลของกองทัพบกเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงยาจะถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด โดยได้ประสานกับทางตำรวจไว้แล้วให้เข้าจับกุมได้ทันทีตามขั้นตอนทางกฎหมาย
ท่าทีของผบ.ทบ.ทำให้อุ่นใจได้บ้าง แต่จะยิ่งอุ่นใจมากกว่านี้หากท่านสั่งการให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีที่มีเอกสารการโอนเงินของขบวนการค้ามนุษย์ที่พาดพิงไปถึงนายทหารระดับนายพลท่านหนึ่ง หลังจากตำรวจบุกตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในจังหวัดระนอง เพราะลำพังตำรวจคงไม่มีใครกล้าลุยในช่วงฝุ่นตลบก่อนจะได้ตัวผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติคนใหม่ในเดือนกันยายนนี้ หากมีปัญหากับทหาร นั่นหมายถึงอนาคตที่แสนหมิ่นเหม่
เอกสารที่ทางตำรวจค้นพบครั้งนี้ หากมีการตรวจสอบกันจริงๆจะพบเส้นทางเดินของเม็ดเงินจำนวนนับสิบล้านบาทที่ขบวนการค้ามนุษย์ส่งส่วยให้กับบุคคลต่างๆ
มีข้อมูลมาบางส่วน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ หากท่านผบ.ทบ. หากต้องสืบสวนเรื่องนีอย่างจริงจัง
การค้ามนุษย์ในจังหวัดระนองเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2552-2553 โดยแรกเริ่มทีเดียว เมื่อชาวโรฮิงยานั่งเรือมาถึง หน่วยงานด้านความมั่นคง มักจะผลักดันออกไป โดยใช้เรือขนาดใหญ่บรรทุกได้คราวละ 700-800 คน ไม่มีเครื่องยนต์ แต่ใช้เรือลากจากฝั่ง เมื่อเข้าใกล้น่านน้ำอินโดนีเซียก็ใช้ผ้าใบกางเพื่อให้ลมพัดเข้าฝั่ง
ว่ากันว่าช่วงนั้นบนเกาะหมู(อยู่ด้านหลังเกาะพยาม)กลายเป็นศูนย์อพยพเถื่อนและมีชาวโรฮิงยาถูกนำตัวมาพักไว้นับพันๆกัน ซึ่งเรื่องนี้สื่อต่างประเทศเคยตามเจาะ และเป็นข่าวโผล่มาให้เห็น
แต่การผลักดันทำกันได้แค่ 3 เที่ยวก็ต้องหยุดเพราะใช้งบประมาณสูงมาก
ต่อมาทางกอ.รมน.ได้รับเรื่องนี้ไปดำเนินการเอง โดยมีคำสั่งเป็นการภายในไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ทหารเรือ ตำรวจน้ำ ว่าหากมีการจับกุมชาวโรฮิงยาได้ อย่าให้เป็นข่าวและให้นำส่งกอ.รมน. ที่สำคัญคือต้องไม่มีบันทึกการจับกุม
ร่ำลือกันว่า หลังจากนั้นเป็นต้นมาขบวนการค้าชาวโรฮิงยาวได้เฟื่อฟูมากในจังหวัดระนอง แรกที่เดียวการเคลื่อนย้ายไปยังชายแดนมาเลเซียนั้น ใช้เส้นทางบก โดยมีกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลคอยเคลียร์เส้นทางแต่ละจุด และหากจุดไหนยังไม่ลงตัวก็แวะพัก ดังนั้นจึงพบแคมป์มากมายระหว่างทางจากระนองไปมาเลเซีย ที่ออกเป็นข่าวในสื่อมวลชนนั้นเป็นเพียงแค่บางส่วน แต่ยังมีจุดแวะพักอีกหลายแห่งที่ถูกรื้อออกหลังจากขบวนการค้ามนุษย์ถูกตีแตก
หลายคนในจังหวัดระนองร่ำรวยกันถ้วนหน้า เพราะรายได้มหาศาลจากการขนชาวโรฮิงยา ซึ่งแต่ละเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท แค่นายหน้าระดับหางแถวยังถอยรถเบนซ์ ถอยเฟอรารี่กันเป็นว่าเล่น
ธุรกิจสีดำในความรู้สึกแรก ถูกเม็ดเงินทำให้จางลงเป็นสีเทาประมาณ “ใครๆเขาก็ทำกัน”
ระยะหลังเส้นทางการค้าคนโดยทางบกมีความเสี่ยงมากขึ้น ที่สำคัญคือค่าใช้จ่ายระหว่างทางสูงมาก ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนเส้นทางใหม่โดยใช้เรือดัดแปลง ขนชาวโรฮิงยาผ่านน่านน้ำสากลไปเข้ามาเลซียโดยตรง นั่นจึงเป็นที่มาและจุดจบของ “เจ้าพ่อเกาะหลีเป๊ะ”
ขณะนี้แม้ขบวนการค้ามนุษย์ในซีกของเอกชนจะถูกตีแตกกระจุย แต่ในซีกของภาครัฐที่เข้าด้วยช่วยกันจนอู้ฟู่ไม่แพ้เอกชน กลับไม่ถูกดำเนินการเท่าที่ควร โดยเฉพาะหัวเรือใหญ่ที่ทรงอิทธิพล
หากผู้มีอำนาจเลือกที่จะกระพริบตาข้างหนึ่งเพราะเป็นคนกันเอง ฝันร้ายนี้จะติดตามท่านไปตลอด เพราะไม่มีใครปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้
///////////////////////
ภาพโดยฐปณีย์ เอียดศรีชัย


ไม่มีความคิดเห็น: