PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

วิษณุเผยมีชื่อกรธ. แล้วราว40-เสียดายพท.ไม่ร่วมสปท.


วิษณุเผยมีชื่อกรธ. แล้วราว40-เสียดายพท.ไม่ร่วมสปท.
ข่าวการเมือง วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ.2558 11:00 น.
648250
รองนายกฯ วิษณุ ระบุ มีรายชื่อ กรธ. แล้ว ประมาณ 40 คน ด้าน มีชัย ยังไม่ตอบรับตำแหน่งประธาน มี 2 พรรคเล็ก ส่งรายชื่อ สปท. แล้ว เสียดายเพื่อไทยไม่เข้าร่วม
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในการสรรหาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ส่วน นายมีชัย ฤชุพันธุ์ สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ได้รับการทาบทาม ขณะนี้ยังแบ่งสู้มากกว่าแบ่งรับ แต่ได้ทราบถึงเจตนาการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว และขอให้พิจารณาคนอื่นไปก่อน โดย นายมีชัย จะตัดสินใจบอกกับนายกรัฐมนตรี ว่าจะรับหรือไม่รับตำแหน่ง
สำหรับการทาบทามคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ นั้น นายวิษณุ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้หลายคนติดตาม ซึ่งรายชื่อที่ได้จะมากกว่า 21 คน เพราะเป็นการทาบทามไว้ ให้ หัวหน้า คสช. พิจารณา โดยขณะนี้ มีรายชื่อรวมกว่าเกือบ 30 - 40 คน และมีคุณสมบัติเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 อาจจะเป็นอดีตคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. และสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. โดยแบ่งสัดส่วนหญิงชายผสมกัน จึงจำเป็นที่จะต้องให้คนที่ได้รับการทาบทามรู้ตัวก่อน เพื่อรับทราบแนวทางการทำงาน ก่อนตัดสินใจว่าจะรับตำแหน่งหรือไม่

วิษณุ เสียดาย พท.ไม่เข้าร่วม สปท.

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวถึงความคืบหน้าการสรรหาสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. ว่า ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบโดยตรง แต่ก็ทราบว่ามีความก้าวหน้าไปมาก ซึ่งมีพรรคการเมืองสองพรรคเล็กได้ส่งรายชื่อใส่ซองปิดผนึกมาให้ ซึ่งตนได้ส่งต่อไปให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. พิจารณา และยังทราบว่ามีบางพรรคการเมืองไปยื่นรายชื่อเองที่กองบัญชาการกองทัพบก ในส่วนของพรรคเพื่อไทย จะไม่เข้าร่วมก็ไม่เป็นไร และยืนยันว่าตนไม่ได้พูดว่าไม่แคร์ไม่ง้อ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะพรรคเพื่อไทยบอกว่าไม่สนใจ และรู้สึกเสียดายที่พรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้เข้าร่วมมาเสนอหรือผลักดัน ถึงแม้จะผลักดันได้ไม่มาก แต่ก็จะได้แสดงความคิดเห็น

น.1ยันหลักฐานชัดอาเดมเสื้อเหลือง-ยื่นศาลขอหมายจับ



น.1ยันหลักฐานชัดอาเดมเสื้อเหลือง-ยื่นศาลขอหมายจับ
ข่าวอาชญากรรม วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ.2558 16:55 น.
648360
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยัน หลักฐานชัด "อาเดม" คือเสื้อเหลือง วางระเบิดพระพรหม ยื่นศาลขอหมายจับ ขณะ "สมยศ" บอก ปิดคดีบึ้มก่อนเกษียณ
พลตำรวจโทศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่า นายอาเดม คาราดัก หรือ บิลลาร์ มูฮำหมัด ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีระเบิดแยกราชประสงค์ เป็นชายเสื้อเหลือง ที่นำระเบิดไปวางบริเวณศาลท้าวมหาพรหม หลังฝ่ายสืบสวนพบพยานหลักฐานชัดเจนจนนำไปสู่การขออนุมัติศาลทหารออกหมายจับ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นขอศาลอนุมัติหมายจับ 
ส่วนด้าน พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า กรณีการออกหมายจับ ล่าสุด นี้ให้เป็นหน้าที่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งหากมีการอนุมัติหมายจับก็จะนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ 
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังยืนยันอีกว่า จะสามารถปิดคดีดังกล่าวได้ก่อนเกษียณอายุราชการอย่างแน่นอน 
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เวลา 19.00 น.นี้ จะมีการประชุมความคืบหน้าคดีอีกครั้ง ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล

"พลเอกประวิตร" เผยหน่วยมั่นคงคุมเข้มชายแดนใต้ หลังสหรัฐฯเตือนมาเลเซีย ระวังก่อการร้าย

"พลเอกประวิตร" เผยหน่วยมั่นคงคุมเข้มชายแดนใต้ หลังสหรัฐฯเตือนมาเลเซีย ระวังก่อการร้าย เหตุจับกุมมุสลิมหัวรุนแรงโยงISอีก เตือนอย่าโยงก่อการร้าย-IS ระเบิดราชประสงค์ เชื่อไม่ใช่ กลุ่มที่โยงระเบิดไทย ที่ ไทยบินไปดู
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม และรักษาการ นายกฯ เผย ได้ สั่งหน่วยมั่นคงคุมเข้มชายแดนภาคใต้ หลังสหรัฐอเมริกา เตือนมาเลเซีย ระวังก่อการร้าย เหตุ มาเลเซียจับกุมมุสลิมหัวรุนแรงโยงISอีก ยันดูแลอยู่แล้ว เชื่อระเบิดราชประสงค์ไทยไม่โยงIS เผยสหรัฐฯ ยังไม่เตือนไทย ระวังก่อการร้าย อะไร แต่เราระวังอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง เชื่อไม่ใช่ กลุ่มที่โยงระเบิดไทย ที่ ตำรวจไทยบินไปดู

ทูตไทยฯ รายงานนายกฯท่าทีสหรัฐฯ ว่าใกล้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว

พบสัญญาณ บวก !!
"นายกฯ" พบ "ทีมไทยแลนด์" รับฟังอุปสรรคทุกด้าน หวังเป็นส่วนสำคัญเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ /ทูตไทยฯ รายงานท่าทีสหรัฐฯ ว่าใกล้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว
24 กันยายน -หลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และภริยา พร้อมด้วยคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลา 11.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าไทย 11 ชั่วโมง)
จากนั้นได้เดินทางเข้าโรงแรมที่พัก The One UN ต่อมาเวลา 15.00 น. นายกฯ ได้ประชุมร่วมกับทีมประเทศไทยในสหรัฐฯ (Thailand Team ) เพื่อบอกเล่าถึงสถานกาณณ์การเมืองไทยรวมถึงชี้แจงแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลในอนาคต
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รายงานท่าทีและแนวทางความร่วมมือกับไทยอย่างไรบ้าง
โดยได้ชี้แจงว่าหลายครั้งสหรัฐฯมีสัญญาณที่ดีต่อไทยและมีแนวโน้มที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและไทยกำลังจะกลับไปสู่ภาวะปกติในไม่ช้า ถึงแม้ว่าจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างตามข้อกฎหมายของสหรัฐฯ เอง แต่ขณะนี้ความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษาก็กำลังจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
พล.ต.วีรชน กล่าวว่า นายกฯ ก็ได้รับฟังปัญหาของทีมไทยแลนด์ว่าสิ่งใดที่รัฐบาลจะช่วยเหลือได้บ้าง ทั้งอุปสรรคด้านการค้าการลงทุน การศึกษา การทำการเกตรกรรมรวมถึงการทำอุตสาหกรรมของคนไทยในสหรัฐฯ เนื่องจากทีมไทยแลนด์ถือเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสหรัฐฯให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

"พลเอกประวิตร"โต้ แถลงการณ์ HRW

ไม่เก็บไว้นานหรอก....
"พลเอกประวิตร"โต้ แถลงการณ์ HRW ยันรู้ว่าเรายังไม่เป็นปชต.จะเป็นได้ยังไงเล่าเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีโรดแมพ ไม่ใช่เราจะเก็บแบบนี้ตลอดไปซะเมื่อไหร่" /เชื่อความดี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แม้มีคนต่อต้าน แต่ก็มีคนสนับสนุนไม่น้อย เรื่องธรรมดา มีทั้งคนรักคนเกลียด /ไม่อาจสกัดกั้นอินเตอร์เนต

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม และรักษาการนายกฯ กล่าวถึง
กรณที่จะ/ ม็อบต้านนายกฯที่UNจะถ่ายทอดสด ผ่านอินเตอร์เนต ว่า ทำไงได้ เราห้ามได้หรือ สกัดกั้นได้หรือ มีเครื่องมืออะไรบ้างล่ะ ส่วนSingle Gateway ก็ยังไม่มีอะไร ต้องทีเครื่องมือสกัดกั้น

เมื่อถามว่า ห่วงนายกฯหรือไม่ เพราะถูกต้าน ที่UN พลเอกประวิตร บอก ไม่ห่วง เชื่อว่าความดีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แม้มีคนต่อต้าน แต่ก็มีคนสนับสนุนไม่น้อย เรื่องธรรมดา มีทั้งคนรักคนเกลียด
"แต่ให้ดูว่า ความสงบที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ใครเป็นคนทำ ท่านนายกฯเป็นคนทำ ท่านทุ่มเททุกอย่าง คนไทยส่วนใหญ่ก็โอเค. นะ ผมว่าประเทศต่างๆ ก็ชอบนะที่ประเทศเรา สงบ"

พลเอกประวิตร เผยยังไม่มีแผนเชิญGlyn Davies ออท.สหรัฐคนใหม่ มาพบ ให้เขาทำงานไป เดี๋ยวเขาก็คงมาพบเองตามธรรมเนียม

ส่วนกรณีที่Human Right Watch แถลงการณ์เรียกร้องให้ไทยกลับเป็นประชาธิปไตย นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ผมเองก็อยากให้เป็นประชาธิปไตย แต่เรามีโรดแมพอยู่ ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไงให้เข้าใจ เรามีแผนชัดเจน มีรธน.เขียนไว้แล้ว ไม่ใช่ไม่มี

"ผมก็รู้ว่าเรายังไม่เป็น ปชต. จะเป็นได้ยังไงเล่า ก็เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เรามีโรดแมพ ที่จะนำไปสู่ปชต ไม่ใข่ว่า เราจะไม่เป็น หรือเราจะเก็บ แบบนี้ไปตลอดไป เมื่อไหร่ล่ะ"
"ตอนนั้น เป็นประชาธิปไตย แล้วตีกันตาย เป็นร้อยเป็นพันคน เอารึเปล่า เอามั้ย ก็ตอนนี้มันไม่เป็น แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด ซะเมื่อไหร่" พลเอกประวิตร กล่าว

แม่ทัพภาค1 เผย กกล.รส.ยังไม่ดำเนินการใดๆกับ กลุ่มปชต.ใหม่ แต่ต้องยึดกม.บ้านเมือง

"บิ๊กโชย"แม่ทัพภาค1 เผย กกล.รส.ยังไม่ดำเนินการใดๆกับ กลุ่มปชต.ใหม่ แต่ต้องยึดกม.บ้านเมือง เผยยังไม่เรียกใครมาปรับทัศนคติ รอนายกฯกลับมาก่อน เผยอยากให้คนไทยรักกัน แจง กกล.รส. ยึดหลักกฎหมาย-สิทธิมนุษยชน ไม่หวั่นองค์กรต่างชาติกดดัน ชี้เราต้องเชื่อมั่นกันเอง เพื่อพาชาติเดินหน้า มั่นใจ "พลโทเทพพงศ์" แม่ทัพภาค1 คนใหม่ สานต่องานได้
บิ๊กโชย พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาค1 และ ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) กล่าวว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ เปิดเวทีต่างๆ เพื่อให้แสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว ทุกอย่างที่ดำเนินการเรายึดหลักกฎหมายและสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
"ฉะนั้นต้องนิยามให้ดี ว่าหลักกฎหมายและสิทธิมนุษยชนคืออะไร ที่สำคัญทุกคนต้องรักประเทศ ยึดกฎหมายและตัดผลประโยชน์ตัวเองออกไป คิดว่าประเทศจะมีศักยภาพและเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง ยืนยันทุกอย่างที่ดำเนินมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย"
ส่วนการที่ องค์กรต่างชาติกดดันรัฐบาล คสช. ให้กลับสู่ประชาธิปไตยนั้น พลท.กัมปนาท กล่าวว่า คงไม่พูดถึงตรงนั้น เพียงแต่เราต้องทำอย่างไรให้สถานการณ์บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย และเราต้องเชื่อมั่นกันเอง ว่าต้องเดินด้วยความมั่นคงและยึดหลักกฎหมาย
ส่วนการดำเนินการกับกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ที่ขัดคำสั่ง คสช. ออกมาเดินขบวนเมื่อ 19 ก.ย. ที่ผ่านมานั้น แม่ทัพภาค1 กล่าวว่า ตนไม่อยากให้มีการไปพูดว่าจะเอาผิดย้อนหลัง เพราะจะถูกตีความไปต่างๆ นานา
แต่ยืนยันทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ใครมีหน้าที่อะไรต้องดำเนินการไปตามนั้น ซึ่งทุกอย่างที่ดำเนินการมาทั้งหมด เพราะต้องการจัดระเบียบให้ทุกคนเคารพกฎหมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ตราบใดที่ทุกคนไม่ยึดกฎหมาย บ้านเมืองเดินไปไม่ได้
แม้แต่ ทหาร ตำรวจ เองก็ต้องยึดหลักกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะได้รับโทษเป็น 2 เท่า ซึ่งก็ได้เน้นย้ำกับกำลังพลมาตลอด ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ทำอะไรนอกเหนือไปกว่านี้
อย่างไรก็ตามมีเจ้าหน้าที่พูดคุยกับกลุ่มประชาธิปไตยใหม่อยู่แล้ว ไม่ห่วงว่าจะมีการลอกเลียนแบบ ไม่ต้องกังวล พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพน้อยที่ 1 และว่าที่แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ จะสามารถสานต่องานต่อจากผมได้ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
ส่วนกกล.รส.คสช.จะมีการเรียกตัวหรือเชิญใครมาปรับทัศนคติในค่ายทหาร อีกหรือไม่นั้น แม่ทัพภาค1 กล่าวว่า ยังไม่มี รอให้นายกฯกลับมาก่อน
ทั้งนี้ แม่ทัพภาค1 เป็นประธานการจัดกิจกรรมไถ่ชีวิตโคกระบือ เพื่อถวายเป็นราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา
โดยกล่าว ว่าถือเป็นความตั้งใจของกองทัพภาคที่ 1 ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อถวายเป็นพราะราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนื่องจากพระองค์ท่านมีพระกรุณาธิคุณต่อประเทศ เราต้องการให้คนไทยรักกัน ซึ่งทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ในส่วนของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ก็มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในภาพรวมของประเทศ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าและเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย

เปิดตัว “ดิเรก” บล็อคเกอร์ดังของฮ่องกง ชักชวนเยิ่นต๊ะหัว หมีเซี๊ยะ มาเที่ยวไทยเป็นคณะ



เปิดตัว “ดิเรก” บล็อคเกอร์ดังของฮ่องกง ชักชวนเยิ่นต๊ะหัว หมีเซี๊ยะ มาเที่ยวไทยเป็นคณะ
Cr:สำนักข่าวเจ้าพระยา
‪#‎ดิเรก‬ ผู้ชายคนนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังการมาเมืองไทยของหมีเซียะกับเยิ่นต๊ะหัว
” ดิเรก” (ชื่อจีนฟังไม่ทัน) เป็นบล็อคเกอร์ชื่อดังของฮ่องกงมีคนตามมากกว่า5แสนคน เป็นคนชอบเขียนเรื่องเมืองไทยในแง่มุมต่างๆ
หมีเซียะและเยิ่นต๊ะหัวก็เป็นเพื่อนของดิเรกเพราะต่างก็ชอบเที่ยวเมืองไทย จึงเกิดการชักชวนคนฮ่องกงผ่านหน้าบล็อคกัน
จุดประสงค์การมาเมืองไทยครั้งนี้ของหมีเซียะกับเยิ่นต๊ะหัว ไม่ใช่มา 2คน แต่มาเป็นคณะใหญ่หลายอาชีพของแฟนคลับของดิเรก
เรื่องมันบังเอิญว่า สำนักงานททท.ที่ฮ่องกงทราบข่าวนี้ เลยประสานงานให้คณะของดิเรกเยิ่นต๊ะหัวและหมีเซียะ
กลุ่มของดิเรกเยิ่นต๊ะหัวหมีเซียะ เค้าไม่ได้เพิ่งเข้ามาในวันแถลงข่าวที่ศาลพระพรหม เค้ามาเที่ยวและทำงานกันก่อนหน้าแล้ว จนเสร็จเลยมาช่วยททท.
งานช่วยททท.ของหมีเซียะและเยิ่นต๊ะหัว ทั้งสองไม่ได้ค่าจ้างมา ได้แต่การอำนวยความสะดวกให้ถ่ายทำสถานที่ต่างๆหลายแห่งแค่นั้น
ถามว่ากลุ่มนี้เค้าได้ประโยชน์อะไร สิ่งที่ได้คือ เขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก นั่นคือประเทศไทยไง ได้ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆผ่านสารคดีในจอแก้วฮ่องกง

ปิดsingle gatewayแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง?


ที่จริง มีคนอธิบาย single gateway กันเพียบแล้วอ่ะ -.,-"
ผมขอสรุป ประมาณ ว่า
จากแต่ก่อน ทราฟฟิค(ข้อมูลการใช้งาน) ทั้งหมด
จะวิ่งผ่าน isp ใคร isp มัน ใครใช้ทรู ก็วิ่งไปทรู,
tot ก็วิ่งไป tot, ... ais dtac ไรเงี้ยก็เช่นกัน
แล้วบางเจ้าเขาทำท่อตรงออก ตปท.
เพื่อดูแลเองได้กรณีล่ม, เพื่อความไวของเน็ตตัวเอง,
ping น้อยๆ, เล่นเกมส์นอกลื่นๆ, ลูกค้าจะได้ไม่บ่น ฯลฯ
ก็จะโดนรัฐบังคับเปลี่ยนเป็นให้ข้อมูลเหล่านั้น
มาวิ่งผ่าน gateway ของรัฐก่อนทุกเจ้า
(ซึ่งคำว่า single gateway อันนี้ อาจจะมี gateway 10 ที่ก็ได้นะ
... แค่ทั้งหมดต้องเป็นของรัฐ ประมาณนั้นน่ะ)
.
.
.
ทีนี้จากเดิม เวลาที่รัฐจะ block เว็บอะไรซักที เช่น เว็บโป๊
เจ้าหน้าที่รัฐ ต้องขอศาล แล้วเอากฏหมายไปสั่ง isp ทุกเจ้า
แล้วรัฐก็รอให้เขา block ให้
(ซึ่งก็จะมีเวลายืดหยุ่นอยุ่..อาจไม่ทันใจคนสั่งในบางขั้นตอน)
ก็จะเปลี่ยนเป็นขอคำสั่งศาล(หรือไม่ต้องขอ?)
แล้วสั่งให้คนดูแลของรัฐ block เองที่ gateway ได้เลย
(block ฉับไว .. ทันใจเจ๊)
....นี่คือแบบเห็นๆ เด่นชัด....
<และ ถ้าลุงๆ ป้าๆ ที่นั่งในกระทรวงจะลงทุนหลายๆ ล้าน
เพื่อเอามาทำแค่นี้ ผมว่าผมรอเจ้าหน้าที่เขา block ให้ได้นะ
หรือไม่ก็แก้กฏหมายไปเลย เช่น บร๊อคช้าสามครั้งยืนหน้าเสาธง
เจ็ดครั้งเชิญผู้ปกครอง ฯลฯ ... แค่นี้ คราวหน้าทันใจเจ๊แน่นอน>
.
.
.
..."ห รื อ รั ฐ เ ข า ไ ม่ คิ ด จ ะ ทำ แ ค่ นี้ ?"...
.
.
.
.
แล้วถ้าเกิดเจ้า single gateway นี้
รัฐเกิดทำการดักข้อมูลไปไว้อ่านด้วย
(ทำ law full intercept)
เจ้าหน้าที่รัฐก็ได้ข้อมูลทั้งหมดไปอ่านได้เลย
รัฐก็จะได้ข้อมูล เอาส่วนของข้อมูลทั่วๆไปไม่เข้ารหัสก่อน
เช่น เว็บที่ไม่มี https, พวก face, line ยังรอดอยุ่
<ซึ่งจริงๆ ถ้าแค่จะเอาข้อมูลไปอ่านแบบนี้
รัฐแค่บังคับขอทำ mirror traffic ไปได้เช่นกัน
คนทั่วไปไม่รู้ แถมลงทุนน้อยกว่าเยอะ
.. แต่มันถอด https ไม่ได้, block ทันใจไม่ได้ ฯลฯ นั่นเอง>
.
.
.
ซึ่งถ้าให้มองจริงๆ การทำตัวเป็น gateway แบบนี้
รัฐเขาอาจจะข้ามไปอีกขั้น คือ 'ทำ cert แห่งชาติ'
นั่นคือ บังคับให้ทุกคนลง cert นี้ก่อน เพื่อที่จะใช้เน็ตได้
ทีนี้ เมื่อทุกคนลง cert นี้แล้ว
ข้อมูลทั้งหมดที่เข้ารหัส ก็จะถูกทางรัฐ ถอดและอ่านได้
(พวกเว็บที่มี https อ่ะ.. คราวนี้ line, face ก็ไม่รอดแระ)
.
.
.
แต่ในร่าง ยังไม่ได้ระบุว่าจะมี ca แห่งชาติ
ดังนั้นเราจะรู้ว่ารัฐเขาดักหรือไม่ ต้องรอดูอีกทีอ่ะคับ
(ค่า root ca แม่งแพงเหี้ยๆๆๆๆ เลยคับ ... คนที่จะทำ LF เขารู้ดี
แต่ไม่ยอมบอกคนในนั้นเองแหละ ว่าราคาเท่าไหร่)
.
.
//แต่ปกติ .. ที่เห็นๆ กังวลกัน คือ เรื่อง Lawfull น่ะคับ
เพราะ กลัวเรื่องธุรกรรม ฯลฯ
.
.
//อยากให้มองแบบนี้นะคับ
ประเทศเรา เป็นประเทศที่มีเจ้าหน้าที่ ทุจริตเยอะ
ซึ่ง ปชช. เขามักเหมารวมครับ
ดังนั้น ทำให้เวลารัฐจะทำอะไรซักนิด
ที่มันส่อไปในทางที่จะ ทุจริตได้
ปชช. เขาก็ไม่ไว้ใจอ่ะคับ
.
.
ปล. จริงๆ เอาเงินไปลงทุนด้านการศึกษาเถอะครับ
ให้ความสำคัญครูเยอะๆ ตอนนี้ เด็กอายุต่ำกว่า ม.3
ตามโรงเรียนบ้านนอกๆ โคตรจะก้าวร้าวเลยคับ
ไม่อยากจะคิดถึงตอนเด็กพวกนี้อายุ 20-25 เลยอ่ะ -"-
.
.
***หมายเหตุ***
สำหรับคำพูดที่ว่า "ไม่ได้ทำผิดอย่าไปกลัว"
... ลองถาม ปชช. ที่โดน ตร. จราจรเรียกให้จอดดูคับ เขากลัวมั้ย ?

ไล่เส้นทาง “ฟอกเงิน” กู้กรุงไทยเข้าใกล้ “โอ๊ค” สะเทือนกันยกทีม!!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
25 กันยายน 2558 06:38 น. 

ผ่าประเด็นร้อน
       
       มีความคืบหน้าขยายขอบเขตออกไปอีกระดับหนึ่งแล้วสำหรับคดีอาญาที่ต่อเนื่องมาจากคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกอดีตผู้บริหารและกลุ่มนักธุรกิจหลายคนตั้งแต่ 12-18 ปีจากกรณีการปล่อยกู้เงินของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มธุรกิจในชื่อ “กฤษดามหานคร” กว่าเก้าพันล้านโดยมิชอบ ซึ่งคดีดังกล่าวมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 แต่เนื่องจากยังหลบหนีคดีทำให้ศาลฎีกาฯ ต้องออกหมายจับและสั่งพักคดีเป็นการชั่วคราว
       
       เมื่อวันพุธที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยกรณีที่ชุดพนักงานสอบสวนสืบสวนขยายผลคดีฟอกเงิน สืบเนื่องจากคำพิพากษาคดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้แก่บริษัท กฤษดามหานครฯ ที่มีความเป็นไปได้ว่า พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจถูกเรียกให้ปากคำหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตรวจพบการโอนเงินจากกฤษดาฯ ไปซื้อหุ้นว่า โดยทราบว่าเป็นการซื้อหุ้นในชื่อพนักงานบริษัท ฮาวคัม และมาสเตอร์โฟน ซึ่งทั้งสองบริษัทดังกล่าวมีนายพานทองแท้เป็นเจ้าของ
       
       ข้อมูลที่ได้รับจากทาง ธปท.ที่ส่งมาให้ดีเอสไอเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนดีเอสไอชุดปัจจุบันจะทำการตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อแยกแยะในส่วนของเช็คกับตั๋วแลกเงินว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง เพื่อนำเข้าบรรจุในแฟ้มคดีเพื่อดำเนินการต่อไป “ขั้นตอนในการสอบสวนจะต้องไล่เส้นทางการเงินจำนวน 1,600 ล้านบาท ว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีผู้กระทำผิดเพิ่มเติมจากที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วอีกหรือไม่” ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 ดีเอสไอ ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางการเงินที่เป็นจุดเริ่มต้นของคดีเมื่อปี 2546-2547 ที่ผ่านมา
       
       แน่นอนว่าคดีดังกล่าวยืดเยื้อยาวนานตั้งแต่เมื่อครั้งที่มีคณะกรรมการสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียที่เกิดขึ้นแก่รัฐ หรือ คตส. จนต่อมาเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จนกระทั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพิ่งจะมีการตัดสินจำคุกผู้ที่ทำผิดที่เป็นจำเลยที่ 2 ลงไปหลายคนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ยังเหลือเพียงแค่ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่ยังหลบหนีคดีอยู่จนถึงปัจจุบัน
       
       ที่น่าจับตาก็คือ ผลจากคำพิพากษาคดีที่ระบุว่าการกู้เงินของธนาคารกรุงไทยครั้งนี้ “มิชอบ” ก็ทำให้เกิดการแตกตัวตามมาอีกหลายคดี อย่างน้อยมีคดี “ฟอกเงิน” ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับมาพิจารณาดำเนินการต่อ โดยขอความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน จนทำให้พบว่า เงินจำนวน 1,600 ล้านบาทหลังจากมีการกู้เงินจากธนาคารกรุงไทยถูกโอนไปในชื่อพนักงานจำนวนหนึ่งของ “บริษัท ฮาวคัม” ที่มี พานทองแท้ ชินวัตร เป็นเจ้าของ ซึ่ง ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษฯ บอกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเรียกพานทองแท้มาสอบปากคำในโอกาสต่อไป
       
       แน่นอนว่าในกระบวนการสอบสวนย่อมต้องมีการเรียกสอบปากคำตามพยานหลักฐานและตามเส้นทางการเงินตามที่มีการตรวจสอบพบเจอ และคงต้องมีอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็พอมองเห็นภาพแล้วว่าการดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวที่อยู่ในความสงสัยของชาวบ้านมานานหลายปีจะถูกนำขึ้นมาสะสางอย่างจริงจังเสียที หลังจากถูกยื้อถูกปกปิดมานานหลายปี
       
       อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะคดีที่กล่าวถึงข้างต้นนี้เป็นเพียงคดีที่มีการตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้องกับเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยในส่วนของกลุ่มธุรกิจในนามกลุ่มกฤษดามหานครในส่วนที่มีการพบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีจำนวน 1,600 ล้านบาท ยังไม่ได้ไปถึงตัว “คนสำคัญ” โดยตรง
       
        แต่ตามรูปการณ์ที่ออกมาแบบนี้ก็คงพอเดาทางข้างหน้าได้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า เมื่อมีการเอ่ยชื่อ พานทองแท้ ชินวัตร ขึ้นมาแบบนี้ ก็ต้องถือว่า “น่าหนักใจ” จนอาจเรียกได้ว่าโคม่าก็ได้ และยิ่งได้เห็นการเอาจริงเอาจังของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยุคปัจจุบันที่ไม่ใช่ยุคของธาริต เพ็งดิษฐ์ แล้วก็พอมองเห็นผลสรุปข้างหน้าได้เลย!