PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประชาคมโลกชื่นชมการพบปะระหว่างผู้นำจีนกับไต้หวัน



ประชาคมโลกชื่นชมการพบปะระหว่างผู้นำจีนกับไต้หวัน
หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้ารายงานว่า วันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ นายสี จิ้นผิง และนายหม่า อิงจิ่ว ผู้นำของสองฝั่งช่องแคบไต้หวันจะพบกันที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ได้รับการประเมินค่าอย่างสูงจากประชาคมโลก
ทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ต่างแสดงความยินดีกับการพบปะระหว่างผู้นำสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน โฆษกทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐฯ สนับสนุนให้มีสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองฝั่ง ยินดีที่สองฝั่งมีการกระทำที่คลายความตึงเครียดและปรับปรุงความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น และย้ำว่าวอชิงตันจะยันหยัดหลักการจีนเดียว
นายหู อี้ซาน นักวิจัยระดับสูงสถาบันวิจัยระหว่างประเทศราชารัตนัม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง สิงคโปร์กล่าวว่า สำหรับชาวจีนโพ้นทะเลหรือประเทศเพื่อนบ้าน การพบปะระหว่างผู้นำสองฝั่งนั้น มีความสำคัญต่อการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพส่วนภูมิภาค หวังว่าหลังการพบปะ สถานการณ์ช่องแคบไต้หวันนับวันจะมั่นคงขึ้น
ส่วนอาจารย์ยูรี ทาฟโรฟสคี จากมหาวิทยาลัยประชาชนมิตรภาพรัสเซียกล่าวว่า การพบปะครั้งนี้เป็นป้ายบอกระยะทาง ย่อมจะผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งให้พัฒนาด้วยดี
นึกถึง "จีน" นึกถึง "ซีอาร์ไอ

การนัดกินข้าวครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์


70 ปีก่อนเหมาเจ๋อตุงบินจากฐานที่มั่นคอมมิวนิสต์ที่เหยียนอานไปพบเจียงไคเช็คที่เมืองฉงชิ่งเมื่อเดือนสิงหาคม 1945 ก่อนที่เจียงจะล่าทัพถอยไปไต้หวัน เหมาประกาศก่อตั้ง "จีนใหม่" ในปี 1949...วันเสาร์นี้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะพบกับประธานาธิบดีหม่าอิงจิ่วของไต้หวันที่สิงคโปร์เพื่อเปิดหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง
สีจิ้นผิงกับหม่าอิงจิ่วจะเรียกอีกฝ่ายหนึ่งว่า "นาย" แทน "ประธานาธิบดี" เพราะปักกิ่งไม่ยอมรับไต้หวันว่ามีประธานาธิบดีได้ด้วยนโยบาย "จีนเดียว" ...ทั้งสองจะแยกกันแถลงข่าว และต่างคนต่างออกค่าใช้จ่ายสำหรับงานเลี้ยงเพราะไม่มีใครเป็น "เจ้าภาพ" งานนี้...เป็นเพียงการ "นัดมากินข้าว" กันของคนสำคัญของจีนสองคนเท่านั้น!

“บิ๊กตู่” ฉุนเจ้าของสื่อบางสำนักฯ สร้างความแตกแยก จ่อใช้ กม. ถามถ้าจลาจลใครร่วมรับผิด



นายกรัฐมนตรีชี้ถ้ามองว่าประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นไฮไลต์ของชาติก็กลับไปสู่จุดเดิม ซัดพวกไม่รับกติกาใหม่มีแต่นักการเมือง เหตุเข้าสู่อำนาจยากขึ้น สับสื่อชอบเสนอข่าวแบบกัดกันเป็นหมา ขู่ใครเอาคำพูดไปพาดหัวไม่ต้องมาคุย ลั่นไม่อดทน จวกไม่เสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ ถามถ้าจลาจลทั้งเมืองใครจะรับผิดร่วม รับรังเกียจไอ้เจ้าของบางสำนักพิมพ์ จ่อใช้กฎหมายจัดการพวกสร้างความแตกแยก ฉุนถ้าชาติล่มสลายจะขึ้นชื่อให้ดูใครหากินบนความเดือดร้อน

      
       วันนี้ (5 พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11. 00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดสื่อสารคดีในโครงการจัดนิทรรศการและสื่อสารคดีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ถึงการติดตามร่างรัฐธรรมนูญ ว่าได้ติดตามอยู่เพราะตนก็เป็นผู้ที่ตีกรอบไปเอง ส่วนข้อเสนอในวิธีการการเลือกตั้งแบบใหม่นั้นตนเคยบอกแล้วว่าถ้ามองว่าประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นไฮไลต์ของทั้งหมดประเทศไทยก็กลับไปที่เดิมเท่านั้นเอง มันไปอย่างอื่นไม่ได้ อย่างไรก็ตามก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต้องคุยกันว่าทำอย่างไรประเทศชาติจะปลอดภัยและเป็นประชาธิปไตยที่ต่างชาติยอมรับได้ด้วย ทุกวันนี้เขาก็คิดกันหัวจะผุอยู่แล้ว
      
       “คนที่จะไม่รับกติกาใหม่ๆ อะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นนักการเมืองทั้งสิ้น ยอมรับไม่ได้เพราะทุกอย่างจะทำให้ยากในการเข้าสู่กระบวนการ สู่การมีอำนาจ หรือการใช้จ่ายงบประมาณทุกอย่างเขาเลยต้องการเหมือนเดิมเพราะต้องการที่จะได้คะแนนนิยมจำนวนมากๆ เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ผมบอกมาหลายครั้งแล้วว่าสังคมและประเทศมันเกิดอะไรขึ้น วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งทั้งหมดมันคงไม่ได้แก้ด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย นักการเมือง ผม หรือการรัฐประหารเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้หรอก ทุกอย่างมันต้องแก้ด้วยจิตสำนึกของทุกคนว่าจะช่วยให้ประเทศชาติปลอดภัยอย่างไร ผมบอกมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าความจริงไม่ต้องไปเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มาให้ยากหรอก ถ้าทุกคนยอมรับกติกาว่าจะให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ง่ายที่สุดคือรัฐธรรมนูญเก่าเลยก็ได้ อันนี้ผมสมมตินะ แต่จะต้องมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 4 ปีแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นถ้าไม่คิด 4 ปีข้างหน้าก็จะกลับมาเหมือนเดิมหมด ไม่อย่างงั้นไม่ต้องรอถึง 4 ปี ปีเดียวก็กลับมาหมดแล้ว ใช่หรือไม่” นายกฯ กล่าว
      
       พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สื่อเองก็ไม่มีคำตอบตรงนี้เพราะอ้างแต่ว่าจะเสนอข่าวตรงกลางเพียงอย่างเดียว ใครมันจะเสนอซ้ายเสนอขวาก็ไม่สนใจ จะเสนอแต่ตรงกลางอย่างเดียว แล้วมันก็กัดกันเป็นหมาอยู่ทุกวันนี้ ชอบให้ตนพูดแบบนี้ใช่หรือไม่แล้วเดี๋ยวถ้าใครเอาคำของตนไปพาดหัว ไม่ต้องมาพูดกับตนแล้วนะ ชอบแบบนี้ ชอบสร้างความขัดแย้งให้กับตน ทำอย่างไรสังคมมันจะสงบ ไม่ใช่อะไรก็จะทำให้ตนอารมณ์เสีย แล้วก็มาบอกว่าเป็นนายกฯ ต้องอดทนแล้วตนจะอดทนไปทำไมเล่า จะอดทนไปทำไม อดทนแล้วให้ทุกคนขัดแย้งกันแบบนี้หรือ ตนไม่อดทน ทุกวันนี้ทำแทบตายไม่ต้องมาบอกตนก็ทำให้อยู่แล้ว แต่ยังมาทำกับตนเหมือนกับคนอื่นทั่วๆ ไป มันไม่ใช่ ตนไม่ใช่คนแบบนั้น คิดทุกวันทำทุกนาทียังไม่ช่วยกันเลย
      
       นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐธรรมนูญจะออกอะไรออกมาถามว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเอาอย่างไร เมื่อเดินไปตามขั้นตอนอีกสักพักก็จะมีการทำประชามติ แต่ถ้าประชาชนออกมาประชามติแล้วเสียงส่วนใหญ่บอกว่าไม่เอา แล้วจะทำอย่างไรกันต่อไป จะเลือกตั้งกันให้ได้อย่างนั้นหรือ วันนี้ก็ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นเช่นนี้ เหตุผลของการคัดสรรในเรื่องต่างๆ เข้ามาเพราะอะไรถ้าชี้แจงแบบนี้ประชาชนก็น่าจะเข้าใจ แต่ถ้ามัวไปชี้แจงว่าคัดสรรเข้ามาเพื่อการมีอำนาจ พูดแต่เรื่องของอำนาจเพียงอย่างเดียว ไม่เห็นพูดกันว่าจะทำอย่างไรกันบ้าง ที่เถียงกันอยู่ทั้งหมดสื่อก็ขยายความออกไปเรื่อยๆ ประเทศไทยก็กลับที่เดิมคือการเลือกตั้งส่วนจะได้ใครกลับมาก็ไม่รู้ ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ สื่อทำกันแบบนี้แล้วก็มากล่าวหาว่าตนโทษแต่สื่อ
      
       “สื่อรู้กันทั้งหมดแต่ไม่ยอมเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ถ้าเผื่อประเทศต้องมีปัญหา ต้องล่มลงไปเศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ เกิดความขัดแย้ง เกิดการจลาจลกันทั้งเมือง ใครจะมารับผิดชอบร่วมกับผม แต่ก็ยังเขียนทุกเรื่องที่มีปัญหา ผู้สื่อข่าวในสนามผมถือว่าโอเค ผมรู้เพราะอยู่ด้วยกันมานานแล้ว แต่ผมรังเกียจไอ้เจ้าของสำนักพิมพ์บางสำนักพิมพ์ จะว่าผมแรงก็ต้องแรงนะจะบอกให้ ไม่มีเลิก ตอนที่มีเรื่องมันอยู่ไหน เขียนเชียร์เขาอยู่นั่นแหละ ทุกวันนี้ก็ยังเชียร์อยู่ คนบังคับใช้กฎหมาย คนทำงานเดือดร้อน รู้อยู่แล้วนะว่าใครไม่ต้องเอ่ยชื่อ ไม่ได้ขู่ด้วย ผมสามารถชี้แจงกับคนอื่นได้ว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ ถ้าผมจะต้องทำกับไอ้บางคนซึ่งจะทำตามกฎหมาย อย่าหาว่าผมไปรังแกสื่ออะไรทั้งสิ้น แบบนี้เขาไม่ได้เรียกว่าสื่อ สร้างความแตกแยก” นายกฯ กล่าว
      
       เมื่อถามว่า แสดงว่านายกฯ กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ผมพูดให้ฟังทำไมหรือจะไปเขียนกันว่านายกฯ จะเริ่มควบคุมสื่อละเมิดจรรยาบรรณสื่อ โถ่ ไอ้ห่วย แบบนี้เขาไม่เรียกสื่อหรอก พวกท่านก็ค้านเขาไม่ได้ เพราะทุกคนทุกสำนักพิมพ์ต้องการรายได้ ไม่สนใจว่าประเทศมันจะเสียหายตรงไหน ไม่สนใจเลย แข่งกันสิ แข่งกันขายกันเท่านั้นเล่มเท่านี้เล่ม เอาเงินที่ขายเอามากิน ก็ใช่มันเป็นความจำเป็น แต่มันทำลายประเทศไปด้วย ผมอยากจะบอกคำนี้ บางคอลัมน์ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น พอผมถามกลับไปก็ตอบกลับมาว่าคุมไม่ได้ครับ พอเรียกมาก็เป็นอย่างนี้หมด เชิญมาพบไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิ เรียกมาคุยตั้งโต๊ะคุยดีๆ ในห้องแอร์ถามว่าเขียนอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ก็บอกว่า อ๋อ เดี๋ยวผมจะแก้ไข ผมจะปรับปรุงครั้งหน้า รับรองไม่มีครับ มันก็มีอีก เรียกมาครั้งที่ 2 ก็ขอโทษครับมันเป็นแบบนี้ครับ ผมยังคุมคนเหล่านี้ไม่ได้ เดี๋ยววันหน้าผมจะแก้ไขพูดอย่างนี้มา 7-8 ครั้งแล้ว ไอ้คนแบบนี้ถ้าประเทศนี้มันล่มสลายจะขึ้นชื่อให้ดูทั้งหมดว่าใครบ้าง ไม่รู้จักอับอายคนเขาบ้าง หากินบนความเดือดร้อน บนความสูญเสียของคนอื่นบ่อนทำลายชาติ ความจริงตั้งใจจะพูดแต่สิ่งดีๆ ไปซะแล้ว”

เปิด-ปิดประเทศ โดย วีรพงษ์ รามางกูร


วันที่ 05 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 19:40:02 น มติชน


เมื่ออ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เรื่อง "แค่พูดก็ฟุบแล้ว" ของลมกรด ก็รู้สึกตกใจที่มีการพูดถึงเรื่อง เปิด-ปิดประเทศไทยของผู้นำประเทศในศตวรรษที่ 21 และที่ตกใจยิ่งขึ้นเมื่อดูข่าวทางโทรทัศน์ ที่เสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยสวนดุสิตโพล ที่พบว่ากว่าร้อยละ 55 เห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าว

คำพูดดังกล่าวจากผู้คนที่มีอารมณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรง แม้ว่าผู้พูดอาจจะไม่ได้ "คิด" แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงสภาพอารมณ์ของคนชั้นสูง ที่ยังมีอารมณ์โกรธเกลียดเข้ามาอยู่ในวิธีคิด วิธีตัดสินใจ ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผล ผิดถูกชั่วดี เห็นคนที่มีความคิดแตกต่างเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับตนไปเสียหมด

ในโลกนี้ ขณะนี้ ไม่มีประเทศใดปิดประเทศอยู่ตามลำพังได้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายเกือบทุกชนิด มีตลาดภายในประเทศที่ใหญ่โต มีประชากร มีแรงงานเป็นจำนวนมาก หรือประเทศเล็ก เช่น สิงคโปร์ มัลดีฟส์ ไต้หวัน ลาว กัมพูชา และอื่นๆ ที่มีพื้นที่จำกัด ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย ตลาดภายในเล็ก ประชากรมีน้อย กำลังซื้อรวมกันก็ไม่มาก ทุกประเทศไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ไม่มีประเทศใดปิดประเทศอยู่ตามลำพังได้เลย ทุกประเทศต้องเปิดกับโลกภายนอกทั้งสิ้น

ในสมัยหลังที่โลกแบ่งออกเป็น 2 ค่ายคือ ค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และค่ายเสรีประชาธิปไตย ค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ รวมทั้งอินเดียหลังประกาศเอกราชเมื่อปี 1947 ที่ประกาศตนเป็นประชาธิปไตยทางการเมือง แต่ทางเศรษฐกิจเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ปิดประเทศค้าขายกันเองในกลุ่มคอมมิวนิสต์ด้วยกัน ในที่สุดก็ไปไม่รอด เพราะการปิดประเทศหรือค้าขายกันเองในกลุ่มคอมมิวนิสต์ด้วยกัน ไม่ใช้กลไกตลาดในการกำหนดราคา เหมือนกับที่เรากำลังจะลงทุนระบบรถไฟความเร็วสูงโดยไม่เปิดประมูล แต่ใช้วิธีกำหนดเจาะจงไปเลยว่าจะใช้ของจีน เจรจากับจีนประเทศเดียว ซึ่งไม่มีทางจะทราบได้เลยว่าเทคโนโลยีควรจะเป็นอย่างไร ราคาควรจะเป็นเท่าไหร่ ดอกเบี้ยสูงหรือต่ำไป ต้องชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศยังไม่ทราบว่าเป็นสกุลใด บาท หยวน หรือดอลลาร์ ถามใครก็ยังไม่มีใครตอบได้ ขบวนการพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมาย พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนก็จะไม่ใช้ เพราะยืดยาดล่าช้า จะใช้อำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 

วิธีคิดเช่นนี้ของระบอบการปกครองอำนาจนิยม จึงเป็นวิธีคิดของผู้นิยมระบบ "ปิด" ประเทศ แต่มีข้อแม้เป็นเรื่องๆ ไป



บรรดาประเทศที่ต้องการจัดให้เกิด "ความสงบเรียบร้อย" ภายในประเทศ ซึ่งเป็นเป้าหมายทางการเมือง โดยยอมสละเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือความเจริญความอยู่ดีกินดีของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะการควบคุมประชาชนโดยการปิดประเทศทำได้ง่าย แม้จะสามารถอยู่ได้ แต่ประชาชนจะอยู่อย่างแร้นแค้นยากจน เด็กๆ ขาดอาหาร มาตรฐานคุณภาพชีวิตต่ำ อายุขัยโดยเฉลี่ยต่ำ และในที่สุดระบอบการเมืองเช่นว่านั้นก็อยู่ไม่ได้ต้องพังทลายลง

การล่มสลายของระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ สืบเนื่องมาจากการล่มสลายของระบอบเศรษฐกิจที่เป็นระบอบเศรษฐกิจปิด เป็นระบอบที่ฝืนกลไกตลาด เป็นระบอบที่ใช้คำสั่งจากอำนาจรัฐแทนกลไกตลาด ซึ่งในที่สุดก็ไปไม่รอด แต่ก่อนจะล่มสลายก็จะเห็นความไร้ประสิทธิภาพของระบอบการผลิต ความล้าสมัยของโรงงานเครื่องจักร เพราะไม่มีเงินตราต่างประเทศที่จะเปลี่ยนเครื่องจักร สั่งซื้อชิ้นส่วนอะไหล่ วัตถุดิบและอื่นๆ สารพัด

เคยเดินทางไปในประเทศพม่า เวียดนาม จีน แม้แต่อินเดีย ในสมัยที่ประเทศเหล่านี้ยังปิดประเทศอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความขาดแคลน อดอยาก ยากจน ทุกย่านมีแต่ตลาดมืดเต็มไปหมด ราคาเงินตราต่างประเทศ ทองคำ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ แหวน หรือแม้แต่ปากกาปลอกทอง เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ สามารถซื้อขายได้ในตลาดมืดและได้ราคาดีกว่าราคาที่ซื้อไปจากกรุงเทพฯทั้งนั้น ส่วนผู้คนที่เป็นเจ้าหน้าที่กลับมีสิทธิพิเศษ มีความเป็นอยู่แตกต่างจากผู้ปกครองอย่างเทียบกันไม่ได้ ประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะยากจนเท่าเทียมกันเกือบหมด ในที่สุดระบอบการเมืองที่ปิดประเทศคู่กับระบอบเศรษฐกิจที่ปิดก็ดำรงอยู่ไม่ได้ เกิดความวุ่นวาย "อำนาจรัฐที่มาจากปากกระบอกปืน" ก็เอาไว้ไม่อยู่ ต้องเปิด ส่วนจะเปิดมากเปิดน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ

ความจำเป็นที่จะต้องเปิดประเทศสำหรับประเทศเล็ก ยิ่งมีความจำเป็นมากกว่าของประเทศใหญ่ ความจำเป็นต้องเปิดประเทศของสิงคโปร์ ย่อมมีมากกว่ามาเลเซีย ความจำเป็นของมาเลเซียอาจจะต้องมีมากกว่าไต้หวัน หรือเกาหลี และไทย เป็นต้น 

ลองเปรียบเทียบความอยู่ดีกินดีและมาตรฐานความเป็นอยู่ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ก็คงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอย่างไร



สําหรับประเทศที่เคยเปิด แล้วคิดจะย้อนกลับไปปิดประเทศ ก็ยิ่งจะมีปัญหามากยิ่งขึ้น ถ้าเราไม่ส่งข้าวออก ไม่ส่งยางพาราออก ไม่ส่งน้ำตาลออก ไม่ส่งสินค้าอื่นๆ อีกมากมายหลายชนิดออก การผลิตของเราไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรม อุตสาหกรรมหรือบริการ เช่น การท่องเที่ยว รายได้ประชาชาติจะต้องลดลงถึงครึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ในปีแรกและจะลดลงไปเรื่อยๆ ในปีต่อไป ค่าเงินบาทจะตกต่ำทันที เพราะจะไม่มีสินค้าเหลืออยู่ในประเทศมากมาย อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นทันที ถ้าทางการไม่ต้องการให้ค่าเงินบาทตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เงินบาทจากที่เคยมีอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาทต่อดอลลาร์กลายเป็น 100 บาท หรือ 200 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าทางการจะเข้ามาแทรกแซงกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนไว้ตามเดิม ก็จะเกิดตลาดมืดขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนอาจจะสูงกว่าที่ควรจะเป็นที่ 100 บาทต่อดอลลาร์หรือ 200 ต่อดอลลาร์ก็ได้ ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 200 บาทต่อดอลลาร์ ราคาน้ำมันควรจะเป็นลิตรละเท่าใด ถ้าทางการต้องการควบคุมราคา ตลาดมืดก็จะเกิดขึ้นทันที การลักลอบนำเข้าและส่งออกก็จะเกิดขึ้น ไม่เป็นผลดีกับใคร ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายเท่านั้นเอง

การจะ "ปิดประเทศ" อย่าว่าแต่พูดเลย แม้แต่คิดก็ไม่ควร เพราะไม่มีทางเป็นไปได้ว่าระบอบการปกครองที่กระทำเช่นนั้นจะดำรงอยู่ได้แม้แต่ปีเดียว หรือเริ่มทำก็คงจะมีการต่อต้านกันแล้ว เพราะผลในทางเศรษฐกิจจะรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนในเมือง

นอกจากคำพูดที่ว่า "จะปิดประเทศ" แล้ว ยังมีอีกคำพูดหนึ่งที่พยายามปลอบใจตนเอง เพราะการอยู่ร่วมกันในประชาคมโลก ย่อมต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของประชาคมโลก สำหรับความเป็น "อารยะ" ของโลกโดยส่วนรวม เช่น การเคารพต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ตนเป็นสมาชิก การเคารพต่อการเปิดประเทศมีผลผูกพันไว้กับต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ เช่น อาเซียน องค์การค้าระหว่างประเทศ หรือสหประชาชาติ การเคารพต่อหลักการสิทธิมนุษยชนก็ย่อมเกี่ยวข้องผูกพันกับสิทธิเสรีภาพทางการเมืองด้วย และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเยียวยาความแตกแยก หรือความไม่ปรองดองระหว่างคนในชาติ 

ระบอบที่เปิดกว้างน่าจะเป็นหนทางปรองดองที่ถูกต้องกว่า คนไทยไม่ชอบบังคับในระยะสั้นๆ อาจจะทำได้แต่ในระยะยาวทำได้ยาก



มีคำพูดปลอบใจตนเองอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เราไม่ควรพึ่งการส่งออกมากเกินไป เราควรจะพัฒนาความต้องการซื้อของตลาดในประเทศให้แข็งแรงมากกว่านี้ โดยยกตัวอย่างประเทศใหญ่ที่มีทรัพยากรมากเป็นตัวอย่าง แม้จะเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วสบายใจแต่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากสำหรับประเทศที่เล็กและไม่มีทรัพยากรที่สำคัญเช่น พลังงาน ทุน เทคโนโลยี เครือข่ายหรืออภิสิทธิ์ในการค้าระหว่างประเทศ เช่น ประเทศไทย ไต้หวัน เกาหลีใต้ ได้อภิสิทธิ์การนำเข้าสหรัฐอเมริกา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกงและประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมเก่าของอังกฤษ ได้อภิสิทธิ์ในเรื่องการค้าระหว่างกัน ก่อนที่จะมาเป็นการค้าเสรีอย่างปัจจุบัน การจะลดความสำคัญของการส่งออกการนำเข้า การเคลื่อนย้ายของเงินทุน ทำได้ยากและไม่ควรทำ วาทะเช่นนี้เป็นวาทะที่ฟังดูดีแต่ทำไม่ได้

เมื่อระดับการพัฒนาทั้งในด้านการผลิต การเงินและอื่นๆ มาไกลถึงระดับนี้ การที่ต้องปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์ของประชาคมโลกอารยะ ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเป็นตัวตั้งตัวตีจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเราต้องการการค้าขาย การลงทุนและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจแบบเดียวกับเขา

การที่จะแยกตัวเองออกจากประชาคมโลก ปิดประเทศ พัฒนาความต้องการซื้อจากตลาดภายในประเทศ ลดความสำคัญในการส่งออก ลดการนำเข้าลง ควรจะเลิกคิด เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจและระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของเรามาไกลเกินกว่าจะถอยหลังเข้าคลองแล้ว มีแต่เดินหน้าออกมหาสมุทรอย่างชาญฉลาดและปลอดภัยเท่านั้น มีแต่ต้องเดินหน้าไปให้ถึงการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเท่านั้น

หยุดเพ้อเจ้อกันได้แล้ว

05112558 บน'ความซวย'นายกฯที่อยากเห็น เปลว สีเงิน


05112558 บน'ความซวย'นายกฯที่อยากเห็น เปลว สีเงิน
อ้าว...."นายกฯ ลุงตู่" มีปัญหาหัวใจซะแล้ว!
เครียด เจ็บคอ ...........
ไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้ เป็นทหาร ผบ.ทบ. มา ๓๘ ปี ไม่เคยเหนื่อยเท่านี้ บางวันท้อแท้ ไม่อยากมาทำงาน
รำพึง-รำพัน "ไม่รู้เป็นเวรกรรมหรือไฉนที่ต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรี?"
แถมตัดพ้อ.......
แม้แต่เพลง "คืนความสุข" ในท่อนที่ว่า "...ขอเวลาอีกไม่นาน" ก็ยังไม่วายมีคนมาทวงถาม
"เมื่อไหร่จะไปสักที"?
ฟังแล้วผมก็พลอยทุกข์ไปด้วย...!
ก็นี่แหละหนาคนเรา ถ้าใจทุกข์ ต่อให้อยู่บ้านทรายทอง อยู่ตึกไทยคู่ฟ้า ไหนเลยจะสู้ยาจกที่อยู่กระท่อม แต่ใจสุขได้
แต่คิดอีกที ก็ไม่ทุกข์......!
กลับสุขด้วยซ้ำ ที่เห็นนายกฯ ลุงตู่เครียด-ท้อ ด้วยเห็นการเป็นนายกฯ ที่คนทั่วไปบอกว่าเป็นวาสนา ว่า นั่น...เป็นเวร-เป็นกรรม สำหรับท่าน
"กรรม..ที่ต้องมาเป็นนายกฯ"
ความหมายที่ท่านต้องการสื่อถึง คือเป็นเคราะห์กรรมในด้านไม่ดี เป็นความซวย และซวยจริงๆ ที่ต้องมาอยู่ในตำแหน่งนี้ ประมาณนั้น
ซึ่งมันก็ใช่...สำหรับท่าน
และการใช่นี่แหละทำให้ผมดีใจ รวมทั้งประชาชนคนไทย พูดตามตัวเลขโพล ก็กว่า ๘๐% ดีใจกันทั้งนั้น
ที่เห็น "นายกฯ ลุงตู่".....ซวย!
ถ้าลุงตู่บอก ไม่ท้อ ไม่เหนื่อย ปีกว่าที่ได้มาเป็นนายกฯ โชคดี แสนจะสุขสบาย ปลาบปลื้มในวาสนาบารมีซะเหลือเกิน
โชคดีของท่านแบบนี้แหละ จะทำให้ชาวบ้านรวมทั้งผม "พากันซวย" บนความสุขของท่าน!
เพราะอะไรน่ะหรือ......?
ที่ท่านบ่น เครียด ท้อแท้ เจ็บคอ เห็นการเป็นนายกฯ เหมือนตกนรก จนงอแงอยู่ขณะนี้ นั่นเพราะลุงตู่ใช้ตำแหน่งนายกฯ
"ว่ายทวนน้ำ"!
ก็แหงละ....การว่ายทวนน้ำ มันจะสุข มันจะสบาย เหมือนว่ายตามน้ำ ที่แค่ท่องไว้ ๔ คำ "บูรณาการ-ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ" แล้วผลาญเงินบ้าน-เงินเมือง ลอยดอกไปทั่วหัวเอ็ด-เจ็ดย่านน้ำได้อย่างไร?
ว่ายทวนน้ำ คือ "การปฏิรูป"!
ปฏิรูป คือการแก้ไข เปลี่ยนแปลง จากสิ่งไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม จากที่เป็นอยู่ ให้กลับมาดีขึ้น ให้ถูกต้อง ให้เหมาะสม ให้ยังประโยชน์สูงสุดต่อสังคมชาติบ้านเมือง
การไม่เป็นนายกฯ "ลอยตามน้ำ" นั่นแหละ
จึงเครียด ทุกข์ ท้อแท้......!
เพราะมีฝ่ายเสียประโยชน์ ฝ่ายปกปิดความชั่วช้า-เลวชาติ ฝ่ายติดยึด ไม่ยอมขึ้นจากปลักสู่การเปลี่ยนแปลง คอยคัดค้าน-ต้านต่อ เป็นปฏิปักษ์
จะเปรียบก็คือ ในระบบราชการและการเมืองกลุ่มหนึ่ง เหมือนหนอนในถังอุจจาระ อิ่มหมีพีมันในมูตร-คูถ คือการทุจริต-คอร์รัปชัน
เมื่อนายกฯ ลุงตู่เข้าไปกวาดล้าง บรรดาหนอนมันจะไม่ต่อต้านคนเข้ามาทำลาย "ห่วงโซ่อาหาร" ของมันได้อย่างไร?
พวกมันวางกลไกและใช้อำนาจบริหารสมคบอำนาจรัฐสภา-ข้าราชการ กินบ้าน-โกงเมือง "เป็นหน่อ-แนว" ฝังรากไว้กว่าสิบปี
ลุงตู่เข้าไปล้าง คือเข้าไปปฏิรูป ก็แน่นอน...พวกมันต้องต้าน-ต้องยื้อสุดฤทธิ์-สุดเดช เป็นที่เข้าใจได้
ถ้าลุงตู่ต้องการสบาย เป็นนายกฯ ปีเดียวขยายรูเข็มขัด แถมไม่มีคนคอยทวง "เมื่อไหร่จะไปซักที"
.....ก็ไม่ยาก!
นายกฯ ลุงตู่ใช้ตำแหน่งนายกฯ "ทำชั่วเพื่อชาติ" ตามเขาไป ขยิบหู-ขยิบตา เล่นปาหี่หลอกชาวบ้านไป
เนื้อในพินอบเป็นสมาชิกหนอนหน้าใหม่ ว่ายตามน้ำในถังอุจจาระไป
เป็นนายกฯ อย่างนี้แหละ รับรอง...ไม่เครียด ไม่เหนื่อย ไม่ท้อ ไม่อดหลับ-อดนอน จนเป็นไข้ ไอค้อก ไอแค้ก ไอกระด๊อก-กระแด๊ก จนลูกกระเดือกกระเด้งลงกระได
เผลอๆ แว็บไป...ว.๕ ชั้น ๗ สมองโล่ง!
พูดถึงเรื่องบริหาร เรื่องงานนั้น บริหารไม่ยาก แต่ที่ยากสุด คือการบริหาร "ใจคน"
การตามใจ ไม่ใช่การบริหาร แต่ที่นายกฯ บอก เป็นทหารมา ๓๘ ปี ไม่เคยเหนื่อยเท่าตอนเป็นนายกฯ ปี-สองปี
ตรงนี้แหละ "หัวใจ" บริหารที่ไม่มีในระบบราชการงานเมือง!
หนักงาน แค่เหนื่อยกาย แต่หนักคน มันเหนื่อยใจ เหตุที่ปกครองทหาร ๓๘ ปี หนักแต่ไม่เหนื่อย
นั่นเพราะ ทหารถูกฝึกให้มี "ระเบียบ-วินัย"
การฝึก คือการเจียระไน ระเบียบ-วินัย คือ น้ำงามของเพชรที่เจียระไนแล้ว
มนุษย์ คือสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่ต้องฝึก ตั้งแต่แรกเกิด จึงจะอยู่รอด และเปล่งศักยภาพพ้นสัตว์ สู่คำว่า "มนุษย์-ผู้มีใจฝึกแล้วจึงประเสริฐ"
การบริหาร-ปกครองในสังคมทหาร เป็นการบริหาร-ปกครองสัตว์ที่ฝึกให้มีระเบียบ-วินัย ขึ้นสู่ความเป็น "มนุษย์คุณภาพ" ของสังคมชาติระดับหนึ่งแล้ว
ฉะนั้น ๓๘ ปี เหนื่อย-หนักในกองทัพ จึงหนักและเหนื่อยแค่กาย ส่วนใจ ไม่เหนื่อยและหนักจนหน่าย-ท้อ-เครียด เหมือนแค่ ๑๗ เดือนในตำแหน่งนายกฯ
ซึ่ง....ต้องบริหารใจ "คนทั้งประเทศ"
โดยเฉพาะประเทศไทย-คนไทย ที่มีสโลแกน "ทำตามใจ คือไทยแท้" ด้วยภูมิประเทศสมบูรณ์ ทำให้คนไทยอยู่สุขสบาย ไม่เคยมีความเจ็บปวดร่วมกันที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะ ต่างคนต่างสาวได้-สาวเอา
ถนนหนทาง-แม่น้ำ-คู-คลอง-ของหลวง ก็ยึดเอาเป็นของตน ชายหาด-ชายทะเล ก็ยึดเอาเป็นของตน
ภูเขา-ป่าไม้ ก็ยึดเอา-ถางเอาเป็นของตน กระทั่งปลาในทะเล ใครอยากจับแบบไหน-อย่างไร ก็เอากันตามใจชอบ
ไม่มีระเบียบ-วินัย ท่องแค่คำว่าประชาธิปไตย แต่ไม่รู้จักคำว่า "สิทธิตน-สิทธิผู้อื่น" และกระทั่งคำว่า....ส่วนรวม!
เมื่อนายกฯ ลุงตู่ "ว่ายทวนน้ำ" เข้ามาด้วยตั้งหวังปฏิรูปสังคมชาติบ้านเมืองซึ่งเน่าเฟะที่สุดแล้ว
ก็เห็นมั้ยล่ะ.........?
จัดระเบียบประมง ระเบียบป่า ระเบียบภูเขา ระเบียบ กทม. ระเบียบหาด ระเบียบแม่น้ำ ระเบียบยึดที่สาธารณะปลูกบ้าน-ปลูกร้านค้า
แตะตรงไหน...เป็นต้านต่อ โวยวาย หาจิตสำนึกกันแบบไม่ได้เลย!
กองทัพ ไร้ระเบียบ-วินัย ก็ไม่ต่างจากกองโจร
สังคมประเทศชาติ ไร้ระเบียบ-วินัย ก็ไม่ต่างจาก บ้านป่า-เมืองเถื่อน!
เพราะ "ตามใจ คือไทยแท้" หมักหมม ไม่ฝึกคนในชาติให้รู้จักระเบียบวินัย ให้รู้จักคำว่าประชาธิปไตย แค่เลือกตั้ง
ไม่สอนให้เข้าใจในความหมาย........
"เราไม่พอใจให้ใครมาทำกับเราอย่างไร การที่เราก็ไม่ไปทำอย่างนั้นกับคนอื่น....นั่นคือประชาธิปไตย"
เหตุนั้น ใครมาเป็น "นายกฯ ว่ายทวนน้ำ" ก็ต้องรากเลือด และร้อง เหนื่อย-เครียด-ท้อ เหมือนนายกฯ ลุงตู่ เป็นธรรมดา!
ที่นายกฯ ออกปากถึงเหตุท้อ-เครียด ดูเหมือนจากปัญหาโครงการรับจำนำข้าวนังตัวดี ที่พวกหน้าลาย-สันหลังหวะออกมาเลาะรั้ว
ประสานเสียงเห่ารายวัน!
หมา ธรรมชาติของมันต้องเห่า นี่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้นะว่า นายกฯ ลุงตู่กลัวหมา?
แต่ทั้งหมด ผมก็เข้าใจท่านนายกฯ ปากก็บ่นไปงั้นแหละ เรื่องท้อ เรื่องเครียด กระทั่งที่ว่าจะปิดประเทศ
มันเป็นแค่สร้อยอารมณ์ และสร้อยประโยคในการพูดจาเท่านั้น ไม่ได้จริงจังอะไรตามพูด
ทีนี้ คนมันจ้องหาเหตุจับผิด-จับถูกอยู่แล้ว รู้ทั้งรู้ในเจตนา แต่กูจะทำบื้อโดยสุจริตเล่นมึง
สร้อยประโยค "จะปิดประเทศ" จึงถูกขยายเป็นจริง-เป็นจังใหญ่โต ทั้งที่มันไม่มีอะไร แค่พูด-แค่ฟังเอามัน-เอาฮากันไปชั่วมื้อ-ชั่วคราวเท่านั้น
แต่มีอยู่ ๒ เรื่อง ๒ ประเด็นที่พูดเมื่อวาน (๔ พ.ย.๕๘) ไม่ใช่สร้อย แต่เป็นสาระ คือที่นายกฯ บอก
"จะต้องเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งผมไม่คิดที่จะอยู่เกินแม้แต่วันเดียว"
และประเด็นท้อแท้.....
"แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องทำ เพราะเป็นชายชาติทหาร ขอให้เห็นใจผมบ้างเพราะมีเวลาจำกัด เข้ามาแบบนี้ก็อันตราย ครอบครัวก็อันตราย ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะเสียสละอยู่แล้ว"
ก็อยากบอกท่านนายกฯ ว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เสียสละทุกอย่างแล้ว ยังต้องใช้เวลาเคี่ยวกรำถึง ๖ ปีจึงจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า และก่อนจะบรรลุ ยังต้องผจญมารดังปรากฏในบทสวดพาหุง
แล้วนี่....๑๘ เดือนเอง ท้อแท้ได้อย่างไร ในเมื่อ "ปฏิรูป" ยังไม่ตั้งไข่เลย.

พล.ต. ยื่นบิ๊กหมู รอไฟเขียว ขอลาออก ร้องพม่าจับ-ส่งกลับ"พ.อ." แฉอายัดเงิน20ล.



ชี้′พล.ต.′คนดังยื่นหนังสือลาออกแล้ว อ้างประกอบธุรกิจส่วนตัว แฉอายัดเงิน 20 ล. หลังพบ′พ.อ.′โอนให้นักธุรกิจสาวอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ ไว้ตรวจสอบที่มาที่ไป คาดเป็นของ′บิ๊กทหาร′ ประสานพม่าส่งตัวพันเอกกลับไทย
http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14466924081446692582l.jpg
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านสืบสวนทางเทคโนโลยีและนิติวิทยาศาสตร์ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการผ่านกองทะเบียนพล สำนักงานกำลังพล ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้ลงนามอนุมัติให้ พล.ต.อ.ประวุฒิลาออกจากราชการ พร้อมส่งเรื่องกลับไปให้กองทะเบียนพลดำเนินการทางธุรการ ก่อนส่งเรื่องไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจาก พล.ต.อ.ประวุฒิเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องเหตุผลที่ขอลาออกจากราชการนั้นจำไม่ได้ เป็นรายละเอียดในเอกสาร

"การลาออกจากราชการเป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมมีอำนาจยับยั้งได้ภายใน 30 วัน ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์กับทางราชการ อย่างกรณีนี้เจ้าตัวตั้งใจจะลาออก จะเออร์ลี่รีไทร์อยู่แล้ว ก็คงต้องว่าไปตามนั้น ต้องขอโทษสื่อมวลชนด้วย ผมก็เพิ่งทราบเรื่อง ยอมรับว่าขั้นตอนต้องผ่านผม แต่วันหนึ่งต้องเซ็นเอกสารประมาณ 30 แฟ้ม ทำให้จำไม่ได้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่า พล.ต.อ.ประวุฒิออกแน่นอน ผมเซ็นไปแล้ว" พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าว และว่า การลาออกของ พล.ต.อ.ประวุฒิ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านกิจการพิเศษ และเป็นหัวหน้างานจราจร จะไม่กระทบต่องานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะงานปั่นเพื่อพ่อ หรือ BIKE FOR DAD เพราะยังมีรองหัวหน้างานที่เคยทำงานและเคยรับผิดชอบงานปั่นเพื่อแม่มาก่อน ทั้งนี้มอบหมายให้ พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ที่ปรึกษา (สบ 10) รับผิดชอบแทน

เมื่อถามว่าการลาออกของ พล.ต.อ.ประวุฒิในช่วงที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันฯ มีนัยยะอะไรหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า "ให้ถามท่านเอง ผมไม่ใช่ตัวท่าน" เมื่อถามว่าการลาออกเป็นเหตุผลส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯใช่หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า "ไม่น่าจะเกี่ยวข้อง เพราะท่านอยากจะเออร์ลี่รีไทร์อยู่แล้ว"

ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกระแสข่าวนายทหารยศ พ.อ.ที่เกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นสถาบันฯ หลบหนีออกนอกประเทศว่า ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีนายทหารยศ พ.อ.และ พล.ต. ร่วมเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดคดีหมิ่นสถาบันฯ ตามที่มีกระแสข่าวด้วยหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าเดินทางไปที่ไหนอย่างไร อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ขณะเดียวกันยังไม่ยืนยันกรณีโอนเงิน 20 ล้านบาทจาก พ.อ.คนดังกล่าวไปให้ผู้หญิงคนหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ จริงหรือไม่

เมื่อถามว่า มีการระบุมีทหารกว่า 50 นายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นสถาบันฯ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์กล่าวว่า อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ต้องมีการวิเคราะห์กันว่าคดีไปถึงไหน ว่ากันไปตามพยานหลักฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเชิญนายทหารที่ถูกพาดพิงมาสอบปากคำแต่อย่างใด รวมทั้งไม่มีการประสานกองทัพในเรื่องนี้

เมื่อถามว่า นายทหารกว่า 50 นายที่ถูกพาดพิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร รองโฆษก ตร.กล่าวว่า ตรงนี้เป็นข้อมูลการสืบสวนสอบสวน ไม่สามารถเปิดเผยได้ หากเสนอศาลออกหมายจับ สื่อมวลชนจะทราบเองว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์อย่างไร เพราะจะมีประกาศสืบจับ เพราะข้อมูลทุกอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามคาดว่าคณะพนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนคดีได้ภายในสัปดาห์นี้ โดยเหลือเพียงการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์อีกเพียงบางส่วนเท่านั้น

เวลา 13.30 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์ กรณี พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงที่ผูกคอเสียชีวิตในเรือนจำชั่วคราวก่อนหน้านี้ ลักลอบนำเสาสัญญาณและอุปกรณ์ระบบวิทยุดีทีอาร์เอสจากย่านบางชันไปติดตั้งบนอาคารใบหยกทาวเวอร์ 2 เพื่อกระทำการบางอย่างโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งในวันตรวจค้นที่พักของ พ.ต.ต.ปรากรม พบวิทยุสื่อสาร (Mobile Phone) พร้อมเสาวิทยุ 5 ต้น อยู่ในห้องพักดังกล่าว เมื่อตรวจสอบพบว่ามีการผูกโยงสัญญาณไปที่อาคารสูง เชื่อว่าเป็นพฤติกรรมในการลักลอบใช้วิทยุสื่อสารหรือการดักฟัง นอกจากนี้ยังพบวิทยุสื่อสารแบบพกพากว่า 200 เครื่องอยู่ภายในห้อง โดยพบว่า พ.ต.ต.ปรากรมเป็นผู้ขอเบิกวิทยุสื่อสารจำนวนดังกล่าวออกไปจากกองตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างว่าจะนำมาใช้ในงานราชการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ กสทช.เข้าให้ข้อมูลผ่านไปประมาณ 30 นาที ตำรวจสื่อสารพร้อมทีมสอบสวนได้เดินทางไปตรวจสอบเสาสัญญาณดังกล่าวที่ตึกใบหยก 2 เขตพญาไท กทม. เพื่อตรวจสอบสถานที่ดังกล่าวว่ามีการติดตั้งเสาสัญญาณและเป็นไปตามข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ กสทช. แจ้งกับทางพนักงานสอบสวนจริงหรือไม่และตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดใดบ้าง เพื่อพิจารณาแจ้งความดำเนินคดีต่อไป

จากนั้นเวลา 14.30 น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท. รอง ผบ.ตร. ได้กลับเข้ามาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีกลุ่มผู้สื่อข่าวรอดักสัมภาษณ์เกี่ยวกับความคืบหน้าคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงหลังจาก พล.ต.ท.ศรีวราห์ออกมาระบุข้อมูลว่า จากการสอบปากคำพยานมีการซัดทอดไปถึงนายทหารระดับสูงยศ พล.ต.และ พ.อ. กว่า 50 นาย และการเดินทางไปตรวจสอบการติดตั้งเสาสัญญาณของตำรวจและเจ้าหน้าที่ กสทช. โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์มีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ไม่ให้สัมภาษณ์แล้ว ขนาดเมื่อวานนี้ยังโยงกันมั่วไปหมด ก่อนจะเดินขึ้นห้องทำงานชั้น 7 อาคาร 1 ตร. ทันที

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้หญิงคนที่ได้รับเงินโอน 20 ล้านบาทจาก พ.อ.นั้นเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ จ.เชียงใหม่ อายุ 40 ปีเศษ รวยระดับเศรษฐินี โดยชุดสืบสวนได้เชิญมาสอบสวนถึงที่มาที่ไปของเงิน รวมถึงวัตถุประสงค์ในการโอนเงินจำนวนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยนักธุรกิจหญิงระบุว่า พ.อ.โอนเงินมาให้ในช่วงวันที่ 30-31 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ไม่รู้จักกับ พ.อ.คนดังกล่าว ตำรวจคาดว่าน่าจะเป็นเงินของนายทหารที่ยศสูงกว่า พ.อ.และ พล.ต. โอนให้เพื่อลงทุนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน อย่างไรก็ตามตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาของเงิน 20 ล้านบาทว่าได้มาถูกกฎหมายหรือไม่ โดยได้อายัดเงินจำนวนดังกล่าวเอาไว้แล้ว ขณะนี้เงินจำนวนดังกล่าวยังค้างอยู่ในบัญชีของนักธุรกิจหญิงคนดังกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พล.ต.คนดังกล่าวที่ถูกพาดพิงได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการไปยัง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เพื่อขออนุมัติการลาออกต่อไป โดยให้เหตุผลว่าออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว

ที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดีฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานในงานกิจกรรมเปิดตัวมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ถึงกรณีที่มีข่าวว่ามีนายทหารยศ พล.ต.และ พ.อ. ประมาณ 40-50 นาย เกี่ยวข้องกับความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า "กำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ ไปถาม พล.อ.ธีรชัย ถ้าผิดก็สอบไป"

แหล่งข่าวนายทหารกองทัพบกเปิดเผยว่า ขณะนี้ยังเป็นเพียงข้อกล่าวหาพาดพิง ในส่วนของระบบทหารการพาดพิงยังไม่ถือว่าเป็นความผิด นอกจากจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาให้กับเจ้าตัวทราบ โดยเฉพาะตำแหน่งที่ผู้ถูกพาดพิงอยู่ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นตรงกับสำนักงานเลขานุการกองทัพบก จะต้องมีเอกสารมายืนยันว่ากระทำความผิดในเรื่องใด หรือจนกว่าเจ้าพนักงานจะนำหมายจับหรือหมายศาลมาแจ้งข้อกล่าวหาถึงจะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนของกองทัพ หากแจ้งมาแล้วทางกองทัพบกก็ยินดีให้ความร่วมมือในกระบวนการสืบสวน

แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง จ.ตาก เปิดเผยว่า ฝ่ายทหารได้ประสานทางการพม่า ขอให้ส่งตัว พ.อ.คนดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เนื่องจากออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นพฤติกรรมหนีราชการทหาร ส่วนจะเกี่ยวข้องกับคดีเครือข่ายนายสุริยันหรือไม่คงต้องตรวจสอบต่อไป ล่าสุดทางการพม่ายังไม่ตอบมา คาดว่านายทหารคนดังกล่าวไปอยู่กับชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในพื้นที่จังหวัดเมียวดีมีกองกำลังชนกลุ่มน้อย 4 กลุ่มคือ ฝ่ายกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) ฝ่ายกะเหรี่ยงสันติภาพ ฝ่ายกะเหรี่ยงดีเคบีเอ และกะเหรี่ยงฝ่ายบีจีเอฟ

ศาลทหาร รอวินัจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาล คดีพลเมืองรุกเดินและคดีชุมนุมหน้าหอศิลป์

ศาลทหาร รอวินัจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาล คดีพลเมืองรุกเดินและคดีชุมนุมหน้าหอศิลป์ ศาลแขวงปทุมวันนัดชี้ชะตา อภิชาต คดีฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุม 11 กุมภาพันธ์ 2559
5 พฤศจิกายน 2558
ศาลทหารนัดสอบคำให้การคดีพันธ์ศักดิ์: พลเมืองรุกเดิน และคดีนัชชชา: ชุมนุมหน้าหอศิลป์
ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยเจ้าหน้าที่ขอถ่ายภาพบัตรประจำตัวของผู้เข้าสังเกตการณ์ นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนจำนวนมากมารอทำข่าวอยู่ด้านนอก และมีประชาชนจำนวนหนึ่งมารอมอบดอกไม้ให้กำลังใจจำเลย
ศาลขึ้นบัลลังก์เวลาประมาณ 11.30 น. โดยเริ่มสอบคำให้การคดีของพันธ์ศักดิ์ก่อน ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลทหารกรุงเทพวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาล ตาม พ.ร.บ.วินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 ศาลจึงสั่งให้รอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว เพื่อให้โจทก์ทำคำชี้แจงยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน
จากนั้นศาลจะทำความเห็นส่งไปให้ศาลอาญาพิจารณา และเมื่อศาลอาญาทำความเห็นส่งกลับมาแล้ว ก็จะนัดจำเลยมาฟังความเห็นและคำสั่งศาลต่อไป
ส่วนคดีชุมนุมหน้าหอศิลป์ มีจำเลย 2 คน คือ ชาติชายหรือธัชพงษ์ (จำเลยที่ 1) และนัชชชา (จำเลยที่ 2) โดยชาติชายให้การปฏิเสธตามคำฟ้องโจทก์และขอต่อสู้คดี อัยการโจทก์จึงแถลงขอสืบพยาน
แต่เนื่องจากทนายของนัชชชายื่นคำร้องขอให้ศาลทหารกรุงเทพวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาลเช่นเดียวกับคดีพันธ์ศักดิ์ ศาลจึงเห็นว่าคำร้องของจำเลยที่ 2 เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ด้วย
เป็นเหตุให้สั่งรอพิจารณาคดีนี้ไว้ชั่วคราว ระหว่างรอโจทก์ทำคำชี้แจงและรอศาลทำความเห็นส่งไปให้ศาลแขวงปทุมวัน ซึ่งหลังจากศาลแขวงปทุมวันทำความเห็นส่งกลับมาแล้วจึงจะนัดจำเลยมาฟังความเห็นและคำสั่งศาลต่อไป
นอกจากความเคลื่อนไหวที่ศาลทหารแล้ว วันนี้ศาลแขวงปทุมวัน นัดสืบพยานคดีที่เกิดจากการใช้เสรีภาพในการชุมนุมอีกคดีหนึ่ง
คดีของอภิชาต อดีตนักศึกษาโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ เจ้าหน้าที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ที่ถูกจับและดำเนินคดีเพราะไปยืนถือป้ายคัดค้านการรัฐประหารที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพในวันที่ 23 พฤษภาคม 2557
โดยมีพยานจำเลยขึ้นเบิกความ 2 ปาก ได้แก่
สามชาย ศรีสันต์ จากวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเบิกความรับรองความประพฤติของอภิชาต ว่าเป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนและกระตือรือร้นที่จะแสดงความคิดเห็น และเบิกความว่าการกระทำตามข้อกล่าวหาของอภิชาต ไม่น่าจะเข้าข่ายเป็นความผิดตามฟ้อง เพราะ การคัดค้านการรัฐประหารถือเป็นหน้าที่ของคนไทย
ขณะที่ วรลักษณ์ ศรีใย จากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เบิกความว่า เป็นเพื่อนร่วมงานของอภิชาต ที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย แต่อยู่คนละแผนก ในวันเกิดเหตุ ตนกำลังจะไปร่วมกิจกรรมที่หน้าหอศิลป์ฯ และบังเอิญพบอภิชาตที่ลิฟท์ เมื่อทราบว่าจะไปหน้าหอศิลป์เหมือนกันจึงเดินทางไปด้วยกัน โดยไปถึงหน้าหอศิลป์ เวลาประมาณ 18.15 น.
วรลักษณ์เบิกความด้วยว่า อยู่กับอภิชาต ประมาณ 5 นาที ก็แยกกัน ซึ่งเมื่อตนลงไปยืนที่ทางเท้าข้างหอศิลป์เยื้อง วังสระปทุมก็มองเห็นอภิชาต ซึ่งมีรูปร่างสูงจากระยะไกล เห็นว่ากำลังชูป้ายแต่ไม่เห็นข้อความ
ตนอยู่ในพื้นที่จัดกิจกรรมเพียงครู่เดียว ประมาณ 18.30 น. ก็เดินทางกลับ แลtทราบข่าวเรื่องเจ้าหน้าที่จับกุมอภิชาตในภายหลัง โดยส่วนตัว แม้จะทราบว่ามีคำสั่งห้ามชุมนุมของ คสช. แต่ก็ตัดสินใจไปร่วมกิจกรรมเพราะเห็นว่าเป็นการใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น ทั้งเหตุการณ์โดยรวมก็เป็นไปด้วยดี ไม่มีความวุ่นวาย อภิชาตจึงไม่น่าจะทำผิดดังโจทก์ฟ้อง
หลังสืบพยานเสร็จ อภิชาตขอศาลส่งคำแถลงปิดคดีเป็นเอกสาร ศาลสั่งให้ส่งเอกสารภายใน 30 วัน และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
ทั้งนี้หลังเสร็จการพิจารณาคดี อภิชาต ให้สัมภาษณ์สั้นๆว่า สู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว ในทางเทคนิค การประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีการประกาศเป็นพระบรมราชโองการ
นอกจากนี้ ขณะเกิดเหตุ คสช. ก็ยังไม่ได้เป็นรัฏฐาธิปัตย์อย่างแท้จริง คำสั่งที่ออกมาจึงยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในข้อเท็จจริง เหตุการณ์ที่หน้าหอศิลป์ ก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย สงบ สันติ แต่ผลคำพิพากษาจะเป็นอย่างไรก็พร้อมจะน้อมรับ
สำหรับเรื่องต่อสู้คดี แม้จะทำให้การใช้ชีวิตได้รับผลกระทบบ้างเพราะต้องมาศาล แต่ก็เลือกที่จะสู้ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่ความผิด นอกจากนี้การสู้คดีครั้งนี้ก็น่าจะสร้างบรรทัดฐานบางอย่างได้บ้าง
ส่วนเรื่องรับสารภาพเพื่อให้คดีจบ ดูจะเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า เพราะคดีลักษณะนี้ ศาลมักจะให้รอการลงโทษจำเลย
และเหตุที่ตนไม่เลือกแนวนี้ เพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นการเลือกที่ทำให้รู้สึกผิดไปตลอด
ดูรายละเอียดคดี พันธ์ศักดิ์:--> พลเมืองรุกเดิน ได้ที่http://freedom.ilaw.or.th/case/662
ดูรายละเอียดคดี นัชชชา:--> ชุมนุมหน้าหอศิลป์ ได้ที่http://freedom.ilaw.or.th/th/case/688
ดูรายละเอียดคดีทั้งหมดของอภิชาต -->http://freedom.ilaw.or.th/th/case/576

"บิ๊กตู่" ตอกเจ็บ !! ภัยจำนำข้าว พาชาติเจอภัยแล้ง

"บิ๊กตู่" ตอกเจ็บ !! ภัยจำนำข้าว พาชาติเจอภัยแล้ง
2015-11-05 15:31:55
"พล.อ.ประยุทธ์" แจงปัญหาภัยแล้ง ส่วนหนึ่งมาจากชาวนาที่ละเลยปัญหา เตือนอย่าปลูกนาปรัง กลับไม่ฟัง สุดท้ายน้ำไม่มีในเขื่อน ก็ดูแลไม่ได้ -ย้ำ อีกปัญหามาจากปี 55 ปล่อยน้ำจนเหลือเฟือ หวังเอาใจชาวนา ที่เฮโลโครงการจำนำข้าว
วันนี้ ( 5 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาภัยแล้งว่า เรื่องน้ำแต่ละเขื่อน ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานตัวเลขกับตนตลอด ส่วนบางพื้นที่ที่ชาวนายังปลูกข้าวนาปรัง ทั้งๆ ที่ภาครัฐขอความร่วมมือไม่ให้ปลูกนั้นจะให้ตนทำอย่างไร จะให้ไปจับชาวนาติดคุกเอาไหม ตรงนี้จะให้ทำอย่างไร ซึ่งตนบอกไปแล้วว่าพยายามอย่าทำนาปรัง ก็แค่นั้นใช้น้ำให้ประหยัด หันไปปลูกพืชชนิดอื่น ก็มีการแนะนำตลอด สื่อก็ต้องบอกชาวนาแบบนี้ ไม่ใช่มาบอกว่าน้ำไม่มีแล้วรัฐบาลต้องรับผิดชอบต้องหาวิธีการหาเงินชดเชย
"เรื่องทำข้าวนาปรัง ผมห้ามก็ไม่เชื่อ ผมก็บอกว่าถ้าทำแล้วเสียหาย ไม่มีน้ำผมก็ไม่ดูแล ดูแลไม่ได้ เพราะเตือนแล้ว ก็เห็นอยู่แล้วว่าน้ำไม่มี 4 เขื่อนมีน้ำ 4 พันกว่าลูกบาศก์เมตร ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานตัวเลขผมอยู่ทุกวัน ซึ่งมีการรายงานทั้งน้ำในเขื่อนนอกเขื่อน ปีที่แล้วคาดการณ์ก่อนฝนเข้ามีปริมาณน้ำ 3,600 ลูกบาศก์เมตร แต่หลังจากพายุเข้า ปริมาณน้ำ เป็น 4,100 ลูกบาศก์เมตร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำนาปรังได้ ซึ่งน้ำที่มีถ้าหารแล้วจะอยู่ได้ไม่กี่เดือน น้ำก็จะหมดจากเขื่อน ก็จะไม่มีน้ำประปากิน ดังนั้นอยากให้ชาวนาเชื่อภาครัฐที่แนะนำให้ปลูกพืชอย่างอื่นทดแทน และอยากให้สื่อช่วยตรงนี้ด้วยทั้งชาวนาและชาวสวนยาง พูดจนปากจะฉีกอยู่แล้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า เมื่อสื่อลงไปทำข่าวก็ควรจะไปแนะนำชาวนา ให้ไปหาผู้ว่าฯ แต่ไปถามข้อมูลจากชาวนาเขาก็ไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้วก็เป็นเหยื่อเขา ที่เรียกร้องเรื่องการเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งมาแล้วจะดีกว่านี้ จะขายข้าวได้ราคามากกว่านี้
"น้ำวันนี้มันพร่องเพราะอะไร ลองตอบมาสิ น้ำในเขื่อนน้อยเพราะอะไร ซึ่งต้องไปดูว่าน้ำรองเขื่อนมีเท่าไหร่ น้ำรองเขื่อนต่ำมาตั้งแต่ปี 2555 เพราะปล่อยน้ำมาทำนาจนเหลือเฟือ เพราะมันจำนำข้าวไงเล่า ก็ปลูกให้มากเข้าไปสิ เอาน้ำไปใช้ให้หมด น้ำที่ควรจะอยู่รองก้นเขื่อน พอฝนตกมาก็จะเติมน้ำในเขื่อน แต่วันนี้น้ำในเขื่อนต่ำลงกว่าเกณฑ์ตั้งแต่ปี 2555 ทั้งกลัวเรื่องน้ำท่วมและปล่อยน้ำมาปลูกข้าว เมื่อฝนตกมาน้อย น้ำรองเขื่อนก็เตี้ยอยู่อย่างนี้ แล้วน้ำรองเขื่อนมันจะไปไหนได้คิดให้เป็นบ้าง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายกฯ ยังเปิดเผยด้วยว่า วันนี้มีบางกลุ่มไปบอกชาวนา ให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวเขาก็ไปแล้ว ปลูกข้าวไปก่อนเดี๋ยวกลับมาจะทำแบบเดิมให้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีพื้นที่ไหนบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ไปหามาสิ เขียนให้ดีนะ อารมณ์ไม่ได้เสียนะ

บิ๊กป้อม โวยลั่น ยันไม่มีทหารคนไหน โดนหมายจับ-หมายเรียก โยงคดี ม.112

บิ๊กป้อม โวยลั่น ยันไม่มีทหารคนไหน โดนหมายจับ-หมายเรียก โยงคดี ม.112 ยันผมต้องรู้ ฉะสื่อเสนอข่าวมั่ว50ทหาร เอี่ยว เผยตร.จะฟ้อง เตือนสื่อเสนอข่าวระวัง
พลเอกประวิตร รองนายกฯ/รมว.กลาโหม ยืนยันเสียงแข็ง ไม่มีทหารจะโดนออกหมายจับ หรือแม้แต่หมายเรียก หรือเกี่ยวข้อง คดี"หมอหยอง" ปิด ม.112 หลังมีข่าว พลตรี-พันเอก ถูกพาดพิง
โวยสื่อเสนอข่าวโยง50ทหาร ไม่มีทหารเกี่ยว ก็จะให้มี เผยคุย"ศรีวราห์" แล้ว ยันไม่มี แล้วเขาจะฟ้องสื่อเสนอข่าวมั่ว 
ส่วนที่อาจมีเชิญทหารบางคนไปสอบถาม นั้น พลเอกประวิตร บอก ไม่ตนไม่รู้ อาจมีการประสานโดยตรง ไปที่ตัวทหารคนไหน เพื่อขอข้อมูล เป็นการส่วนตัวนั้น ตนไม่ทราบ

ิตร บอก ไม่ตนไม่รู้ อาจมีการประสานโดยตรง ไปที่ตัวทหารคนไหน เพื่อขอข้อมูล เป็นการส่วนตัวนั้น ตนไม่ทราบ
แต่ถ้ามีทหารเกี่ยว ผมต้องรู้ ผบตร. ต้องรายงานผมก่อน นี่ผบตร.ไม่เห็นรายงานผมสักคำ แต่ถ้าทหารคนไหนเกี่ยวข้อง เราก็ไม่ปกป้องอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ยังไม่มีทหารคนไหน ไปเกี่ยวข้อง ใครเกี่ยวก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับกองทัพ บ่นสื่อไม่มีก็จะให้มี เตือนสื่อเสนอข่าวระวัง
ส่วนพันเอก ที่ออกนอกประเทศ ทางชายแดน นั่น พลเอกประวิตร กล่าวว่า เขาคงไปเรื่องส่วนตัวเขา

โปรดเกล้า"ประวุฒิ"พ้น ตร.

โปรดเกล้าฯ "พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ" ออกจากราชการตำรวจ แล้ว "พลเอกประวิตร" ลงนามรับสนองฯ 5พย.2558
ด้วยสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้มีคําสั่งอนุญาตให้ พลตํารวจเอก ประวุฒิ ถาวรศิริ ข้าราชการตํารวจ ตําแหน่ง ที่ปรึกษา (สบ ๑๐) ลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ และได้นําความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พ้นจากตําแหน่งต่อไปแล้วบัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตําแหน่ง ที่ปรึกษา (สบ ๑๐) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ประกาศ ณ วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

"บิ๊กป้อม"บ่นเหนื่อย

บิ๊กป้อม บ่น "ยืนยันว่าผมเหนื่อยมาก ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้ แต่รับปาก ช่วยนายกฯทำงานแล้ว ก็ต้องช่วยกันต่อไป
พลเอกประวิตร รองนายกฯ/รมว.กลาโหม /รองหน.คสช. บอก
ไม่ใช่แค่นายกฯ เหนื่อย ผมก็เหนื่อย ทำงานมา40-50ปี เป็นทหารลงไปทุกพื้นที่ รบราฆ่าฟันมาเยอะแยะ ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้เลย ผมยืนยันว่า ผมเหนื่อย
"นายกฯว่าไง ผมก็ตามนายกฯ อ่ะ ต้องช่วย นายกฯต่อ เพราะรับปากกันไว้แล้ว ว่าจะช่วยกัน ก็ตัองทำให้ดีที่สุด ทุกเรื่อง ทำด้วยความตั้งใจ โดยไม่มีนัยะเคลือบแฝง"
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ถ้าเข้าใจรัฐบาล ก็จะไม่มีหรอก พลเมืองโต้กลับ แม้เราไม่ได้เป็นรัฐบาลถาวร เป็นแค่รัฐบาลชั่วคราว แต่เราตั้งใจให้กับประชาชน

ยุทธการปราบมาเฟีย"บิ๊กป้อม"

ยุทธการปราบมาเฟีย.....
"พลเอกประวิตร" kick off ยุทธการปราบมาเฟีย เผย กห.-คสช-กอ.รมน-ศปป-สขช.เริ่มงานทันที ตั้ง"คณะทำงานเพื่อบูรณาการงานด้านการข่าว" ของทุกส่วน ลงเอ็กซเรย์พื้นที่ ส่งเจ้าหน้าที่ลงทุกพื้นที่ เน้นงานการข่าว ไม่ใช่ออกไปตรวจค้น จับกุม ยัน ไม่มี blacklist ให้จนท.ลงพื้นที่ไปพูดคุย ทำงานการข่าว ไม่บอก จะใช้ ไม้นวม หรือไม้แข็ง ก่อน ยันทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องการทำให้พื้นที่สงบ ประชาชนปลอดภัย ยันรัฐบาลเอาจริงกับการแก้ปัญหาอิทธิพลท้องถิ่น เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยและปกติสุขของประชาชน
ที่กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และรมว.กห. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ที่ กระทรวงกลาโหม โดยมี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง รวมทั้งหัวหน้าส่วนราชการและผู้เกี่ยวข้องของหน่วยงานหลัก อันได้แก่ คสช. กอ.รมน. กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมเป็นกรรมการ
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ในการประชุม กรรมการปราบมาเฟีย เผย กห.-คสช-กอ.รมน-ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป(ศปป)-สำนักข่าวกรองแห่งชาติ(สขช.) เริ่มงานทันที ส่งเจ้าหน้าที่ลงทุกพื้นที่
"การทำงานของเรา เน้นงานการข่าว ไม่ใช่ออกไปตรวจค้น จับกุม และยืนยัน ไม่มี blacklist ให้จนท.ลงพื้นที่ไปพูดคุย ทำงานการข่าว"
ส่วน จะใช้ ไม้นวม หรือไม้แข็ง ก่อนนั่น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ให้จนท. เขาทำงานไป แต่ทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องการทำให้พื้นที่สงบ ประชาชนปลอดภัย
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมนที่ประชุมย้ำถึงความตั้งใจของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขร่วมกันทั่วประเทศ โดยปราศจากการใช้ความรุนแรงและการข่มขู่จากกลุ่มที่กระทำผิดกฎหมายรวมทั้งผู้อยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะการมีและใช้อาวุธสงครามในครอบครอง
ทั้งนี้ในขั้นต้น ได้มอบหมายให้จัดตั้ง "คณะทำงานเพื่อบูรณาการงานด้านการข่าว" ของทุกส่วนราชการร่วมกันอย่างเข้มข้นและจริงจัง ในทุกพื้นที่ถึงระดับตำบลและหมู่บ้านทั่วประเทศ
หลังจากนั้นจะใช้วิธีการและมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อกลุ่มเป้าหมาย อย่างเด็ดขาดและจริงจังต่อไป เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยของสังคมให้ได้
พร้อมทั้งกล่าวขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ได้ร่วมกันอย่างกว้างขวาง ในการเปิดเผยและให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกัน เพื่อร่วมกันหยุดยั้งพฤติกรรมของผู้มีอิทธิพลและลดความรุนแรงทางสังคมที่เกิดขึ้นให้จงได้

จู่ ปรี๊ดสื่อห่วย อัดนักการเมืองกัดกัน

ขอปริ๊ดดดด สักที.....ด่าสื่อห่วย เหน็บนักการเมือง "กัดกันอย่างกับหมา"
"บิ๊กตู่" ปรี๊ดแตก ซัดสื่อเขียนเชียร์ ฝ่ายตรงข้ามอยู่นั่นแหล่ะ ห่วยสร้างความแตกแยก บ่อนทำลายชาติ ขู่ประจานชื่อหากประเทศล่มสลาย เหน็บนักการเมือง "กัดกันอย่างกับหมา" เชิญสื่อมาทำความเข้าใจก๋หาว่าละเมิดสิทธิ บางพวกรับปาก แต่ก็ทำอีก เสนอร่างรธน.จะต้องมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 4 ปี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
กล่าวถึงการติดตามร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ได้ติดตามอยู่เพราะตนก็เป็นผู้ที่ตีกรอบไปเอง ส่วนข้อเสนอในวิธีการการเลือกตั้งแบบใหม่นั้นตนเคยบอกแล้วว่าถ้ามองว่าประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นไฮไลท์ของทั้งหมดประเทศไทยก็กลับไปที่เดิมเท่านั้นเอง มันไปอย่างอื่นไม่ได้
อย่างไรก็ตามก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต้องคุยกันว่าทำอย่างไรประเทศชาติจะปลอดภัยและเป็นประชาธิปไตยที่ต่างชาติยอมรับได้ด้วย ทุกวันนี้เขาก็คิดกันหัวจะผุอยู่แล้ว
"คนที่จะไม่รับกติกาใหม่ๆ อะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นนักการเมืองทั้งสิ้น ยอมรับไม่ได้เพราะทุกอย่างจะทำให้ยากในการเข้าสู่กระบวนการ สู่การมีอำนาจ หรือการใช้จ่ายงบประมาณทุกอย่างเขาเลยต้องการเหมือนเดิมเพราะต้องการที่จะได้คะแนนนิยมจำนวนมากๆ เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม
ผมบอกมาหลายครั้งแล้วว่าสังคมและประเทศมันเกิดอะไรขึ้น วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งทั้งหมดมันคงไม่ได้แก้ด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย นักการเมือง ผม หรือการรัฐประหารเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้หรอก ทุกอย่างมันต้องแก้ด้วยจิตสำนึกของทุกคนว่าจะช่วยให้ประเทศชาติปลอดภัยอย่างไร ผมบอกมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าความจริงไม่ต้องไปเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มาให้ยากหรอก ถ้าทุกคนยอมรับกติกาว่าจะให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลง
"ง่ายที่สุดคือรัฐธรรมนูญเก่าเลยก็ได้ อันนี้ผมสมมตินะ แต่จะต้องมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 4 ปีแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นถ้าไม่คิด 4 ปีข้างหน้าก็จะกลับมาเหมือนเดิมหมด ไม่อย่างงั้นไม่ต้องรอถึง 4 ปี ปีเดียวก็กลับมาหมดแล้ว ใช่หรือไม่
สื่อเองก็ไม่มีคำตอบตรงนี้เพราะอ้างแต่ว่าจะเสนอข่าวตรงกลางเพียงอย่างเดียว ใครมันจะเสนอซ้ายเสนอขวาก็ไม่สนใจ จะเสนอแต่ตรงกลางอย่างเดียว แล้วมันก็กัดกันเป็นหมาอยู่ทุกวันนี้ ชอบให้ผมพูดแบบนี้ใช่หรือไม่แล้วเดี๋ยวถ้าใครเอาคำของผมไปพาดหัว ไม่ต้องมาพูดกับผมแล้วนะ ชอบแบบนี้ ชอบสร้างความขัดแย้งให้กับผม" ทำอย่างไรสังคมมันจะสงบ ไม่ใช่อะไรก็จะทำให้ผมอารมณ์เสีย แล้วก็มาบอกว่าเป็นนายกฯ ต้องอดทนแล้วผมจะอดทนไปทำไมเล่า จะอดทนไปทำไม อดทนแล้วให้ทุกคนขัดแย้งกันแบบนี้หรือ ผมไม่อดทนหรอก ทุกวันนี้ทำแทบตายไม่ต้องมาบอกผมก็ทำให้อยู่แล้ว แต่ยังมาทำกับผมเหมือนกับคนอื่นทั่วๆไป มันไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น คิดทุกวันทำทุกนาทียังไม่ช่วยกันเลย" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญจะออกอะไรออกมาถามว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเอาอย่างไร เมื่อเดินไปตามขั้นตอนอีกสักพักก็จะมีการทำประชามติ แต่ถ้าประชาชนออกมาประชามติแล้วเสียงส่วนใหญ่บอกว่าไม่เอา แล้วจะทำอย่างไรกันต่อไป จะเลือกตั้งกันให้ได้อย่างนั้นหรือ วันนี้ก็ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นเช่นนี้ เหตุผลของการคัดสรรในเรื่องต่างๆ เข้ามาเพราะอะไรถ้าชี้แจงแบบนี้ประชาชนก็น่าจะเข้าใจ แต่ถ้ามัวไปชี้แจงว่าคัดสรรเข้ามาเพื่อการมีอำนาจ พูดแต่เรื่องของอำนาจเพียงอย่างเดียว ไม่เห็นพูดกันว่าจะทำอย่างไรกันบ้าง ที่เถียงกันอยู่ทั้งหมดสื่อก็ขยายความออกไปเรื่อยๆ ประเทศไทยก็กลับที่เดิมคือการเลือกตั้งส่วนจะได้ใครกลับมาก็ไม่รู้ ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ สื่อทำกันแบบนี้แล้วก็มากล่าวหาว่าตนโทษแต่สื่อ
"สื่อรู้กันทั้งหมด แต่ไม่ยอมเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ถ้าเผื่อประเทศต้องมีปัญหา ต้องล่มลงไปเศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ เกิดความขัดแย้ง เกิดการจราจลกันทั้งเมือง ใครจะมารับผิดชอบร่วมกับผม แต่ก็ยังเขียนทุกเรื่องที่มีปัญหา ผู้สื่อข่าวในสนามผมถือว่าโอเค ผมรู้เพราะอยู่ด้วยกันมานานแล้ว แต่ผมรังเกียจไอ้เจ้าของสำนักพิมพ์บางสำนักพิมพ์จะว่าผมแรงก็ต้องแรงนะจะบอกให้ ไม่มีเลิกตอนที่มีเรื่องมันอยู่ไหน เขียนเชียร์เขาอยู่นั่นแหละทุกวันนี้ก็ยังเชียร์อยู่ คนบังคับใช้กฎหมาย คนทำงานเดือดร้อน รู้อยู่แล้วนะว่าใครไม่ต้องเอ่ยชื่อ ไม่ได้ขู่ด้วย ผมสามารถชี้แจงกับคนอื่นได้ว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ ถ้าผมจะต้องทำกับไอ้บางคนซึ่งจะทำตามกฎหมาย อย่าหาว่าผมไปรังแกสื่ออะไรทั้งสิ้น แบบนี้เขาไม่ได้เรียกว่าสื่อ สร้างความแตกแยก" นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่าแสดงว่านายกฯ กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า "ผมพูดให้ฟังทำไมหรือจะไปเขียนกันว่า นายกฯ จะเริ่มควบคุมสื่อ ละเมิดจรรยาบรรณสื่อ
"โธ่ !! ไอ้ห่วยแบบนี้เขาไม่เรียกสื่อหรอก พวกท่านก็ค้านเขาไม่ได้ เพราะทุกคนทุกสำนักพิมพ์ต้องการรายได้ ไม่สนใจว่าประเทศมันจะเสียหายตรงไหน ไม่สนใจเลย แข่งกันสิ แข่งกันขายกันเท่านั้น เล่มเท่านี้เล่ม เอาเงินที่ขายเอามากิน ก็ใช่มันเป็นความจำเป็น แต่มันทำลายประเทศไปด้วย
ผมอยากจะบอกคำนี้ บางคอลัมน์ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น พอผมถามกลับไปก็ตอบกลับมาว่าคุมไม่ได้ครับ พอเรียกมาก็เป็นอย่างนี้หมด เชิญมาพบไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิ เรียกมาคุยตั้งโต๊ะคุยดีๆ ในห้องแอร์ ถามว่าเขียนอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรก็บอกว่า อ๋อ เดี๋ยวผมจะแก้ไข ผมจะปรับปรุงครั้งหน้า รับรองไม่มีครับ มันก็มีอีก เรียกมาครั้งที่ 2 ก็ขอโทษครับมันเป็นแบบนี้ครับ ผมยังคุมคนเหล่านี้ไม่ได้ เดี๋ยววันหน้าผมจะแก้ไขพูดอย่างนี้มา 7-8 ครั้ง
แล้ว ไอ้คนแบบนี้ถ้าประเทศนี้มันล่มสลายจะขึ้นชื่อให้ดูทั้งหมดว่าใครบ้าง ไม่รู้จักอับอายคนเขาบ้าง หากินบนความเดือดร้อน บนความสูญเสียของคนอื่นบ่อนทำลายชาติ ความจริงตั้งใจจะพูดแต่สิ่งดีๆ ไปซะแล้ว"

บิ๊กตู่ เตือนสื่อ อย่าคุ้ย คดี ม.112 มากนัก



บิ๊กตู่ เตือนสื่อ อย่าคุ้ย คดี ม.112 มากนัก แนะถามให้สร้างสรรค์ ชี้ปมโยง50 ทหาร พูดกันไปมา ไม่มีหลักฐาน อย่าบอกว่าใครผิด โยนสื่อมาถามผม ก็ตอบแค่ว่า ใครบ้าง ถ้าผิดก็ลงโทษ ออกตัวลูกน้องใคร ก็รู้จักกันหมด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เปิดเผยถึงกรณี ความคืบหน้าหลังมีรายงานข่าวระบุว่า มีทหารกว่า 50 นาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ม.112 ว่า เมื่อวานนี้ตนเห็น พล.ต.อ จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกมาพูดแล้ว ว่าทหารกี่นาย ก็พูดกันไปพูดกันมาแต่ละคนก็มีลูกน้องกี่คนละ แต่มันมีหลักฐานว่าทุจริตหรือละเมิดม.112 หรือยัง ถ้ายังไม่มีการฟ้อง ก็เป็นเพียงคำพูดออกมาแค่นั้นเอง อย่าไปขุดคุ้ยให้มันมากมาย มันก็เสียไปทุกเรื่อง ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ผมบอกไปแล้วว่าอะไรที่ยังไม่ชัดเจนก็อย่าพูดออกมา
“บางครั้งเป็นเพราะพวกท่านถามไง ถามละเอียดไปซะทุกเรื่อง ไอ้คนตอบบางทีก็เป็นแบบผมนี่แหละ ตอบไปเรื่อย บางทีมันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคำถามขอให้มันสร้างสรรค์หน่อยแล้วกัน พอบอกว่า 50คน ก็เอาละ ใครบ้าง ขอชื่อมา ลงโทษเมื่อไหร่ มันไม่ใช่นะ ถ้าจะถามเกี่ยวข้องไม่เกี่ยวข้อง คนมันรู้จักกันหมดนั่นแหละ ลูกน้องทุกคนก็มีหมด เอาหลักฐานมาสิ ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าไปว่าเขาว่าเขาผิด เอาแค่คำถามของท่านก็จบแค่นั้น จบได้แล้ว มันไม่ดีเลย ไม่ดีต่อม.112 ด้วย เพราะ ม.112 มีไว้ถวายให้ท่าน ไม่ได้มีไว้ให้คนอื่น ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

บิ๊กตู่ พร้อมไป อุบลฯ 12 พย. ไม่มองเป็นถิ่นเสื้อแดง


บิ๊กตู่ พร้อมไป อุบลฯ 12 พย. ไม่มองเป็นถิ่นเสื้อแดง บอกคนไทยด้วยกันไปได้ทุกที่ ไม่มีแบ่งสี แย้มรอบหน้าอาจหมุนไปใต้ รอฝ่ายมั่นคงดู ตรงไหนไปได้ ตรงไหนไปไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่ววถึงการเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ว่า เป็นการไปดูงาน ติดตามความก้าวหน้าของงาน ไปเยี่ยมเยือนประชาชน และไปถ่ายทอดสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำ ไปตอบคำถามที่ประชาชนมีข้อสงสัย และทำความเข้าใจถึงสถานการณ์บ้านเมืองในประเทศ
เมื่อถามว่า จะมีการติดตามเรื่องกองทุนหมู่บ้านด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวเขาจะมาสรุปให้ฟังเอง ว่ากองทุนหมู่บ้านมีกี่กองทุน ได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไร ประชาชนพึงพอใจหรือไม่ พบทุจริตหรือไม่จะมีการรายงานมา
ถามว่า เหตุใดจึงการเลือกลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็ไปดูอุทกภัยอีสานไง
"ทำไม หรือไปดูพื้นที่เสื้อแดง ก็มองอยู่แค่นี้ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกสีกันเล่า ก็ถามให้มันเป็นเรื่องไง ผมก็รู้คำถามคุณอยู่แล้ว ก็ไปทุกที่ จะสีอะไรผมไม่สนใจ เขาเป็นคนไทยหรือเปล่าล่ะ เป็นประชาชนหรือเปล่า เขารู้รึเปล่า ใครพูดจาอะไรยังไง แล้วมันน่าเชื่อถือกันแค่ไหน ยังไง วันหน้ามันจะได้เข้าใจกันสักที ผมก็จะไปทำให้เขานั่นแหละ”
เมื่อถามว่า หลังจากลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีแล้ว เตรียมไปจังหวัดไหนอีก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่รู้ เดี๋ยวทีมงานจะวางแผนไว้ว่าจะไปไหน ก็อาจจะหมุนไปภาคใต้บ้างหรือเปล่า
" ฝ่ายมั่นคงก็ต้องไปดูว่าตรงไหนไปได้ ตรงไหนไปไม่ได้ มันพร้อมหรือไม่ กิจกรรมมีการขับเคลื่อนไปบ้างหรือยัง ตอนนี้เขากำลังไปไล่ทุกจังหวัด เราก็ต้องจัดเป็นกลุ่ม เป็นภูมิภาค ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก เขากำลังตามลำดับความเร่งด่วนและความจำเป็น ทุกคนเขาทำงานอยู่แล้ว
ไม่ใช่นายกฯไป เขาถึงจะทำงานเมื่อไหร่เล่า เขาทำมาตลอด ตนไม่เห็นด้วยตา แต่เขาก็มีการรายงานเป็นเอกสาร มีการถ่ายรูปมา ตนก็อ่านทุกวัน ทุกงานเขารายงานตนหมด เว้นแต่ว่าอะไรที่มันยังไม่ถึงก็อย่ามาถามตน แต่ส่วนใหญ่ตนก็ตอบได้หมดอยู่แล้ว

'บิ๊กตู่'ของขึ้น!! จวกสื่อ 'ห่วย'บ่อนทำลายชาติ | เดลินิวส์



'บิ๊กตู่'ของขึ้น!! จวกสื่อ 'ห่วย'บ่อนทำลายชาติ | เดลินิวส์

พฤศจิกายน 2558 เวลา 12:54 น.เดลินิวส์


"บิ๊กตู่"ซัดนักการเมือง ยอมรับกติกาใหม่ไม่ได้ เหตุเข้าสู่อำนาจ-ใช้งบ ยาก ปรี๊ดแตก!! จวกสื่อห่วย สร้างความแตกแยก บ่อนทำลายชาติ ขู่ขุดชื่อประจาน หากประเทศล่มสลาย วันพฤหัสที่ 5

เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ตนติดตามอยู่ เพราะเป็นผู้ที่ตีกรอบ ส่วนข้อเสนอการเลือกตั้งแบบใหม่นั้น เคยบอกแล้วว่าถ้ามองว่าประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นไฮไลท์ ประเทศไทยก็จะกลับไปที่เดิมอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต้องคุยกันว่าทำอย่างไรประเทศชาติถึงปลอดภัยและเป็นประชาธิปไตยที่ต่างชาติยอมรับได้ด้วย "คนที่จะไม่รับกติกาใหม่ ๆ ส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง ที่ยอมรับไม่ได้ เพราะจะทำให้ยากในการเข้าสู่กระบวนการมีอำนาจ หรือการใช้จ่ายงบประมาณ เขาเลยต้องการเหมือนเดิม เพราะต้องการคะแนนนิยมมาก ๆ ปัญหาต่าง ๆ แก้ด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย นักการเมือง ผม หรือการรัฐประหารเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องแก้ด้วยจิตสำนึกของทุกคน ว่าจะช่วยให้ประเทศชาติปลอดภัยอย่างไร ความจริงไม่ต้องไปเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มาให้ยาก ถ้าทุกคนยอมรับกติกาว่าจะให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ง่ายที่สุดคือรัฐธรรมนูญเก่าเลยก็ได้ อันนี้ผมสมมตินะ แต่จะต้องมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 4 ปี แล้วจะเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะกลับมาเหมือนเดิมหมด ไม่ต้องรอถึง 4 ปี ปีเดียวก็กลับมาหมดแล้ว ใช่หรือไม่ สื่อเองก็ไม่มีคำตอบตรงนี้เพราะอ้างแต่ว่าจะเสนอข่าวตรงกลางเพียงอย่างเดียว ใครมันจะเสนอซ้าย เสนอขวาก็ไม่สนใจ แล้วมันก็กัดกันเป็นหมาอยู่ทุกวันนี้ ชอบให้ผมพูดแบบนี้ใช่หรือไม่ แล้วเดี๋ยวถ้าใครเอาคำของผมไปพาดหัว ไม่ต้องมาพูดกับผมแล้วนะ ชอบแบบนี้ ชอบสร้างความขัดแย้ง ทำอย่างไรสังคมมันจะสงบ ไม่ใช่อะไรก็จะทำให้ผมอารมณ์เสีย แล้วก็มาบอกว่าเป็นนายกฯ ต้องอดทน ผมจะอดทนไปทำไม อดทนแล้วให้ทุกคนขัดแย้งกันแบบนี้หรือ ผมไม่อดทนหรอก ทุกวันนี้ทำแทบตาย ไม่ต้องมาบอกผมก็ทำให้อยู่แล้ว แต่ยังมาทำกับผมเหมือนกับคนอื่นทั่ว ๆ ไป มันไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น คิดทุกวัน ทำทุกนาที ยังไม่ช่วยกันเลย" นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร ต้องถามประชาชนตามขั้นตอนที่จะมีการทำประชามติ แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่บอกว่าไม่เอา แล้วจะทำอย่างไรกันต่อไป จะเลือกตั้งกันให้ได้อย่างนั้นหรือ วันนี้ก็ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นเช่นนี้ เหตุผลของการคัดสรรในเรื่องต่างๆ เข้ามาเพราะอะไร ถ้าชี้แจงแบบนี้ประชาชนก็น่าจะเข้าใจ แต่ถ้ามัวไปชี้แจงว่าคัดสรรเข้ามาเพื่อการมีอำนาจ พูดแต่เรื่องของอำนาจเพียงอย่างเดียว ไม่เห็นพูดกันว่าจะทำอย่างไรกันบ้าง ที่เถียงกันอยู่ทั้งหมดสื่อก็ขยายความออกไปเรื่อยๆ ประเทศไทยก็กลับที่เดิมคือการเลือกตั้ง ส่วนจะได้ใครกลับมาก็ไม่รู้ ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ สื่อทำกันแบบนี้ แล้วก็มากล่าวหาว่าตนโทษแต่สื่อ "สื่อรู้กันทั้งหมด แต่ไม่ยอมเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ถ้าประเทศมีปัญหาล่มลงไป เศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ เกิดความขัดแย้ง เกิดการจลาจลทั้งเมือง ใครจะมารับผิดชอบร่วมกับผม แต่ก็ยังเขียนทุกเรื่องที่มีปัญหา ผู้สื่อข่าวในสนามผมถือว่าโอเค อยู่ด้วยกันมานานแล้ว แต่ผมรังเกียจไอ้เจ้าของสำนักพิมพ์บางฉบับ จะว่าผมแรงก็ต้องแรงจะบอกให้ ไม่มีเลิก ตอนที่มีเรื่องมันอยู่ไหน เขียนเชียร์เขาอยู่นั้นแหละ ทุกวันนี้ก็ยังเชียร์อยู่ คนบังคับใช้กฎหมาย คนทำงานเดือดร้อน รู้อยู่แล้วนะว่าใครไม่ต้องเอ่ยชื่อ ไม่ได้ขู่ด้วย ผมสามารถชี้แจงกับคนอื่นได้ว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ ถ้าผมจะต้องทำกับไอ้บางคนซึ่งจะทำตามกฎหมาย อย่าหาว่าผมไปรังแกสื่ออะไรทั้งสิ้น แบบนี้เขาไม่ได้เรียกว่าสื่อ สร้างความแตกแยก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว เมื่อถามว่าแสดงว่านายกฯ กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมพูดให้ฟังทำไมหรือจะไปเขียนกันว่า นายกฯ จะเริ่มควบคุมสื่อ ละเมิดจรรยาบรรณสื่อ โถ่ ไอ้ห่วยแบบนี้เขาไม่เรียกสื่อหรอก พวกท่านก็ค้านเขาไม่ได้ เพราะทุกคน ทุกสำนักพิมพ์ต้องการรายได้ ไม่สนใจว่าประเทศมันจะเสียหายตรงไหน เอาเงินที่ขายเอามากิน ก็ใช่มันเป็นความจำเป็น แต่มันทำลายประเทศไปด้วย ผมอยากจะบอกคำนี้ บางคอลัมน์ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น พอผมถามกลับไปก็ตอบกลับมาว่าคุมไม่ได้ครับ พอเรียกมาก็เป็นอย่างนี้หมด เชิญมาพบไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิ เรียกมาคุย ตั้งโต๊ะคุยดี ๆ ในห้องแอร์ถามว่าเขียนอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ก็บอกว่าเดี๋ยวจะแก้ไข จะปรับปรุง ครั้งหน้ารับรองไม่มีครับ มันก็มีอีก เรียกมาครั้งที่ 2 ก็ขอโทษครับมันเป็นแบบนี้ครับ ผมยังคุมคนเหล่านี้ไม่ได้ เดี๋ยววันหน้าผมจะแก้ไข พูดอย่างนี้มา 7-8 ครั้งแล้ว ไอ้คนแบบนี้ถ้าประเทศนี้มันล่มสลายจะขึ้นชื่อให้ดูทั้งหมดว่าใครบ้าง ไม่รู้จักอับอายคนเขาบ้าง หากินบนความเดือดร้อน บนความสูญเสียของคนอื่นบ่อนทำลายชาติ ความจริงตั้งใจจะพูดแต่สิ่งดี ๆ ไปซะแล้ว".“