PR
วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
312ค้านศาลรธน.ขู่ยุบทิ้ง
ข่าวหน้า 1 3 May 2556 - 00:00
“312 ทั่นผู้ทรงเกียรติ” ออกจดหมายเปิดผนึกไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญแล้ว อ้างเฉยชำเรา รธน.ได้โดยไม่ต้องยี่หระใคร เพราะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย! ลำเลิกจะยุบทิ้งศาลเมื่อใดยังได้ ซัดหากปล่อยไว้จะทำให้ขยายอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นเองไม่จบ “มาร์ค” ลั่นแน่จริงประกาศชื่อรายตัว เตือนบ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ นิด้าโพลตบหน้า ชี้ตุลาการน่าเชื่อถือกว่า “ฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ”
แนะเพิ่มกฎหมายละเมิดอำนาจศาล
เมื่อวันพฤหัสบดี สมาชิกรัฐสภาประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของ ส.ส. และ ส.ว. จำนวน 312 คน ที่ได้ร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้แถลงถึงจดหมายเปิดผนึกที่คัดค้านและไม่ยอมรับการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ของสมาชิกรัฐสภา 312 คน
โดยนายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะที่ปรึกษาวิปรัฐบาล กล่าวว่า สมาชิกรัฐสภา 312 คน ได้ทำจดหมายเปิดผนึก 10 หน้า เพื่อมอบให้องค์กรอิสระต่างๆ ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งส่งให้คณะผู้พิพากษาศาลทั่วประเทศ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้รับทราบการวินิจฉัยรัฐธรรมนูญที่ผิดกฎหมาย และยืนยันว่าในฐานะสมาชิกรัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 3 วรรค 2 ที่บัญญัติว่าการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ทำให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามหน้าที่
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พท. กล่าวว่า หากศาลรัฐธรรมนูญยังยืนยันและตัดสินให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ต้องผ่านศาลเท่านั้น จะถือว่าไม่มีฐานรองรับทางกฎหมาย และจะไม่ผูกพัน
รัฐสภา
ต่อมานายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี พท. ในฐานะประธานวิปรัฐบาลได้อ่านจดหมายเปิดผนึก โดยมีเนื้อหาอ้างถึงมติศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. และ 11 เม.ย.2556 ที่รับคำร้องเกี่ยวกับการแก้ไข
เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาไว้พิจารณาว่า สมาชิกรัฐสภาทั้ง 312 คน เห็นว่าการรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณานั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างชัดแจ้ง เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ ด้วยเหตุผลคือ 1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้อง เนื่องจากเรื่องใดที่รัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้อำนาจไว้โดยชัดแจ้ง ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
นอกจากนั้นรัฐสภามีความชอบที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้อย่างกว้างขวาง หรือแม้แต่ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญแล้วจัดตั้งเป็นคณะตุลาการรัฐธรรมนูญก็ย่อมทำได้ การที่สมาชิกรัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงเป็นการกระทำในนามประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย องค์กรอื่นใดตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบได้ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ได้ยึดหลักแบ่งแยกอำนาจหรือแบ่งแยกภารกิจออกจากกัน แต่ก็มีกระบวนการถ่วงดุลหรือกำหนดความสัมพันธ์ของการใช้อำนาจระหว่างองค์กรไว้ องค์กรใดองค์กรหนึ่งจะใช้อำนาจหน้าที่ของตนไปกระทบหรือแทรกแซงการใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรอื่นมิได้ ดังนั้นเมื่อรัฐสภาใช้อำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจรับคำร้องเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาได้ไม่ว่ากรณีใด
อ้างทำลายหลักแบ่งแยกอำนาจ
“กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมเป็นกระบวนการปกติ ที่ผ่านมาก็เคยแก้ไขเป็นรายมาตรา และยกร่างทั้งฉบับ ซึ่งไม่เคยบัญญัติให้อำนาจแก่องค์ใดเข้าไปตรวจสอบเลยไม่ว่ากรณีใด ซึ่งการที่ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบตามมาตรา 68 วรรคหนึ่งนั้น ผลจะกลายเป็นว่าศาลมีอำนาจเหนือทุกองค์กรในรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และองค์กรอื่นๆ เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บัญญัติรัฐธรรมนูญเสียเอง อันจะทำให้หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญและหลักการแบ่งแยกอำนาจถูกทำลายลงสิ้นเชิง” จดหมายเปิดผนึกระบุ
2.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา 68 ไว้พิจารณาโดยตรง โดยมิได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุดก่อน ซึ่งได้บัญญัติไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ปี 2540 และปี 2550 ก็เช่นกัน โดยมีเพียงกรณีเดียวที่ประชาชนอาจใช้สิทธิโดยตรงต่อศาลได้คือ มาตรา 212 ในการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 68 แต่ก็ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคลของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยลำพัง โดยไม่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะได้
“การตีความของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่าบุคคลผู้ทราบการกระทำว่ามีการล้มล้างการปกครอง สามารถใช้สิทธิได้ 2 ทางคือ เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุด และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการตีความที่ขัดต่อบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญชัดแจ้ง จะทำให้การทำหน้าที่ของอัยการสูงสุดไม่มีที่ใช้อีกต่อไป และอาจทำให้เข้าใจได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญล้มล้างการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเสียเอง เพราะทำให้รัฐสภาไม่สามารถทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ได้”
3.มาตรฐานรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจยอมรับได้ มีการเร่งรัดพิจารณารับคำร้องอย่างผิดปกติวิสัยและขาดหลักความเสมอภาคในการพิจารณารับคำร้อง นอกจากนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2
คน ที่รับคำร้อง ประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ก็มีส่วนได้เสียในรัฐธรรมนูญ เพราะเคยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้นในด้านจรรยาบรรณและตามหลักวิชาชีพย่อมไม่สมควรจะร่วมพิจารณาคำร้องนี้ตั้งแต่แรก
ยอมศาลจะไม่มีวันจบ
“การตีความขยายเขตอำนาจตนเองของศาลรัฐธรรมนูญเช่นนี้นับเป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะตีความเพิ่มเติมอำนาจให้ตัวเองเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บัญญัติรัฐธรรมนูญเสียเอง และไม่ต้องผูกพันตนต่อรัฐธรรมนูญ อีกทั้งไม่มีองค์กรใดตรวจสอบถ่วงดุลได้ หากยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็เท่ากับส่งเสริมให้ศาลขยายอำนาจตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทำลายหลักการแบ่งแยกอำนาจโดยสิ้นเชิง” (อ่านรายละเอียดหน้า 3-4)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรื่องนี้ว่า อยากให้แสดงตัวให้ชัดเลยว่าใครที่ไม่ยอมรับอำนาจศาล จะได้ไปดำเนินการได้ถูกตัว เพราะว่า ส.ส และ ส.ว. ไม่ได้แถลงการณ์ทุกคน และขอถามรัฐบาลว่า กรณี ส.ส. และ ส.ว. ไม่ยอมรับอำนาจศาลจะให้บ้านเมืองเดินกันอย่างไร ถ้าต่อไปมีคนออกมาต่อต้านไม่ยอมรับอำนาจของสภาฯ บ้าง และไม่ยอมรับอำนาจรัฐบาลบ้าง บ้านเมืองจะอยู่อย่างไร ทุกคนควรเคารพการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่าย
“ขอถามย้ำว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปอย่างนี้หรือ เพราะคนที่สร้างปัญหาอยู่ตอนนี้ทั้งหมดก็เป็นคนที่สนับสนุนรัฐบาลทั้งสิ้น จะให้บ้านเมืองเดินไปอย่างนี้เพื่ออะไร” นายอภิสิทธิ์
กล่าว
วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน จำนวน 1,254 หน่วยทั่วประเทศ เรื่อง ความคิดเห็นของคนไทยต่อศาลรัฐธรรมนูญ พบว่า ในเรื่องความไว้วางใจในการใช้อำนาจของอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่าย ประชาชน 44.26% ระบุว่า ไว้วางใจฝ่ายตุลาการ (ศาลยุติธรรม, ศาลปกครอง, ศาลรัฐธรรมนูญ) มากที่สุด เพราะน่าเชื่อถือมากที่สุด เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ 20.89% ระบุว่า เป็นฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) เพราะเข้าถึงประชาชนได้มากกว่า 10.77% ระบุว่า เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ (ส.ส., ส.ว.) เพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน 10.61% ระบุว่า ไม่มีฝ่ายใดเลย และ 13.48% ไม่แน่ใจ
โพลพอใจผลงานศาล รธน.
เมื่อถามถึงความพอใจการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 61.8% พึงพอใจปานกลาง 15.63% พอใจมาก 14.75% พอใจน้อย และ 7.81% ไม่แน่ใจ ผลสำรวจยังถามถึงกรณีคนเสื้อแดงกดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ลาออก และการไม่ยอมรับอำนาจศาลของสมาชิกรัฐสภาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 61.64% ระบุว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เป็นการละเมิดตุลาการ 13.4% เห็นว่าเหมาะสม และ 24.96% ไม่แน่ใจ
“เมื่อถามว่าควรออกกฎหมายห้ามมิให้ละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับศาลยุติธรรมหรือไม่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 61.88% ระบุว่า ควรมี เพราะเป็นการปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การตัดสินของศาลให้ถือเป็นที่สุด 18.5% ระบุว่า ไม่ควร และ 19.62% ไม่แน่ใจ” ผลโพลระบุ
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อาจารย์ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ม.นิด้า กล่าวถึงผลโพลว่าสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังไว้วางใจฝ่ายตุลาการ แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ผ่านมาตรงไปตรงมา ไม่มีอคติ ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติก็ควรพึงสังวรในพฤติกรรมที่ประชาชนยังไม่ไว้วางใจ ในขณะที่ฝ่ายบริหารก็มักจะทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก
“การกดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น ในสายตาประชาชนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ฝ่ายที่กดดันก็ควรจะระงับพฤติกรรมเสีย ขณะเดียวกันก็ควรมีกฎหมายห้ามละเมิดศาลรัฐธรรมนูญด้วย
เพราะที่ผ่านมาศาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายเรื่อง โดยฝ่ายนิติบัญญัติควรฟังเจตนารมณ์ของประชาชนด้วย” รศ.ดร.พิชายระบุ
ขณะเดียวกัน นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้ร่วมกับนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายคมสันต์ โพธิ์คง จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการกระทำที่ต้องห้ามตามบทบัญญัติของรัฐ
ธรรมนูญ มาตรา 68 โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 พรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และ ส.ส. รวม 238 คน เป็นผู้ถูกร้องที่ 2 เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณได้สไกป์หลายครั้งในที่ประชุมพรรคให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายปรองดอง และกฎหมายอื่นๆ โดยมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ 12 คลิป บทสัมภาษณ์ 2 บทความ ข่าวหนังสือพิมพ์ 17 ชุด
“ส่วน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถือว่าผิดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ว่าด้วยการทำหน้าที่ของ ส.ส. ส.ว. ต้องเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อาณัติอะไร นอกจากนั้นการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ เป็นการ
เสนอโดยขัดต่อหลักการสำคัญและเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” นายไพบูลย์กล่าว
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวเรื่องนี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้สไกป์มาสั่ง ส.ส.พรรค เป็นการกระทำของสมาชิกรัฐสภาเอง ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีใครชี้นำ ครอบงำได้ ซึ่งทุกคนทราบดีว่านายเจิมศักดิ์อยู่ข้างไหน เป็นคนหน้าเดิมที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล และ พ.ต.ท.ทักษิณมาโดยตลอด นายเจิมศักดิ์ตัดแปะข่าวมาร้อง ไม่มีข้อเท็จจริง
สำหรับกรณีกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายคนเสื้อแดงที่ชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญจะยกระดับการชุมนุมในวันที่ 8 พ.ค.นั้น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. กล่าวว่า การชุมนุมเป็นสิทธิ แต่ต้องไม่ใช่การข่มขู่คุกคาม ใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้ตามจุดประสงค์ของผู้ชุมนุม แต่การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีแนวโน้มใช้ความรุนแรง ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายประการ คือ 1.นายกฯ ให้ท้ายที่ไม่ส่งสัญญาณหรือระงับยับยั้ง 2.เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการกำจัด และดิสเครดิตศาล และ 3.คนเสื้อแดงที่ชุมนุมได้ใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังคำกล่าวสุนทรพจน์ที่มองโกเลีย ที่นายกฯ โจมตีองค์กรอิสระ
“อยากเรียกร้องไปยังนายกฯ ว่าก่อนถึงวันที่ 8 พ.ค. นายกฯ ควรออกมาทำทุกวิถีทางที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยไม่ปล่อยให้กลุ่มบุคคลใดก็ตาม โดยเฉพาะคนเสื้อแดงดำเนินการในลักษณะเป็นภัยกระทบต่อการใช้ชีวิตและความปลอดภัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ”
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. ในฐานะโฆษกพรรค กล่าวเช่นกันว่า นายกฯ ต้องรับผิดชอบหากมีความรุนแรงตามมา เพราะสุนทรพจน์ของนายกฯ เหมือนเป็นการส่งเสริมการชุมนุม.
'กิตติรัตน์'ปัดประชุมลับปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ
- "นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ส่งรายงานผลการหารือเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมาระหว่างกระทรวงการคลังและธปท.เกี่ยวกับสถานการณ์และการดูแลค่าเงินบาทมาให้ตนได้พิจารณา โดยได้รายงานว่า มีการหารือกันในประเด็นใด และ มีแนวทางอย่างไร เช่น หากเงินบาทแข็งค่าไประดับใดจะดำเนินการอย่างไรเป็นต้น แต่จะต้องมีการหารือกับกระทรวงการคลังก่อนที่จะดำเนินการมาตรการใดๆ
"ในจำนวนมาตรการที่เสนอมานั้น ไม่ได้มีมาตรการเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ย หรือ ถ้ามีก็อธิบายสาเหตุที่ไม่ควรปรับลด ผมเรียนว่า เรื่องมาตรการในการดูแลค่าเงินบาทนั้น เราเพิ่งได้ยินมาในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าจะให้บ่นย้อนหลังก็คือ ที่ผ่านมาผมได้พูดเต็มที่ว่า ผมห่วงเรื่องการขาดทุนของธปท.และห่วงเงินไหลเข้า แต่ทางธปท.ไม่เคยบอกว่า จะทำอย่างไร ระหว่างนั้น บาทก็แข็งมาเรื่อยๆ
"การเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตรนั้น เป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนตายตัว ไม่ใช่เรื่องดอกเบี้ย แต่ถ้าเศรษฐกิจดีอย่างเดียว และอัตราดอกเบี้ยไม่ได้เป็นส่วนต่าง นักลงทุนคงอยากเข้าตลาดหุ้นมากกว่า เพราะส่วนต่างมีจำนวนที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี จำนวนที่เข้าพันธบัตรมากกว่าทุกอย่างรวมกัน จึงสังเกตว่า ดอกเบี้ยเป็นประเด็น"
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา เป็นการประชุมลับ เพื่อปลดผู้ว่าการธปท.นั้น รมว.คลัวกล่าวว่า ไม่เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ทางธปท.ได้ทำหนังสือมายังตน ซึ่งเป็นหนังสือที่ตีตราลับ ผมก็มีหน้าที่รายงานครม.เป็นวาระลับ"
"ทักษิณ"โพสต์เฟซบุ๊ก ไปมาเลย์พบ "มหาเธร์-นาจิบ ราซัค" ไปฮ่องกงพบครูสอนศาสนาชวนถกดับไฟใต้
"ทักษิณ"โพสต์เฟซบุ๊ก ไปมาเลย์พบ "มหาเธร์-นาจิบ ราซัค" ไปฮ่องกงพบครูสอนศาสนาชวนถกดับไฟใต้
(2 พ.ค.2556) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thaksin Shinawatra ว่าในช่วงสินเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซียและฮ่องกงโดยมีเนื้อหาดังนี้
วันที่ 27 เมษายน กลางคืน ผมบินไปถึงกัวลาลัมเปอร์ ได้ไปพบท่านอดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด และท่านนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซะก์ ในวันที่ 28 ครับ เราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเรื่อง ASEAN และสังเกตการณ์เลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ค.นี้ เท่าที่ประเมินทาง UMNO ก็น่าจะชนะอย่างไม่มีปัญหา เหลือเพียงว่าจะถึง 2 ใน 3 หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐที่เป็น Swing Vote บางรัฐ ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทย นอกจากนั้นก็ได้พบกับนักธุรกิจมาเลเซียที่สนใจไปลงทุนในต่างประเทศไทยอีก 4-5 ราย
ในวันที่ 29 ก่อนจะเดินทางมาฮ่องกงก็ได้พบกับอุสตาซ(ครูสอนศาสนา) ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของไทย ก็เลยขอความร่วมมือช่วยกันทำให้ภาคใต้สงบ โดยขอให้เชิญทุกกลุ่มมาพูดคุยกับคณะของสภาความมั่นคงเพื่อประสานความเข้าใจ และช่วยกันพัฒนาประเทศให้เกิดความผาสุกด้วยกันครับ
ที่มา : https://www.facebook.com/thaksinofficial?fref=ts
ศาลปกครอง ยกคำร้องขอระงับโปรเจกต์น้ำขณะปปช.ตั้งกก.สอบ
ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งยกคำร้อง กรณีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยระงับการเปิดซองประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำ มูลค่ากว่า 3.5 แสนล้านบาท
(2/5/56)เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งยกคำร้อง กรณีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยระงับการเปิดซองประมูลโครงการบริหาร
จัดการน้ำ มูลค่ากว่า 3 แสน 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนด และขอบเขตของงาน หรือทีโออาร์ รวมทั้งการออกแบบก่อสร้าง ที่ยังไม่มีการศึกษาเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
สุขภาพ และการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
แต่องค์คณะศาลปกครองกลางเห็นว่า ยังไม่มีมูลเหตุเพียงพอให้ระงับ ส่งผลให้ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ รัฐบาลสามารถเดินหน้าเปิดซองประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลยืนยันว่า จะเปิดให้ผู้ประกอบการยื่นซองประมูลตามปกติ แม้ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับโครงการ เพราะการยื่นซองประมูลไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่งดัง
กล่าว เนื่องจากยังไม่ถึงขั้นพิจารณาโครงการ
/////////////////
ป.ป.ช.ยอมรับตั้งกรรมการตรวจสอบประมูลน้ำ3.5เเสนล้านของรัฐเเล้ว
(2/5/56)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุในการเสวนา"โปรเจกต์น้ำ 3.5แสนล้าน ชะลอหรือไปต่อ?" ที่สมาคม
นักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยนายต่อตระกูลระบุว่า ทราบว่าปปช.ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้เเล้วนั้น
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. กล่าวในเรื่องนี้ว่า ตอนนี้ปปช.มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการประมูล3.5เเสนล้านบาทของรัฐบาลจริง เเต่อยู่ในขั้นตอนที่มอบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล
ข้อเท็จจริงเพื่อที่จะส่งให้กรรมการปปช.พิจารณาเพื่อมีมีติก่อนตั้งอนุกรรมการปปช.สอบสวนต่อไป โดยระยะเวลาที่ตั้งไว้นั้น ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เร่งส่งเรื่องเข้ามาให้เร็วที่สุดเพราะประชาชนสนใจ
เรื่องนี้จำนวนมาก
///////////
ศาลจำคุกแดงตลอดชีวิตเผาศาลากลางอุบลฯ
"จำคุกแดงตลอดชีวิต 4 ราย อีก 7 รับโทษสถานเบาตามที่ได้ทำผิด พร้อมเพิ่มโทษอีก 2 ราย หลังพบหลักฐานใหม่"
----------
อุบลราชธานี - ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตัดสินกรณีคนเสื้อแดงร่วมกันเผาศาลากลางจังหวัด เมื่อเดือนพ.ค.2553 ยืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกตลอดชีวิต 4 ราย อีก 7 รับโทษสถานเบาตามที่ได้ทำผิด พร้อมเพิ่มโทษอีก 2 ราย หลังพบหลักฐานใหม่
วันนี้(2 พ.ค.)ศาลจังหวัดอุบลราชธานี นั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามที่อัยการและทนายความจำเลย ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลชั้นต้น กรณีคนเสื้อแดงร่วมกันก่อความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย และความผิดต่อเจ้าพนักงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน
โดยร่วมกันฝ่าฝืนพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 บุกรุกสถานที่ราชการ ร่วมกันทำลายทรัพย์สิน และวางเพลิงเผาอาคารศาลากลาง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งมีผู้ต้องหาถูกส่งฟ้องครั้งนั้น 21 คน โดยศาลชั้นต้นตัดสินลงโทษจำเลยที่ทำความผิดต่างกรรมต่างวาระรวม 13 คนยกฟ้อง 8 คน ซึ่งทนายจำเลยและอัยการได้ยื่นอุทธรณ์
ล่าสุดวันนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกผู้ต้องหาที่กระทำความผิดร้ายแรง ร่วมกันเผาศาลากลางจังหวัด คือ น.ส.ปัทมา มูลมิล นายธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ นายสนอง เกตุสุวรรณ นายสมศักดิ์ประสานทรัพย์ ตลอดชีวิต แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุก 33 ปี 12 เดือน และศาลจะได้ส่งรายละเอียดคำพิพากษาให้จำเลยรับทราบ
เนื่องจากจำเลยทั้ง 4 ไม่ได้มาฟังคำพิพากษ าเพราะถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษบางเขน กรุงเทพฯ ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 7 คน ให้ยืนตามศาลชั้นต้นเช่นกัน เว้นแต่รายนางอรอนงค์ บรรพชาติ และนางสุมาลี ศรีจันดา ให้เพิ่มโทษจากจำคุก 8 เดือน เป็นจำคุก 3 ปี แต่ลดโทษให้เหลือหนึ่งในสาม เหลือจำคุกคนละ 2 ปี และให้อนุญาตประกันตัวระหว่างฎีกา
ภายหลังอ่านคำพิพากษา จำเลยที่เข้ารับฟังคำตัดสินครั้งนี้ต่างพอใจในคำตัดสิน และได้ลงมาพบกับมวลชนประมาณ 100 คน ที่มารวมตัวให้กำลังใจบริเวณลานสนามหญ้าหน้าศาลจังหวัด ซึ่งศาลได้จัดถ่ายทอดเสียงการอ่านคำพิพากษาให้ฟัง และพากันสลายตัวกลับไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)